Chapter 7 คำสารภาพรักของคิงคอง ผมลืมตาตื่นราวๆ ตีห้า หลังจากที่เมื่อวานน้องชายสุดที่รักเข้ามาแซวแล้ว ก็มีเรื่องต้องให้คิดวนเวียนไปทั้งวันเลย พยายามข่มตาหลับ ก็หลับไม่สนิท เช้าวันนี้เป็นวันเปิดเรียนของจริงแล้ว ให้ตายเถอะ ผมไม่อยากไปเจอไอ้เป๊บเอาซะเลย มันทำตัวไม่ถูกนะครับ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเรื่องเมื่อวันก่อนไอ้เป๊บต่างหากที่ผิด ไม่ใช่ผมสักกะหน่อย เฮ้อ เอาวะ ไปเรียนไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องไร้สาระ
หลังจากสลัดความคิดเรื่องไอ้เป๊บออกไปได้ ผมก็อาบน้ำ แต่พิเศษตรงที่ ลองครีมอาบน้ำตัวใหม่ดีกว่า ซื้อมาจากร้านบูท Sanctuary (ครีมอาบน้ำยี่ห้อนี้หอมมากๆ เลยนะครับ ปัจจุบันก็ยังใช้อยู่นะ ใช้จนคล้ายๆจะเป็นกลิ่นตัวผมไปแล้วละ ฮิฮิ) อาบไปเรื่อยๆ หอมดีจัง ขัดนั่น ขัดนี่ ขัดนู้น ฮ่าๆๆ ประมาณครึ่งชั่วโมง แต่งตัวสุภาพนิดนึงป้องกันกันอาจารย์ตกใจในความทันสมัยอินเทร็นด์
“โจ้ ตื่นหรือยังลูก ลงมาทานข้าวได้แล้ว เดี๋ยวไปมหา’ลัยไม่ทัน” แม่ตะโกนเรียก
“คร้าบบบบแม่ๆ กำลังจะลงไปคร้าบ” ผมตะโกนตอบแม่ไป
แต่งตัวเสร็จฉีดน้ำหอม เซ็ทผม หมุนหน้ากระจกสองรอบ โอเคดูน่ารักละ เรทติ้งมีมากกว่าเดิมชัวร์ ฮิฮิ ไปกินข้าวเช้าดีกว่า
“แม่ครับ แล้วพ่อกับน้องละ”ผมถามแม่ไปพลางตักข้าวเข้าปากแบบความเร็วสูงไป
“อ๋อ พ่อไปทำงานแล้วลูก เห็นว่ามีประชุมกรรมการบริหาร ส่วนน้องออกไปหาเพื่อน”
“อ๋อ ครับๆ”
“ค่อยๆ กิน เดี๋ยวลำสัก”
“รีบครับแม่ วันนี้มีเรียนตอน 9 โมงครับ”
“นี่มัน 7 โมงเอง จะรีบไปไหนลูก หรือว่านัดแฟนใหม่ไว้ละ”
“แค๊กๆๆ” ผมสำลักข้าวเช้าเลยครับ ตกใจที่แม่ถามนะซิ แฟนมงแฟนใหม่อะไรกัน หนอยไอ้น้องตัวดี มันต้องมาเล่าพ่อกับแม่แน่ อ๊ากกกก
“อะ น้ำลูก บอกแล้วอย่ากินเร็วมันสำลัก” ผมเหลือบตามอง เห็นแม่อมยิ้ม
“แม่อะ ไม่ได้สำลักเพราะรีบ แต่ตกใจต่างหากที่แม่พูดเรื่องแฟนใหม่อะไรกันอะ”
“แหมลูก แม่เลี้ยงลูกมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย จนตอนนี้หอยเท่าฝ่าตีนแล้ว”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มั่วแล้วแม่ผมไม่มีหอยคร้าบบบบ” แม่ก็ขำด้วย
