|[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........  (อ่าน 84346 ครั้ง)

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ในวันปลดจากราชการของผมเป็นวันที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตและเป็นสิ่งที่ยากที่สุดที่ผมเคยทำมาจริงๆ ดารินมาที่โรงพยาบาลแต่เช้า เขาเอายูนิฟอร์มของผมมาให้และช่วยผมแต่งตัว ผมมองเขาคุกเข่าลงตรงหน้าแล้วดึงกางเกงของผมขึ้น มันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผมรู้ว่าผมสามารถมีความรักได้อีกครั้งจริงๆ ผมอยากจะที่รักเขา แต่ว่า........

“ให้ตายยย คุณดูหล่อมากเลยจริงๆนะ” เขาผิวปากออกมา “พร้อมรึยัง”

“ดาริน ขอบคุณมากนะครับสำหรับทุกอย่าง และผมหมายความว่าแบบนั้นจริงๆนะ”

เขาพยักหน้า “ถ้าเกิดคุณรู้สึกแย่ขึ้นมาเมื่อไหร่ให้หายใจเข้าลึกๆแล้วมองมาทางผมนะ ผมจะช่วยให้คุณผ่านพ้นมันไปได้เอง”

ภายในห้องทำพิธี ขณะที่ผมกำลังจะเดินเข้าไปผมก็เห็นเจ้าหน้าที่นาวิกโยธินสี่ห้าคนกำลังนั่งอยู่ เมื่อผมเดินเข้าไปพวกเขาก็ยืนขึ้นต้อนรับผม หลังจากการกล่าวปราศรัยสั้นๆและการกล่าวถึงคุณงามความดีและความกล้าหาญแล้ว ผมก็ถูกปลดออกมาจาการเป็นทหารอย่างเป็นทางการขณะที่อายุยี่สิบปีกับอีกสิบเอ็ดเดือน ผมต้องประคองตัวเองอย่างหนักเพื่อเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง และทันทีที่ผมปิดประตูห้องเข้าไป ผมก็ทรุดลงไปกองกับพื้นแล้วความกลัวก็เข้ามาครอบงำผมจนผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป

ดารินเปิดประตูออกแล้วนั่งลงบนพื้นตรงข้ามกับผม “มานี่มา ทิม” เขาดึงตัวผมเข้าไปกอด มือของเขาวางอยู่บนหลังและบนคอของผม และน้ำตาของผมก็กำลังไหลซึมเข้าไปในเสื้อของเขา “คุณต้องไม่เป็นอะไร ผมจะไม่ยอมปล่อยให้คุณต้องเผชิญเรื่องนี้ตามลำพังเด็ดขาด”

ผมรู้สึกราวกับหัวใจของผมกำลังแตกสลาย “ดาริน นอกเหนือจากบัดดี้แล้วผมก็ไม่เคยมีใครมารักผมอีกเลย ผมไม่อยากใช้ชีวิตตัวคนเดียว ผมกลัว ผมกลัวจริงๆ ไม่ใช่แค่ว่าผมสูญเสียบัดดี้ไปแล้ว แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่ใช่ทหารอีกต่อไปแล้วด้วย”

ดารินกอดผมแน่นขึ้นอีก “จำเอาไว้ เราสองคนจะยังคงเป็นทหารอยู่เสมอ....... เรายังคงเป็นนาวิกโยธินอยู่ตลอดไป”

ผมยึดมั่นในตัวของดารินด้วยชีวิตของผม โลกของผมนั้นมันเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก มากจนเกินไปเสียด้วยซ้ำ และผมก็ไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับมันเลย เมื่อผมร้องไห้จนพอใจและรู้สึกพร้อมมากขึ้นแล้ว เราก็ยืนขึ้นและเปลี่ยนชุดของผม ผมเดินตามดารินไปที่รถและเราก็กลับไปยังบ้านของเขา ผมไม่เคยเห็นมันมาก่อน และเท่าที่ผมรู้ก็คือมันเป็นสถานที่ที่ผมจะต้องอาศัยอยู่นับต่อจากนี้ไป เมื่อเราจอดรถ ผมก็รู้สึกชอบมันขึ้นมาทันที มันเป็นบ้านที่สร้างด้วยอิฐและดูมีอายุ ภายในเป็นพื้นไม้ มีสองห้องนอนและหนึ่งห้องน้ำ ภายนอกมีโรงรถสำหรับสองคันและด้านหลังก็มีสระว่ายน้ำ ดารินยิ้มให้กับผมขณะที่เขาเดินนำผมจากห้องไปสู่ห้อง เขาโชว์ห้องของเขาให้ผมดูและผมก็เห็นรูปของครอบครัวของเขาวางอยู่

ผมหยิบมันขึ้นมาถือไว้ในมือและดารินก็กำลังมองอยู่เช่นกัน “ดาริน พวกเขารักคุณมากจริงๆนะ”

เขาพยักหน้า

ห้องของผมอยู่ตรงกันข้ามกับห้องของเขา มันดูดีมาก ดารินจัดวางของของผมเข้าที่ และทำให้มันดูเป็นเหมือนกับห้องของผมจริงๆ บนตู้เสื้อผ้าของผมมีจดหมายวางเอาไว้อยู่ ผมกำลังจะหยิบมันขึ้นมาอ่านแต่ดารินก็หยุดผมเอาไว้เสียก่อน

“กินข้าวก่อนเถอะ”

พวกเราทำอาหารกลางวันเป็นแซนด์วิชกับมันฝรั่ง เมื่อเราทานอาหารกันเสร็จแล้วดารินก็ลุกขึ้นไปหยิบจดหมายมาให้กับผม ดารินเป็นคนเปิดอ่านมันและเขาก็ทำมันอย่างระมัดระวังด้วยเพราะเขากลัวว่าผมจะรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอีก

“ทิม บัดดี้มอบเงินของเขาไว้ให้กับคุณ และทางรัฐบาลก็ส่งเช็คมาให้ คุณต้องนำมันไปฝากนะ และคุณก็ยังได้รับเช็คสำหรับเงินย้อนหลังทั้งหมดอีกด้วย”

ผมยักหน้า ส่วนที่เหลือนั้นก็เป็นเอกสารจำพวกที่ต้องเซ็นรับรอง ดารินเป็นคนกรอกรายละเอียดทั้งหมดแทนผมขณะที่ผมเป็นคนบอกข้อมูล เมื่อเขาเขียนมาถึงตรงวันเกิดของผมเขาก็หยุดมือลงและเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม

“คุณจะอายุครบยี่สิบเอ็ดสิ้นเดือนนี้แล้วนี่ ตลกดีนะ”

“ทำไมล่ะครับ” ผมถาม

“เพราะว่าผมจะอายุยี่สิบเจ็ดหลังจากวันเกิดของคุณหนึ่งวัน พวกเราจะได้ฉลองวันเกิดร่วมกันไง”

ผมพยักหน้ารับเป็นเชิงเห็นด้วย

สองวันถัดมาเป็นวันที่เราต่างก็ยุ่งกับการต้องไปทำธุระที่ธนาคาร ผมมีเงินมากกว่าที่ผมคิดเอาไว้เสียอีก ดารินเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมดให้ และผมใส่ชื่อของเขาให้เป็นญาติของผมด้วย ขณะที่เรากำลังกลับบ้าน เขาก็แวะพาผมไปซื้อของใช้และเสื้อผ้าก่อน เขาให้ผมสัญญาว่าจะใส่ขาสั้นในคืนนี้ และผมก็สัญญา

ตอนที่ผมกำลังเดินเข้าไปในครัวเพื่อช่วยเขาทำอาหารเขาก็หยุดและหันมามองผม “คุณดูดีนี่”

หลังอาหาร ผมบอกดารินว่าผมอยากจะไปเยี่ยมหลุมศพของบัดดี้ เขามองหน้าผมและลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะอาหารไป เมื่อเขากลับมา ในมือของเขาก็ถือจดหมายอยู่ฉบับหนึ่ง เขาอ่านที่อยู่และหมายเลขของหลุมศพและบอกว่า บัดดี้ถูกฝังอยู่ที่สุสานทหารตามที่ผมต้องการ

“ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นอะไรที่คุณต้องการ เพราะงั้นผมเลยจัดการมันให้ไปหมดแล้ว” เขาบอก

น้ำตาของผมเริ่มรื้นขึ้นมาอีกครั้ง “นั่นเป็นอะไรที่บัดดี้คงต้องการด้วยเหมือนกัน ผมจะไปที่นั่นสัปดาห์หน้าครับ ผมต้องไปบอกลาเขา”

“ผมเข้าใจดี”

เช้าวันเสาร์เราจับเครื่องบินไปวอร์ชิงตัน ดารินยืนยันที่จะไปกับผมด้วย เขาบอกว่าเขาจะไม่ยอมทิ้งให้ผมไปคนเดียวเด็ดขาด พวกเราไปถึงกันที่นั่นตอนก่อนเที่ยง เราเช่ารถ และขับไปเช็คอินที่โรงแรม เมื่อเราเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเราก็ขับรถไปยังสุสานกันทันที ดารินกับผมเดินขึ้นเนินใหญ่กันช้าๆ เราเดินผ่านหลุมศพไร้ชื่อจำนวนมากมาย และในที่สุดเราก็มาหยุดอยู่ที่หน้าหลุมศพของบัดดี้ ผมคุกเข่าลงและพูดกับเขาว่าผมรักและคิดถึงเขามากแค่ไหน ผมถามเขาว่าเขาจะว่าอะไรมั๊ยถ้าเกิดผมตกหลุมรักใครสักคนอีกครั้ง และผมก็ยังบอกเขาอีกว่าผมยังคงรักเขาอยู่ด้วยหัวใจของผมทั้งดวง และผมจะคิดถึงเขาตลอดไป เมื่อผมเงยหน้าขึ้นไปมองดาริน ผมก็เห็นเขากำลังมีน้ำตาไหลอาบแก้มอยู่ ผมยืนขึ้นข้างๆแล้ววางมือลงบนบ่าของเขา

“ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์มาที่นี่กับผม”

เราเดินออกจากที่นั่นกันช้าๆ เมื่อเราเดินออกจากสุสานแล้วเราก็แวะไปที่ ลินคอร์นส เมมโมเรียล จากนั้นก็ไปยัง เวียตนาม เมมโมเรียล ขณะที่เรากำลังเดินอยู่นั้น นาวิกโยธินหนุ่มคนหนึ่งก็เดินตรงเข้ามาหาเราแล้วก็บอกว่ากองทัพกำลังต้องการชายหนุ่มอยู่

“ขอบใจมาก แต่ว่าเราสองคนต่างก็ออกจากราชการกันแล้วทั้งคู่” ดารินมองหน้าเขา แล้วก็ยกขากางเกงขึ้นให้เขาเห็น

ทหารหนุ่มคนนั้นหน้าแดงขึ้นมาทันที “ขอโทษด้วยครับ ผมขอโทษจริงๆ ผมไม่ได้ตั้งใจจะลบหลู่”

ดารินส่ายหน้า และผมก็เช่นกัน “ไม่ว่ากันอยู่แล้ว”

พวกเราสองคนต่างก็หมดแรงกันเลยทีเดียวเมื่อกลับมาถึงโรงแรม ห้องของพวกเรานั้นเป็นห้องที่มีเตียงขนาดคิงไซส์ ทางโรงแรมกล่าวขอโทษ แต่ว่านี่ก็เป็นเพียงห้องเดียวที่พวกเขามีเหลืออยู่ในช่วงเทศกาลแบบนี้ ซึ่งพวกเราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ผมถอดเสื้อผ้าออกแล้วเดินไปอาบน้ำ เมื่อผมกลับออกมาสัมผัสกับความเย็นของเครื่องปรับอากาศมันก็ทำให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นมากจริงๆ ผมล้มตัวลงบนเตียงด้วยบ๊อกเซ่อร์เพียงตัวเดียวและปิดตาลง เมื่อผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นดารินกำลังนอนหลับอยู่ข้างๆผม ผมยื่นมืออกไปลูบใบหน้าของเขาเบาๆ เมื่อนิ้วของผมลูบไล้ไปบนเส้นผมของเขาผมก็เกิดอาการแข็งตัวขึ้นมาทันที

ดารินรู้สึกตัวและหันหน้ามาหาผม “แล้วยังไงต่อล่ะ ทีนี้”

ผมมองเข้าไปในดวงตาของเขา “ดาริน ผมขอโทษ แต่ผมรักคุณ ผมขอร้องล่ะ อย่าเกลียดผมเลยนะ”

เขาพยักหน้ากลับมา “ผมก็รู้สึกแบบนั้นกับคุณเหมือนกัน ทิม ก่อนที่ผมจะแต่งงาน ผมก็เคยมีอะไรกับผู้ชายมาก่อนบ้างเหมือนกัน แต่พอผมแต่งงาน ผมก็เลิก จากนั้นเมื่อผมได้เจอคุณ เมื่อเราสองคนได้ผ่านอะไรๆมาด้วยกัน ผมก็เริ่มรู้สึกแบบนั้นกับคุณอีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกที่ผมไม่ได้รู้สึกมานานหลายปีมากแล้ว ผมได้เรียนรู้ว่าผมต้องการคุณมากกว่าสิ่งไหนในโลกนี้เสียอีก ผมอยากจะสำรวจความรู้สึกของตัวเอง ความรู้สึกของเราสองคน และลองดูว่ามันจะพาเราไปได้ไกลถึงไหน สัญญากับผมนะ สัญญาว่าคุณจะไม่ทำอะไรที่เป็นการทำร้ายตัวเองเด็ดขาด และคุณก็จะซื่อสัตย์ด้วย ผมต้องการจะแน่ใจในเรื่องนั้น เพราะการที่ต้องสูญเสียคุณไปจะเป็นจุดจบของสัญญาของเราสองคน และสุดท้ายผมก็คงจะต้องตายอย่างทรมานที่สุด” ดารินประคองใบหน้าของผมเอาไว้ในมือแล้วก็จูบลงบนริมฝีปากของผม

ผมรู้ว่าเขาสามารถรู้สึกถึงหัวใจของผมที่กำลังเต้นแรงสักหนึ่งร้อยครั้งต่อนาทีได้เลย ขณะที่เขาลูบไล้ปลายนิ้วไปบนเส้นผมของผมนั้น มันทำให้ผมต้องร้องครางออกมาราวกับโดนกระแสไฟช็อตไปทั่วร่างกายเลยทีเดียว เขาลูบไล้ไปตามร่างกายของผม นิ้วของเขานั้นนุ่มนวลแต่ก็แข็งแรงด้วยในเวลาเดียวกัน เขาจูบลงบนใบหน้าของผมและเมื่อมือของเขาไปหยุดอยู่ที่ท่อนลำของผม ผมก็ร้องออกมาอีกครั้ง

