มาอัพวันApril fool วันดีเจรงๆ

ย้อนกันนิดนึง มาดูความรู้สึกนึกคิดของนายกายกัน

---------------------------------------------------------
เมื่อตอนบ่ายๆของวันนี้ น้องหยกโทรมาหาผม เธอโทรมาถามผมว่า ผมจะไปภูเก็ตพร้อมเธอวันมะรืนนี้ได้ไหม? ผมก็เลยตอบตกลงไป เพราะกลัวว่าแฟนของเธอที่รออยู่จะคอยนาน อีกอย่าง ผมดูก็รู้ว่าน้องหยกอยากรีบไปเร็วๆ เพียงแต่เธอเกรงใจผมมากเท่านั้น เลยไม่ได้เซ้าซี้อะไร
เพราะฉะนั้น วันนี้และพรุ่งนี้ผมจึงต้องเคลียร์งานให้เรียบร้อยก่อนไป เพื่อจะได้ส่งมอบหน้าที่ให้คุณอาของผมดูแลแทนไปก่อน
สี่ทุ่มแล้ว… แต่ผมยังคงนั่งหัวหมุนกับงานตรงหน้าอยู่ แสงจากจอคอมพิวเตอร์ที่ผมนั่งจ้องเป็นเวลานาน ทำให้ตาผมเริ่มล้า เอกสารที่ผมยังไม่ได้อ่านแล้วลงอนุมัติดูเหมือนจะไม่มีวันหมดอย่างไรอย่างนั้น
แล้ววันนี้… ผมถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้…
เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น แต่มันก็ไม่ได้ดึงความสนใจไปจากงานตรงหน้าที่ผมทำอยู่ได้ ถึงกระนั้นมันก็ยังคงดังไม่หยุด กรีดร้องจนผมแทบจะลงมือเขวี้ยงทิ้ง ผมวางมือจากงานตรงหน้า เอนหลังพิงพนักเก้าอี้แรงๆด้วยความหงุดหงิด
“บ้าชิบ! ใครโทรมาดึกดื่นวะ!” สบถอย่างหัวเสีย แล้วคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจะปิดเครื่อง แต่เบอร์ที่โทรมากลับทำให้ผมหยุดชะงักการกระทำนั้นไว้ แล้วกลายเป็นกดรับแทน
“…ฮัลโหล” ผมพูดอย่างซังกะตาย
[“คุณอยู่ที่ไหน ทำไมถึงรับโทรศัพท์ผมช้า”] เหอะ! พอผมรับโทรศัพท์ก็เอาใหญ่เลยนะ หมั่นไส้ชะมัด! มีสิทธิ์อะไรมาทำเป็นพูดกับผมแบบนี้?
“อยู่ที่ทำงานก็ทำงานอยู่น่ะสิ แล้วนายมายุ่งอะไรด้วยเนี่ย! ฉันจะอยู่ไหนทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน นายไม่เกี่ยว! ”
ผมพูดตอกกลับไปด้วยความหงุดหงิด แล้วผมจะมัวมาเสียเวลาพูดกับเขาทำไมกัน? รู้งี้ไม่น่ารับโทรศัพท์ซะตั้งแต่แรก หงุดหงิดโว้ยยย!!!
เห็นหมอนั่นเงียบไป ผมเลยตัดสินใจจะยุติการเสวนานี้ลง
“ตกลงไม่มีธุระอะไรแล้วใช่ไหมฉันจะได้วาง แล้วก็วันนี้ฉันจะนอนค้างที่บริษัท”
“เพราะงั้น…” กำลังจะเอ่ยปากบอกให้เขารีบๆออกไปจากห้องผมในเช้าวันพรุ่งนี้ แต่เขาดันพูดแทรกผมขึ้นมาเสียก่อน
[“คุณไม่เคยนึกถึงใจผมบ้างเลย… ผมเสียใจนะ ที่คุณพูดแบบนั้นกับผม…”] เขาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงและเจ็บปวด
“…”
เหมือนเวลาถูกหยุดลงชั่วขณะตรงนี้… ผมไม่สามารถพูดอะไรต่อไปได้จนกระทั่งเขาวางสายไป หัวใจของผมเหมือนจะหยุดเต้นเสียให้ได้ ไม่รู้สิ… ใจของผมมันโหวงๆหวิวๆแบบแปลกๆยังไงไม่รู้…
“หรือเราจะพูดแรงเกินไป…” ผมพึมพำกับตัวเองพลางมองหน้าจอมือถือ
“ไม่หรอกน่า! มันก็สมควรแล้วล่ะ!”