“เอาเป็นว่าเลี้ยงลูกมาตั้งแต่เด็กๆ นะแหละ แม่ไม่ห้ามนะเรื่องจะมีแฟนใหม่นะ แต่ลูกต้องคิดถึงตัวเอง รักตัวเอง ดูแลตัวเอง พ่อ แม่ และน้อง รักลูกมากนะ และจะคอยดูอยู่เบื้องหลังเป็นกำลังใจให้นะ” แม่ยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังมาก
ผมน้ำตาไหลครับ “ครับแม่ ผมก็รักพ่อ แม่ และน้อง มากเหมือนกัน ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะคิดอย่างรอบคอบ และจะดูแลตัวเองนะครับแม่” กอดแม่แน่นๆ ทีนึง
แม่ลูบหัว “จ๊ะ อย่าขี้แยมาก เอาละๆ ไปเรียนได้แล้ว เดี๋ยวสายและแฟนใหม่จะรอนาน ว่างๆ ก็พามาให้พ่อกับแม่และน้องมาดูตัวบ้างละ” แม่ยิ้มๆ
“แม่อะ บอกแล้วว่าไม่ใช่ๆๆ” เขินหน้าแดงอีกตามเคย ชิ
“จ้าๆๆ ไปเรียนได้แล้ว” แม่ขำส่งท้าย
ผมออกจากบ้านเดินไปที่โรงรถ....หือ...แว๊ก.... “แม่คร้าบบบ รถโจ้หายไปไหนอะ”
“อ๋อๆ พอดีน้องยืมไปขับนะ ลูกเอารถน้องไปละกัน” โหยไอ้น้องบ้า เอารถคันโปรดเราไปขับ ชิ แล้วให้ไปขับรถมันอะนะ เก่าจะแย่
จริงๆ มันก็ไม่เก่าหรอกครับ พ่อเพิ่งซื้อให้มันเมื่อสองปีก่อนเอง BMW Series 3 รุ่น323i ไม่ถนัดเอาซะเล้ยขับแล้วดูแนวๆ วัยรุ่นฮาร์ดคอร์นะครับ มัวแต่เลือกเดี๋ยวไปสายอีก ขับรถมาหน้าปากซอย ขึ้นถนนหลัก อ๊ะ ไปทางด่วนดีกว่ารวดเดียวถึง
ลงทางด่วนเปิดไฟเลี้ยวซ้ายเข้ามหา’ลัย ระแวงคนแซงซ้ายอีกครับ ฮ่าๆๆ รถก็เยอะเหมือนเดิมเลย ลูกคนรวยๆ เยอะจริงเลยน่อ ผมขับรถขึ้นไปลานจอดชั้น 3 ข้างหน้า เบนซ์ E240 จอดเปิดไฟฉุกเฉิน เฮ้ย รถของไอ้เป๊บนี่หว่า ไอ้เป๊บมันยืนรอใครหันซ้ายหันขวาแบบนั้น ดีนะที่เอารถน้องมาไม่งั้นมันรู้แน่ว่าเรามา เชอะ ยังงอนโว้ย ผมก็ขับผ่านไอ้เป๊บไปจอดชั้น 5
หลังจากจอดเสร็จผมก็เดินลงบันไดหนีไฟ ข้ามทางเชื่อมระหว่างอาคาร และขึ้นห้องเรียนชั้น 9 ห้อง 902
“โจ้ๆ สวัสดีครับ เป็นไงบ้างไม่ได้เจอกันหลายวัน” ตั๋มเดินเข้ามาทักทายครับ
“สบายดีครับ ตั๋มละ”
“ปกติครับ แล้วนี่เพิ่งมาหรือ”
“เพิ่งขึ้นมาถึงห้องเลยละ ตื่นเต้นกับเพื่อนใหม่ๆ นะตั๋ม”