ผมถามเขาว่าเขารู้สึกอย่างไรกับเวลานี้ เขายิ้มและตอบกลับมาว่า

“ทิม ผมรักคุณ และนี่ก็เป็นร่างกายของคุณ มันกระตุ้นผม มันทำให้ผมรู้สึกดี มันทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้น แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ผมอยากจะดึงคุณเข้ามาอยู่ภายในตัวของผมเพื่อที่ผมจะได้ปกป้องคุณได้ตลอดไปด้วย”

ดารินเริ่มเลื่อนจะตัวต่ำลงไปและผมก็หยุดเขาเอาไว้ ผมจูบลงบนริมฝีปากของเขาและเลื่อนต่ำลงไปยังหน้าอก และเรื่อยลงไปจนถึงท้องของเขา เมื่อริมฝีปากของผมสัมผัสเข้ากับส่วนนั้นของเขา ผมก็รู้สึกเลยว่าผมต้องการเขามากเหลือเกิน จนเมื่อผมครอบปากลงไป เขาก็ร้องครางออกมา มือของเขาป่ายไปทั่วเส้นผมของผม เขาร้องออกมาและบอกผมว่าเขากำลังจะไม่ไหวแล้ว จากนั้นไม่นานเขาก็หลั่งออกมาใส่ปากของผม และผมก็หลั่งออกมาในบ๊อกเซ่อร์ของตัวเองโดยไม่ต้องแตะต้องมันเลยด้วยซ้ำ ผมถอนปากออกเมื่อมันเริ่มอ่อนตัวลง และคลานไปนอนอยู่ข้างๆเขา เขามองตาผมและเริ่มต้นจูบผมอีกครั้ง สุดท้ายผมก็หลับลงไปบนแผ่นอกของเขา

ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงดารินกำลังสำรวจร่างกายของผมอยู่ ผมเอื้อมมือออกไปลูบเส้นผมของเขา พอผมบอกเขาว่าผมรู้สึกดีมากที่เขาทำแบบนั้น เขาก็ตอบกลับมาว่าดีแล้ว เขาใช้ปากให้กับผม และมันก็ไม่ต้องใช้เวลานานเลยที่ผมจะแตกใส่ปากของเขา เช้าวันถัดมาเรานอนอยู่บนเตียงกอดกันและกัน หัวของดารินซบอยู่บนบ่าของผม ผมจูบลงบนหน้าผากของเขาและบอกเขาว่าเขามีความสำคัญกับชีวิตของผมมากขนาดไหน

เขาเงยหน้าขึ้นแล้วจูบลงบนปากของผม “ผมอยากจะมีชีวิตอยู่อีกครั้ง และคราวนี้ผมอยากจะใช้ชีวิตของผมกับคุณ”

ผมจูบเขาตอบ “ผมก็เหมือนกัน”

ดารินจูบลงบนทุกๆตารางนิ้วบนร่างกายของผม เขาจูบลงบนแผลที่หน้าท้องและหน้าอกของผม “ทุกๆอย่างเกี่ยวกับตัวของคุณสำคัญสำหรับผมทั้งนั้น ผมรักทุกส่วนของร่างกายของคุณไม่ว่ายังไงก็ตาม เข้าใจรึเปล่า”

ผมพยักหน้าแล้วพูดตอบกลับเขาไป “ดาริน คุณเป็นของผมนะครับ และจะเป็นตลอดไป ผมรู้แล้วว่าผมรักคุณหมดทั้งหัวใจ ได้โปรดอย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณเลยนะ”

ดารินพยักหน้า “ทิม คุณคือดวงใจของผม และผมจะอยู่กับคุณไปตลอดเวลาและตลอดกาล..........”




ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
กลัวขัดจังหวะการโพสต์จริง ๆ   :m22:  :m22:
รออ่านต่อนะ   :m7:

niph

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page


เรื่องนี้ผมเคยโพสลงปาล์มครับ สักเมื่อสองสามปีก่อนมั๊ง ไม่รู้จะมีกี่คนที่เคยผ่านตา
แต่ตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นคนเขียน รู้สึกแย่เหมือนกัน เพราะเหมือนโกหกคนอ่าน
แต่ก็อยากให้ได้อะไรจากเรื่องสั้นๆเรื่องนี้ไปบ้างครับ ไม่อยากให้คิดว่าเป็นแค่เรื่องแต่งน่ะนะ.......
เพราะอย่างน้อยๆเรื่องนี้มันก็เป็นความจริงสำหรับคนบางคน........

...................................

ปีใหม่ ใครๆเขาก็มีความสุขกัน ทุกคนได้อยู่กับครอบครัว ไม่ก็กับคนอันเป็นที่รัก
แต่สำหรับผม เมื่อวันปีใหม่เวียนมาถึงทีไร สิ่งที่ผมทำเป็นประจำทุกปี ก็มีแค่นอนคุดคู้อยู่บนเตียงคนเดียว และหวังแค่ให้เทศกาลแห่งความสุขนี้ผ่านพ้นไปไวๆด้วยเถอะ

เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ ทนเจ็บปวด และทนร้องไห้อยู่คนเดียวอย่างนี้สักที

ผมเคยมีครอบครัวที่อบอุ่น มีพ่อ มีแม่ และน้องชายที่ผมรัก
แต่ผมกลับทำตัวไม่ดีเอง เมื่อผมเข้ามหาลัยและอยู่ชั้นปีที่สอง ผมตัดสินใจขอพ่อกับแม่ไปอยู่หอ เพราะเพียงแค่ว่าผมอยากอยู่กับเพื่อนๆ และจะได้ไปเที่ยวกับเพื่อนได้สะดวกๆ
ผมรักครอบครัวของผมมากนะ แต่ตอนนั้นผมกลับเลือกที่จะใช้เวลาอยู่กับเพื่อนมากกว่า
เพราะผมเห็นว่ายังไงครอบครัวของผมก็ยังอยู่กับผมไปอีกนาน หากคิดจะเจอก็สามารถเจอเมื่อไหร่ก็ได้
ผมเลยเลือกที่จะไปเที่ยวกับเพื่อนที่มหาลัยในวันส่งท้ายปีที่บ้านเพื่อนคนหนึ่ง และกินเหล้ากันจนโต้รุ่งแทนที่จะไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัดกับครอบครัวของผม
วันนั้นผมเมาเป็นหมา และปิดมือถือทิ้ง เพราะรำคาญแม่ที่เอาแต่โทรมาถาม ว่าทำอะไรๆอยู่ และบอกแต่ว่าอย่าเมามากนะ

“กินเหล้าไม่ให้เมา แล้วจะกินทำซากอะไรวะ” ตอนนั้นผมคิดอย่างนั้น และยังหันไปหัวเราะกับเพื่อนๆ

ผมจึงตัดสินใจตัดรำคาญ ตัดการติดต่อจากมือถือไปเลย เพราะยังไงๆผมก็อยู่กับเพื่อนๆอยู่แล้ว
คงไม่มีใครโทรมาหาผมอีกหรอก

ผมตื่นมาวันรุ่งขึ้นเวลาเกือบสามโมงเย็น และเมื่อผมกลับไปถึงบ้านก็ต้องได้พบกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต นั่นก็คือครอบครัวของผม ทั้งพ่อแม่ และน้อง ประสบอุบัติเหตุถูกรถบรรทุกขับมาชนระหว่างขับรถไปบ้านของญาติ

ทั้งตำรวจ ญาติๆ และเพื่อนบ้านทุกคนพยายามจะติดต่อผม แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะว่าผมปิดมือถือทิ้งไปเมื่อคืน

ผมทรุดตัวลงแล้วร้องไห้ ชีวิตของผมไม่เหลือใครแล้วตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ผมด่าตัวเอง โทษตัวเอง และเกลียดตัวเองที่สุดในชีวิต
ผมเคยคิดจะฆ่าตัวตายไปหลายหน แต่ยังดี ที่ผมยังพอมีความคิดดีๆเหลืออยู่บ้าง ความคิดที่ว่าผมขอทำอะไรดีๆเพื่อครอบครัวของผมเป็นอย่างสุดท้ายหลังจากที่ผมทำไม่ดีมามากพอแล้ว
นั่นก็คือผมจะเรียนให้จบ และใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เป็นคนดีของสังคม เพื่อทดแทนบุญคุณของเหล่าคนที่ผมรักและรักผมมากที่สุดที่จากผมไปแล้ว

นับหลังจากเหตุการณ์วันนั้น เมื่อผมเริ่มลำบากเรื่องเงินในการเรียนและในการใช้จ่ายมากขึ้น
 เพื่อนที่ผมคิดว่าผมเคยมี ก็ค่อยๆพากันหายไปกันทีละคนสองคน ญาติๆที่มีก็ช่วยผมได้แค่บางส่วนเท่านั้น ผมจึงต้องทำงานไปเรียนไป และใช้ชีวิตอย่างลำบากที่สุดนับตั้งแต่ผมเกิดมา

แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ทางกาย แต่ยังเป็นทางใจอีกด้วย
ผมรู้สึกถึงความเหงาที่สุดในชีวิตก็ต่อเมื่อทุกอย่างมันสายไปแล้วนั่นเอง...........

ใช่แล้ว ผมสำนึกได้ก็เมื่อมันสายไป ผมสำนึกได้ว่าพ่อแม่ของผมต้องลำบากขนาดไหนเพื่อหาเงินมาส่งผมกับน้องเรียนดีๆสูงๆ และรับภาระทุกสิ่งทุกอย่างจากที่ผมใช้ไปอย่างสุรุ่ยสุร่าย
ผมนอนร้องไห้หลายต่อหลายคืน ผมนึกท้อใจก็หลายหน
ความคิดที่ว่าอยากจะตาย แวบเข้ามาในหัวของผมแทบจะทุกๆอาทิตย์หรือสองอาทิตย์
แต่ว่าสุดท้ายแล้วผมยังคงมีความรักหลงเหลืออยู่ ความรักที่ผมอยากจะมอบชดเชยให้แก่ครอบครัวของผม ถึงแม้ว่าพวกเขาจะจากผมไปแล้วและจะไม่สามารถรับรู้มันได้อีกเลยก็ตาม........

รวมถึงความรักเพื่อเพื่อนเพียงคนเดียวที่ยังคงอยู่เคียงข้างผมมาตลอด

ในตอนแรกผมก็ไม่ค่อยจะชอบและสนิมสนมกับมันเท่าไหร่นักหรอก เพราะมันก็ไม่เคยได้ไปเที่ยวไปกินเหล้ากับพวกผม แถมยังชอบปากเปียกปากแฉะเรื่องเรียนเรื่องรายงานของผมจนน่ารำคาญ
แต่สุดท้าย มันก็เป็นคนเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ข้างกายผม ที่คอยให้กำลังใจ ช่วยเหลือ และสนับสนุนผมมาตลอดจนผมเรียนจบ

หลังจากเรียนจบมีงานทำได้ปีนึง มันก็มาสารภาพกับผม ว่ามันรักผม
ตอนนั้นผมรู้สึกตกใจมากที่มีผู้ชายมาบอกรักแบบนั้น ผมจึงถึงกับหันหลังให้แก่มัน และเดินจากมันมา
ผมไม่ได้รับการติดต่อจากมันอีกเกือบเดือน และนั่นเองที่ทำให้ผมรู้ว่า ตลอดเดือนนึงนั้นผมคิดถึงมันมากแค่ไหน
ยิ่งใกล้ช่วงปีใหม่แบบนี้ มันที่เคยอยู่ข้างๆผมปลอบโยนผมให้ผ่านพ้นมาได้ตลอดทุกๆปีก็ไม่อยู่อีกแล้ว ซึ่งนั่นก็เพราะว่าผมมันเลวเอง.........

ผมผลักไสคนที่เขารักผมออกไป ไม่ต่างกับเมื่อครั้งนั้นเลย..........

ผมเริ่มรู้สึกแย่มากๆ ผมคิดถึงมัน ผมต้องการมันมาอยู่ข้างๆผม
ตลอดเวลาที่ผ่านไปเกือบเดือน เวลาที่ผ่านไปนั้นผมใช้ไปกับการถามตัวเองและตัดสินใจ ว่าผมรู้สึกกับมันยังไง
ผมให้คำตอบตัวเองไม่ได้ แต่ผมตัดสินใจได้ ว่าผมควรจะทำอย่างไร
มันคือเพื่อนคนเดียวที่รักผมจริงและอยู่ข้างๆผมมาตลอด มันรักผม และผมก็รักมัน ไม่ว่าจะเป็นความรักแบบไหนมันก็ไม่สำคัญอีกแล้ว
ผมจะบอกมัน ว่าผมรักมัน เพื่อที่เหตุการณ์แบบที่เคยเกิดขึ้นกับครอบครัวของผม จะไม่เกิดขึ้นอีก
ผมไม่อยากให้มันสายเกินไปเหมือนเมื่อครั้งนั้น

เวลาผ่านไปทุกวินาที ยิ่งใกล้วันสิ้นปี ผมก็ยิ่งต้องการมัน ยิ่งคิดถึงมัน ผมจึงตัดสินใจจะขับรถไปหามันที่บ้านในคืนวันที่ 30 ธันวาคม
ผมจำได้แม่นว่าวันนั้นรถติดมาก เพราะบ้านมันอยู่นอกเมือง และคนส่วนมากก็กำลังอยู่ในช่วงออกเดินทางไปต่างจังหวัดกัน
เมื่อผมไปถึงบ้านมัน ก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็นว่าบ้านของมันกำลังจัดงานศพกันอยู่
แขกในงานน้อยมาก เนื่องจากเวลาขนาดนี้แล้ว และยังเป็นช่วงเทศกาลอีกด้วย
ผมถึงกับเข่าอ่อน หมดเรี่ยวแรงแม้แต่จะเดิน ไม่มีแรงแม้แต่จะก้าวาลงจากรถ ความกลัวมันเริ่มคืบคลานเข้ามาสู่ภายในใจของผม
และสุดท้าย ผมก็ต้องรับรู้เรื่องราวทุกอย่างจากแม่ของมันอย่างไร้วิญญาณ

ความเป็นจริงนั้นมันช่างปวดร้าวนัก...........

แม่ของมันบอกผมว่า มันกินเหล้าหนักมาก และเกิดรถคว่ำตอนกำลังจะกลับบ้านเมื่อคืนวานนี้เอง
มันที่ไม่เคยกินเหล้าเกินตัว กลับกินเหล้ามากขึ้นในช่วงตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาจนเป็นเหตุที่ทำให้มันต้องด่วนจากไป............