พยายามปัดความรู้สึกนั้นออกไปให้พ้น แล้วหันมาจัดการกับงานที่คั่งค้างต่อ แต่ทำได้เพียงไม่นาน คำพูดของหมอนั่นก็ลอยเข้ามาดังก้องในหัวสมอง
‘คุณไม่เคยนึกถึงใจผมบ้างเลย… ผมเสียใจนะ ที่คุณพูดแบบนั้นกับผม…’
แล้วทำไมผมต้องไปแคร์ความรู้สึกเขาด้วย มันใช่เรื่องที่ผมควรจะรู้สึกผิดเหรอ…? ทีเขาทำอะไรลงไป เคยรู้สึกผิดบ้างไหม แถมยังมาทำหน้าระรื่นอย่างหน้าด้านๆได้อีก ที่ผมพูดออกไปแบบนั้น มันยังน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ…
“เลิกคิดฟุ้งซ่านได้แล้ว ทำงานต่อดีกว่า” บอกกับตัวเอง แล้วตั้งใจทำงานต่อไป
แต่เพียงไม่นานเท่านั้น…
“โธ่เว้ย!!” ผมก้มหน้าเอาหัวโขกกับโต๊ะทำงานเบาๆ ก่อนจะลุกพรวด คว้าโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะ แล้วพรวดพราดออกไป
ผมก็แค่… เปลี่ยนใจอยากกลับบ้านเท่านั้น…
ผมขับรถบึ่งออกจากบริษัท ความไม่สบายใจยังคงคับแน่นอยู่ในอก ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้นานๆ…
เมื่อผมมาถึงคอนโดก็ดึกมากแล้ว ภายในห้องมืดมิดไปหมดจนเหมือนกับไม่มีใครอยู่ในนี้ ผมกวาดตามองไปรอบๆ เปิดสวิตซ์ไฟจนทั่วทั้งห้องสว่างจ้า แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาใครสักคน
หมอนั่นหายหัวไปไหนวะ?
เดินไปเปิดตู้เย็นหาน้ำดื่ม แต่ผมก็ต้องประหลาดใจ เมื่อเห็นอาหารหลายอย่างอยู่ในตู้เย็น พลางนึกคิดไปถึงคนๆนั้น ที่ผมได้พูดจาไม่ดีกับเขาไว้
หรือว่า…เขาทำกับข้าวไว้รอผมกลับมากิน แต่ผมดันไม่กลับมาสักที เขาก็เลยโทรหา…
ผมขมวดคิ้วมุ่น ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะนำอาหารทั้งหมดไปอุ่นในไมโครเวฟ แล้วนั่งกินอาหารเหล่านั้นเงียบๆคนเดียว
ถ้าคิดถึงความเป็นเพื่อนมนุษย์ โดยตัดความรู้สึกที่หมอนั่นมีต่อผมออกไป การพูดจาของผมก็ดูจะตัดรอนน้ำใจของเขาจนเกินไป คิดในทางกลับกัน ถ้าผมเป็นเขา แล้วเกิดโดนคนสำคัญที่ผมแคร์พูดอย่างนั้นเข้าให้ จะเป็นยังไง?
ผมก็คงรู้สึกแย่ไม่เบา…
อาหารฝีมือหนุ่มฝรั่งอร่อยทุกอย่าง จนผมแทบไม่อยากเชื่อ แถมเขายังจัดตกแต่งอย่างน่ารับประทานแลดูพิถีพิถัน ยิ่งเห็นอย่างนี้ ความรู้สึกของผมก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ในใจของผมมันเหมือนเกิดคลื่นวนภายในที่อธิบายไม่ถูก
ทำไม…? เขาถึงจะต้องมาทำอะไรแบบนี้ให้ผม ทำไมจะต้องทุ่มเททุกอย่างเพื่อผม คนที่ไม่เคยใส่ใจไยดีความรู้สึกของเขา คนที่พยายามจะปฏิเสธตัวเขา คนอย่างผม…
มันมากไปหรือเปล่า?