“ใช่ๆ โจ้ปะ เข้าห้องดีกว่าหาที่นั่ง”
ผมก็เดินเข้าห้องเรียน ระหว่างนั้นมือถือในกระเป๋าก็สั่น ผมล้วงออกมาดู ไอ้เป๊บโทรมา ฝันเถอะว่าจะรับ เชอะ ผมกดสายทิ้งและตั้งเสียงเงียบไว้ ทราย ฉัตร ก็เข้ามาทักทาย มีเพื่อนที่ยังไม่รู้จักเยอะเลย แอบมองๆ เราเหมือนกันแหะ ตื่นเต้นจัง ประมาณสักสิบนาที อาจารย์ก็เข้ามาสอน
“สวัสดีครับนักศึกษาทุกคน ผม ศ..ดร.XXX รับผิดชอบในรายวิชา XXXX อาจารย์ก็อธิบายไปเรื่อยครับ ผมก็ตั้งใจเรียนตามปกติ แอบคิดในใจ ยากจังเลย แต่ก็ต้องพยายามละ เรียนไปได้สักแป๊บนึง รู้สึกว่ามีสายตาเพ่งเล็งมาจากด้านหลัง ผมเหลือบหันไปมอง
ไอ้เป๊บมันมองผมอยู่ พอผมสบตามัน มันยิ้มให้ แต่ผมทำสีหน้าเย็นชาตอบกลับไป ดูมันจ๋อยๆ เหมือนกัน ผมหันกลับมาเรียนต่อไม่ไปมองมันอีก
“เอาละ วันนี้พอแค่นี้ สัปดาห์หน้างานที่มอบหมายให้ไปค้นคว้าเพิ่มเติม ออกมานำเสนอหน้าชั้นด้วยนะ ไว้เจอกันครับ” หลังจากอาจารย์ประกาศเลิกคลาส ผมก็ยังทำเป็นไม่สนใจไอ้เป๊บ
“โจ้ ไปทานข้าวเที่ยงกันที่ไหนดี” ตั๋มถาม
“เราว่าไปกินฟูจิที่มอลปิมั้ย” ทรายชวน
“ดีๆ ไม่ได้กินมานานแล้ววววว”ฉัตรเสริม
“เบิดดดดดด ไปกินฟูจิด้วยกันมั้ย”ฉัตรตะโกนเรียกเบิดซึ่งยืนอยู่หน้าห้อง
“ได้ๆๆ รอแปบๆ เก็บของก่อนๆ” เบิดตอบกลับมา
“เบิด นี่โจ้ รู้จักกันไว้” ฉัตรแนะนำเบิดให้รู้จัก
“ดีๆ โจ้” เบิดทักทาย
“ดีครับเบิด” ผมยิ้มกลับ
ลักษณะของเบิดหรือครับ อวบๆ ผิวขาวแดง มีเชื่อสายจีนครับ ไม่ได้หน้าตาดีอะไรมากมาย แต่ขอบอกว่า เป็นคนที่มีจิตใจดีมากๆ เรียนเก่งได้โล่ห์รางวัลเรียนดี ผมยังยืม Lecture ไปลอกเลยครับ ฮิฮิ ปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นเพื่อนรักของผมเลยนะ
“เป๊บๆ ไปกินฟูจิด้วยกันมั้ย” ทรายตะโกนชวนเป๊บ
“ได้ครับ แต่ไม่รู้บางคนอยากให้เราไปด้วยมั้ย” เป๊บตอบกลับมาสบตากับผม
ทุกคนก็ทำหน้างงๆ ประมาณว่าใครหรือที่ไม่อยากให้ไป ส่วนผมนะหรือครับ ทำหน้านิ่งเฉย ไม่ได้แสดงอาการอะไร เป๊บหน้าจ๋อยไปพอสมควร
“แล้วนี่ตกลงไปรถใครละ นับดูแล้วมี 1,2,3….ทั้งหมด 6 คน” เบิดนับ
