ขึ้นตอน12แย้ว วันนี้มายาวหน่อย ฉะนั้นรีกันเยอะๆน๊า
ปล.อ่านเรื่องนี้แล้วเปนมั้ยคะ รู้สึกเหมือนมีคลื่นเกิดขึ้นในท้อง เราเปนจิงๆนะ
คุณkaporzung เกิดอะไรขึ้นกับคุณน่ะ
ไม่เข้าใจอ่ะ ทำไมอ่านแล้วเป็นแบบนั้นอ่ะ
========================================================================
Chapter: 12 ความสับสน
ผมไม่ได้กลับบ้านนี้มานานแล้ว ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ว่างเปล่าดังเดิม มันใหญ่โตเกินไป ที่ผมจะสามารถอยู่ได้อย่างสบายใจ พ่อบ้านประจำคฤหาสน์ออกมารับหน้าผม ดูเขาจะดีอกดีใจเป็นพิเศษที่ผมมาเยือน
“ยินดีต้อนรับครับคุณชาย กระผมดีใจอย่างยิ่งเลยที่คุณชายกลับมาอยู่ที่นี่”
“ใครว่าฉันจะมาอยู่ล่ะ แค่แวะมาเฉยๆเดี๋ยวจะกลับคอนโดแล้ว” ผมบอกไป เห็นชายแก่ทำหน้าสลดลงผมจึงต้องเอ่ยปลอบใจเขา อย่างน้อยเขาก็เป็นคนเก่าคนแก่ ที่ดูแลรับใช้ครอบครัวผมมาเป็นเวลานาน
“เอาเป็นว่าถ้ามีเวลา แล้วพ่อไม่อยู่ จะมาค้างที่นี่บ้างละกันครับ”
“แค่นั้นผมก็ดีใจแล้วครับคุณชาย ความจริงคุณท่านก็ไม่ค่อยมาอยู่ที่นี่หรอกครับ แล้วคุณชายยังไปพักข้างนอกอีกคน กลายเป็นว่าบ้านนี้เอาไว้ให้คนใช้อยู่อย่างไรอย่างนั้น ” ชายแก่หัวเราะขำกับคำพูดของตน แต่เวลานี้ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะขำได้เลย เพราะมีเรื่องมากมายวนเวียนอยู่ในหัวผม ยากที่จะขจัดออกไปได้ง่ายๆ
“เอารถออกไปส่งฉันที่คอนโดหน่อย ฉันจะกลับแล้ว”
ที่ผมบอกให้แท็กซี่พามาส่งที่นี่ก็เพื่อตบตาหนุ่มฝรั่งนั่น ผมรู้ดีว่าเขาตามมาส่งผมเพราะอะไร และเพราะรู้อย่างนั้นผมถึงได้เลือกที่จะมาที่นี่แทนที่จะเป็นคอนโดที่ผมอาศัยอยู่
“คุณชายดูหน้าซีดๆนะครับ ไม่สบายรึเปล่า? ผมว่าพักผ่อนอยู่ที่นี่ก่อน...”