เขาแค่บอกว่า’รัก’ผม คำๆนี้ผมได้ยินจากปากเขาหลายครา แต่ผมไม่เคยคิดจะสนใจ แค่ความรู้สึก’รัก’ใครสักคน มันทำได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ? ถึงขนาดต้องยอมตามคนๆนึงไปทุกแห่งหน เพื่ออ้อนวอนร้องขอความรักตอบ ยอมทำทุกหนทางไม่ว่าจะดีหรือเลว เพื่อให้ได้ใกล้ชิดคนที่รัก ทั้งหมดนั้น…
ไม่เรียกว่าบ้าหรือ…
บอกตามตรงว่าจนถึงตอนนี้ผมไม่ได้รังเกียจความรู้สึกของเขาเลย ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใดๆที่ทำให้เขาเกิดชอบผมขึ้นมาก็ตาม ถึงมันจะไม่ได้เป็นความรู้สึกที่ชั่วร้าย แต่ผมก็ไม่อาจทำใจยอมรับ
เขาไม่ได้นิสัยเลว เขาไม่ได้คิดในแง่ร้ายต่อผม เรื่องนี้ผมพอจะรู้สึกได้ แต่แล้วไงล่ะ… มันก็เท่านั้น ผมไม่เคยคิดว่าความรู้สึกของผมจะเปลี่ยนไปเพราะเหตุนี้หรอก ไม่เคยคิด… และไม่มีวัน
หลังจากกินจนอิ่มแล้ว ผมก็จัดการทำความสะอาดถ้วยชามให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอน พบกับชายร่างสูงนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงของผม มันทำให้ผมเห็นแล้วนึกหมั่นไส้ ก็นั่นมันเตียงของผมนี่นา!
ผมเลยเดินเซ็งๆเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำให้สดชื่น เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ จะเข้านอนก็รู้สึกแปลกๆ เพราะไอ้บ้านี่ยึดเตียงผมไปแล้ว ถึงมันจะมีที่เหลือให้ผมนอน แต่ความรู้สึกแม่งๆก็ทำให้ผมไม่กล้า เลยได้แต่ยืนข้างเตียงมองใบหน้าของเขายามหลับ
ใบหน้าของเขาสะอาดเกลี้ยงเกลา คิ้วโก่งสีบรอนด์ทองเรียวสวย เปลือกตาหนารับกับขนตายาวสีเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน และสุดท้าย… ริมฝีปากเป็นกระจับสีชมพูเข้ม ที่ทำให้ผมนึกถึง… รสจูบของเขา…
นี่ผมคิดอะไรอยู่เนี่ย!
ผมส่ายหัวไปมา ยกมือขึ้นลูบสองข้างแก้มที่ร้อนผ่าวแรงๆ มองหน้าหนุ่มฝรั่งแล้วถอนหายใจเบาๆ จนกระทั่งเปลือกตาที่ปิดสนิทนั้นค่อยๆลืมขึ้นมาช้าๆเผยให้เห็นนัยน์ตาสีเขียวมรกตที่รู้สึกเหมือนถูกดึงดูดทุกครั้งที่จ้องมอง
แล้วทำไมผมถึงต้องใจเต้นแรงแบบนี้เนี่ย! กับอีแค่สบตากัน!
“คุณกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่? ไหนว่าจะค้างที่บริษัท?” หนุ่มฝรั่งถามผมเสียงเรียบ จ้องมองผมนิ่ง จนผมต้องหลบตา มองพื้นดีกว่า
“ไม่นานนี้แหละ …ฉันเปลี่ยนใจแล้ว” ผมบอกไป แต่เขาก็ยังเงียบจ้องผมอยู่นั่นแหละ ผมเลยคิดว่าไปจากตรงนี้ดีกว่า ไม่ชอบสายตาแบบนี้เลย
“เดี๋ยวสิครับ จะไปไหน” เขาลุกจากเตียงมาคว้าแขนผมไว้ ก่อนจะดึงตัวผมเข้ามากอดไว้หลวมๆ
“อย่าพูดแบบนั้นกับผมอีกนะครับ… อย่าทำร้ายจิตใจกันอย่างนั้น…” เขาบอกน้ำเสียงสั่นขณะซบหน้าลงบนไหล่ของผม
“ขอโทษนะ…” บอกเขาเสียงเบา เพราะคิดว่าผมผิดที่พูดไม่ดีกับเขา แต่ผมก็รู้สึกกระดากปากที่จะพูดขอโทษหมอนี่อย่างเต็มปากเต็มคำ
เห็นเขาชะงักเงยหน้าขึ้นมองผม มันทำให้ผมไม่รู้จะเอาสายตาไปไว้ตรงไหนดี
“เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะครับ?”
“เปล่า… ช่างมันเถอะ วันนี้ฉันหงุดหงิดเรื่องงานนิดหน่อยน่ะ” บอกปัดๆไป เพื่อไม่ให้เขาเซ้าซี้ต่ออีก
“งั้นเหรอครับ… เหนื่อยไหมครับ แล้วคุณหิวรึเปล่า?”
หนุ่มฝรั่งยกสองมือไล้แก้มผมเบาๆอย่างอ่อนโยน พลางถามน้ำเสียงห่วงใย การกระทำของเขามันทำให้ผมเกิดอาการประหม่า ทำอะไรไม่ถูกนอกจากส่ายหัวไปมาแล้วก้มหน้าก้มตาหลบสายตาของเขาที่มองมาเท่านั้น
ผมนึกถึงอาหารที่เขาทำ เลยอยากจะพูดตอบแทนน้ำใจของเขา
“กับข้าวในตู้เย็น… อร่อยดี” บอกเขาเสียงเบา ไม่กล้ามองหน้าชายหนุ่ม รู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนจะแย่แล้ว แถมยังใจเต้นไม่หยุดอีก โว้ยยยยยย!! หงุดหงิดตัวเอง!
เขายิ้มกว้างอย่างดีใจในคำพูดของผม แล้วหอมแก้มผมไปมาหลายที
“ชื่นใจจัง”
“ยุ่งน่า! ฉันจะนอนแล้ว” ผมรีบผลักเขาออกห่าง รู้สึกว่าตัวเองย่ำแย่แล้ว น่าขายหน้าชะมัด!
ผมจึงรีบเดินไปล้มตัวลงนอน คว้าผ้าห่มมาคลุมตัวไว้ นอนดีกว่าๆ ไม่อยากเป็นบ้าแล้ว
ได้ยินเสียงหมอนั่นหัวเราะเบาๆ แล้วล้มตัวลงนอนข้างผม แถมยังดึงตัวผมเข้าไปกอดอีก มันจะมากไปแล้วนะ!
“นี่มันเตียงฉันนะ บนพื้นมีที่ว่างตั้งเยอะ” ผมพึมพำบอกอย่างถือสิทธิ์ ออกแรงดันตัวเขาออกไป แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะหมอนี่มันควายถึกชัดๆ ฮึ่ม! ผมจึงได้แต่ดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดของเขาไม่หยุด
“ผมอยากนอนกอดคุณนี่! แต่ถ้าคุณดิ้นมากผมเกิดอารมณ์ขึ้นมาไม่รู้ด้วยนะ”
คำพูดของเขาทำให้ผมชะงักการกระทำทั้งหมด แล้วชั่งใจคิดว่า ผมยอมโดนกอดเฉยๆ ดีกว่ายอมให้ร่างกายผมเป็นของไอ้บ้านี่อีกครั้ง
เอาเป็นว่าช่างมันเถอะ ยอมเสียเล็กเสียน้อยไปแล้วกัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่สักหน่อย ดีกว่าเสียตัว เสียใจ เสียพลังงานละกัน เหอะ!
__________________จบตอน__________________