“เอาไปสองคันก็ได้ รถเราคันนึงแล้วก็รถไอ้ตั๋มคันนึง” เป๊บเสนอความเห็น
“งั้น เบิด ฉัตร ไปคันเดียวกับเป๊บ โจ้ ทราย ไปคันเดียวกับเรา” ตั๋มพูด
“ตกลงตามนี้ ไปหิวแล้ว เดินทางกัน”ผมตอบรวบรัดตัดความ เพราะไอ้เป๊บทำท่าจะพูดขัดอีก
เมื่อมาถึงห้างเดอะมอลล์ บางกะปิ เราทั้ง 6 คนก็ไปที่ร้านฟูจิ ได้โต๊ะใหญ่ นั่งฝั่งละสามคนพอดี เหมือนชะตากลั่นแกล้งหรือวางแผนมาก็ไม่รู้ ผมนั่งตรงข้ามเป๊บด้านในสุด ตรงกลางเป็นตั๋มนั่งตรงข้ามฉัตร และเบิดนั่งตรงข้ามทราย ระหว่างที่สั่งอาหารไปเรื่อยๆ เป๊บพยายามสบตาผมตลอด แต่ผมเฉยอย่างเดียว เพื่อนคนอื่นๆ นั่งเม้ากันแทบร้านแตก
“โจ้ไม่สบายหรือเปล่าทำไมดูเงี๊ยบเงียบ” ฉัตรถาม
“อ่อเปล่า เราสบายดีนะ แค่หิวเท่านั้นเอง”
“อยากกินอะไรรองท้องก่อนมั้ย เดี๋ยวออกไปซื้อให้” เป๊บถามผม แต่คำตอบที่ได้รับ เงียบสนิทครับ
เป๊บมันก็หน้าจ๋อยอีกรอบ ที่ผมไม่มอง ไม่คุยกะมัน ประมาณสักพักอาหารก็มาครบ พวกเราก็เริ่มทานกัน เป๊บก็คอยเติมน้ำให้ หยิบนั่นหยิบนี่ให้
“ไม่เป็นไรหรอกเป๊บ เราหยิบเองได้ นายกินไปเถอะ” ผมบอกเป๊บด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ เย็นชา จนเพื่อนคนอื่นๆ หันมาสังเกต
เป๊บเลยเงียบๆ ไป เพื่อนสี่คนกินไปเม้าไป ผมกับเป๊บต่างคนต่างเงียบ ใจแข็งมั้ยละ ฮิฮิ เช็คบิลเรียบร้อย ทรายเอ่ยถามมาว่า
“ดูหนังกันมั้ย”
“ดีๆ ตอนนี้เรื่องอะไรเข้ามั่ง” ฉัตรเห็นดีเห็นงามด้วย
“น่าจะเรื่องชัตเตอร์นะ” เบิดเปรยออกมา
“หนังผีหรือเบิด” ตั๋มถาม
“ใช่ๆ เค้าว่าสนุก ดูเรื่องนี้แหละ” เบิดตอบ
เคยถามกรูมั่งมะ ว่ากรูชอบหนังผีหรือเปล่า อ๊ากกกก ไม่อยากดูง่าๆๆๆๆ
“งั้น เดี๋ยวเราเลี้ยงเองนะ ไปเจอหน้าโรงหนังเลย เดี๋ยวเราวิ่งไปซื้อตั๋วก่อน” เป๊บพูดเสร็จมันก็วิ่งไปทันที
“คือ .....เรา....”ผมหาทางปฏิเสธไม่ดู
“เอาน่าโจ้... ใช่ว่าพวกเราจะว่างมาด้วยกันบ่อยๆ ไปดูกันเห้อ” เบิดกล่อมผม ผมคิดทบทวนลังเลพักนึง เอาก็เอาวะ เพื่อมิตรภาพ ยอมปอดแหกวันนึง