“ไม่ต้องห่วงไป ฉันจะกลับไปพักผ่อนที่คอนโดเอง” ผมแทรกคำขึ้น ก่อนที่พ่อบ้านจะพูดกับผมยืนยาวเป็นที่วุ่นวาย
“ครับคุณชาย” แล้วพ่อบ้านก็เดินไปสั่งคนให้เตรียมเอารถออก
ผมยืนครุ่นคิดอยู่คนเดียวสักพัก ก็สั่งพ่อบ้านให้คนเอารถออกไปทางประตูหลังคฤหาสน์ เนื่องจากเกรงว่าหนุ่มฝรั่งนั่นจะดักซุ่มอยู่ที่ประตูหน้าไม่ไปไหน เหมือนกับตอนที่ผมอยู่อังกฤษ
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน จากประสบการณ์ในครั้งนั้นทำให้ผมต้องมีความละเอียดรอบคอบมากยิ่งขึ้น แล้วเหตุการณ์จะไม่ซ้ำรอยเดิมอีกต่อไป
ผมเดินทะลุผ่านไปด้านหลังของคฤหาสน์ เพื่อไปขึ้นรถที่เตรียมรอไว้ โดยหวังว่าในครั้งนี้จะเป็นการตัดขาดกันเสียที
เมื่อมาถึงคอนโดชั้นที่พักของผม ก็พบว่าเจ้าเรโอนั่งฟุบนอนหลับอยู่ที่หน้าประตูห้อง ผมขมวดคิ้วอย่างงุนงง ไม่รู้ว่ามันมารอผมตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ผมเอาเท้าสะกิดๆที่ขามันให้ตื่น มันเงยหน้าขึ้นมองผมงัวเงีย ก่อนที่สีหน้าของมันจะแปรเปลี่ยนเป็นแตกตื่นลุกพรวดพราดขึ้นมาจนผมตกใจ
“แกไปไหนมา!!” มันตรงเข้ามาเขย่าๆไหล่ผมไปมาจนผมรู้สึกมึน รีบผลักมันให้ออกห่าง
“เมื่อเช้ารับโทรศัพท์ทำไมไม่พูด เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า! ฉันเข้าไปหานายที่บริษัท เลขานายยังไม่รู้เลยว่านายกลับเมืองไทยมาสองสามวันแล้ว นายไปอยู่ที่ไหนมา...” ผมเดินสวนมันเข้าไปเปิดประตูห้อง รู้สึกปวดหัวไม่อยากฟังมันพูดอีก
“กาย...”
ผมหันมาตามเสียงเรียกของเรโอ เห็นสีหน้าที่เป็นห่วงของมัน ก็ต้องทอดถอนใจออกมา
“อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้ได้ไหม... ขอร้องล่ะ กลับไปเถอะ ฉันอยากพักผ่อน” ผมบอกมัน เดินเข้าห้องไป แต่ในขณะที่ผมกำลังจะปิดประตูลง เจ้าเรโอก็เอามือมายันไว้เสียก่อน
“พรุ่งนี้ฉันจะแวะเข้ามาหานะ ไม่รู้ว่านายมีเรื่องไม่สบายใจอะไร แต่ถ้านายอึกอัดมาก ก็ระบายออกมาให้ฉันฟังบ้างก็ได้ ฉันเป็นห่วงนายนะเพื่อน...”
“ขอบใจนะ” บอกมันไปเบาๆ ก่อนจะปิดประตูลง สักพักผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามันเดินจากไป ผมถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน หลับตายืนพิงประตูอยู่อย่างนั้น
วันนี้ผมเหนื่อยจริงๆ บอกไม่ถูกว่าเพราะร่างกายมันอ่อนล้า หรือจิตใจอ่อนล้ากันแน่ ผมไม่เข้าใจตัวเองเลย ความคิดมันวุ่นวายสับสนไปหมด
ครั้งที่สองแล้วที่ผมมีอะไรกับผู้ชายด้วยกัน ถึงแม้ว่าในครั้งแรกผมจะจำความรู้สึกในตอนนั้นแทบไม่ได้ก็ตาม เนื่องเพราะในตอนนั้นฤทธิ์แอลกอฮอล์ครอบคลุมสติสัมปชัญญะของผมไปเสียหมด แต่ในครั้งนี้สิ ผมไม่ได้เมา ผมมีสติรับรู้ทุกอย่าง แล้วผมปล่อยให้มันเกิดขึ้นซ้ำสองได้ยังไง ผมปล่อยตัวปล่อยใจไปแบบนั้นได้ยังไง!
ลากสังขารตัวเองมาที่เตียงนอน แล้วล้มลงนอนแผ่ไปบนเตียง สายตาจับจ้องมองเพดานห้อง แต่จิตใจกลับล่องลอยไปไกล...
ภาพใบหน้าของหมอนั่นโผล่มาให้เห็นตลอดในห้วงสมอง ผมหลับตาลงสะบัดหน้าไปมาด้วยอยากจะลบเลือนมันออกไป
ผมคิดว่าที่ผมหลวมตัวไปกับหนุ่มฝรั่งนั่น คงเป็นเพราะความเหงา เพราะที่ผ่านมาผมยุ่งอยู่กลับงานตลอด ไม่ได้คบใครหรือมีความสัมพันธ์กับใครมานานแล้ว คงเพราะเหตุนี้กระมังวันนี้ผมถึงได้ปล่อยตัวปล่อยใจไปแบบนั้น ผมคิดถูกแล้ว...
ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีก็เพราะเสียงกริ่งหน้าประตูที่ยังคงดังไม่หยุด หันมองรอบตัว แสงสว่างลอดผ่านม่านที่ปิดกั้นเข้ามาทำให้ห้องดูสว่างขึ้น ผมคว้านาฬิกาบนโต๊ะหัวเตียงขึ้นมาดูเวลา แปดโมงยี่สิบ... นี่ผมหลับยาวเลยสิเนี่ย
อาการปวดหัวตั้งแต่เมื่อคืนทุเลาลงบ้างแล้ว แต่ร่างกายยังคงปวดล้าอยู่ ผมขยับตัวลุกเดินออกไปที่หน้าประตูห้องอย่างช้าๆ ไม่ได้เร่งร้อนอะไร แต่ดูเหมือนผู้มาเยือนจะไม่ได้คิดอย่างผม เพราะเขากดกริ่งหน้าประตูถี่รัวยิ่งกว่าเดิม แถมยังมีเสียงทุบประตูตามมาด้วยอีกต่างหาก
ปัง! ปังๆ!
“กาย! กายเปิดสิวะ! เป็นอะไรมากรึเปล่า” เป็นเสียงเรโออย่างที่ผมคาดเดาไว้นั่นเอง
ผมเอื้อมมือไปเปิดประตูออก ส่วนตัวเองก็ทรุดลงไปนั่งกับพื้นเลย เพราะอยู่ดีๆก็เกิดอาการวูบขึ้นมา ไอ้เรโอพอเปิดประตูเข้ามาก็โวยวายใส่ผมใหญ่ กระวีกระวาดเข้ามาพยุงผมขึ้น
“เป็นไรมากเปล่าเนี่ย รู้ไหมฉันมากดกกริ่งเรียกนายเกือบชั่วโมงแล้วนะ ถ้านานกว่านี้ฉันจะไปเรียกเจ้าหน้าที่ให้มาเปิดแล้ว อย่าทำให้เป็นห่วงสิวะ!”
“อย่าพูดมากได้ไหม รำคาญ” ผมว่ามันเบาๆ
“เออ ไปๆ กลับไปนอนเลย ดูซิป่วยขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ฉันเตือนนายแล้วนะ แต่ดื้อชิบคนอะไร แล้วเป็นไง ไหนบอกจะรีบกลับมาทำงาน อีโธ่... ” เรโอประคองพาผมเดินไปยังห้องนอน แต่เสียงบ่นไม่หยุดของมันทำให้ผมเริ่มมึน
“หยุดพล่ามซะทีเหอะ ถ้าจะมาบ่นแบบนี้ก็กลับไปเลยไป” ผมผลักมันออกไป แล้วเดินต่อไปเอง
“ไอ้นี่...ไม่สบายแล้วยังพาลอีก” มันบ่นตามหลัง
ผมไม่สนใจฟัง เดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียง แล้วหลับไป
“เฮ้ย! อย่าเพิ่งนอน กินข้าวเช้าก่อน” เรโอเดินเข้ามาฉุดผมให้ลุกจากเตียง ไอ้นี่จะอะไรกับผมนักหนานะ ตอนแรกบอกให้ไปนอน แล้วมาอะไรอีกเนี่ย
“ไม่กิน...คนจะนอน”
“ไม่ต้องเลยๆ กินก่อนเดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะ” แล้วมันก็ล้วงถุงที่มันถือติดมือมาด้วย เอากล่องพลาสติกสีขาวแบนๆออกมายื่นให้ผม
“อะไรอ่ะ” ผมถาม มองกล่องในมือมัน เห็นแบรนด์ร้านอาหารของเจ้าเรโอก็หน้าเสียเลย เพราะพอจะรู้แล้วว่าสิ่งที่บรรจุในกล่องนั่นต้องเป็นอาหารอิตาเลี่ยนแน่นอน
“ลาซานญ่าผักโขม กินซะ”
“แหวะ ฉันเบื่ออาหารอิตาเลี่ยน” ผมหันหน้าหนี
“โว้ย อย่าเรื่องมากน่า กินๆไปซะเดี๋ยวเสียของ” มันยัดกล่องในมือมันใส่มือผม แล้วจ้องมองผมด้วยสายตาเชิงบังคับ