ผมเดินไปร้องไห้ที่โลงศพของมันจนแม่ของมันต้องเข้ามาปลอบ และชวนให้ผมนอนค้างที่นั่นก่อนหนึ่งคืน
ตลอดทั้งคืนผมเอาแต่เสียใจ ผมเอาแต่ร้องไห้ ร้องแล้วร้องอีก ร้องไห้ให้กับการสูญเสียที่เพิ่งเกิดขึ้นกับผมและรวมทั้งร้องไห้ให้กับการสูญเสียที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อนด้วย
คืนนั้นแม่มันให้ผมไปนอนบนห้องของมัน ผมร้องไห้จนหลับลงไปบนเตียงของมัน และรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของมันตลอดเวลา ผมรู้สึกว่ามันยังคงอยู่ข้างๆผมคอยปลอบโยนผมอยู่ตลอดทั้งคืนเหมือนกับที่ผ่านๆมา.......

หลังจากวันนั้น ก็ผ่านมาสามปีแล้ว

หกปีแห่งการสูญเสียของผม มันมากเกินพอ ที่จะทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวด และเกลียดกลัวเทศกาลแห่งความสุขนี้
ไม่ว่าผมจะหันไปทางไหน ผมก็จะเจอผู้คนกำลังหัวเราะ ยิ้มแย้ม มีความสุขกันไม่ว่าจะตามท้องถนนหรือในทีวี
แต่ผมกลับไม่สามารถสลัดความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวและความสูญเสียเหล่านั้นทิ้งไปได้
หลายคนเลือกที่จะไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะกับคนที่รักหรือกับใครๆก็ตาม
แต่ทุกปี ในวันที่สามสิบธันวา ผมจะไปทำบุญที่วัด และเลือกที่จะไปตามสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าให้บ่อยและมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ส่วนวันที่สามสิบเอ็ดผมจะขังตัวเองอยู่ในห้อง จมอยู่กับความเศร้าและความเจ็บปวดที่ผมต้องสูญเสียคนที่ผมรักและคนที่รักผม แต่หากผมไม่เคยเห็นคุณค่า ถึงสองครั้งสองครา

ผมไม่รู้ ว่าผมจะต้องทนเจ็บปวดแบบนี้ไปถึงอีกเมื่อไหร่ แต่ว่าวันรุ่งขึ้นผมก็จะพยายามลุกขึ้นยืน และก้าวเดินต่อไป ผมจะพยายามมีชีวิตอย่างเข้มแข็งและใช้ชีวิตส่วนที่เหลืออยู่ให้ดีที่สุดเพื่อชดเชยให้กับคนที่ผมรักทั้งสี่คน.................................

สุขสันต์วันปีใหม่แก่ทุกๆคนที่ได้เข้ามาอ่านนะครับ
และผมหวังว่า ปีใหม่นี้ คุณจะได้บอกคนที่คุณรัก และคนที่เค้ารักคุณ ว่า คุณรักเค้ามากแค่ไหน
และถ้าจะให้ดี ก็แสดงมันออกไปด้วย พูดออกไปว่าคุณรักเขามากแค่ไหน พยายามใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุดกับครอบครัว คนที่เค้ารักเราอย่างใจจริงและไม่หวังผลตอบแทน และมอบความรักให้กับคนรอบข้างทุกคน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาเสียใจในทีหลังเหมือนคนโง่ๆอย่างผม............

ในทุกๆสิ้นปีคนหลายล้านคนมีความสุข แต่คนหลายแสนคนต้องตาย และหลายหมื่นคน ต้องสูญเสียและโศกเศร้า

รักคนรอบข้างให้มากๆนะครับ นี่คือพรที่ดีที่สุด ที่คุณจะขอและทำให้มันเกิดขึ้นได้จริงในปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง

ขอให้สุขสวัสดิ์จงเกิดแก่ทุกคน และ ขอให้ทุกคนมีความสุข มีความรัก และความสมบูรณ์ในชีวิตนะครับ


...................................

ส่งตอความรักนะครับทุกคน ขอให้มีความสุขรับปี 2008 กันถ้วนหน้า
ใครยังไม่มีแฟนก็ขอให้มี ใครมีแล้วก็ขอให้มีอีก (เอ๊ะ ยังไง  :oni1: )
ใครยังไม่มีตังก็ขอให้มี ใครมีแล้วก็ขอให้แบ่งกันอีก (เอ๊ะ ยังไง  :oni2: )
และใครยังไม่มีความสุขในชีวิตก็ขอให้มีนะครับ แต่ถ้าใครมีอยู่แล้ว ก็ขอให้มีอีกเยอะๆแล้วแบ่งให้คนรอบข้างด้วยน้าา

จุ๊บๆทุกคนที่อุตส่าห์คลิกเข้ามาอ่านครับ

เจอกันปีหน้านะ  :mc3:


ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
 :sad2:   :sad2:  :sad2:  :sad2:
ความสูญเสียที่ไม่อาจเรียกกลับคืน ความรักที่ค้นพบเมื่อสาย
สุดท้ายเหลือเพียงเรา กับความว่างเปล่าที่อยู่ข้างกาย


ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1
พี่ชาย . . .
เอามาให้ผมอ่านทำม๊ายยย  :serius2:

อ่านรอบสอง ก้อยัง ...
รู้สึกเหมือนกับว่า เป็นตัวเอง .....  :o12:

ป๋มอยากตาย  :sad2:

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องนี้เศร้าจัง สงสารเพื่อนคนนั้นนะ
ไม่น่าตายเลยด้วย :m15:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ความทรงจำครั้งสุดท้าย


ลมหนาวพัดผ่านช่องเขามาปะทะเข้ากับใบหน้าของผมเบาๆ ถึงลมจะไม่แรง แต่อากาศยามเย็นของฤดูหนาวบนภูเขานี้ก็ทำให้ผมต้องตัวสั่นสะท้านได้เลยเหมือนกัน ผมกระชับเสื้อกันหนาวของตัวเองเข้ากับตัวพร้อมกับห่อไหล่ของตัวเองมากขึ้นเพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกายของตัวเองเพิ่มขึ้นอีกสักเล็กน้อยก็ยังดี

ใครหลายๆคนบอกว่า ฤดูหนาวคือฤดูแห่งความเหงา....... ผมเองก็ไม่คิดจะปฏิเสธมันหรอก โดยเฉพาะบรรยากาศหนาวๆที่มาพร้อมกับภาพเหงาๆของดวงอาทิตย์สีส้มที่กำลังทอแสงครั้งสุดท้ายลาลับขอบฟ้าไปนี้ ต่อให้เป็นคนใจแข็งมากเท่าใด ก็ย่อมจะอดยอมรับไม่ได้ว่า ความหนาวเย็นทางกายที่ได้สัมผัสนี้มันแทรกซึมผ่านทุกอณูผิวหนัง ลึกเข้าไปถึงจิตใจของใครหลายๆคนได้เป็นอย่างดี

และผมเองก็ไม่ใช่คนใจแข็งเสียด้วยสิ

บรรยากาศเหงาๆ ลมหนาวๆ กับรอยยิ้มจางๆ ให้กับความอบอุ่นในความทรงจำที่หยั่งลึกอยู่ภายในใจของผม............

เรื่องทั้งหมดมันเริ่มต้นเมื่อกว่าสี่ปีก่อน ในตอนนั้นผมยังเรียนอยู่ชั้นมอหนึ่งอยู่เลย และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้พบกับเขา พี่ชายที่แสนดีของผม.........

พี่โต้งอายุมากกว่าผมเก้าปี และเป็นลูกของเพื่อนแม่ของผมที่นานๆเราจะได้เจอกันสักที ครั้งแรกที่ผมได้เจอพี่เขานั้นก็เป็นเพราะครอบครัวของพี่เขาต้องมาทำธุระกับที่บ้านของผม แม่ของผมกับแม่ของพี่โต้งเองก็เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่เนื่องจากทั้งสองคนสนิทสนมกันไวมาก และทังคู่ก็คิดจะจับมือกันทำธุรกิจเล็กๆร่วมกัน จึงทำให้ครอบครัวของเราสองคนคุ้นเคยกันได้อย่างรวดเร็ว

แรกๆผมกับพี่โต้งก็ได้เจอกันแค่เพียงเดือนละไม่กี่ครั้ง ตอนนั้นพี่โต้งเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายพอดี จึงทำให้เขาไม่ค่อยมีเวลาตามแม่มาที่จังหวัดของเราบ่อยนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้ราวๆสามสี่เดือน พี่เขาก็สามารถมาที่นี่ได้บ่อยมากขึ้น จนกระทั่งถึงช่วงปิดเทอมต้นฤดูหนาว พี่โต้งก็สามารถมาอยู่กับเราได้ตลอดทั้งสัปดาห์ โดยที่เขาก็นอนที่บ้านของเขา ผมก็มีบ้านของผม แต่ว่าช่วงเวลากลางวันเราก็จะได้เจอกันทุกวันเนื่องจากเรื่องงานของแม่ของเรา และสำหรับคนที่ไม่เคยมีพี่ชายอย่างผม พี่โต้งจึงเป็นทั้งพี่และเพื่อนเล่นที่ผมรู้สึกรักและสบายใจเวลาที่อยู่ด้วยมาก

พี่โต้งเป็นคนที่ค่อนข้างจะหน้าเด็กกว่าวัยและตัวไม่สูงมากนัก ที่จริงหุ่นของขาค่อนข้างจะออกไปทางผอมเสียด้วยซ้ำ แต่ว่าเนื่องจากตอนนั้นผมยังเป็นเพียงเด็กมอหนึ่งที่สูงแค่ร้อยห้าสิบนิดๆ แถมเสียงยังไม่ทันจะแตกเลยด้วยซ้ำ ทำให้ในสายตาของผมแล้ว พี่โต้งเป็นคนที่ดูเป็นผู้ใหญ่มาก เพราะนอกไปจากอายุที่ต่างกันถึงเก้าปีแล้ว พี่เขายังมีบุคลิกที่ดูอบอุ่นและยังดูพึ่งพาได้อีกมากด้วย และที่ยิ่งไปมากกว่านั้น ความอารมณ์ดีของพี่เขาก็ทำให้ผมรู้สึกเป็นกันเองและสนิทสนมด้วยได้ไวมากๆ พี่โต้งไม่เคยมีท่าทีวางตัวหรือวางท่าอะไรกับผมเลย ถึงแม้ว่าเขาจะอายุมากกว่าผมเยอะและผมเองก็ยังคงเป็นเพียงเด็กซนๆคนหนึ่งเท่านั้นเอง

เนื่องจากตอนนั้นผมยังเด็กมาก แถมยังเรียกได้ว่าค่อนข้างจะโตช้ากว่าคนอื่นด้วยซ้ำ ผมจึงไม่เคยคิดและสนใจในเรื่องแบบว่าเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความรู้สึกทางเพศกับผู้ชายหรือกับพี่โต้งเลย ตอนนั้นผมแทบไม่เคยสนใจเรื่องพวกนั้นเลยสักนิดด้วยซ้ำ และแน่นอนว่าตอนนั้นผมเองก็ไม่เคยคิดแม้แต่นิดเดียวว่าผมจะชอบผู้ชาย เพราะผมเองก็เหมือนเด็กผู้ชายทั่วไปที่ชอบเล่นบอลกับเพื่อน ฟังเพลง เล่นดนตรี เล่นการ์ดเกม และติดการ์ตูน ตอนนั้นในหัวของผมก็มีเพียงแต่เรื่องพวกนี้เท่านั้นเอง แต่หากเมื่อเวลาผ่านไป ผมจึงเริ่มรู้สึกถึงความรู้สึกแปลกๆในใจที่ผมไม่เคยรู้สึกและไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะเกิดขึ้นกับผมมากขึ้นเรื่อย..........

ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผมได้คลุกคลีอยู่กับพี่โต้งนั้น ผมก็รู้สึกผูกพันกับพี่เขามากขึ้นตามกาลเวลา ถึงมันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ผมก็รู้สึกเศร้าใจทุกครั้งที่ต้องกลับบ้านหรือรู้ว่าวันไหนผมจะไม่ได้เจอกับพี่เขา มันเป็นความรู้สึกเหงาๆ ความรู้สึกคิดถึงเพื่อนที่เล่นและพูดคุยกันได้ถูกคอก็เท่านั้น

แต่หลังจากที่มหาวิทยาลัยของพี่โต้งเปิดเทอม ผมกับพี่เขาก็แทบจะไม่ได้เจอกันอีกเลย จนกระทั่งเกือบสองเดือนผ่านไป ครอบครัวของเราสองครอบครัวพร้อมกับเพื่อนของแม่คนอื่นๆก็ตัดสินใจจะไปเที่ยวตั้งแคมป์ที่เขาค้อด้วยกัน และแน่นอนว่าคราวนี้พี่โต้งก็ไปด้วย แต่ตอนนั้นผมเองก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นดีใจหรือรู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับเรื่องนี้เท่าไหร่นัก อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นผมไม่ได้เจอพี่โต้งมาพักใหญ่ๆแล้ว และผมก็ยังเด็กอยู่ แถมมีเพื่อนที่โรงเรียนและเพื่อนแถวบ้านหลายคนด้วย ทำให้ผมไม่ได้คิดถึงพี่เขามากเหมือนเมื่อก่อนตอนที่เจอพี่เขาทุกวันเท่าใดนัก แต่ทว่าเมื่อเราอยู่กันบนเขาค้อแล้ว อะไรหลายๆอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป พี่โต้งก็ยังคงเป็นพี่โต้งคนเดิมที่สนิทสนม คอยดูแล และเป็นที่พึ่งพาของผมได้ตลอดเวลา และนั่นก็เริ่มทำให้ผมหวนกลับมารู้ตัวอีกครั้งว่าแท้จริงแล้ว พี่ชายคนนี้เป็นคนที่พิเศษสำหรับผมมากขนาดไหน

คืนแรกที่เราต้องนอนในเต็นท์ด้วยกันเพียงสองคน พี่โต้งได้พูดบางอย่างกับผมที่ทำให้ผมยิ่งรู้สึกผูกพันกับพี่ชายคนนี้มากขึ้นไปอีก

“เดียร์รู้มั๊ย ว่าจริงๆแล้วพี่ก็เคยมีน้องชายด้วยนะ” พี่โต้งพูดขึ้นขณะที่เราสองคนกำลังนอนคุยเรื่องสัพเพเหระด้วยกันอยู่

“อ้าว จริงเหรอ” ผมตอบกลับไปอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก

“ใช่ แต่ว่าเค้าตายไปตั้งแต่อายุยังไม่ถึงห้าขวบดีเลย” พี่โต้งพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยที่เจือไปด้วยความเศร้าเล็กๆ