เดินมาถึงหน้าโรงหนัง เป๊บยืนรออยู่แล้ว พร้อมกับป๊อบคอร์นคอมโบเซ็ทสามชุด ผมคิดในใจ จะซื้อทำไมเยอะแยะ เป๊บแจกตั๋วหนังให้คนละใบ แจกคอมโบให้คนละชุด ผมเองก็รับมาโดยไม่ได้ฉุกคิด จนเข้ามาในโรงหนัง พนักงานก็พาเดินไปที่นั่งของแต่ละคน
ปกติเราต้องเดินเองไม่ใช่หรือ ทำไมวันนี้พนักงานบริการดีจัง ผมมารู้เอาตอนไปถึงที่นั่ง เฮ้ย นี่มันที่นั่งเฟิสคลาสโซฟานี่หว่า ใช่ครับ ผมนั่งคู่เป๊บ หนอยมันวางแผนไว้ตั้งแต่แรก มิน่าอาสาไปซื้อตั๋ว ผมหันไปดูเพื่อนแต่ละคนก็ทำหน้าตางงๆ เหมือนกัน ทรายนั่งคู่ตั๋ม ฉัตรนั่งคู่เบิด อะไรกันเนี่ย ผมทำท่าจะลุกแต่ไอ้เป๊บมันรั้งเอวไว้
“จะหนีไปไหนอีก” เป๊บถาม
“ไม่อยากอยู่กับคนนิสัยไม่ดี” ผมตอบปนงอนผสมผสานน้ำเสียงเย็นชา ฮิฮิ
“ขอโทษ...อย่าหนีอีกเลย กรูทรมาน” เป๊บตอบเสียงเครือๆ
ผมได้ยินเลยนั่งนิ่งๆ เริ่มใจอ่อนกับมันแล้ว สงสารมันเหมือนกันนะ หนังเริ่มฉายแล้วครับ น่ากลัวอะ ว๊าก เหวย อ๊าก กริ๊ดดด แว๊กๆ ผมเอามือปิดหน้าตลอดเลย มารู้ตัวอีกที อ้าวไหง มาซุกอกไอ้เป๊ปมันเนี่ย พอรู้ตัวก็ผลักตัวเองออกมาเลย เป๊บมันก็ทำหน้างงๆ ใส่
“ซุกอกตั้งนาน ทำไมผลักออกไปดื้อๆ ละ”เป๊บถาม
“เปล่า ไม่มีอะไร” แต่หน้างี้แดงแปร็ด ร้อนผ่าว เขินโคตร ดีที่โรงหนังมืดไม่งั้นเห็นหน้าแดงแปร๊ดอีกแน่ ชิ
สำหรับคนที่เคยดูหนังเรื่องนี้ น่าจะจำฉากที่ผีขี่คอพระเอกในตอนท้ายๆ ได้นะครับ ผมละกริ๊ดแตกๆๆ ฮ่าๆๆ พอฉากนั้นมาผมหลับตาปี๋เลย สุดท้ายไปอยู่ที่อก ของไอ้เป๊บอีกเหมือนเดิม โว้วววว เซ็งโว้ยยย
เมื่อหนังจบเราหกคนก็เดินมาด้วยกัน แวะกันเข้าห้องน้ำ หลังจากถ่ายเทของเหลวเสร็จ ผมก็มาที่หน้ากระจก เช็คเรทติ้งนิดนึง เดี๋ยวหน้ามันเรทติ้งตกซวยตาย ฮิฮิ
“หน้าเนียนจัง” เป๊บเอ่ยขึ้นมา
“แน่นอน บำรุงรักษาดี มีปัญหามั้ย” ผมตอบไปแบบกวนๆ จริงๆไม่ได้บำรุงอะไรมากหรอกครับ มันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่วัยรุ่นโน่น ไม่ได้ทาคงทาครีมอะไรมากนักหรอก หลังจากที่ตอบไอ้เป๊บเสร็จ ผมก็เดินออกมาคอยบริเวณด้านนอก รอเพื่อนๆ ออกมาให้ครบคน where ever you go what ever you do ใครโทรมาหว่า อ๊ะ น้องสุดเลิฟนี่
“ว่าไงน้อง”
“เฮีย อยู่ไหนนั่น”
“มอลปิ มาดูหนัง...”