“แล้วทำไมต้องเป็นลาซานญ่าด้วย” พยายามถามบ่ายเบี่ยงต่อ
“ก็มันจะได้กลืนง่ายๆไง คนป่วยก็ต้องกินแบบนี้แหละ”
“แต่มันเลี่ยน มันแหยะๆเละๆ” พยายามต่ออีก ผมไม่ชอบนี่นา
“อย่าบ่น กินไปซะ ไม่งั้นจะป้อนนะ” มันขู่ ผมก็เลยจำใจเปิดกล่องกิน เพราะไม่อยากให้มันป้อนเหมือนเด็กๆ ผมรำคาญ
แล้วมันก็เดินออกไปจากห้อง สักพักก็กลับมาพร้อมกับน้ำดื่มในมือ ผมกินด้วยความพะอืดพะอม กินไปได้เกือบครึ่งก็ไม่ไหวแล้ว เพราะมันจะตีกลับออกมา ก็เลยต้องพอ แล้วเรโอก็เอาน้ำให้ผมดื่ม
“มียากินไหม?” มันถาม
“มี”
“อยู่ไหนล่ะ”
“ในกระเป๋าเดินทางใบนั้นน่ะ” ผมชี้ไปที่กระเป๋าตรงมุมห้อง จำได้ว่านายนิคไอ้ฝรั่งนั่น เขาใส่พวกยาต่างๆไว้ในกระเป๋าผม เหอะ! แล้วผมจะไปนึกถึงนายนั่นทำไม
“อ่ะ กินยาซะแล้วนอน เดี๋ยวฉันจะออกไปดูร้านแล้ว ตอนเที่ยงจะแวะมาอีกที”
ผมก็ว่าง่ายครับ กินยาเสร็จก็ล้มตัวลงนอนเลย ง่วงมากๆ เรโอเดินเข้ามาจัดแจงห่มผ้าให้ผม คงจะมีแต่เรโอนั่นแหละ ที่คอยเป็นห่วงเป็นใยผมเสมอ ผมโชคดีจริงๆที่ได้มันเป็นเพื่อน
“นายไม่ต้องเทียวไปเทียวมาหรอก ลำบากเปล่าๆ” ผมบอกกับมันทั้งๆที่ตาปิดแล้ว
“เงียบไปเลย อย่าเอาความหวังดีของฉันมาโยนทิ้งสิฟะ” มันเดินเข้ามาตบหัวผมเบาๆ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นลูบหัวผมไปมา
“พักผ่อนซะ ฉันเอาคีย์การ์ดไปนะ นายจะได้ไม่ต้องลุกมาเปิดประตูให้ฉันอีก” แล้วมันก็ผละตัวจากไป ได้ยินเสียงปิดประตูดังแว่วมาเบาๆ เจ้าเรโอคงจะกลับออกไปแล้ว
ความเงียบเข้าครอบงำ เมื่อเหลือเพียงผมอยู่คนเดียว ผมลืมตาขึ้นมา จ้องมองเพดานห้องสีขาว ยกแขนขึ้นก่ายหน้าผาก
แต่ก่อนผมมักจะชอบอยู่คนเดียว ความเงียบสงบเป็นสิ่งที่ผมแสวงหา แต่ทำไมตอนนี้ผมถึงรู้สึกใจโหวงๆก็ไม่รู้ เมื่อผมต้องอยู่คนเดียวแบบนี้
โลกของผมที่มักจะมีแต่ตัวผมเท่านั้น บัดนี้มันเหมือนขาดหายอะไรไปบางอย่าง ผมไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่จะมาเติมเต็ม และผมก็ไม่เข้าใจความรู้สึกที่บอกไม่ถูกนี้เลย
ในความว่างเปล่า ผมเหมือนจะมองเห็นอะไรบางอย่าง แต่มันเหมือนมีหมอกมาปรกคลุมมันเอาไว้ อำพรางสิ่งนั้นไว้จากสายตาผม อำพรางหัวใจของผมไว้
ความรู้สึกของผมมันบอกว่า ดีแล้ว และถูกต้องแล้ว ที่ผมไม่ได้เห็นในสิ่งที่ผมไม่เห็น
========================================================================
ปล. เจอพี่นิคพรุ่งนี้