“พี่โต้งพูดจริงรึเปล่าเนี่ย” ผมถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจตัวเองเท่าไหร่นักว่าควรจะพูดอย่างไรออกไปดี

“จริงสิ พี่จะโกหกทำไม” พี่โต้งหันมายิ้มให้ผม “พี่เคยโกหกเดียร์ซักครั้งเรอะไง”

“เคยดิ่” ผมตอบ

“ไอ้นี้นี่” พี่โต้งหัวเราะพร้อมกับเอื้อมแขนมารัดตอผมเข้าไปรัดแล้วเอากำปั้นมาถูกระหม่อมผมแรงๆ ผมทั้งร้อง ทั้งดิ้น ทั้งหัวเราะขอร้องให้พี่เขาปล่อย และเมื่อพี่โต้งยอมปล่อยผม พี่เขาก็กลับเงียบลงอีกครั้ง “........ถ้าตอนนี้เค้ายังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ เค้าก็จะอายุประมาณเดียวกับเดียร์นี่แหละ”

ผมเงียบเสียงลง เริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นเล็กน้อย คงเพราะว่าตอนนั้นผมยังเด็กมากอยู่เลย มันจึงทำให้ผมรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ด้วยความเป็นเด็กซนๆและอารมณ์ดีแทบจะตลอดเวลา ผมจึงมักจะรู้สึกอึดอัดกับเรื่องเครียดๆอยู่เสมอๆ

“พี่น่ะอยากมีน้องชายมาตลอดเลย เพราะพี่ว่าการโตมาเป็นลูกคนเดียวอ่ะ มันเหงานะ แต่เดียร์เองก็มีน้องสาวนี่ เราคงไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่หรอกมั๊ง” พี่โต้งหันมามองหน้าผมอีกครั้ง จากนั้นก็หันกลับไปลืมตามองเพดานเต็นท์อีกหน “แต่ว่านะ....... การที่ได้มีน้องชายอย่างที่เคยฝันอยากมีแล้วจริงๆ แต่สุดท้ายก็ต้องมาเสียเค้าไปเนี่ย มันกลับเป็นอะไรที่เหี้ยยิ่งกว่าเดิมซะอีก”

“แต่น้องเดียร์ยังเด็กอยู่เลยนะ เดียร์ว่าน่ารำคาญจะตาย ชอบร้องไห้เรื่อยเลย”

“พี่ก็ว่าแล้ว.......” พี่โต้งหัวเราะเบาๆ “ก็ดิวเค้าเพิ่งจะสี่ขวบเองนี่ ก็เป็นธรรมดาแหละ รักเค้าให้มากๆก็แล้วกัน ทำหน้าที่พี่ชายดีๆ ฟังเรื่องของพี่ไว้ แล้วจะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง เข้าใจรึเปล่า........”

ผมพยักหน้ารับ และนี่ก็นับเป็นเรื่องหนึ่งที่ผมรู้สึกแปลกใจตัวเองเหมือนกัน เพราะปกติถ้าเป็นใครมาสอนมาพูดอะไรกับผมแนวๆนี้ ผมจะเบื่อมากและไม่ยอมรับฟังเลย แต่ว่าพอเป็นพี่โต้งแล้ว ทุกๆคำที่พี่เขาพูด ผมกลับพร้อมที่จะเชื่อฟังและทำตามอย่างที่รับปากจริงๆ

“.......นอนเถอะครับ เดี๋ยวพ่อกับแม่จะมาดุเอา” พี่โต้งขยับตัวและดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ผมด้วย “ห้ามกรน ห้ามนอนดิ้น แล้วก็ฝันดีนะครับ น้องชายของพี่.......” พี่โต้งพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะหลับตาลง

ผมเองก็รู้ตัวมาตลอดว่าพี่โต้งเป็นคนที่น่าจะชอบการถูกเนื้อต้องตัวมากกว่าคนอื่นๆที่ผมเคยรู้จัก ผมหมายถึง ตลอดเวลาตั้งแต่เรารู้จักกันมา พี่โต้งจะเล่นหัวกับผมบ่อยมาก และไม่ใช่เพียงแค่นั้น แต่ยังรวมไปถึงการโอบบ่า โอบเอว ลูบหัว จับแขน จับพุง และอีกหลายๆอย่าง แต่ทุกสิ่งที่พี่โต้งทำก็ไม่ได้เป็นการแสดงออกที่ส่อไปในทางเพศหรือทำอะไรทะลึ่งๆกับผมเลยแม้แต่น้อย กลับกัน มันกลับเป็นการแสดงออกถึงความรัก ความเอ็นดู และความอบอุ่นอย่างจริงใจจริงๆ เป็นอะไรที่ผมไม่เคยได้รับจากคนอื่นๆ หรือแม้แต่ถ้ามีคนอื่นๆมาทำกับผมแบบนี้ มันก็คงจะไม่เหมือนกัน หรือผมเองนั่นแหละจะเป็นฝ่ายถอยหนีเอาเสียก่อน

และตลอดเวลาที่เราเที่ยวอยู่บนเขาค้อด้วยกันนั้น พี่โต้งก็ยิ่งแสดงออกถึงสิ่งเหล่านั้นมากขึ้นไปอีก พี่เขาจะคอยดูแลเทคแคร์ผมดีมาก แต่ก็ไม่มากเกินไปจนทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับเป็นเด็กตัวเล็กๆที่พึ่งพาตัวเองไม่ได้เลย ไม่ว่าจะตอนที่เราเดินป่า ขึ้นเขา หรือไปเล่นน้ำตก ทุกครั้งที่พี่โต้งอยู่ใกล้ๆกับผม ผมก็จะรู้สึกอุ่นใจได้เสมอๆ เพราะพี่โต้งจะคอยระวัง และคอยเป็นกำลังใจ ช่วยเหลือผมอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะตอนที่ผมรู้สึกเหนื่อยหรือซนมากจนเกินไป พี่โต้งก็จะคอยยืนยิ้ม หัวเราะ ตักเตือน และคอยดูแลอยู่ข้างๆตัวผมแทบตลอด

และแล้วในคืนที่สาม และเป็นคืนสุดท้ายที่เราต้องนอนด้วยกัน ก่อนที่จะเข้านอน เราสองคนที่กำลังจะเดินไปอาบน้ำก็ต้องเห็นว่าคนกำลังรอคิวต่อห้องอาบน้ำมีเยอะมาก เรา...... ไม่สิ ผมจึงถูกผู้ใหญ่คนอื่นๆสั่งให้เข้าไปอาบพร้อมกับพี่โต้งเพื่อเป็นการประหยัดเวลา ตอนนั้นถึงเสียงของผมจะยังไม่แตก และคนอื่นๆอาจจะเห็นว่าผมยังคงเป็นแค่เด็กคนหนึ่งอยู่ แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าจริงๆแล้วอวัยวะบางส่วนของผมมันก็เริ่มพัฒนาไปบ้างแล้ว ไม่ว่าจะขนในที่ลับหรือขนจั๊กแร้ และแน่นอนว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ผมกำลังเริ่มรู้สึกอายเกี่ยวกับร่างกายของตัวเองมากด้วย

“เอาน่า มาเร็วๆเข้า” พี่โต้งดึงผมเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับพี่เขา และเมื่อเราสองคนอยู่ด้วยกันตามลำพังแล้ว พี่เค้าคงจะมองเห็นความกังวลในสายตาของผม หรือไม่ก็คงรำคาญที่ผมเอาแต่บอกว่าผมอาบคนเดียวดีกว่าไม่รู้กี่หนต่อกี่หน พี่เขาจึงถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกหมดตรงหน้าของผมนั่นเลย และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นร่างเปลือยเปล่าของผู้ชายที่โตเต็มวัยแล้วต่อหน้าด้วย “เอ้า แค่นี้ก็ไม่อายแล้วใช่มั๊ย มีเหมือนๆกันน่า ไม่ต้องอายหรอก พี่ยังไม่อายเลย เร็ว แก้ผ้า เดี๋ยวจะยิ่งหนาวเข้าไปใหญ่หรอก” พี่โต้งยิ้ม

ผมคงต้องขอถอนคำพูดที่ว่าพี่โต้งเป็นคนตัวเล็กที่ค่อนข้างผอมทิ้งไป ณ ตอนนั้นเลย เพราะถึงพี่โต้งจะไม่สูงล่ำเหมือนคนอื่นๆหลายๆคน แต่ว่ากล้ามท้องที่เรียบเป็นลอน กับกล้ามอกเป็นแผ่นกำลังดีนั้นก็บอกได้อย่างชัดเจนว่าพี่เขาดูแลตัวเองมากแค่ไหน และที่สำคัญ......... ไอ้น้องชายของพี่โต้งที่ห้องอยู่หว่างขาของพี่เขานั้นมันก็ทำให้ผมต้องเบือนหน้าหนีด้วยความอายจนไม่รู้จะเอาสายตาไปมองที่ไหนดีเลยจริงๆ

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมก็เริ่มรู้สึกอายกับการที่ต้องแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นน้อยลงอีกนิดหน่อย เพราะพี่โต้งไม่ได้วิจารณ์หรือพูดถึงร่างกายของผมให้ผมต้องรู้สึกกระดากเลยแม้แต่น้อย และตอนที่เราสองคนนอนอยู่ด้วยกันนั้น พี่โต้งก็เขยิบเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น พร้อมกับสวมกอดผมจากทางด้านหลัง ทำเอาผมรู้สึกตัวเองเกร็งไปชั่วครู่หนึ่งเลยทีเดียว

“ขอกอดที มันหนาวว่ะ วันนี้แม่งหนาวกว่าเมื่อวานอีก ว่าป่ะ”

“อือ ครับ” ผมตอบ เริ่มรู้สึกถึงความรู้สึกแปลกๆที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อนเล็กน้อย ทั้งๆที่ผมเองก็ถูกพี่เขากอดออกบ่อยไป แต่ว่าการกอดครั้งไหนๆที่ผ่านมาก็ไม่เหมือนกับการกอดในครั้งนี้เลยจริงๆ

“พี่อยากอาบน้ำกับนอนกอดน้องชายพี่มานานแล้วรู้เปล่า คือ อยากทำอะไรแบบที่พี่น้องเขาทำกันน่ะนะ แต่จะว่าไปพี่ก็ไม่รู้หรอกว่าปกติแล้วพี่น้องกันเค้าทำกันแบบนี้รึเปล่าน่ะ” พี่โต้งหัวเราะเบาๆและเงียบลงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงขี้เล่น “นี่ถ้าแฟนพี่รู้นะว่าพี่นอนกอดคนอื่นนอกจากเค้า แถมคนๆนั้นยังเป็นผู้ชายด้วยเนี่ย เค้าคงกรี๊ดจนบ้านแตกแน่เลย”

ผมรู้อยู่แล้วว่าพี่โต้งมีแฟนที่คบกันมากว่าสองปีแล้ว และพี่เขาก็พูดถึงแฟนพี่เขาให้ผมฟังบ่อยๆด้วย ก็ไม่เชิงว่าพูดถึงบ่อยหรือเล่าเรื่องราวของเขาให้ผมฟังหรอก แต่มันก็พอทำให้ผมรู้บ้างแหละว่าพี่เขาคบกันมานานเท่าไหร่แล้ว ปกติคบกันแล้วเป็นยังไง และ...... เขาสองคนยังรักกันดีอยู่รึเปล่าก็เท่านั้น

“เดียร์ครับ........” พี่โต้งพูดเบาๆหลังจากเราสองคนเงียบกันไปพักใหญ่ๆ “พี่ขอเดียร์เป็นน้องชายพี่อีกคนจะได้มั๊ย”

“อื้อ ก็ได้นี่” ผมพยักหน้าตอบ

“หึหึ ขอบคุณครับ ไอ้น้องชาย” พี่โต้งหัวเราะเบาๆพร้อมกับกระชับกอดให้แน่นขึ้นอีกเล็กน้อย “พี่รักเดียร์นะครับ” เมื่อพูดจบ พี่โต้งก็เขยิบตัวมาหอมแก้มผมเบาๆหนึ่งครั้ง ทำเอาผมรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นอีกไม่รู้กี่เท่า แถมที่สำคัญผมยังไม่รู้ด้วยว่าปกติแล้วผู้ชายเค้าควรจะหอมกันแบบนี้หรือเปล่า ไม่ว่าจะในฐานะเพื่อน หรือพี่ชายน้องชายแบบที่พี่เขาเพิ่งพูดกับผม แต่ว่ามันก็เกิดขึ้นแล้ว และสิ่งที่ตอกย้ำอยู่ในหัวของผมตลอดเวลาก็คือ พี่เขาเป็นผู้ชายแท้ๆ เขามีแฟนแล้ว และผมเองก็เป็นผู้ชายแท้ๆเช่นกัน และที่สำคัญคือในขณะที่ผมกำลังรู้สึกว่าตัวเองทั้งหน้าแดงและสับสนมากๆอยู่ในขณะนั้น พี่ต้นที่เป็นคนหอมแก้มผมกลับนอนกอดผมเฉยไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งทำลงไปทั้งสิ้น แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้ผมสงบจิตใจของตัวเองลงได้ด้วยล่ะนะ ก็ถ้าในเมื่อพี่เขายังไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องแค่นี้ ก็แล้วทำไมผมจะต้องคิดด้วยล่ะ ที่สำคัญกว่าก็คือผมเพิ่งจะมีพี่ชายเป็นคนแรกและครั้งแรก และพี่เขาก็รักผมมาก ไม่ต่างกับที่ผมรักเขามากเช่นกัน เพราะฉะนั้น เท่านี้มันก็น่าจะเพียงพอแล้ว.........