“กับพี่เขยผมใช่ม่า”น้องผมมันตอบต่อท้ายประโยคให้เลย
“ไอ้บ้า มันไปเป็นพี่เขยแกตอนไหนเนี่ย” ผมด่าน้องไปแบบเขินๆ หน้าร้อนผ่าวอีกละ
“แหมเฮีย อย่าใจแข็งนักเด่ ผมรู้นะว่าเค้ามาง้อๆ แหละ เฮียให้อภัยเถอะ”
“เออรู้แหละ แต่มันยังเจ็บใจนี่หว่า”
“พี่ เชื่อผมเถอะ คนเราอะนะบางครั้งมันทำอะไรโดยไม่มีเหตุผลนอกจากคำว่า “รัก” นะ เค้าอาจจะชอบพี่ไง เลยเผลอตัวทำไปแบบนั้น พี่เองก็ไม่มีใครมานานมากแล้วและก็ไม่เคยเห็นพี่จะสนใจใครอีกเลย น้องอยากเห็นพี่มีความสุขนะ ทำเพื่อตัวเองบ้างพี่” น้องผมเข้าโหมดจริงจัง เทศน์ยาวจนผมสะอึก
“เออๆ ไว้จะพิจารณา แล้วนั่นอยู่ไหน กลับบ้านกี่โมง”
“พากิ๊กมาเที่ยวนะเฮีย เย็นนี้กลับไปกินข้าวเย็นด้วยแน่นอน เจอกันที่บ้านเฮีย ถ้าว่างก็ชวนพี่เขยไปทานด้วยเลย ฮ่าๆๆ”
“ไอ้.....ตู๊ดๆๆ” ยังไม่ทันจะด่ามันวางสายไปละ ชิ ใครจะชวนไปบ้านละ เดี๋ยวมันรู้ว่าบ้านอยู่แถวไหนแล้วไปดักฆ่าทำไงเนี่ย ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือ โอ้วว ห้าโมงเย็น ต้องรีบกลับแล้ว เดี๋ยวไม่ทันทานข้าวเย็นอะ
ประมาณห้านาทีเพื่อนๆ ก็เดินออกมากันครบ 6 คน ผมเอ่ยปากก่อนว่า
“กลับมหา’ลัยกันเถอะ เย็นแล้วจะได้กลับบ้านไม่ทันค่ำ กลัวรถติด”
“เออดีๆ ปะๆ กลับๆ”ทรายพยักหน้าเห็นด้วย
“ตั๋ม เมิงนั่งไปกับเบิด , ทราย ส่วนกรูจะพาโจ้กับฉัตรไปเอง” เป๊บบงการสั่งซะ
ไม่ทันให้ตั๋มตอบคำถาม เป๊บมันดึงมือผมเดินจ้ำๆๆ ฉัตรก็เดินตามทันที ไอ้นี่ เคยถามกรูมั่งมั้ยว่ากรูจะไปกะใคร ชิ
มาถึงลานจอดรถชั้น 4B ของห้าง โห ไอ้นี่มีอภิสิทธิ์(ไม่ใช่นายกนะคร้าบบบบ) เนอะ จอดที่วีไอพีซะด้วย ผมนั่งหน้า ฉัตรนั่งหลัง เป๊บก็ถามฉัตรว่ารถจอดแถวๆ ไหน ฉัตรตอบไปว่า ระหว่างอาคารXXX เป๊บมันก็วนไปส่งฉัตร ก่อนฉัตรจะลง ก็พูดว่า
“เป๊บ เมิงมีอะไรก็พูดกันดีๆ ไอ้โจ้มันบอบบาง เข้าใจปะ” ผมงงฉัตรพูดแปลก ยังไม่ทันจะอ้าปากถามฉัตร
“กรูไปละโจ้ เจอกันวันมะรืน ฮ่าๆๆๆ” ฉัตรหัวเราะแบบสะใจ(จะหัวเราะเพื่อ ไอ้เพื่อนนรกแตก)ก็ลงจากรถไปทันที ปิดประตู..ปัง...อ้าว เดี๋ยวๆ กรูยังไม่ทันถาม
***อาจจะสงสัยนะครับว่า คำพูดที่ผมใช้กับฉัตรดูสนิทสนม จริงๆ แล้วนับจากวันแรกที่พวกเราเรียนด้วยกัน ก็แลกเบอร์มือถือกันแล้วครับ ในช่วงที่ระหว่างรอเปิดเรียนจริง ฉัตรก็โทรมาถามข้อมูลการเรียนเลยทำให้ผมกับฉัตรค่อนข้างสนิทกัน หน้าตาของฉัตรนะหรือครับ โครงหน้าของฉัตรสวยมาก คล้ายกับสาวๆ อาหรับนะครับ นั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้เจ้าตัวอวบอั๋นเหมือนกับสาวอาหรับไปด้วย ที่บ้านของฉัตรทำธุรกิจหลายอย่างในเครือที่ชื่อว่า Bim Group รวยมากครับ ปัจจุบันนี้เป็นเพื่อนสาวที่ผมซี้ปึ๊ก รักมากเลยละครับ***
“รถจอดชั้นไหน” เป๊บถาม
“จอดหน้าอาคารนะแหละ เดี๋ยวเราขึ้นลิฟท์ไปเอง”
“ไม่ เดี๋ยวขับวนขึ้นไปส่ง” เป๊บยืนยันเสียงแข็ง
ผมรำคาญที่ต้องเถียงมันบ่อยๆ เลยตอบไปว่า
“ ชั้น 5” ไอ้เป๊บก็ขับวนไปถึงชั้นห้า
“ไหนละรถ”
“นั่นไง คันสีบรอนซ์เงิน”
“ไม่ได้เอารถเองมาหรือ”
“อื้อ พอดีน้องเอารถไปเลยขับรถของน้องมาแทน”
“มิน่าละตอนเช้าดักคอยแต่ไม่เห็น” หือ ตกลงที่ผมเห็นมันชะเง้อหันซ้ายหันขวา มันคอยผมหรือนี่ ใจพองโตนิดๆ
ผมเปิดประตูลงจากรถมัน มันก็ลงจากรถด้วย เดินมาส่งที่รถผม ผมกดรีโมทเปิดประตู ไอ้เป๊บมันก็เอ่ยว่า
“ยังโกรธเราอยู่มั้ย” เป๊บถามด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ
“เรื่องอะไร” รู้แหละแต่เก๊กโว้ย คิคิ
“เอ่อ...คือ...เอ่อ..เรื่องที่เราจูบนะ” ผมไม่ตอบ ยังทำหน้าเรียบเฉย กำลังจะก้าวขึ้นรถ เป๊บเอามือมาจับประตูรถผมไว้ ผมเงยหน้าขึ้นมอง
“โจ้ เราขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ ที่เราทำแบบนั้น เราทำไปเพราะ....”เป๊บมันพูดน้ำตาเครือๆ เสียงสั่นๆ
ผมรอฟังคำตอบว่าเพราะอะไร....
“เพราะ.....เราชอบโจ้นะ...” ผมอึ้งกับคำตอบที่ไม่คาดคิดว่าคิงคองจะกล้าบอก
“เรารู้ว่ามันอาจจะผิดไปจากการยอมรับของสังคม เรากลับไปทบทวนดูแล้ว ว่าเราชอบโจ้จริงๆ จนตอนนี้มันกลายเป็นคำว่า...รัก...ไปแล้ว” ห๊า....อึ้งรอบสอง...รักเลยเรอะ
“จริงหรือ เป๊บชอบและรักเราตอนไหน” ผมถามด้วยเสียงเรียบๆ แต่ขอบอกเหอะ หัวใจเต้นโครมๆ แทบจะแอ็ดมิดเข้าศิริราช สะกดกลั้นความเขินหน้าแดงไว้ ฮิฮิ
เป๊บทำท่าเขิน อาย นิดๆ เอามือจับท้ายทอย ก้มหน้ายิ้มนิดๆ ตายละเวลาเขิน น่ารัก Chip หาย ฮ่าๆๆ
“ชอบตั้งแต่แรกเห็นที่ด่ากันตรงลานจอดชั้น 3 และมามั่นใจว่ารักวันที่มีกิจกรรมน้องรหัส” เป๊บตอบแบบเขินๆ
เวรกรรม ชอบกรูตอนนั้นอะนะ แต่กรูด่ามันซะเต็มที่ ฮ่าๆๆ
“โจ้ เราขอโทษนะ ยกโทษให้เราเถอะ” เป๊บน้ำตาเครือๆ ตาแดงเหมือนจะร้องไห้ ผมเงียบไปแป๊บนึง
“เป๊บกลับบ้านกันเถอะ เดี๋ยวรถติดนะ” ผมตอบ ไอ้เป๊บหน้าจ๋อยกว่าเดิมอีก
“ตกลง... โจ้.... ไม่ยกโทษให้เราใช่มั้ย” เสียงเป๊บดูแย่มาก
“ยังไม่เคยพูดว่าโกรธนี่ แล้วจะให้ยกโทษได้ไง” ผมยิ้มตอบเป๊บไป
เป๊บเงยหน้าขึ้นมามอง แล้วค่อยๆ ยิ้ม