เมื่อถึงวันสุดท้ายที่เราจะต้องแยกจากกัน ผมยิ่งรู้สึกเหงาและเศร้าใจมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นเสียอีก ช่วงเวลาเพียงแค่สี่วันสามคืน มันกลับยิ่งทำให้ผมรู้สึกผูกพันกับพี่โต้งมากขึ้นไปอีกแบบที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลย โดยเฉพาะยิ่งครั้งนี้ หลังจากที่พี่เขากลับกรุงเทพไปแล้ว ผมก็ไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่เราถึงจะได้เจอกันอีกครั้ง และพี่เขาเองก็ตอบคำถามนี้ไม่ได้ด้วยเช่นกัน

ในสองชั่วโมงสุดท้ายก่อนที่เราจะต้องแยกจากกัน หลังจากลงจากเขาค้อ พี่โต้งกับครอบครัวมานั่งพักนอนพักที่บ้านของผมก่อนจะต้องขับรถกลับกรุงเทพกัน ผมรู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆระหว่างเราสองคนขึ้นมาได้อย่างชัดเจน มันเป็นความหนักหน่วงและความเหงาอย่างบอกไม่ถูก และเป็นอะไรที่ผมไม่เคยสัมผัสมาก่อนเลยด้วย ในตอนนั้นทั้งพี่โต้งและผมต่างก็แทบไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย ส่วนมากแล้วเราก็จะมีเพียงแต่สายตาที่มองมายังกันและกัน กับบทสนทนาที่ว่า เราต่างคนจะทำอะไรกันอีกต่อไป และเมื่อไหร่เราจะได้เจอกันอีกครั้งก็เท่านั้น

“เดียร์อาจจะต้องย้ายไปสระบุรีนะครับ เพราะถ้าพ่อเดียร์ต้องย้ายไป เดียร์ก็ต้องตามไปด้วยน่ะ” ผมพูด ขณะที่เราสองคนกำลังเดินคุยกันอยู่ระหว่างทางไปเซเว่น

“อ้าว ทำไมล่ะ แล้วเมื่อไหร่ แล้วถ้าไปนี่ไปนานรึเปล่า” พี่โต้งถามกลับ

“ก็คงอีกราวๆปีสองปีมั๊ง ดูว่าพ่อจะย้ายไปเมื่อไหร่น่ะ เดียร์ว่าอยู่ที่เจ้านายพ่อมากกว่าตัวพ่อเดียร์เองนะ ไม่รู้สิ แต่ถ้าไปก็คงต้องไปกันทั้งครอบครัวนั่นแหละครับ”

“แล้ว....... ถ้าพี่มาที่นี่อีก พี่จะได้เจอเดียร์เหรอ” พี่โต้งถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเศร้าเอาไว้ แต่ผมก็ยังอุตส่าห์รู้สึกถึงมันได้ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะปกติแล้วผมจะไม่ค่อยได้ยินพี่โต้งพูดแบบนี้เท่าไหร่นักก็ได้

“เดียร์ก็ไม่รู้เหมือนกัน........”

“เดียร์ไปเรียนต่อมอปลายที่กรุงเทพมั๊ยล่ะ ไปนอนกับพี่ที่บ้านก็ได้นี่ ดีกว่าไปเรียนที่สระบุรีอีก” พี่โต้งเสนอ

“เดียร์ว่าสงสัยจะยากนะ........”

“ก็นั่นสินะ พี่ก็พูดไปอย่างงั้นเอง”

เราสองคนจบบทสนทนาครั้งนั้นลงที่ตรงนั้นเมื่อพี่โต้งจับมือของผมเพื่อที่จะข้ามถนน และเมื่อกลับมาถึงบ้าน เราก็ไม่ได้คุยถึงเรื่องนี้กันอีก

หลังจากกลับมาจากออกไปซื้อของกัน อีกไม่ถึงชั่วโมงก็ได้เวลาที่พี่โต้งจะต้องกลับบ้านแล้ว แต่อาจจะเป็นเพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทางและกิจกรรมหลายๆอย่างตอนที่เราอยู่บนเขา ขณะที่เรากำลังนั่งดูหนังอยู่ด้วยกันพี่โต้งก็ผล็อยหลับไปเสียก่อน ผมหันไปมองใบหน้าของพี่โต้งตอนหลับแล้วก็รู้สึกตัวเองใจหายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย ถึงครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน แต่ไม่รู้ทำไมทั้งบรรยากาศและความรู้สึกหลายๆอย่างมันช่างชวนให้รู้สึกเหงาใจมากขนาดนี้ ผมก้มลงมองไปที่มือของพี่ต้นที่วางอยู่บนหน้าขา มันเป็นมืออันแข็งแรงและอบอุ่นที่คอยดูแลและทำหน้าที่ปลอบโยนมอบความอบอุ่นให้แก่ผมมาตลอดระยะเวลาหลายวัน และบัดนี้ก็ถึงเวลาที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ที่ผมถึงจะได้รู้สึกถึงความอบอุ่นนั้นอีกครั้ง ผมถอนหายใจให้กับตัวเองเบาๆ พลันสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นเป้ากางเกงของพี่โต้งที่โป่งนูนเป็นลำขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังหน้าแดง และอะไรบางในกางเกงของผมก็เริ่มจะตื่นตัว ภาพของพี่โต้งในตอนที่เราอาบน้ำด้วยกันมันย้อนกลับเข้ามาในหัวของผมอีกครั้ง ผมจึงรีบสลัดมันออกจากหัวไปแทบจะทันที

ก่อนที่พี่โต้งจะต้องกลับ ในขณะที่บรรดาพ่อๆแม่ๆของเรากำลังร่ำรากันอยู่นั้น พี่โต้งได้เรียกผมให้เข้าไปหาในห้องครัว และก่อนที่ผมจะได้เอ่ยปากถามว่ามีเรื่องอะไร พี่โต้งก็ดึงตัวผมเข้าไปกอดพร้อมกับลูบหัวผมเบาๆเหมือนกับทุกครั้งที่พี่เขาทำ

“ขอบคุณมากนะครับ ดูแลตัวเองดีๆล่ะ แล้วเอาไว้พี่จะมาหาใหม่นะ” เมื่อพูดจบ พี่โต้งก็ดันตัวผมออกเล็กน้อย พร้อมกับจูบลงบนหน้าผากของผมเบาๆ และเมื่อผมไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป พี่เขาก็จูบลงบนแก้มของผมอีกครั้ง “พี่รักเดียร์นะครับ” พี่โต้งกระซิบใส่หูของผมเบาๆเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองผมอีกเลย ทิ้งให้ผมยืนมองแผ่นหลังของเขาที่เดินขึ้นรถไป จนกระทั่งรถคันนั้นลับสายตาไป............


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page

หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้เจอพี่โต้งอีกเลยเกือบจะครึ่งปีเต็ม และเมื่อผมได้เจอกับพี่เขาอีกครั้ง เราสองคนก็ยังคงเป็นปกติต่อกันเหมือนเดิมทุกอย่าง ต่างไปแค่ผมที่โตมากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเสียง หรือส่วนสูง ทำให้พี่โต้งไม่ได้ปฏิบัติกับผมเหมือนเป็นเด็กๆอีกต่อไปแล้ว แต่กลับให้ความเคารพกับผมเหมือนผมเป็นผู้ใหญ่ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ เป็นวัยรุ่นที่มีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น แต่ทว่าความอบอุ่นจากพี่โต้งนั้นก็ยังไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย และในตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่า แท้จริงแล้ว ผมแอบมีความรู้สึกให้กับพี่ชายของตัวเองคนนี้มากแค่ไหน ถึงแม้มันจะเป็นความรักที่เป็นไปไม่ได้ แต่ผมก็ยินดีที่จะเก็บมันเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ให้มันเป็นความอบอุ่นที่คอยหล่อเลี้ยงตัวผมยามที่จะไม่ได้เจอหน้าพี่เขาอีกไม่ว่าจะนานเพียงใดก็ตาม..........

ตอนที่ผมขึ้นมอสาม ในที่สุดผมก็ต้องย้ายตามพ่อของผมไปยังจังหวัดสระบุรีอย่างที่คาดเอาไว้ และตอนนั้นเองที่ผมกับพี่โต้งขาดการติดต่อจากกันโดยสิ้นเชิง กว่าที่ผมจะได้ยินเสียงของเขาอีกครั้งก็เป็นช่วงที่ผมขึ้นชั้นมอห้าแล้ว วันนั้นเป็นวันที่ผมจำได้ไม่มีวันลืม เพราะมันเป็นช่วงที่ผมกำลังทะเลาะกับแฟนและกำลังอยู่ในช่วงที่จะตัดสินใจว่าจะเลิกดีหรือไม่อยู่พอดี และคืนนั้นที่ผมกำลังนอนคิดมากอยู่คนเดียวนั้นเอง เบอร์ที่ผมไม่รู้จักเบอร์หนึ่งก็โทรเข้ามาที่มือถือของผม

“ใครครับ” ผมรับด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ คิดว่าคงเป็นเพื่อนของแฟนผมโทรมาต่อว่าผมอีกตามเคย

“นั่นเดียร์รึเปล่าครับ” อีกฝั่งตอบกลับมาด้วยคำถาม

“ก็คงใช่อ่ะ นั่นใครครับ มีธุระอะไร” ผมตอบกลับไปอย่างหงุดหงิด

“เสียงดุจังนะ น้องชาย ทะเลาะกับแฟนรึไง” อีกฝั่งหัวเราะเบาๆกลับมาอย่างอารมณ์ดี และคำว่า “น้องชาย” นั้นก็ทำให้ผมต้องสะดุ้งลุกขึ้นมานั่งบนเตียงในแทบจะทันที

“นั่นใครอ่ะ พี่โต้งเหรอครับ”

“ครับ พี่เอง” พี่โต้งตอบกลับมาอย่าง........ ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้ แต่ตอนนั้นผมรู้สึกจริงๆว่ามันเป็นคำพูดสั้นๆที่อบอุ่นมาก “สบายดีรึเปล่า กำลังหงุดหงิดอะไรอยู่รึเปล่าเนี่ย จะให้พี่วางก่อนมั๊ย”

“ไม่ๆครับ ไม่มีอะไร พี่โต้งเอาเบอร์เดียร์มาจากไหน แล้วทำไมหายไปไหนมาตั้งนาน”

“พี่ก็เสาะหามาจนได้แหละครับ พี่จะทิ้งน้องชายพี่ลงคอได้ยังไงกัน........” พี่โต้งเว้นช่วงไปสักพัก “ไง ตกลงทะเลาะกับแฟนจริงๆเหรอ ฮึ มีแฟนแล้วเหรอเนี่ยเรา”

“ก็...... ครับ ผู้หญิงแม่งงี่เง่าอ่ะพี่ เดียร์เบื่อจะแย่แล้วเนี่ย” ผมถอนหายใจเพราะ ทั้งรู้สึกเซ็งกับเรื่องของแฟน และรู้สึกอบอุ่นแบบสุดๆ ที่ได้ยินเสียงของคนในความทรงจำของผมที่ผมไม่เคยลืมเลือน

“เอาน่า อย่าคิดมากนะครับ ถึงไงก็อย่าลืมนะว่าพี่ยังรักเดียร์อยู่เสมอ”

ผมยิ้มกว้างออกมาให้กับตัวเอง “อื้อ เดียร์รู้”

หลังจากคืนนั้น ผมกับพี่โต้งก็คุยกันบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าผมจะเป็นฝ่ายโทรไปหรือพี่เขาโทรมาเอง จนผมรู้สึกสบายใจและหายจากอาการเจ็บเรื่องของแฟนไปได้เร็วมาก ที่จริงเร็วและดีขึ้นมากจนมีแต่คนแปลกใจด้วยซ้ำ

เรื่องทั้งหมดดำเนินแบบนี้ต่อไปราวๆเกือบสองเดือน ผมก็ได้รู้ข่าวสำคัญจากพี่โต้ง ซึ่งมาคิดๆดูแล้ว มันก็คงไม่พ้นเป็นเหตุผลเดียวที่พี่เขากลับมาติดต่อหาผมอีกครั้งก็เป็นได้

“พี่จะแต่งงานแล้วนะ เดียร์”

“..........จริงเหรอครับ” ผมรู้สึกตกใจมากกับข่าวที่ได้รับมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ก็ยังคงต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้

“อื้อ ตอนนี้กำลังหาฤกษ์กันอยู่ แต่ก็คงอีกไม่นานล่ะมั๊ง”

“อ้าว งั้นก็ยินดีด้วยนะครับพี่ โธ่ นี่ก็แปลว่าที่อุตส่าห์ตามหาเบอร์เดียร์จนเจอเนี่ย ก็แค่จะบอกข่าวดีแค่นี้ล่ะสิ แหม ไอ้เราก็นึกว่าคิดถึงน้องชายจริงๆเลยโทรมาหาซะอีก” ผมพูดออกไปอย่างไม่ทันได้คิดเพราะเพื่อจะกลบเกลื่อนความตกใจและ........ ความสะเทือนใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินจนลืมคิดไปถึงความหมายของสิ่งที่ผมเพิ่งพูดออกไป

“ทำไมเดียร์ถึงพูดแบบนั้น” พี่โต้งสวนกลับมาแทบจะทันทีที่ผมพูดจบ “นี่เดียร์คิดว่าพี่คิดกับเดียร์แค่ไหนกัน เดียร์ถึงได้มองพี่แบบนั้น พี่จะบอกเอาไว้เลยนะว่าถ้าพี่ไม่รักไม่คิดถึงเดียร์ พี่ไม่อุตส่าห์ดั้นด้นไปหาเบอร์ของเดียร์มาหรอกและก็คงไม่โทรคุยกับเดียร์บ่อยแบบนี้ด้วย แต่มันเพราะอะไร เดียร์ก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจนี่ ว่ามันเพราะอะไร ว่าทำไม........ ทำไมพี่ถึงได้........ โธ่เอ๊ยย” พี่โต้งเว้นไปครู่หนึ่ง “พี่รู้สึกเสียใจนะครับเนี่ยที่เดียร์คิดแบบนั้น”

“พี่โต้ง เดียร์ขอโทษ” ผมรีบเอ่ยคำขอโทษและโทษตัวเองอย่างที่สุด “เดียร์ไม่ได้ตั้งใจจะหมายความว่าแบบนั้น เดียร์ก็แค่....... ไม่รู้อ่ะครับ เดียร์พลั้งปากออกไปเอง เดียร์เองก็รักพี่โต้งนะครับ พี่โต้งอย่าโกรธเดียร์นะ”

เราสองคนเงียบกันลงไปอีกครั้ง และผมเองก็รู้สึกแปลกใจตัวเองมากเหมือนกันที่ได้ยินตัวเองพูดแบบนั้นออกไป....... ที่ได้ยินตัวเองพูด “คำๆนั้น” ออกไป เพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมพูดคำนี้ออกไปกับพี่โต้ง และยังเป็นครั้งแรกที่ผมพูดกับคนอื่นที่ไม่ใช่แฟนผม โดยเฉพาะกับผู้ชายด้วย

“อืม ไม่เป็นไรครับ แค่ได้ยินคำนั้นพี่ก็ดีใจแล้ว ในที่สุดพี่ก็ได้รู้สักทีว่าน้องคนนี้ก็รักพี่ชายคนนี้เหมือนกัน เพราะเราไม่ใช่พี่น้องแท้ๆนี่นะ แถมพี่ยังหายหัวไปตั้งนานอีก ก็นึกว่าเดียร์จะลืมพี่ไปซะแล้ว” น้ำเสียงของพี่โต้งกลับมาเป็นแบบเดิมอีกครั้ง เป็นพี่โต้งที่รักและให้อภัยผมอยู่เสมอ