“หมะ..หมายความว่า..โจ้ยกโทษให้ไม่โกรธเป๊บแล้วใช่มั้ย” เป๊บยิ้มร่าเลย
“ใช่มั้ยๆๆ” ย้ำแล้วยังเขย่าไหล่ผมอีก
“อื้อ ถ้าไม่ปล่อยจะโกรธเดี๋ยวนี้แหละ” เป๊บปล่อยทันที พร้อมกับเข้ามากอดผม
“ขอบคุณมากนะ ขอบคุณๆ จริงๆ ที่ไม่โกรธเป๊บ” ผมรู้สึกหัวใจพองโต ผมรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เค้ารัก ผม ผมรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ดูแลผมได้ ความรู้สึกเหล่านี้ทำให้ผมคิดคำถามขึ้นมาว่า เป็นของจริงหรือหลอกลวงกันแน่นะ คงต้องใช้เวลาศึกษาก่อนนะโว้ย ไอ้เป๊บ ฮ่าๆๆ
หลังจากที่เป๊บคลายผมจากอ้อมกอดแล้ว
“เป๊บรักโจ้นะครับ รักตั้งแต่แรกเห็น เป๊บไม่ได้หลอกโจ้เลยนะ มันเหมือนมีกระแสไฟฟ้าอะไรบางอย่างจิ๊ดเข้ามาที่หัวใจ แต่เป๊บไม่เคยคบกับผู้ชาย ดังนั้น ให้โอกาสเป๊บได้ดูแลโจ้นะครับ” สารภาพธรรมดาก็ได้จ้าคิงคอง ไม่ต้องทำฟิลลิ่งขนาดนั้น เดี๋ยวกรูหัวใจวายก่อนจะได้รักเมิงอะ
“ขอคิดดูก่อนละกันเป๊บ รู้จักกันแค่เดือนนิดๆ เอง เป๊บอาจจะคิดผิดหรือคิดไปเองก็ได้นะ” หยิ่งโว้ยหยิ่ง ฮ่าๆๆ
“เป๊บมั่นใจนะ ไม่เป็นไร เป๊บจะทำให้โจ้เห็นเอง ว่าเป๊บรักโจ้ขนาดไหน” เป๊บตอบด้วยสีหน้ามั่นใจมาก ทำยังกะแบร๊ด พิท ชิ
ผมยืนยิ้มสบตากับเป๊บ “ตกลงเป๊บ เราให้โอกาส ทำตัวดีๆ ละ” ผมยิ้มจากใจ ยิ้มที่พ่อ แม่ น้อง บอกเสมอว่า ดูดีมากๆ
“ขอบคุณมากครับ” เป๊บยิ้มตอบ น้ำตาเครือๆ (เสียงยั่วจริงโว้ย)
ในช่วงเสี้ยววินาทีนั้น ผมตัดสินใจ
ผมกอดและเอามือโน้มท้ายทอยเป๊บ มาประกบปากผม จุ๊ฟฟฟฟฟฟ... เราสองคนจูบกันไม่นาน แต่ความรู้สึกมันเหมือนนานมาก เป็นจูบที่ไม่เหมือนวันนั้น มันผสมความรู้สึกพิเศษที่ยากในการอธิบาย
“เป๊บเข้าใจความหมายของเรายัง” ผมถามเป๊บ ขอบอกเหอะ หน้าแดงวายวอด

เลือดแทบทะลักออกจากเส้นเลือด ชิ
“ครับ” เป๊บตอบสั้นๆ แต่แววตาแฝงความหมายมากมาย
“กลับบ้านกันเถอะเป๊บ เดี๋ยวรถติดจะถึงบ้านดึก” ผมบอกตัดความเขิน
“ได้ครับ โจ้ขับรถดีๆ นะ อย่าซิ่งมากนะ เป๊บเป็นห่วง”
ผมพยักหน้า หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ขับรถออกจากมหา’ลัยได้ครู่นึง ก็.....
“ปิ๊บๆ” หือ ใครส่งเมสเซสมานะ ผมกดอ่านข้อความ
“ขับรถกลับบ้านดีๆ ครับที่รัก ตัวนิ่มและหอมเหมือนเดิมเลย จูบหวานมากครับ คิดถึงนะครับ ถึงบ้านแล้วเมสเซสมาบอกด้วยนะ จากเป๊บ” อ่านข้อความจบ กรูจะรถคว่ำเพราะเมิงเนี่ย หน้าแดงแปร๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด

ต่อตอนหน้าคร้าบบบบ