“เดียร์จะลืมพี่ได้ไงล่ะครับ ผู้ชายคนแรกที่บอกว่ารักเดียร์ แถมยังหอมแก้มเดียร์อีกต่างหาก อ้อ แถมได้เห็นเดียร์แก้ผ้าด้วย”

พี่โต้งหัวเราะชอบใจ “เอาเถอะๆ นี่แปลว่าจำได้หมดเลยจริงๆนะเนี่ย เชื่อแล้วว่าไม่ลืมจริงๆ แต่ว่าพี่มีอะไรอยากจะบอกเดียร์อย่างนึง ไม่รู้ว่าเดียร์จะสนใจรึเปล่านะ”

“อะไรครับ”

“พี่อยากชวนเดียร์ไปเขาค้อน่ะครับ พี่ไม่ได้ไปมาหลายปีมากแล้ว ตั้งแต่ครั้งนั้นพี่ก็ไม่ได้กลับไปอีกเลย เดียร์ไปกับพี่หน่อยนะ”

ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะให้คำตอบ “พี่โต้ง........ ขอเวลาเดียร์หน่อยก็แล้วกันนะครับ เดียร์ติดทั้งเรื่องเรียนอีก เรื่องที่บ้านด้วย ไม่รู้ว่าจะได้ไปเมื่อไหร่อ่ะ เอาไว้เดียร์ค่อยโทรไปบอกได้มั๊ยครับ” ที่จริงแล้วพ่อกับแม่ผมนี่ไม่ต้องเป็นห่วงเลยอยู่แล้ว เพราะถึงเราจะย้ายมาจากบ้านเก่าและผมจะไม่ได้คุยกับพี่โต้งเลยมานานมาก แต่ผมรู้ว่าพ่อแม่ของเราสองคนก็ยังคงติดต่อกันอยู่บ้างเป็นระยะๆ ซึ่งถ้าพ่อแม่ผมรู้ว่าผมจะไปกับพี่โต้ง นั่นก็ยิ่งไม่ใช่ปัญหาเข้าไปใหญ่ ส่วนเรื่องเรียนก็ยิ่งแล้วกันเลย แต่ทว่าที่ผมขอเลื่อนเวลาออกไปโดยอ้างเรื่องเหล่านั้น มันก็เป็นเพราะผมอยากจะให้เวลา........ กับตัวเองมากกว่า

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา แล้วพี่จะรอนะ” พี่โต้งตอบกลับมา และผมก็สามารถมองเห็นรอยยิ้มของพี่เขาได้เลยทีเดียว ถึงแม้มันจะเป็นรอยยิ้มของพี่โต้งคนเมื่อหลายปีก่อนก็ตาม

“อ๊ะ เดี๋ยว พี่โต้งครับ เดียร์ขอถามอะไรอย่างนึงหน่อยได้มั๊ย” ผมรีบพูดห้ามก่อนที่พี่เขาจะวางสายไป

“อะไรครับ”

“ทำไมพี่โต้งถึง........... ทำไมเราถึงไม่ได้คุยกันมาตั้งนานล่ะครับ” ผมถามออกไปด้วยใจที่สั่นไหว และพี่โต้งเองก็เงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกับกำลังใช้ความคิดเช่นกัน

“ถ้าถามตัวพี่ พี่ก็คงตอบว่า พี่รอ........ ล่ะมั๊งครับ”

“รอ...... รออะไรครับ” ผมสงสัย

“แล้วเดียร์จะได้คำตอบที่เขาค้อครับ แต่ถ้าไม่ไปก็อด” พี่โต้งตอบ ก่อนจะวางสายไป

และนั่น ก็เป็นเหตุผลที่ตอนนี้ผมมาอยู่ที่นี่ เดือนเดียวกับเมื่อสี่ปีก่อน และเป็นช่วงที่อากาศบนนี้กำลังหนาวได้ที่พอดี

หลังจากเวลาผ่านไปหลายวันหลายสัปดาห์กว่าที่ผมจะสามารถต่อสู้กับความขัดแย้งในตัวของตัวเอง ต่อสู้กับความสับสน และหัดเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้าได้ ผมก็ให้คำตอบกับพี่โต้ง และเราสองคนก็ขับรถตรงมายังที่นี่ด้วยกัน สถานที่เดียวกับที่เราเคยนอนอยู่ในเต็นท์เดียวกันเมื่อครั้งนั้น

ครั้งแรกที่ผมได้เจอหน้าพี่โต้ง ผมไม่ได้รู้สึกตกใจ แปลกใจ หรือรู้สึกอะไรแปลกๆอย่างที่ผมคาดว่าผมน่าจะเป็นนักหรอก มันไม่เหมือนในหนังหรือในนิยายที่ผมจะต้องอึ้งและรู้สึกหวั่นไหวในใจสุดๆอะไรแบบนั้น เพราะพี่โต้งนั้นแทบไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อสี่ปีก่อนเลยแม้แต่น้อย มีแต่ผมนั่นแหละที่เป็นฝ่ายทำให้พี่โต้งต้องประหลาดใจกับความเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่าง

ผมห่อตัวในเสื้อกันหนาวของตัวเองมากขึ้น พยายามต่อสู้กับลมหนาวที่กำลังพัดมาปะทะอย่างไม่ขาดสาย อาทิตย์ยามอัสดงกำลังลาลับขอบฟ้าและภูผาไปอย่างช้าๆพร้อมๆกับภาพในความทรงจำหลายอย่างที่วิ่งแล่นผ่านเข้ามาในหัวของผม และนั่นก็ทำให้ผมเกิดรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง

“ยืนยิ้มอยู่คนเดียวแบบนี้นี่น่าขนลุกนะ” พี่โต้งเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างๆผมพร้อมถ้วยใส่กาแฟร้อนๆ

“พี่ก็มายืนยิ้มกับเดียร์ดิ่ เผื่อจะดีขึ้น”

พี่โต้งยิ้มแล้วเอามือมาขยี้หัวผมเบาๆ “แล้วคิดอะไรอยู่ล่ะ ฮึ”

“อดีตครับ”

“แฟนรึ”

ผมส่ายหน้า “โห ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่เลย”

“แล้วพอคิดแล้วมีความสุขมั๊ย”

ผมพยักหน้า “มากเลย”

“งั้นทำไมเมื่อกี๊ถึงทำหน้าเศร้าๆล่ะ”

“ก็เพราะมันแฝงไปด้วยความเจ็บปวดเล็กๆน่ะครับ” ผมตอบ จากนั้นก็หันไปสบตากับพี่โต้งที่กำลังมองผมรออยู่แล้ว “เฮ้ย งี้ก็แปลว่าแอบดูเดียร์มานานแล้วดิ่ แล้วที่สำคัญจะถามทำไมนัก เขินนะเนี่ย”

พี่โต้งยิ้มอีกครั้ง “อยากรู้ไง อยากรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเดียร์ น้องชายคนเดียวของพี่”

“เดียร์รู้ครับ.......” ผมหันกลับมามองดวงอาทิตย์ที่กำลังลาลับไปอีกครั้ง “เดียร์รู้อยู่แล้วว่าเดียร์เป็นน้องชายของพี่ พี่เองก็เป็นพี่ชายเดียร์เหมือนกัน”

“เดียร์.........” พี่โต้งเรียกผมโดยไม่ได้หันมามองหน้าผม ใบหน้าด้านข้างของพี่โต้งนั้นดูเศร้ามากจริงๆ หรืออาจจะเป็นเพราะแสงอาทิตย์ยามเย็นนี้ก็ได้ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน “เคยนึกเสียใจมั๊ย ที่ตอบตกลงเป็นน้องชายพี่ในคืนนั้นน่ะ”

“พี่โต้ง ทำไมถามงั้นล่ะ”

“ก็พี่ไม่ได้ทำหน้าที่พี่ชายที่ดีเลยเนอะ ปากบอกอยากมีน้องชาย แต่ก็กลับทิ้งเค้าไปตั้งหลายปีซะอย่างนั้นเนี่ย ถ้าพี่จะเป็นพี่ใคร ก็คงเป็นพี่ที่เหี้ยมากๆแน่ๆเลยว่ะ”

“พี่โต้งเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดของเดียร์ครับ ไม่ว่าจะตอนนั้น ตอนนี้ ตอนไหน หรือตลอดไป” ผมตอบ “พี่โต้งให้อะไรๆเดียร์มากกว่าที่พี่โต้งคิดเยอะนะ”

เราสองคนยืนชมวิวจิบกาแฟเงียบๆกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่พี่ต้นจะหันมายิ้มให้กับผมแล้วยื่นมือมารับถ้วยกาแฟในมือของผมไป “เสียดายครั้งนี้ไม่ได้นอนเต็นท์เนอะ แต่คิดอีกทีก็ดีเหมือนกัน เพราะพี่ว่ามันหนาวมากเลยว่ะ เราเข้าห้องกันเถอะ”

ผมพยักหน้า แล้วก็เดินตามพี่โต้งเข้าไปในบ้านพัก จากนั้นก็นั่งลงบนเตียงของตัวเอง “แล้วแฟนพี่ล่ะ ไม่ว่าเหรอที่หนีมาเที่ยวแบบนี้น่ะ” ผมถามขึ้นหลังจากพยายามเลี่ยงที่จะพูดถึงเขาคนนั้นมาตลอด

“เค้ากลับบ้านที่ต่างจังหวัดน่ะ ไปไหว้พ่อแม่เค้า”

“อ้อ ครับ” ผมพยักหน้ารับ

“และพี่ก็อยากมากับเดียร์สองคนแบบนี้มากกว่าด้วย อยากมาตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสสักที”

ผมรู้สึกภายในของตัวเองกำลังปั่นป่วนอีกครั้ง ทำไมหลายๆครั้งพี่โต้งเค้าถึงต้องพูดจาหรือทำอะไรที่มันไม่ชัดเจนแบบนี้ด้วยนะ หรือมันผิดที่ผมเองรู้สึกหวั่นไหว ทำให้คิดอะไรๆไปเรื่อยเปื่อยในทุกอย่างที่คนๆนี้ทำหรือว่าแม้แต่พูดจา

“จะว่าไป ตกลงเดียร์จะขอคำตอบพี่ได้ยัง ว่าทำไมเราสองคนถึงได้.........” ผมหยุดไป ไม่รู้จะหาคำพูดอะไรมาต่อประโยคได้จึงจะเหมาะสม

พี่โต้งหันมายิ้มให้ผม “พี่เคยบอกเดียร์ไปหลายหนแล้วนี่”

“บอกเดียร์เนี่ยนะ เมื่อไหร่” ผมนิ่วหน้า

“ครั้งแรกก็เมื่อสี่ปีก่อน........” พี่โต้งตอบ “ส่วนล่าสุดก็เมื่อไม่กี่วันมานี้ไง”

ผมนั่งนิ่ง รู้สึกว่าตัวเองกำลังช็อก ไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือตอบอะไรออกไปดี

“ตอนนั้นเดียร์อายุเท่าไหร่นะ สิบสอง...... สิบสามได้มั๊ง ใช่มั๊ย แล้วจะให้พี่ทำยังไง ตอนนั้นพี่ก็ปาเข้าไปยี่สิบสองแล้ว มันเหมาะซะที่ไหนล่ะที่พี่จะคิดอะไรแบบนั้นน่ะ และพี่ก็ไม่อยากให้เดียร์คิดมากเกินไปด้วย มันไม่ใช่ในช่วงอายุในวัยที่เหมาะสมเลย พี่รู้ว่าเด็กอายุขนาดนั้นน่ะมันเป็นช่วงกำลังสับสน กำลังโต และกำลังถามตัวเองหลายๆอย่าง พี่ไม่อยากจะเป็นปัจจัยอะไรที่ไม่ดีๆให้แก่เดียร์ เพราะฉะนั้นพี่ถึงได้รอไง........ รอจนกว่ามันจะถึงเวลาที่เหมาะสม” พี่โต้งถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะยักไหล่ “จริงๆมันก็คงไม่ต้องนานขนาดนี้หรอกนะ แต่พี่มัวแต่กลัวเองนั่นแหละ จะไปโทษใครได้”

“พี่โต้งหมายความว่าไง” ผมถามออกไปทั้งๆที่คิดว่าตัวเองรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่แท้จริงๆแล้วผมอาจจะถึงขั้น “กลัว” คำตอบเลยก็เป็นได้

“พี่บอกแล้วไง ว่าพี่รักเดียร์ มันยังไม่ชัดเจนอีกเหรอครับ” พี่โต้งลุกขึ้นยืนและหันหลังให้แก่ผม “พี่รู้ว่าพี่พูดไปแล้วว่าเดียร์เป็นน้องชายพี่ แต่ก็นั่นแหละ พี่จำเป็นต้องเลือกนี่หว่า จะให้ทำไงได้ล่ะ อย่างน้อยๆพี่ก็ไม่ได้พูดไปนี่ว่า ‘พี่รักเดียร์แบบน้องชาย’ เข้าใจรึยัง”

ผมเงียบไปพักหนึ่ง และพี่โต้งก็ยังคงยืนหันหลังให้แก่ผมอยู่ “เดียร์ไม่เข้าใจ แล้วแฟนพี่ล่ะ พี่ก็คบกันมาตั้งนานแล้ว และกำลังจะแต่งงานกันแล้วด้วย แล้วทำไม..... แถมตอนนั้นพี่สองคนก็ยัง.......”

“พี่เองยังไม่เข้าใจเลย เพราะงั้นไงล่ะ พี่ถึงได้ยอมหายไปจากชีวิตเดียร์นานขนาดนั้น” พี่โต้งหันกลับมามองหน้าผมด้วยน้ำตาที่คลออยู่ทั้งสองข้าง “พี่ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นกับใครเลย ตอนแรกพี่ก็คิดว่าพี่คงแค่เอ็นดูเดียร์ แต่ว่ามันไม่ใช่ มันไม่ใช่เลยว่ะ หลายๆอย่างมันเปลี่ยนไปหมด ความรักที่พี่คิดจะหยุดอยู่แค่คำว่า ‘น้องชาย’ มันกลับเพิ่มมากขึ้นทุกวันๆ และยิ่งถึงวันที่เดียร์ต้องย้ายบ้านไป สำหรับพี่มันก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นอีก”

“พี่โต้ง........ เดียร์.........”

“พี่รู้ๆ ไม่ต้องพูดอะไรหรอก” พี่โต้งโบกมือและหันกลับไปอีกครั้ง “พี่รักแฟนพี่นะ อย่าเข้าใจพี่ผิดล่ะ และที่พี่พูดกับเดียร์นี่มันไม่ใช่ว่าพี่ต้องการอะไรจากเดียร์หรอก พี่ก็แค่อยากจะทำทุกอย่างให้มันชัดเจนไปเท่านั้นเอง พี่ไม่อยากให้มันค้างคาจนกระทั่งพี่เข้าเรือนหอ และที่สำคัญที่สุด พี่เห็นเดียร์มีความสุขดีแบบนี้พี่ก็พอใจแล้ว หลังจากนี้ไปเราก็จะเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถ้าเพียงแต่เดียร์ไม่ได้รังเกียจหรือโกรธพี่ไปแล้วน่ะนะ...... แต่พี่จะบอกอีกครั้งนะว่าพี่ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นกับผู้ชายคนไหนมาก่อนเลยจริงๆ ไม่ว่าเดียร์จะเชื่อพี่หรือไม่ก็ตาม”

ผมรู้สึกว่าน้ำตาของตัวเองที่กลั้นมาตลอดหลายเดือนกำลังไหลออกมาช้าๆ และบัดนี้ผมก็ได้รู้แล้วว่าผมไม่ได้คิดไปเองอยู่ฝ่ายเดียว ความสับสนและความคิดถึงที่ผมมีให้แก่ผู้ชายคนนี้มาตลอดหลายปีนั้นเป็นของจริง มันไม่ใช่แค่ความฝันหรือการคิดไปเอง แต่มันคือความจริง......... และมันคือ “ความรัก”

ผมลุกขึ้นยืนและเดินตรงเข้าไปสวมกอดพี่ชายของผมเอาไว้จากทางด้านหลัง ในตอนนี้ผมตัวสูงกว่าพี่โต้งเสียอีก และพี่ชายผู้แข็งแกร่งของผมก็กำลังใช้แขนทั้งสองข้างโอบรัดแขนของผมเบาๆอย่างอ่อนโยนอีกทีเช่นกัน

“เดียร์ก็รักพี่โต้งครับ และจะรักตลอดไป ไม่ว่าอนาคตจะเป็นยังไงก็ตาม ถึงมันจะเป็นไปไม่ได้และไม่ควรจะเป็น แต่ว่าเดียร์รับได้ และจะเป็นน้องชายที่ดีของพี่ตลอดไปครับ เดียร์สัญญา”

พี่โต้งคลายวงแขนออกพร้อมกับหันกลับมาหาผม เมื่อสายตาของเราประสานกันอีกครั้ง ผมก็เห็นความหมายทุกอย่างที่เก็บเอาไว้ในใจของพี่โต้งตลอดเวลาหลายปีกำลังถูกถ่ายทอดออกมาอย่างชัดเจนและสวยงาม และผมเชื่อว่าพี่โต้งเองก็คงเห็นสิ่งนั้นจากแววตาของผมเช่นเดียวกัน

“อะไรหลายๆอย่างในช่วงที่หายไปมันผิดเพี้ยนไปหมด และนั่นมันก็เป็นเพราะพี่เอง แต่พี่ไม่เสียใจนะที่มันเป็นแบบนี้ ถึงแม้มันจะไม่ดีและถูกต้องกับเดียร์ก็ตาม.........” พี่โต้งพูด

ผมส่ายหน้า “แบบนี้แหละ ดีแล้วครับ เดียร์รู้ว่าพี่โต้งเองก็ต้องรู้สึกว่าเดียร์คิดอะไรกับพี่บ้าง ตอนนั้นพี่ถึงได้เป็นฝ่ายยอมจากไปด้วย เดียร์รู้ว่าพี่โต้งเองก็ลำบากใจและทำเพื่อเดียร์” พี่โต้งมองหน้าผมพร้อมกับรอยยิ้มเศร้าๆ และเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้นแล้วผมก็ตัดสินใจพูดต่อ “และที่สำคัญคือเดียร์ไม่อยากเสียพี่ชายของเดียร์ไปหรอกครับ พี่ชายคนที่รักและดูแลเดียร์ดีมากๆมาตลอด ถึงมันจะเป็นช่วงเวลาไม่นาน แต่เดียร์ก็ไม่คิดว่าจะมีพี่แท้ๆคนไหนทำให้กับน้องชายมาเท่าที่พี่โต้งเคยทำให้เดียร์หรอกครับ และเพื่อสิ่งนั้นแล้ว เดียร์ยอมแลกทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างเลยจริงๆ........”

“พี่รักเดียร์นะครับ” พี่โต้งยิ้ม พร้อมกับเอามือลูบหัวผมเบาๆ “ขอบคุณที่เข้าใจพี่นะ แล้วก็ขอโทษด้วยสำหรับทุกอย่าง”

“ไม่อ่ะ เดียร์รู้อยู่แล้วล่ะว่ามันต้องเป็นแบบนี้ แบบนี้แหละ คงดีกว่าเดียร์เห็นพี่โต้งเดินเข้าวิวาห์ไปแบบค้างๆคาๆ หรือไม่ก็ไม่ได้คุยกับพี่โต้งอีกเลย แต่ว่า ตอนนี้เดียร์ขอแค่อย่างเดียว จะได้มั๊ยครับ........”

“อะไรล่ะครับ”

“นอนกอดเดียร์อีกสักครั้ง เป็นครั้งสุดท้าย......... จะได้มั๊ยครับ”

พี่โต้งยิ้มแล้วชะโงกหน้ามาหอมแก้มผมเบาๆ “งั้นพี่เองก็ขอบ้างได้มั๊ย พี่ขอกอดเดียร์แบบเมื่อกี๊นี้ และนอนกอดเดียร์ทุกคืน จนกว่าจะถึงนาทีที่เราจะต้องขึ้นรถกลับบ้านกัน จะได้รึเปล่าครับ........”

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำตอบของผมคืออะไร และก็ไม่ต้องสงสัยด้วยว่าผมกับพี่โต้งมีอะไรกันเกินเลยมากไปกว่าการกอดกันรึเปล่า เพราะผมตอบได้เลยว่าไม่ ผมเคยบอกไปแล้วว่าเมื่อสี่ปีก่อน และไม่ว่าจะตอนไหน ทุกครั้งที่พี่โต้งสัมผัสตัวผม มันคือสัมผัสที่เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใย และความอบอุ่นเสมอๆ ไม่ใช่สัมผัสที่ต้องการในสิ่งอื่นที่มากไปกว่านั้น และแม้แต่การหอมแก้มของพี่โต้งในครั้งนี้ มันก็เป็นการหอมแก้มที่ส่งต่อความรักอันเป็นนิรันดร์จากพี่ชายมาสู่น้องชาย เป็นสัญลักษณ์ของความรักที่เราต่างมีให้แก่กันและกันว่าเราจะรักกันแบบนี้ตลอดไป ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่เราก็จะเป็นพี่น้องที่รักและห่วงใยกัน ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น และจะเก็บสิ่งๆนั้นเอาไว้ในใจ ไม่ให้มีวันลบเลือน.............



ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23

เดี๋ยวจะหาว่าไม่รักกันจริง

แม้เรื่องล่าสุดที่อ่านจะเป็นเรื่องที่สาม  :m23:

แต่ก็ตามมาอ่านจนทันแล้วนะ   :m4:


angsumalin

  • บุคคลทั่วไป

niph

  • บุคคลทั่วไป
เศร้า

แต่ ...
อ้างถึง
“ไม่อ่ะ เดียร์รู้อยู่แล้วล่ะว่ามันต้องเป็นแบบนี้ แบบนี้แหละ คงดีกว่าเดียร์เห็นพี่โต้งเดินเข้าวิวาห์ไปแบบค้างๆคาๆ หรือไม่ก็ไม่ได้คุยกับพี่โต้งอีกเลย แต่ว่า ตอนนี้เดียร์ขอแค่อย่างเดียว จะได้มั๊ยครับ........”

อ่านแล้วมันแปลก ๆ ...ไม่น่าใช้วิวาห์ในคำพูด น่าจะใช้แต่งงานดีกว่า

ปล. เค้ารู้สึกแบบนั้นนะ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
นิทาน ปาฏิหาริย์กาลครั้งหนึ่งของความรัก " จากก้อนดินสู่ปลายฟ้า "   ชื่อเรื่องโดยอาจารย์สีฟ้าและลักยิ้ม


ถ้าพี่เป็นดั่งท้องฟ้า ผมก็คงเป็นแค่ก้อนดิน
แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าทุกวันและก็รู้สึกชอบขึ้นในทันที
และเมื่อเวลาผันผ่าน จากความชอบก็เปลี่ยนเป็นความหลงใหล และท้ายที่สุดก็งอกเงยจนกลายเป็นความรัก

แต่ถ้าพี่คือท้องฟ้าที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น
ผมก็คงเป็นได้แค่ก้อนดินที่มีความรักอยู่เต็มเปี่ยม แต่ก็ไม่สามารถยื่นมือออกไปสัมผัสกับความงดงามนั้นได้เลย…….

เมื่อท้องฟ้าสดใส ผมก็แอบอมยิ้มอยู่ในใจ แต่ท้องฟ้าก็คงไม่เคยแลมอง
เมื่อท้องฟ้ามืดครึ้ม ผมก็เป็นกังวล อยากจะช่วยปัดเป่าเมฆดำเหล่านั้นให้จางหาย แต่ท้องฟ้าก็ไม่เคยสนใจ
เมื่อท้องฟ้าร่ำไห้ ความเสียใจกลายเป็นสายฝน ชะล้างทุกสิ่งบนพื้นโลก ก้อนดินก้อนเล็กๆก้อนนี้ ก็แอบร่ำไห้ไปกับท้องฟ้า น้ำตาไหลรวมไปกับสายฝน ผิวกายหนาวเหน็บจนเจียนตาย

แต่ท้องฟ้าก็ยังคงไม่เคยรับรู้เลย.........

จนวันหนึ่งเสียงของผม ก็ถูกส่งขึ้นไปถึงยังเบื้องบน ท้องฟ้าได้รับรู้ความในใจของก้อนดินก้อนนี้แล้ว
แต่ทว่าความเป็นจริงนั้นมันก็น่าเจ็บปวดนัก
เมื่อก้อนดินด้อยค่าก้อนนี้ ไม่มีค่าแม้แต่ท้องฟ้าจะยอมเห็นใจ ไม่มีค่าแม้แต่ท้องฟ้าจะชายตามอง
ซ้ำยังส่งสายฟ้าฟาดลงมา ทำลายก้อนดินจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ครั้งแล้วครั้งเล่า
ซ้ำแล้วซ้ำอีก

สายฝนที่หนาวเหน็บ พัดพาเอาเศษเสี้ยวของหัวใจดวงน้อยๆของก้อนดินลอยหายไปอย่างซ้ำๆ
แต่ก็ไม่เคยที่จะพัดพาความรักของมันจากไปได้ด้วยเลย

ถึงจะเจ็บปวด แต่ก้อนดินก็เชื่อมั่นในความรักของมัน
และเหนือสิ่งอื่นใด คือมันรับรู้...........
รับรู้ถึงความเหงา และความเจ็บปวดของท้องฟ้าที่อ้างว้างและโดดเดี่ยว
รับรู้ได้ผ่านทางสายฝน สายฟ้า และทั้งสายตาที่คอยหลบหนีมันอยู่ร่ำไป
และมันยังรับรู้ ถึงความรักและความอบอุ่นลึกๆให้ดวงใจที่ถูกเก็บเอาไว้ของท้องฟ้าผู้ยิ่งใหญ่และน่าหวั่นเกรง

ก้อนดินก้อนนี้จึงยังคงตั้งหน้าตาตั้งตามอบความรัก ความห่วงใย และความหวังดีให้แก่ท้องฟ้าของมันต่อไปอย่างไม่เคยหวาดหวั่นและย่อท้อ

เพราะต่อให้มันต้องเจ็บปวด แต่ทุกๆวินาทีที่มันได้ส่งผ่านความรัก นั่นก็คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของมันแล้ว.......

จนในที่สุด ความรักของก้อนดินก็เอาชนะใจของท้องฟ้าที่ยิ่งใหญ่และมั่นคงนั้นได้

ผมได้รับโอกาสที่ยิ่งใหญ่ และได้รับความรักที่อบอุ่น
ผมได้รับสิ่งที่ผมรู้มาตลอดว่ามันมีอยู่จริง
ผมได้รับสิ่งที่ผมรอคอยมานานแสนนาน.........

รอคอยวันที่ท้องฟ้าของผมจะยอมเปิดหัวใจและเปิดประตูรับผมไปอยู่เคียงข้างเขาสักครั้ง

และตอนนี้ผมก็ไม่ใช่เพียงก้อนดินที่แอบหลงรัก และแหงนหน้ามองท้องฟ้าอันสวยงามผืนนี้อยู่เพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป

แต่ผมคือสายลมที่พัดพาอยู่เคียงข้างท้องฟ้าสีครามของผมไปชั่วนิรันคร์

ถ้าพี่เป็นท้องฟ้าที่โอบอุ้มความสุขและความหวังดีเอาไว้ เพื่อที่จะให้ทุกคนที่แหงนหน้ามองท้องฟ้ามีความสุขแล้วล่ะก็.......
ผมก็จะเป็นสายลม ที่ช่วยพัดพาเอาความทุกข์ทุกอย่างของพี่ให้จางหายไป
ผมจะโอบอุ้มความรักที่ไม่มีวันหมดนี้ลอยอยู่เคียงข้างพี่ และจะแบกรับความเหนื่อยล้าที่ท้องฟ้าไม่อยากให้ใครเห็นไว้กับตัวไปตราบนานเท่านาน

และถ้าเมื่อใดที่ยามกลางวันเปลี่ยนเป็นยามกลางคืน ท้องฟ้าต้องมืดมิด จนไม่สามารถมองเห็นแสงใดๆ
ผมก็จะเป็นดวงดาวที่ส่องสว่างนำทางให้แก่พี่
ผมจะเป็นดาวประดับฟ้า ที่ทำให้คนสามารถชื่นชมความงามของท้องฟ้าได้ทั้งยามกลางวันและกลางคืน
ดวงดาวที่จะลอยอยู่เคียงคู่กับท้องฟ้าไปตลอดชั่วชีวิตจนกว่ามันจะดับแสงลง

และไม่ว่าพี่จะเป็นอย่างไร และผมจะเป็นใครในสายตาของพี่หรือคนอื่นๆ
แต่ผมก็จะยังคงเป็นผม ที่มีความรักอันยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์ พร้อมจะมอบและยืนอยู่เคียงข้างพี่ไปตลอดกาล

ความรักของก้อนดิน ที่ถูกความอบอุ่นและความงดงามของท้องฟ้าช่วยเจียระไน จะไม่มีวันจางหายไปกับกาลเวลา


.
.
.

dedicated to "ลักยิ้มสีฟ้า" เนื่องในวันเกิดของไอ้ลักยิ้มคับ ^_^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2008 21:36:48 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23

abcd

  • บุคคลทั่วไป
^

^

^

จิ้มเจ๋ยๆ(เช่นกัน)  :laugh:  :laugh:  :laugh:

ออฟไลน์ nana

  • 아주마 애기 두명 ㅋㅋ
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
 o13 ชอบมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :m4:


 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
แต่งนิทานออกมาอีกและ เมฆกะซันยังไม่ไปถึงไหนเยยย  :a6:




มีนกนางแอ่นอยู่ตัวหนึ่ง บินอยู่เดียวดายท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำ

มันไม่ได้บินหลงฝูง

มันไม่ได้บินหลงทิศ

แต่มันมีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่อยู่ในใจของมัน

มันบินอย่างเดียวดาย ฝ่าสายลม ฝ่าสายฝน ท้าลมพายุ เพราะมันบิน...... เพื่อที่จะตามหารักแท้


ครอบครัวของมัน ต่างมองว่ามันแปลกแยก

เพื่อนฝูง ต่างก็ไม่ใส่ใจ

และสัตว์ป่าอื่นๆที่รู้เรื่องของมัน ก็มองว่าเป็นบ้า

มันอยากจะพูดว่ามันไม่ใส่ใจกับคำครหา....... แต่มีหลายคืนหลายเกินที่มันได้แต่นั่งก้มหน้า และหลั่งน้ำตาเพราะความเดียวดาย


หลายครั้งที่สัตว์อื่นที่หวังดี ต่างเข้ามาพูดคุยกับนกนางแอ่น

บ้างก็ให้กำลังใจ บ้างก็ปลอบโยน และบ้างก็เข้ามาเพื่อพูดเตือนสติ

“รักแท้ ไม่จำเป็นต้องตามหา เพราะว่าสักวัน มันจะมาเอง” นกฮูกชราผู้รอบรู้พูด

“แต่ถ้าเราไม่ไขว่คว้า สิ่งใดเล่าจะมาถึงเราอย่างง่ายดาย” นกนางแอ่นตอบกลับ

“ไขว่คว้ามากเกินไป ไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างหรือ ห่างบ้านและครอบครัวมาไกล ไม่เหงาบ้างหรือไร” กระรอกน้อยถาม

“ความสุขความทุกข์ก็เป็นดั่งรอยเท้าบนผืนทราย ถึงสายลมหรือทะเลจะกลืนมันหายไป แต่เราก็ไม่เคยลืมว่าเราเคยมีมันอยู่เบื้องหลัง”

“ฉันเชื่อว่าเธอจะต้องทำได้ เพราะฉันเองก็เคยทำสำเร็จมาแล้วครั้งหนึ่ง” นกเงือกผัวเมียบอก

“ขอบใจเธอทั้งสองจริงๆ แต่ความรักของเธอมันถูกลิขิตมาอยู่แล้วว่าจะต้องครองคู่กันจนวันตาย ทวาเธอแน่ใจแล้วหรือ ว่าเธอทั้งสองเป็นคนกำหนดมันด้วยตัวเอง”

และสัตว์ทั้งหลายต่างก็จากไป.......

บ้างมา บ้างอยู่ บ้างวนเวียน แต่สุดท้ายแล้ว ก็เหลือเพียงนางแอ่นหนุ่มอยู่เพียงตัวเดียว ไม่เคยเปลี่ยนแปลง......


วันหนึ่งนกนางแอ่นหนุ่มเกาะพักอยู่บนกิ่งไม้ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นนางแอ่นสาวตัวหนึ่งบินอยู่ตามลำพัง

มันดีใจมาก จึงรีบบินเข้าไปไต่ถามทันที

“ทำไมเธอถึงมาบินอยู่ตัวเดียวแบบนี้ล่ะ”

นางแอ่นสาวตอบกลับมาว่ามันหลงฝูง และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

นางแอ่นหนุ่ม จึงอาสาบินไปกับเธอเพื่อตามหาฝูงของนางด้วยกัน

ทั้งสองบินเคียงคู่กันเป็นระยะทางหลายร้อยกิโล และได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวของกันและกันไปตลอดทาง

“ช่างโรแมนติกจริงๆ” นกนางแอ่นสาวพูดเมื่อนางแอ่นหนุ่มเล่าถึงเส้นทางแห่งชีวิตรักของเขา

เขารู้สึกมีความสุขจริงๆ

จนกระทั่งเมื่อนางแอ่นสาวบินตามมาจนพบกับครอบครัวและเพื่อนฝูง

นางก็เอ่ยลานางแอ่นหนุ่มอย่างงายดาย

“เดี๋ยว นี่เธอไม่รู้สึกอะไรระหว่างเราบ้างเลยรึ”

“รู้สึกสิ” นางตอบ “เธออาจเป็นคนที่ใช่ แต่ก็ไม่ใช่คนที่ฉันชอบ”

คืนนั้น นางแอ่นหนุ่มยืนเกาะกิ่งไม้ และก้มหน้าร้องไห้อยู่ตามลำพังอีกเช่นเคย.......


หลายวันถัดมา หลังจากการบินอย่างเหนื่อยล้า นกนางแอ่นเกาะที่พักอยู่บนกิ่งไม้ก็เผลอเป็นลมและล้มลง ตกลงมานอนขาหักไม่ได้สติอยู่บนพื้น

นกพิราบสาวบินผ่านมาเห็น จึงช่วยดูแลจนนางแอ่นหนุ่มฟื้น

“ขอบใจเธอมากนะ” นางแอ่นหนุ่มพูดด้วยความซาบซึ้ง “ถ้าไม่ได้เธอ ฉันคงถูกสัตว์อื่นกินไปแล้ว”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันทำก็เพราะอยากจะทำ ไม่ใช่ต้องการคำขอบคุณสรรเสริญใดๆ เธอมาพักอยู่ที่รังของฉันจนกว่าจะหายดีเถอะ”

นกพิราบสาวมีลูกเล็กอยู่อีกสามตัว เมื่อเดือนก่อน นางเพิ่งเสียสามีไปเพราะมนุษย์ที่ออกมายิงนกเล่นในป่า

นางแอ่นหนุ่มรู้สึกขอบคุณ และชื่นชมพิราบสาวตัวนี้ขึ้นมาอย่างล้นท้น

“เธอช่างแข็งแกร่ง อ่อนโยน และเพียบพร้อมจริงๆ” นางแอ่นหนุ่มพูดกับพิราบสาว ในวันที่ขาของมันหายดีแล้ว

“ถ้าเธอจากไปฉันคงจะเหงาน่าดู เด็กๆก็คงคิดถึงเธอมาก”

“แล้วถ้าฉันไม่ไปจากที่นี่ล่ะ” นางแอ่นหนุ่มตอบ “ฉันรักเธอนะ เธอไม่รู้สึกอะไรกับฉันบ้างเลยหรือ”

นางพิราบสาวยิ้ม “คนที่ชอบ ก็อาจจะไม่ใช่คนที่ใช่เสมอไป”

คืนนั้น นางแอ่นหนุ่มยืนเกาะกิ่งไม้ และก้มหน้าร้องไห้อยู่ตามลำพังอีกเช่นเคย.......


หลายเดือนถัดมา นกนางแอ่นหนุ่มก็ยังไม่ย่อท้อ มันยังคงบินไปตามเส้นทางของมันเพื่อตามหาปลายทางที่มันค้นหา

ท่ามกลาพายุหิมะที่หนาวเหน็บในยามค่ำคืน มันนั่งห่อตัวพองขนอยู่ตามลำพังในโพรงไม้เก่า

จนกระทั่งกลางดึก มันตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงของความเคลื่อนไหวใกล้ๆตัว

“ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะปลุกเธอหรอก” เสียงของผู้มาเยือนดังขึ้นที่ปากโพรง

“เธอเป็นใครกัน”

“ฉันก็คือนกนางแอ่นเหมือนเธอนี่แหละ และก็เป็นเจ้าของโพรงแห่งนี้ด้วย”

“อ้าว ฉันไม่รู้มาก่อนว่าที่แห่งนี้มีคนจองอยู่ก่อนแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันจะรีบไป.......”

“ไม่ต้องหรอก พักอยู่ที่นี่ก่อนเถอะ ข้างนอกนั้นหนาวจะตาย เธออาจจะแข็งตายได้นะ”

นกนางแอ่นหนุ่มรับคำเชิญ และทั้งสองก็นอนหลับลงไปโดยไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก

เช้าวันต่อมา พายุยังคงพัดโหมกระหน่ำ ทั้งสองตัวเริ่มพูดคุยกัน และตกลงกันว่าจะผลัดกันบินออกไปหาาอาหาร ในขณะที่อีกตัวหนึ่งคอยเฝ้ารัง

ตอนแรกนกนางแอ่นหนุ่มรู้สึกเหนื่อยล้าและท้อใจมากจนไม่อยากจะพูดคุยหรือพบปะกับใครอีกแล้ว

แต่เมื่อพายุหิมะยังคงพัดโหมกระหน่ำ มันจึงเริ่มพูดคุย และเล่าเรื่องของมันให้นกนางแอ่นเจ้าถิ่นฟังทีลละน้อยๆ

“น่าแปลกจริงเชียว”

“อะไรรึ” นางแอ่นหนุ่มสงสัย

“เพราะฉันเองก็แยกออกจากฝูงมาเพื่อตามหาคนรักของฉันเหมือนกันน่ะสิ”

หัวใจของนางแอ่นหนุ่มพองโตขึ้นมาอีกครั้งทันที

สามวันผ่านไป พายุยังคงโหมกระหน่ำ ภายนอกนั้นช่างหนาวเหน็บ แต่ภายในโพรงของทั้งคู่นั้นกลับอบอุ่นกว่าสิ่งไหน

จนเมื่อถึงวันที่ห้า พายุยังคงโหมกระหน่ำ  และดูเหมือนว่าจะเลวร้ายกว่าทุกๆวัน

คราวนี้ถึงคิวของนกนางแอ่นเจ้าถิ่น คนรักของนางแอ่นหนุ่ม ที่จะต้องออกไปหาอาหารบ้างแล้ว

แต่ทว่า.....  แม้พระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้าไปแล้ว คนรักของมันก็ยังคงไม่กลับมา

จากวันเป็นคืน จากคืนเป็นวัน สามวันแล้วที่มันยังคงเฝ้ารอแต่ก็ไร้ซึ่งวี่แว่ว.......

ความเป็นจริงอันโหดร้ายที่ถูกเก็บไว้ในใจของนางแอ่นหนุ่มเริ่มชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง

ความจริงที่ว่าคนรักของมันจากไปแล้ว และคงจะไม่มีวันหวนกลับคืนมาอีกไม่ว่าอย่างไรก็ตาม

“คนที่ใช่ และเป็นคนที่ชอบ แต่ก็ไร้ซึ่งวาสนา ที่จะได้อยู่เคียงกัน”

คืนนั้น นางแอ่นหนุ่มยืนเกาะกิ่งไม้ และก้มหน้าร้องไห้อยู่ตามลำพังอีกเช่นเคย.......


หลายปีผ่านไป เรื่องราวของนกนางแอ่นหนุ่มยังคงถูกเล่าขาน

ไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องราวของมันเป็นอย่างไร

บ้างว่ามันตายเพราะความหนาวเหน็บ

บ้างว่ามันออกบินเพื่อตามหารักแท้ต่อ

บ้างว่ามันตรอมใจตายอย่างลำพัง

บ้างว่ามันบินขึ้นสู่ดวงจันทร์ เพื่อตามหารักนิรันดร์ของมัน ณ บนฟากฟ้า

เรื่องราวของนกนางแอ่นหนุ่มกลายเป็นนิทานที่ถูกเล่าต่อ และเป็นอุทธาหรณ์ สู่ชนรุ่นหลังมากมาย

บ้างสอนลูกหลานว่า ให้รักเดียวใจเดียว อย่าได้รักง่ายหน่ายเร็ว

บ้างสอนว่า จงรักครอบครัวให้มากกว่าหญิงใดหรือชายใด

บ้างสอนให้รู้จักพอ อย่าได้ไขว่คว้าเกินตัว

แต่สุดท้ายแล้วทุกสิ่งในทุกๆตอนจบ ก็เป็นเพียงสิ่งที่ถูกเสริมเติมแต่ง หาได้มีใครรู้ความเป็นจริงไม่

นกฮูกชราผู้รอบรู้ เงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ รำพึงรำพันกับตัวเอง พร้อมน้ำตาหนึ่งหยดที่ไหลริน

“คนที่รักยิ่ง อาจไม่ใช่คนที่ครองคู่ด้วยกันได้ แต่คนที่ครองคู่ด้วยกันตราบจนวันตาย ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่รักมากที่สุดเสมอไป.......”




ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
 :o12: :o12: อ่านแล้ว สุข เศร้า ปนกันยังไงไม่รู้  o7 o7 o7

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
เมฆกะซันไม่ได้อ่าน กลับต้องมาอ่านเรื่องเศร้า สงสารนกนางแอ่นหนุ่มเหลือเกิน
 :o12: :o12: :o12: :o12:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1

HiRuMa

  • บุคคลทั่วไป
ชอบมากมายอ่าครับ

ทุกเรื่องเลย

ทำให้ร้องไห้และอมยิ้มได้^^

patz

  • บุคคลทั่วไป
หลากรส หลากอารมณ์จริงๆครับ ชอบมากๆเลย

 :L2:

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
Thankssss krub.
อ่านแล้วได้ใจทุกเรื่องเลยครับ

Ramika

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ rainy_naja

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-5
merry★ 。 • ˚ ˚ ˛ ˚ ˛ •
•。★Christmas★ 。* 。
° 。 ° ˚* _Π_____*。*˚
˚ ˛ •˛•*/______/~\。˚ ˚ ˛
˚ ˛ •˛• | 田田|門| ˚★ 。 • ˚ ˚ ˛ ˚ ˛ •
Jaaaaaaaa \\(^^)//

mo-no

  • บุคคลทั่วไป
อ่านแล้วเหนื่อย
เดี๋ยวเศร้า เดี๋ยวยิ้ม
เดี๋ยวร้องไห้ ครบทุกอารมณ์

ออฟไลน์ dragonnine

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 504
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-16
อ่านจบแล้วครับเรื่องสั้น ของคุณต้น มีทั้งเศร้า เหงา และสุข

เสียดายที่ผมมาอ่านช้า และไม่ได้ครอบครองหนังสือเรื่องสั้นเล่มนี้

fayala

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องมีแง่คิดดีค่ะ แต่ส่วนใหญ่จะเศร้าน้า. .T___T
+1 ให้นะคะ

ออฟไลน์ LittlePrince

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
เพิ่งเห็น เพิ่งได้อ่าน และเพิ่งมีความสุขไป ขอบคุณอีกครั้งสำหรับเรื่องดีๆครับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด