พิมพ์หน้านี้ - |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ExecutioneR ที่ 27-09-2007 17:15:50

หัวข้อ: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 27-09-2007 17:15:50
กระทู้นี้ผมตั้งใจจะรวมเรื่องสั้นหลายๆอารมณ์ไว้นะครับ (หวังว่าน่าจะได้หลายอารมณ์นะ)
อาจจะตอนเดียวบ้าง สองตอนบ้าง แต่จะพยายามไม่ให้ยาวจนเกินไป
อาจจะได้เห็นมุมมองอื่นๆหลายๆมุมของความรักดู..........
ยังไงก็แนะนำติชมได้นะครับ เพราะนี่เป็นการท้าท้ายตัวผมเองที่เขียนอะไรก็ออกมายาวๆทุกทีประจำเองด้วย

ขอบคุณค้าบบบ



จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........


เมื่อครั้งแรกที่ผมรู้จักกับพี่เอกนั้นผมอายุได้ราวๆสิบปี เขามีอายุมากกว่าผมสองปีและเป็นลูกบุญธรรมของครอบครัวที่อาศัยอยู่บ้านฝั่งตรงข้ามกับบ้านใหม่ของผม ตั้งแต่แรกที่ผมได้รู้จักกับเขานั้นเราก็เข้ากันได้ดีมาก แต่ที่จริงแล้ว ผมคิดว่าผมนั้นตกหลุมรักเขาไปแล้วเลยมากกว่า เพียงแต่ว่าผมยังเด็กเกินไปที่จะรู้ตัวก็เท่านั้นเอง แต่เมื่อเวลาผ่านไปสองปี ผมก็เริ่มที่จะรู้แล้วว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อเขานั้นจริงๆแล้วมันคืออะไร.........

เมื่อตอนที่พี่เอกอายุสิบสี่ เขาก็สูงถึงร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตร บวกกับการที่เขาเป็นคนหน้าตาดีมากอยู่แล้ว มันจึงไม่แปลกเลยที่ผมจะยิ่งรู้สึกหลงใหลในตัวเขามากขึ้นไปอีก เขาเป็นนักกีฬาโรงเรียนและเรียนดี เขาคือต้นแบบทุกๆอย่างสำหรับผมที่ผมฝันอยากจะโตขึ้น เราสองคนเป็นเพื่อนเล่นและเป็นพี่น้องที่สนิทกันมาก เขามักจะมาเที่ยวเล่นและค้างคืนที่บ้านของผมอยู่บ่อยๆ เขาเป็นคนที่ใจดี อบอุ่น และเป็นผู้นำมาก ผมไม่เคยรู้สึกอยู่ใกล้กับผู้ชายคนไหนแล้วจะรู้สึกมีความสุขและถูกปกป้องได้เท่ากับเวลาที่ผมอยู่ใกล้กับพี่เอกเลย และที่ยิ่งไปกว่านั้น พี่เอกเองก็ดูเหมือนจะรักผมมากด้วยเช่นกัน เขามักจะชวนผมไปเที่ยวเล่นและคอยดูแลผมอยู่ตลอด นอกจากนั้นแล้วเขายังไม่เคยมีท่าทีรำคาญหรือไม่พอใจเวลาที่ผมไปป้วนเปี้ยนอยู่กับเขาเลยด้วย

พ่อกับแม่ของผมก็รู้ดีว่าผมนั้นสนิทกับเขามาก จนกระทั่งวันหนึ่งพ่อของผมก็เดินเข้ามาพูดคุยกับผมในเรื่องนี้

“ลูกชอบเขามากเลยใช่มั๊ย อาร์ท”

ผมรู้สึกว่าใบหน้าของผมร้อนผ่าวขึ้นมาทันที “ครับพ่อ พี่เขานิสัยดีออกจะตาย”

“เขาก็ดูเป็นเด็กดีจริงๆล่ะนะ แล้วเขาดีกับลูกมากรึเปล่า”

“ดีมากเลยครับพ่อ เขาเป็นเหมือนกับพี่ชายแท้ๆของผมเลยล่ะ”

“นั่นก็ดีแล้ว แต่พ่ออยากจะบอกลูกอย่างนึงนะว่า พ่อดีใจที่ลูกมีเพื่อนเล่นที่ดี และอย่างที่ลูกคิด ลูกอาจจะนับถือเขาเป็นเหมือนพี่ชายของลูกเลยทีเดียว พ่อกับแม่ไม่ว่าในเรื่องนั้นหรอก เพราะว่าเราก็ไม่สามารถที่จะมีน้องชายหรือน้องสาวมาเป็นเพื่อนเล่นให้กับลูกได้อีกแล้ว แต่ว่าจำเอาไว้นะลูก เอกน่ะ เขากำลังโตขึ้นเรื่อยๆ เขาเองก็คงเห็นลูกเป็นเหมือนน้องชายคนหนึ่งเหมือนกัน แต่ในขณะที่เขากำลังโตขึ้นอยู่นี่ สักวันนึงเขาก็อาจจะไปมีกลุ่มเพื่อนของเขา อาจจะไปให้ความสนใจในเรื่องอื่นๆมากขึ้น อาจจะเริ่มคบกับเพื่อนผู้หญิง และคงมีเวลามาเล่นกับลูกน้อยลง ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กผู้ชายอยู่แล้ว ลูกเข้าใจในเรื่องนี้มั๊ย”

ผมไม่คิดว่าผมจะเข้าใจมันเท่าใดนัก แต่ผมก็พยักหน้าตอบพ่อกลับไปพร้อมรอยยิ้ม

และแล้วในคืนหนึ่ง จุดเริ่มต้นของบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงผมกับเขาไปตลอดกาลก็เกิดขึ้น คืนนั้นพี่เอกมานอนกับผมที่บ้านเหมือนตามปกติ เราพูดคุยกันในหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องโรงเรียน เรื่องกีฬา เรื่องเพื่อน และสุดท้ายเราก็วกเข้ามาถึงเรื่องผู้หญิง....... หรือเรื่องทางเพศนั่นเอง พี่เอกอธิบายให้ผมฟังถึงสิ่งที่ผมเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตัวเอง ผมไม่กล้าที่จะถามพ่อของผมหรอก และผมก็ไม่เคยกล้าที่จะถามพี่เอกในเรื่องนั้นด้วย แต่เมื่อเราเริ่มคุยกันเรื่องพวกนี้ ผมก็มีความกล้าที่จะซักถามถึงข้อสงสัยของผมเองมากขึ้นด้วยเช่นกัน

“มันเป็นเรื่องธรรมดาน่า ตอนพี่อายุเท่าเรา พี่ก็มีขนขึ้นตรงนั้นเหมือนกัน”

“แล้วมันจะหยุดยาวขึ้นมั๊ยอ่ะครับ” ผมถามออกไป “ผมต้องคอยตัดมันเหมือนตัดผมรึเปล่า”

พี่เอกหัวเราะออกมาทันที “ไม่ต้องหรอก อาร์ม แต่ถ้าอยากจะตัดจะเล็มให้มันดูดีขึ้นก็ทำได้ พี่เองก็เล็มมันเหมือนกัน”

“จริงเหรอ พี่เอกตัดขนตรงนั้นจริงๆเหรอ แล้วทำยังไงอ่ะ ไม่กลัวกรรไกรตัดพลาดไปโดนไอ้นั่นเข้าเหรอ”

“ไม่โดนหรอก เวลาจะทำอะไรกับตรงส่วนนั้นน่ะ เราก็ต้องระมัดระวังให้มันดีๆสิ นั่นน่ะ เป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดของผู้ชายเลยนะ ไม่ว่าจะตอนล้าง ตอนทำความสะอาดก็ต้องดูแลให้ถูกวิธี ไม่งั้นผู้หญิงก็คงไม่ชอบกันพอดี”

ตอนนั้นผมไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่พี่เอกพูดเท่าใดนัก ผมถามคำถามเขาออกไปหลายอย่าง พี่เอกก็คอยตอบและอธิบายเรื่องเพศให้ผมฟังหลายเรื่อง ทั้งเรื่องสุขอนามัย เรื่องการมีเพศสัมพันธ์ของชายและหญิง และการหลั่งน้ำอสุจิเวลาช่วยตัวเองอีกด้วย ขณะที่ผมฟังสิ่งที่พี่เอกเล่านั้น ผมก็รู้สึกถึงความรู้สึกแปลกๆที่อยู่ภายใต้กางเกงนอนของตัวเองอยู่ตลอดเวลา แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะบอกหรือแสดงออกให้เขารู้ ผมจึงได้แต่นอนคว่ำแล้วก็เก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้จนกระทั่งผมผล็อยหลับไป

ในคืนหนึ่งสองสามวันหลังจากนั้น ผมก็กล้าถามสิ่งที่ผมสงสัยอยู่ออกไปจนได้ และสิ่งหนึ่งก็นำพาไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง พี่เอกถอดกางเกงโชว์อวัยวะส่วนนั้นของเขาให้ผมดู จากนั้นเขาก็เอื้อมมือมาดึงกางเกงของผมลงไปแล้วก็สอนวิธีชักว่าวให้กับผม ตอนแรกผมก็ไม่กล้าที่จะจับของเขา แต่เมื่อพี่เอกอนุญาต เราสองคนก็ช่วยกันทำให้กันและกันจนผมได้รู้จักกับการหลั่งออกมาเป็นครั้งแรกในชีวิต

“รู้สึกยังไงบ้าง” พี่เอกถามพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า ซึ่งมันช่วยให้ผมรู้สึกคลายกังวลไปได้มากเลยทีเดียว

“มัน..... มันรู้สึกแปลกๆนะครับตอนที่น้ำนี่มันจะออกมาอ่ะ แต่ก็เสียวสุดยอดไปเลย ผมอยากทำอีกนะ”

“แน่นอน เดี๋ยวเราก็ต้องได้ทำกันอีกแน่” พี่เอกยิ้มกว้าง

“จริงๆเหรอ เดี๋ยวพี่เอกจะทำกับผมอีกจริงๆนะ” ผมตาโต รู้สึกดีใจที่ได้ยินเขาพูดออกมาแบบนั้น

“แต่ไม่ใช่คืนนี้นะ ไว้พรุ่งนี้ก่อน แต่ว่าคราวนี้พี่จะสอนวิธีทำอย่างอื่นที่เสียวยิ่งกว่าใช้มือธรรมดาๆอีก”

“มันมีแบบนั้นด้วยเหรอ ถ้าไม่ใช้มือแล้วจะใช้อะไรล่ะ” ผมสงสัย

“เอาเถอะ เอาไว้พรุ่งนี้เดี๋ยวก็รู้” พี่เอกลุกขึ้นยืนไปหยิบทิชชู่มาทำความสะอาดร่างกายของเราสองคน จากนั้นเราสองคนก็นอนกอดกันจนหลับไป ก่อนที่ผมจะจมลึกสู่ห้วงนิทรานั้น ผมรู้สึกว่านี่เป็นคืนที่ผมนอนแล้วรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขที่สุดในชีวิตเลยทีเดียว

คืนต่อมาพี่เอกก็ทำอย่างที่เขาพูดเอาไว้เมื่อคืนจริงๆ ตอนนั้นผมไม่รู้เรื่องของการมีเพศสัมพันธ์ของชายกับชายเลยแม้แต่นิดเดียว ผมรู้จักคำว่าเกย์กับกะเทยก็จริง แต่ผมก็นึกไปถึงพวกผู้ชายที่มีท่าทางตุ้งติ้งและแสดงออกเหมือนกับผู้หญิง และพี่เอกก็ไม่ใช่อะไรแบบนั้นเลยด้วย ผมไม่เคยรู้ว่าสิ่งที่ผมกับพี่เอกกำลังจะทำนั้นเป็นสิ่งที่ผิดปกติจากสิ่งที่ผู้ชายทั่วไปควรจะทำ แต่ผมก็รู้โดยสัญชาตญาณว่าผมไม่ควรจะเอาเรื่องนี้ไปบอกกับใครเด็ดขาด

“โอโห แข็งรออยู่แล้วเลยเหรอเนี่ย” พี่เอกพูดขึ้นเมื่อเขาคว้าเข้ามาที่เป้ากางเกงของผม

“แข็งตั้งแต่เห็นหน้าพี่เอกเมื่อตอนเย็นแล้วครับ” ผมหัวเราะเบาๆแล้วตอบออกไปตามความเป็นจริง

“ถ้างั้นก็พร้อมแล้วใช่มั๊ย.......” พี่เอกชะโงกมากระซิบเข้าที่รูหูของผม และมันทำให้ผมต้องบิดตัวแอ่นเพราะความเสียวบวกกับความจักจี๋เล็กน้อย “ว่าแต่ได้ล้างแบบที่พี่สอนรึเปล่า”

“ล้างครับ สะอาดสุดๆเลยด้วย ผมดึงหนังลงมาแล้วล้างอย่างที่พี่เอกสอนทุกอย่าง”

“ดีมาก......” พี่เอกซุกหน้าลงที่ซอกคอของผมแล้วค่อยๆไล่ต่ำลงไปเรื่อยๆจนถึงตรงขอบกางเกง จากนั้นเขาก็ดึงกางเกงของผมลงแล้วก็ใช้ปากครอบเข้าที่น้องชายของผม

ผมสะดุ้งเฮือกแล้วก็ร้องครางออกมาเพราะความเสียวแบบสุดๆทันที พี่เอกจึงต้องถอนปากออกแล้วเงยหน้าขึ้นมาเอานิ้วจุ๊ปากบอกให้ผมเงียบเสียงไว้ ผมยอมทำตามแต่โดยดีขอแค่ให้เขารีบๆก้มหน้ากลับลงไปตรงนั้นก็พอแล้ว และทันทีที่พี่เอกกลับลงไปใช้ปากให้กับผมต่อ ไม่ถึงสองนาทีถัดมา เพราะความเสียวแบบสุดๆที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในชีวิต ผมก็รู้ตัวแล้วว่าจุดสุดยอดแบบเมื่อคืนนั้นกำลังก่อตัวขึ้นมาแล้ว

“พี่เอก ผมจะแตกแล้วนะครับ” ผมร้องออกมาอย่างยากลำบาก แต่เขาก็ยังไม่ยอมถอนปากออก กลับกัน เขากลับยิ่งเร่งจังหวะและใช้ลิ้นมากขึ้นด้วยซ้ำ จนสุดท้ายผมก็ไม่สามารถอั้นมันไว้ได้อีกต่อไป ผมฉีดน้ำรักเข้าไปในปากของพี่เอกอย่างรุนแรง และเขาก็ทำในสิ่งที่ผมไม่ได้คาดคิด นั่นก็คือเขากลืนมันลงคอไปหมดจนหยดสุดท้ายเลย

“ไง เสียวกว่าใช้มือมั๊ย” พี่เอกคลานกลับขึ้นมาบนตัวของผมแล้วหอมแก้มผมเบาๆ

“สุดๆเลยครับพี่ แต่พี่กลืนมันลงไปหมดเลยเหรอ น้ำนั่นมันกินได้เหรอน่ะ”

“ได้สิ แถมน้ำของอาร์มยังอร่อยมากอีกด้วยรู้รึเปล่า” พี่เอกยิ้มกว้าง

“แล้วน้ำของพี่ล่ะเป็นยังไง พี่เคยชิมของตัวเองรึเปล่า”

เอกส่ายหน้า “ไม่อ่ะ แต่ว่าอาร์มอยากจะลองชิมดูมั๊ยล่ะ”

ผมยิ้มกว้างแทนคำตอบ จากนั้นก็เลื่อนตัวลงไปด้านล่างของเขา พี่เอกพลิกตัวเป็นนอนหงายจากนั้นก็ดึงกางเกงของตัวเองลง ผมพยายามใช้ปากให้ได้แบบที่เขาทำให้กับผม ตอนแรกมันก็ทุลักทุเลนิดหน่อย พี่เอกจะคอยบอกผมอยู่ตลอดว่าให้เก็บฟันยังไง และใช้ลิ้นแบบไหน จนในที่สุดผมก็เริ่มชินกับมันมากขึ้นและพี่เอกก็ร้องครางอย่างพึงพอใจออกมามากขึ้นเรื่อยๆด้วย และไม่นานนัก ผมก็ได้ลิ้นชิมรสชาติของน้ำรักของพี่เอกด้วยเช่นกัน

เมื่อพี่เอกฉีดน้ำหยดสุดท้ายลงคอของผมไปแล้ว เขาก็ดึงตัวผมกลับขึ้นมานอนข้างๆอีกครั้ง

“เป็นไงมั่ง รสชาติของพี่”

“เค็มๆหวานๆ ขมนิดๆน่ะครับ แต่ก็โอเคนะ เพราะมันเป็นของพี่เอกนี่”

พี่เอกยิ้มกว้าง จากนั้นก็จูบลงบนหน้าผากของผมเบาๆ “เก่งมากๆเลย อาร์ม พี่มีความสุขมากเลยรู้มั๊ย”

“ผมทำให้พี่มีความสุขได้จริงๆเหรอครับ พี่เอกชอบไอ้ที่ผมทำไปเมื่อกี๊จริงๆเหรอ” ผมถามอย่างตื่นเต้น เพราะการที่รู้ว่าผมได้ทำให้ผู้ชายคนนี้มีความสุข มันเป็นสิ่งที่จะทำให้ผมภูมิใจและรู้สึกดีมากที่สุดเลยทีเดียว

“แน่นอน อาร์มเก่งมาก และที่สำคัญ ก็เหมือนที่อาร์มพูดนั่นแหละ เพราะเป็นอาร์มทำให้พี่ พี่ถึงได้มีความสุขมากที่สุดเลย........” เมื่อพูดจบ พี่เอกก็ดึงตัวผมเข้าไปกอดแน่นขึ้นอีกจากนั้นก็ประทับจูบลงบนริมฝีปากของผม ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยขึ้นสวรรค์ไปเลยทีเดียว “พี่รักอาร์มนะครับ”

“ผมก็รักพี่เอกครับ.......” ผมตอบกลับไปด้วยความสุขและความอบอุ่นที่สุดในชีวิตเลยทีเดียว

หลังจากคืนนั้นเป็นต้นมา ผมกับพี่เอกก็มักจะทำแบบนี้ด้วยกันอยู่เรื่อยๆเท่าที่เรามีโอกาส ผมรู้ตัวแล้วว่าผมรักเขาคนนี้มาก และผมก็คิดว่าเขาเองก็รู้สึกแบบเดียวกันกับผมเช่นกัน จากเริ่มแรกที่ใช้มือ ไปสู่การใช้ปาก และในที่สุด เขาก็สอนผมถึงการมีเพศสัมพันธ์ทางกายอย่างลึกซึ้ง ผมได้เอาเขาก่อนเป็นครั้งแรกก่อนที่เขาจะขอทำแบบเดียวกันกับผมบ้าง และแน่นอนว่าผมก็ยินดีมอบมันให้แก่เขาด้วย

คืนหนึ่งหลังจากที่ผมกับพี่เอกมีอะไรกัน เช้าวันต่อมา พ่อของผมก็เข้ามาปลุกผมในสภาพที่ผมนอนเปลือยท่อนบนและวางหัวอิงอยู่บนหน้าอกของพี่เอกอยู่ พ่อเองก็ดูไม่มีปัญหาอะไรและเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดดี ผมยังจำถึงรอยยิ้มของพ่อที่เข้ามาดึงตัวผมให้ลุกออกจากตัวของเขาและบอกให้ผมรีบไปอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียนได้ดีทีเดียว

ตลอดสองปีถัดมา ผมมีความสุขมากจริงๆ ผมนั้นรักพี่เอกมากไปแล้ว มากแบบสุดๆเท่าที่ผมเคยรู้สึกให้กับใครคนอื่นเลยทีเดียว แต่บางสิ่งบางอย่างก็ดูผิดปกติไปสำหรับพี่เอก เมื่อเขาอายุได้สิบหกปี เขาก็ดูจะกลายเป็นคนเก็บตัวมากขึ้นเรื่อยๆ เขาเริ่มตีตัวออกห่างจากผม เริ่มมีอารมณ์แปรปรวน และบางครั้งเขาก็หายตัวออกจากบ้านทีเดียวไปเป็นเวลาหลายวัน พ่อแม่บุญธรรมของเขากังวลเรื่องนี้มาก และแน่นอนว่าผมเองก็เช่นกัน ผมไม่รู้ว่าผมควรจะทำยังไง และไม่มีใครที่ผมจะพูดเรื่องนี้ด้วยได้ด้วย บางครั้งเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน พี่เอกก็ดูจะกลับมาเป็นพี่เอกคนเดิม เรามักจะร่วมรักกัน พูดคุยกัน นอนกอดกันตามปกติ แต่ช่วงเวลาเหล่านั้นมันก็เริ่มลดน้อยลงไปเรื่อยๆๆ

ตอนแรกผมคิดว่ามันคือสิ่งที่พ่อของผมเคยบอกผมไว้เมื่อสองสามปีก่อน ที่พ่อบอกว่าบางทีเขาอาจจะเริ่มติดเพื่อนหรือไปสนใจในเพศตรงข้าม แต่ผมก็ไม่เห็นว่าเขาจะมีความสนใจผู้หญิงคนไหนเลยจริงๆ นอกจากนั้นผมยังสังเกตว่าเขาเริ่มดื่มเหล้าด้วย ที่จริง เขาดื่มหนักมาก ผมไม่รู้ว่าเขาไปเอาเหล้าเบียร์พวกนั้นมาจากไหน แต่บางทีเขาก็คงเอามาจากเพื่อนๆที่โรงเรียนนั่นเอง

ผมไม่ได้เล่นกีฬาอะไรเป็นพิเศษ แต่เมื่อมีการแข่งขันฟุตบอลที่พี่เอกต้องล่งแข่ง ผมก็มักจะหาเวลาไปดูและไปเชียร์ทุกครั้ง และสิ่งที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำก็คือ เขาจะใช้เวลาอยู่กับเพื่อนๆในทีมมากเป็นพิเศษแล้วก็เมินเฉยผมไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาเคยบอกผมหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าเรื่องระหว่างเราต้องเป็นความลับ และเขาก็ไม่อยากทำตัวผิดสังเกตให้ใครรู้ด้วย ผมยอมทำตามที่เขาพูดทุกอย่างเพราะว่านั่นมันเป็นสิ่งที่เขาต้องการ ถึงแม้ภายในใจของผมมันจะเจ็บช้ำมากเหลือเกิน.........

ในที่สุด คืนที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของผมก็เกิดขึ้น และมันก็เริ่มต้นเหมือนกับคืนที่ผมมีความสุขที่สุดเลยด้วย พ่อแม่ของผมกำลังจะออกไปร่วมงานเลี้ยงของเพื่อนคนหนึ่งของพวกเขาและจะไม่กลับมาจนกว่าจะดึกมาก ผมกับพี่เอกกำลังทำการบ้านอยู่ในห้องของผมเหมือนกับปกติ แต่ส่วนมากแล้วเราก็เอาแต่นั่งเล่นและพูดคุยกันมากกว่า จนเมื่อพ่อกับแม่ของผมออกจากบ้านไป พี่เอกก็หยิบเบียร์ออกมาจากกระเป๋าของเขาแล้วก็หยิบบุหรี่ออกมาอีกหนึ่งซองด้วย ผมไม่เคยดื่มเหล้าและสูบบุหรี่มาก่อนและมันก็ทำให้ผมกลัวและกังวลมาก แต่พี่เอกยืนยันกับผมว่ามันจะทำให้ผมมีความสุขและทำให้เราสามารถมีอะไรกันได้ยาวนานมากขึ้นด้วย

ผมดื่มเบียร์นิดหน่อยจนพอรู้สึกมึนๆแต่ปฏิเสธเรื่องบุหรี่ พี่เอกเองก็เริ่มเมามากแล้วด้วยเช่นกัน เราสองคนเริ่มต้นเปลื้องผ้าของกันและกันและเริ่มต้นร่วมรักกันตามปกติ เราสองคนต่างผลัดกันทำให้กันในทุกๆอย่างที่เราทำได้ เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว เราก็นอนแผ่หลาอยู่บนเตียงเพราะความเหนื่อยอ่อน แต่แล้วพี่เอกก็ฝังหน้าของเขาลงบนหน้าท้องของผมแล้วก็เริ่มต้นร้องไห้ ผมไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อนเลย และมันก็ทำให้ผมรู้สึกใจหายมากด้วย ผมพยามจะกอดและปลอบโยนเขาในขณะที่ตัวของเขาสั่นไหวไปตามแรงสะอื้น ผมไม่รู้เลยจริงๆว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่

ในที่สุดเขาก็หยุดร้องไห้แล้วก็ผลักผมออกไป ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆว่านี่มันเรื่องอะไรกัน จากนั้นเขาก็พูดว่าเขาต้องหยุดทำแบบนี้ได้แล้ว เขาบอกว่าเราต้องหยุดทำอะไรแบบนี้กันสักที ที่จริง เราไม่ควรจะได้เจอกันอีกเลยด้วยซ้ำ ผมรู้สึกราวกับตัวเองกำลังร่วงหล่นลงไปในหุบเหวลึกเลยทีเดียว ผมรู้สึกอยากจะร้องไห้ แต่ผมก็ช็อคมากเกินไปที่จะทำแบบนั้นได้

พี่เอกเริ่มเดินวนไปเวียนมารอบห้องแล้วก็พร่ำเพ้อพูดถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเขาไม่ต้องการจะ “ผิดเพศ” เขาอยากจะรักและมีอะไรกับผู้หญิง เขาอยากจะเป็น “ปกติ” เขาอยากจะมีชีวิตปกติเหมือนกับคนทั่วๆไป เขาบอกว่าเขาไม่อยากจะเป็นแบบนี้อีกแล้ว และบอกผมว่าถ้าเรายังคบกันแบบนี้ต่อไป เขาก็คงไม่สามารถเลิกเป็นแบบนี้ได้แน่

จากนั้นเขาก็เริ่มต้นร้องไห้อีกครั้ง ผมเดินไปหาเขา อยากจะปลอบโยนเขาให้เขารู้สึกดีขึ้น แต่เขาก็ผลักผมออกไปอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาผลักผมแรงมากจนกระทั่งผมกระเด็นไปหัวกระแทกเข้ากับขอบโต๊ะเขียนหนังสือและสลบไป.........

เมื่อผมฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง พี่เอกก็หายไปแล้ว เลือดกำลังไหลลงจากจากหัวของผม และพ่อแม่ของผมก็กำลังห้อมล้อมรอบตัวผมอยู่ พ่อของผมยกตัวผมขึ้นด้วยความช่วยเหลือของแม่ พวกเขาสองคนหยิบเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นมาสวมให้แก่ผมจากนั้นก็ขับรถพาผมไปโรงพยาบาล เลือดที่ไหลออกมานั้นมันก็แค่มาจากแผลเจาะนิดหน่อยเท่านั้น แต่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ยอมปล่อยตัวผมกลับบ้านจนกว่าจะวันรุ่งขึ้น

เมื่อพ่อกับแม่พาผมกลับบ้านแล้ว พ่อกับแม่ของพี่เอกก็กำลังรอเราอยู่เช่นกัน พวกเราทุกคนนั่งลงในห้องนั่งเล่นและพ่อก็เริ่มซักถามผมทันที

“เมื่อคืนนี้มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมหัวถึงได้กระแทกแบบนั้น”

“มันไม่มีอะไรจริงๆครับพ่อ ผมสาบาน” ผมตอบ พยายามจะหลีกเลี่ยงชื่อของพี่เอกออกไปให้มากที่สุด

“เอกทำร้ายลูกรึเปล่า” พ่อถามออกมาห้วนๆ

“เปล่าครับ!!” ผมตอบออกไปด้วยความโกรธ

“ถ้าอย่างนั้นมันเกิดอะไรขึ้นล่ะ”

“ตอนนั้นพี่เอกเขากำลังมีเรื่องไม่สบายใจ ผมก็พยายามจะปลอบเขา แต่เขาก็ผลักผมออกไปแล้วผมก็เลยลื่นล้ม มันก็แค่นั้นเองครับ มันไม่ใช่ความผิดของเขานะพ่อ เขาไม่ได้ตั้งจะทำร้ายผมหรอก เขาไม่มีทางคิดจะทำร้ายผมเด็ดขาด!” ผมร้องออกไป

“อาร์มเห็นเอกครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่เหรอลูก” พ่อของพี่เอกถามผม

“ผมสลบไปน่ะครับ แต่พอผมฟื้นขึ้นมาพี่เขาก็ไม่อยู่แล้ว” ผมตอบ

“งั้นก็แปลว่าเมื่อคืนอาร์มไม่ได้เจอเขาอีกเลยใช่มั๊ย” พ่อของผมถาม

“เปล่าครับ พ่อ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ พี่เอกอยู่ไหน อย่าบอกนะว่าเขาหนีอกจากบ้านไป” ผมเริ่มรู้สึกกลัวและกังวลมากขึ้นมาทันที

พ่อแม่ทั้งสี่คนมองหน้ากันและกันโดยที่ไม่ยอมสบตากับผม นี่มันไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ไม่ใช่เรื่องดีเลยจริงๆ

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ! เกิดอะไรขึ้นกับพี่เอก!!” ผมลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนออกไปเพราะความหวาดกลัว

พ่อของผมเดินตรงเข้ามาหาผมแล้วดึงตัวผมเข้าไปกอดเอาไว้ เขากอดผมแน่นมากและเริ่มพูดกับผมเบาๆ

“อาร์ม บางครั้งเรื่องบางเรื่องมันก็เกิดขึ้นได้โดยที่ไม่มีใครคาดคิดนะลูก บางครั้งคนเราก็ทำในสิ่งที่เราไม่รู้ว่าเพราะอะไร จริงๆแล้วพ่อก็อยากจะบอกลูกด้วยวิธีอื่นที่ดีกว่านี้หรอกนะ แต่ก็ดูท่าว่ามันคงไม่มีหนทางอื่นนอกจากบอกลูกออกไปตรงๆเท่านั้น........ เอกเขาฆ่าตัวตายไปแล้วเมื่อคืนนี้ เขาใช้ปืนของพ่อเขายิงตัวตาย กว่าจะมีใครไปพบเขา เขาก็จากไปแล้ว”

ผมมองหน้าพ่อของผมอย่างคาดหวัง........ คาดหวังว่าพ่อของผมจะกำลังล้อผมเล่น คาดหวังว่านี่มันไม่ใช่เรื่องจริง แต่ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ สีหน้าของพ่อผมนั้นไม่ได้แปลว่าเขากำลังล้อผมเล่นอยู่ ผมกรีดร้องออกมาอีกครั้งและนั่นก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจำได้.........

ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากนั้นเกือบหนึ่งวันเต็มๆ พ่อของผมกำลังนั่งอยู่ข้างเตียง เมื่อผมลืมตาตื่นขึ้นมาผมก็หวังไว้ว่าที่ผ่านมาทั้งหมดนั้นจะเป็นเพียงฝันร้าย เป็นแค่เพียงฝันร้ายและผมก็จะได้พบหน้าพี่เอกอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นสีหน้าของพ่อแล้ว ผมก็รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นความจริง....... พี่เอกตายไปแล้ว เขาจากผมไปแล้ว ด้วยน้ำมือของเขาเอง......... การที่เขารักผมเป็นสาเหตุที่ทำให้เข้าต้องตาย การที่มีผมอยู่ทำให้เขาต้องจบชีวิตตัวเองลงแบบนั้น ผมก็อยากจะตายไปให้พ้นๆซะด้วยเหมือนกัน! มันไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้วนี่!

“พ่อรู้ว่าลูกรักเอกเขามากแค่ไหน........” พ่อของผมพูด “เขาทิ้งจดหมายไว้ให้ลูกนะ อาร์ม มันถูกกำอยู่ในมือของเขาตอนที่เราไปพบเขาน่ะ” พ่อยื่นกระดาษสมุดยับๆแผ่นหนึ่งมาให้ผม

ผมรับมันไว้ด้วยมืออันสั่นเทาจากนั้นก็อ่านมัน..........


อาร์ม

พี่ขอโทษสำหรับเรื่องงี่เง่าๆทั้งหมดที่พี่พูดออกไป อาร์มเป็นคนเดียวที่มอบความรักให้แก่พี่ได้มากที่สุดเท่าที่พี่เคยได้รับมาในชีวิตของพี่เลย มากเกินกว่าที่พี่จะคู่ควรด้วยซ้ำ พี่พยายามมาตลอดเพื่อที่จะไม่หลงรักอาร์ม พี่ไม่ได้อยากจะเป็นแบบนี้ และพี่ก็กลัวว่าจะทำให้อาร์มมากลายเป็นแบบพี่ไปด้วย พี่ทนมีชีวิตแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว พี่คิดอยู่เสมอๆว่าสุดท้ายเดี๋ยวเราก็คงจบลงด้วยการเป็นพี่น้องกันหรือเป็นเพื่อนกันธรรมดาๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเราต่างก็โตมากขึ้น ความรู้สึกเหล่ามันก็เติบโตตามขึ้นไปด้วย พี่หลงรักอาร์มไปแล้ว เพื่อนคนหนึ่งในทีมของพี่เห็นเราสองคนเดินเข้าห้องน้ำห้องเดียวกันวันนั้นหลังเลิกเรียน เขาเห็นพี่จูบอาร์ม ตอนนี้ทุกคนในทีมรู้กันหมดแล้วว่าพี่เป็นเกย์  พี่ต้องลาออกจากทีมเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเพราะพี่ทนผลลัพธ์ของเรื่องนี้ไม่ไหวจริงๆ พี่ไม่สามารถทนมันได้อีกต่อไป พี่คิดว่าแค่นั้นเรื่องมันก็คงจบสักที แต่ตอนนี้ข่าวมันก็กลับแพร่ออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ หลายๆคนซุบซิบนินทาหรือแม้แต่เข้ามาล้อเลียนพี่ พี่ขอโทษ อาร์ม แต่พี่ทนใช้ชีวิตแบบนี้ไม่ได้จริงๆ พี่ไม่มีครอบครัวจะให้ปรึกษา พี่ไม่มีใครเป็นที่พึ่ง อาร์มไม่เคยถามเรื่องพวกนี้กับพี่ พี่ก็เลยไม่เคยบอกอาร์ม แต่พ่อแท้ๆของพี่มันเป็นไอ้ขี้เหล้าที่เอาแต่ทุบตีและซ้อมพี่ตั้งแต่พี่ยังเล็ก และมันก็เคยข่มขืนพี่ด้วยตอนที่พี่อายุได้แปดขวบ แม่พี่ก็ติดการพนันและติดยา และตายไปตั้งแต่หลังจากพี่คลอดออกมาไม่นาน หลังจากที่พ่อของพี่มันทำแบบนั้นกับพี่ พี่ถึงได้หนีออกจากบ้านมาและสุดท้ายก็กลายมาเป็นเด็กที่บ้านอุปถัมภ์ บางทีถ้าพี่มีพ่อแม่แบบอาร์ม พ่อแม่ที่รักพี่ พี่ก็คงผ่านพ้นมันไปได้ พี่อยากให้อาร์มรู้ว่าพี่รักอาร์ม พี่รักอาร์มมาก รักมาตลอดและจะรักตลอดไปด้วย ได้โปรดยกโทษให้พี่ด้วยสำหรับพี่ที่ไม่แข็งแกร่งมากพอ.........

เอก


เมื่อผมอ่านจบผมก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง พ่อเดินเข้ามากอดผมและปล่อยให้ผมร้องไห้เท่าที่ผมต้องการ และผมก็ร้องไห้อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้อยู่อีกนานมาก.........

“ผมรักเขา พ่อ ผมรักเขาจริงๆ!” ผมสะอื้น

“พ่อรู้ ลูกรัก พ่อรู้” พ่อพูดเบาๆพร้อมกับลูบหัวผมไปด้วย

“พ่อเกลียดผมรึเปล่าครับ” ผมถามออกไปทั้งๆที่กลัวคำตอบ

“ไม่แน่นอนอยู่แล้ว!” พ่อพูด “พ่อจะเกลียดลูกที่รู้จักรักคนอื่นและมีความรักได้ยังไง โดยเฉพาะคนที่ลูกรักก็เป็นคนที่รักลูกมากอย่างไม่ต้องสงสัยเลยด้วย”

“แต่ว่านี่มันผิดเพศ มันไม่ถูกต้อง!” ผมสะอื้น

“หยุดเลยนะ!” พ่อพูดเสียงดังจนเกือบจะเป็นการตะคอกใส่ผม “พ่อไม่อยากจะได้ยินเรื่องอะไรแบบนั้นออกมาจากปากของลูกอีกเด็ดขาด! เหตุผลเดียวที่เอกเขาทำแบบนั้นก็เพราะเรื่องงี่เง่าและทิฐิทุเรศๆของคนอื่นที่มองเรื่องพวกนี้ให้เป็นแบบนั้น! สิ่งที่ลูกกับเอกเคยมีให้กันมามันไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรือเรื่องเลวร้ายอะไรเลยสักนิด แต่มันเป็นสิ่งดีๆและสวยงามมากด้วยซ้ำ! ต่อจากนี้ไปไม่ว่าลูกจะเป็นยังไงหรือทำอะไร ก็จงภูมิใจในตัวของลูกเอง อย่าปล่อยให้ความคิดของคนอื่นมามีผลต่อตัวลูก อย่าปล่อยให้คนอื่นมาทำให้ลูกเกลียดตัวเองและทำให้ลูกต้องมาจบลงแบบเดียวกับเอกเด็ดขาด!”

“ไม่ครับพ่อ ผมจะไม่มีวันฆ่าตัวตายเด็ดขาด ผมทำแบบนั้นกับพ่อและแม่ไม่ได้หรอกครับ” ผมตอบ

เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีกนอกจากกอดกันอยู่อย่างนั้นอีกพักใหญ่ๆ

วันถัดมาในงานศพของเอก ผมยืนอยู่คนเดียวตรงหน้าฝาโลงของเขาที่เปิดอยู่ ใบหน้าของเขาตอนนี้ไม่ต่างกับใบหน้ายามหลับที่ผมเคยเห็นมันบ่อยๆเลยสักนิด ผมอยากจะเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของเขา อยากจะประทับริมฝีปากลงบนปากเรียวบางนั่นของเขา อยากจะลูบผมของเขาช้าๆแล้วบอกเขาว่าตื่นได้แล้วนะ ได้เวลาไปเรียนแล้วเหมือนกับทุกๆครั้ง แต่ผมก็ทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว..........

“พี่เอก ผมรักพี่มากเหมือนกันครับ พี่ก็รู้ และผมจะรักพี่ตลอดไป ผมจะไม่มีวันลืมพี่เด็ดขาด! จริงๆพี่ไม่ต้องทำแบบนี้เลย แค่พี่บอกผมว่ามันเกิดอะไรขึ้น เราสองคนก็คงช่วยกันหาทางออกให้พี่ได้ แค่พี่บอกพ่อแม่ของผม บอกพ่อแม่ของพี่...... พี่ไม่ได้มีชีวิตอยู่ตัวคนเดียวจริงๆนะครับ พวกเราทุกคนรักพี่มาก........ ผมรักพี่มากจริงๆ.......” ผมเริ่มสะอื้นออกมาอีกครั้ง “พี่คงไม่เคยรู้ แต่พี่เองก็เป็นเหมือนลูกชายของพ่อแม่ผมไปแล้วเหมือนกันนะ พวกเรารักพี่ครับ ผมรักพี่ ผมแค่อยากจะให้มันมากเพียงพอที่จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเท่านั้นเอง......... ผมจะไม่มีวันลืมพี่เด็ดขาดครับ ผมสัญญา ผมจะคิดถึงพี่......... ตลอดไป...........”

ผมร้องไห้ต่ออีกราวๆสิบนาที จากนั้นก็เดินกลับไปยังที่รถ

ทั้งๆที่เราต่างก็รักกัน แต่สุดท้ายความรักเพียงอย่างเดียวมันก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เราอยู่ด้วยกันได้ พี่เอกเป็นคนดีและมีคนรักเขามากมาย แต่เนื่องจากบาดแผลในอดีตของเขาทำให้เขาไม่สามารถเปิดใจให้กับใครได้อีกเลย มีเพียงผมคนเดียวเท่านั้น ที่เขายอมเปิดใจให้ผมเป็นส่วนหนึ่งในนั้นได้ แต่ก็เพราะผมอีกเช่นกัน ที่ทำให้เขาต้องต่อสู้กับความสับสนของตัวเองอย่างไร้ทางออก และสุดท้าย เขาก็เลือกที่จะปิดตายเส้นทางชีวิตของเขาด้วยน้ำมือของเขาเอง.........

ผมรักพี่นะครับ พี่เอก......... นับต่อแต่นี้ พี่จะอยู่ในใจของผมตลอดไป ทั้งช่วงเวลา มิตรภาพ และความรักที่เราเคยมีให้แก่กันและกัน ผมจะเก็บมันเอาไว้ในใจไม่มีวันลืมเลือน...........


 o1
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น : อ่านเพลินๆ] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 27-09-2007 19:20:49
คำว่ารักคงยังไม่พอ ....  :m8:  :m8:  :m8:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น : อ่านเพลินๆ] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 27-09-2007 19:40:37
คนตายความรักไม่ตาย  o7  o7
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น : อ่านเพลินๆ] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 28-09-2007 00:38:02
ต้นใจร้ายยยยยยย นึกว่าเรื่องสั้นจะไม่เศร้าแล้วนะเนี่ย

 :m8:  :m8:  :m8:

โอ๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกซ์   :sad2: เศร้าตายไปเลย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น : อ่านเพลินๆ] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 28-09-2007 08:52:44
ต้นนนนน......ใจร้ายมากเลย :m15:
แต่งอย่างนี้ได้งัยเนี่ย  :m17:
เรื่องต่อไปแก้ตัวใหม่นะ ให้มันแฮปปี้หน่อยดิ
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 28-09-2007 10:08:03
ขออนุญาตแก้ไขกระทู้แรกใส่คำอธิบายลงไปกับชื่อหัวข้อนะคับ
จะพยายามให้ธีมหลักเป็นชื่อกระทู้คับ แต่ชื่อตอนตัวละครสถานการณ์อื่นๆจะเปลี่ยนไปเท่าที่ไอ้ต้นจะสามารถ
ถ้าชอบใจกัน ผมจะพยายามปั่นออกมาให้เร็วๆคับ

 o14

หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: archi_10_001 ที่ 28-09-2007 11:09:23
 :m17: :m17: :m17: :m17:

สุดยอด...มันเป็นความร้สึกที่ยากเกินบรรยายแหละนะ....

ยังไงก็ มาลงเรื่องต่อไปเร็วๆเจ้าค่ะ

อิอิ
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 28-09-2007 16:33:27
เธอคงไม่เข้าใจ........



เพื่อนสนิทของผมคือกระจกเงา........

เขาคนนั้นเข้าใจผมทุกอย่าง
เขาคนนั้นรักผมมากเท่าๆที่ผมรักเขา
และเขาคนนั้นไม่เคยทำร้ายผมให้ผมต้องรู้สึกเจ็บปวด

ถ้าหัวใจของผมเป็นเหมือนกับตู้เสื้อผ้าใบใหญ่
ความรักของผมก็คงเป็นเหมือนเสื้อผ้าผืนเก่าที่ไม่เคยมีวันถูกนำออกมาสวมใส่
มันขาดวิ่น คงไม่สวยงาม คงไม่น่ามอง....... เอามาใส่ ยกให้ใคร ก็คงไม่มีใครเขาต้องการ......

แต่ทว่ามันก็เป็นเสื้อผ้าชุดที่ผมภูมิใจที่สุด
เป็นชุดที่ผมเห็นว่าสวยงามที่สุด
และเป็นชุดที่มีค่ามากที่สุดเท่าที่ผมจะสามารถครอบครองได้

ผมอยากจะมอบความรักของผมให้กับเขาคนนั้น แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะแสดงมันออกไป
ผมอยากจะหยิบยื่นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ผมมีในชีวิตให้แก่เขา แต่ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะอยากยอมรับมัน
ไม่สิ บางที....... ผมอาจจะมอบมันไปให้แก่เขาตั้งนานมาแล้วก็ได้ เพียงแต่เขาไม่เคยรู้ตัวก็เท่านั้นเอง.......

ถ้าความรักมันคือสิ่งที่สวยงามและไม่ทำควรจะทำให้ใครต้องเจ็บปวด แล้วสิ่งที่ผมรู้สึกอยู่นี่มันคืออะไรกัน
ทำไมผมถึงต้องยืนอยู่หน้ากระจกเงาใบใหญ่นี่แล้วร้องไห้ ปล่อยให้น้ำตาช่วยปลอบโยนตัวเองอยู่คืนแล้วคืนเล่า
รวมถึงวันนี้และเวลานี้ด้วย...........


.
.
.


ปีแรก


ผมรู้จักกับเขาในฐานะเพื่อน เราเริ่มต้นทำอะไรหลายๆอย่างด้วยกัน
เราเล่นกีฬาด้วยกัน เรากินข้าว เรียนหนังสือ เราไปเที่ยว ดูหนัง เราฟังเพลง และจีบสาวด้วยกัน
แต่เมื่อเวลาผ่านไปมากขึ้นเรื่อยๆ บางสิ่งบางอย่างมันก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
แต่เขาก็ไม่เคยรู้เลย..........


“เฮ้ย เอก กูชอบกิ๊บว่ะ มึงช่วยกูจีบเขาหน่อยได้ป่าววะ” ท็อป เพื่อนสนิทของผมบอกผมขณะที่เรากำลังนั่งกันอยู่ใต้ตึกเรียนกันสองคน “แต่มึงห้ามบอกใครนะเว้ย กูยังไม่อยากให้มีใครรู้”

แต่บางทีผมเองนั่นแหละ ที่อาจจะเป็นคนที่ไม่ควรได้รับรู้มากที่สุด........ เพราะผมไม่ได้อยากรู้มันเลย

“ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติมากที่สุด

“ไม่กี่วันนี้เอง กูว่าเขาน่ารักดีนะ แต่เสือกอยู่คนละห้องนี่สิ แต่กูเห็นมึงสนิทกับเพื่อนๆกลุ่มเขานี่หว่า นะ ช่วยกูหน่อยนะ”

“เออ กูจะทำเท่าที่ทำได้นะ แต่ผลออกมาเป็นยังไงกูไม่รับประกันนะเว้ย” ผมตอบออกไป

“โห มึงอย่าพูดอย่างนั้นสิ มึงจะทำให้เพื่อนมึงคนนี้ต้องเจ็บช้ำได้ลงคอเลยเหรอวะ” ท็อปหัวเราะเบาๆ แต่เขาไม่รู้เลยว่าคำพูดนั้นของเขามันเสียดแทงเข้าไปในหัวใจของผมมากแค่ไหน

“กูไม่มีวันที่จะทำให้มึงเจ็บช้ำได้หรอก........... ไม่มีวัน” ผมพูดออกมาเบาๆ และเขาก็คงจะไม่ได้ยินมัน

ผมรู้จักกับกิ๊บในฐานะเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ตอนมอหนึ่ง แต่เมื่อขึ้นมอสี่ เราก็ถูกแบ่งห้องใหม่และแยกย้ายกันไป แต่ผมกับเธอก็สนิทกันพอสมควร รวมทั้งกลุ่มเพื่อนๆของเธอด้วย แต่ว่าท็อปที่ตอนมอต้นมาจากสายศิลป์จึงไม่เคยคุยกับกิ๊บมาก่อนเลย และเขาก็ไม่ค่อยกล้าที่จะเริ่มต้นด้วยตัวเองตามลำพังด้วย เพราะฉะนั้น ตลอดสามเดือนถัดมาหลังจากการสนทนาของเราในเย็นวันนั้น ผมก็หาทางหาโอกาสให้เขาสองคนได้เจอกันและพูดคุยกันบ่อยมากขึ้น จนเข้าสู่เดือนที่สี่ เวลาไปไหนมาไหนเราก็มักจะไปด้วยกันสามคนเสมอๆ จนเข้าสู่เดือนที่ห้า........ ผมก็ไม่จำเป็นต้องอยู่คั่นกลางระหว่างเขาสองคนอีกต่อไป..........


ผมเพิ่งรู้จักกับคำว่าสูญเสียเป็นครั้งแรกเมื่อตอนผมอยู่ชั้นมอสี่
ผมสูญเสียมิตรภาพความเป็นเพื่อนธรรมดาๆไป แต่ผมได้รู้จักกับคำว่าความรักเข้ามาแทนที่
ผมสูญเสียตัวตนของผมไป และกลายเป็นคนที่มีประโยชน์แค่เพียงคั่นกลาง
สุดท้ายผมก็สูญเสียเพื่อนสนิทของผมไปสองคน และต้องกลายมาเป็นคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าความเหงาอันไม่สิ้นสุดเพียงลำพัง...........

แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังได้เรียนรู้ความรักและได้เห็นคนที่ผมรักมีความสุขและมีรอยยิ้ม...........
ถึงแม้ภายในใจของผมมันจะเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส และดวงตาของผมมันเริ่มจะบอบช้ำมากขึ้นเพราะน้ำตาก็ตาม


ปีที่สอง


เขาสองคนมีอันต้องเลิกรากัน........
เขาสองคนไม่มีใครได้เห็นน้ำตาของกันและกัน
แต่มีผมเพียงคนเดียวที่ได้เห็นน้ำตาของคนที่ผมรักมากที่สุดวันแล้ววันเล่า....... คืนแล้วคืนเล่า
แต่คงไม่มีใครรู้หรอก....... ว่าทุกๆครั้งที่ผมต้องเห็นเขาเสียใจ ผมนั้นก็ทั้งเสียใจและเจ็บช้ำมากกว่าเขามากไม่รู้เท่าไหร่


“ทำไมวะ ทั้งๆที่กูก็รักเขามากแท้ๆ แต่ทำไมเราถึงไปกันไม่รอด” ท็อปคร่ำครวญออกมาอีกครั้งผ่านทางโทรศัพท์ถึงแม้ว่าเราจะคุยกันมากว่าสองชั่วโมงแล้วก็ตาม

“เรื่องบางเรื่องก็คงหาเหตุผลให้มันไม่ได้หรอก ความรักยังไม่มีเหตุผลเลย และคนจะเลิกกันมันก็อาจจะไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลก็ได้นี่” ผมตอบออกไปด้วยน้ำเสียงปลอบโยน ผมไม่อยากเห็นเขาเป็นแบบนี้เลยจริงๆ.......

ผมอยากให้เขามีความสุข ถึงแม้ผมต้องเจ็บช้ำก็ตาม ถึงแม้ผมต้องตายจากไปพร้อมๆกับความเจ็บปวดและหัวใจที่แตกสลาย ผมก็ไม่อยากเห็นเขาคนนี้ต้องเจ็บปวดและเศร้าเสียใจไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม

“กูก็ไม่รู้หรอก....... มันเหมือนกับ...... บางทีคนอย่างกูมันอาจจะไม่มีใครเขาอยากจะมารักหรือรักกูจริงก็ได้หรอกมั๊ง บางทีกูคงไม่มีค่าพอ”

“มึงห้ามพูดแบบนั้นออกมาอีกนะเว้ย” ผมพูดออกไปด้วยเสียงอันสั่นเครือแต่ก็หนักแน่น “มึงห้าม! ต่อจากนี้ไปห้ามกูได้ยินคำพูดเหี้ยๆนั่นออกมาจากปากของมึงอีกเด็ดขาด! เข้าใจมั๊ย ห้ามมึงคิดลดคุณค่าในตัวของมึงเองอีกเป็นอันขาด มึงมีค่ามากพอสำหรับคนที่จะมารัก มึงมีค่ามากพอสำหรับทุกอย่างทั้งนั่นแหละ ไอ้ท็อป” ผมรู้สึกน้ำตาของตัวเองมันไหลออกมาช้าๆ

ทั้งๆที่ความรักของผมที่มีให้เขานั้นอยู่ใกล้กับเขามากแค่เพียงปลายจมูก แต่เขาก็ไม่เคยมองเห็นมันเลย
บางทีอาจจะเพราะมันอยู่ใกล้เกินไปจนเขามองไม่เห็นก็เป็นได้
หรือบางที..........
มันอาจจะใกล้ใจ แต่ไกลสายตา..........

แต่ว่าผมก็ไม่อยากจะทิ้งระยะห่างจากเขามากไปกว่านี้อีกแล้ว........ ผมไม่สามารถทิ้งเขาไปไหนได้
ผมรู้ว่าเขาต้องการผม แต่ผมต่างหากที่ต้องการเขามากกว่าสิ่งไหน
ถ้าผมเป็นคนรักกับเขาไม่ได้ ถ้าผมยอมเจ็บยอมแลกทุกๆอย่างเพื่อได้เป็นเพื่อนสนิทกับเขาแล้ว
ผมยังจะต้องแลกความเป็นเพื่อนสนิท และระยะทางใกล้ชิดนี่เพื่อให้เราอยู่ห่างกันแต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำให้เขามองเห็นตัวตนของผมด้วยรึเปล่าอีกอย่างนั้นหรือ...........

“เอก กูขอบใจมึงมากนะ สุดท้ายกูก็มีมึงนี่แหละที่คอยยืนอยู่ข้างๆกูได้ตลอ..........”

“ท็อป กูรักมึงนะ” ผมโพล่งออกไปก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบประโยคเสียอีก

ท็อปเงียบเสียงไปสักพัก ผมรู้ตัวเลยว่าผมทำพลาดลงไปแล้ว.......
เขาคงเกลียดผม และต่อจากนี้ไปอะไรๆมันก็คงจะไม่มีวัน..........

“อืม กูก็รักมึงเหมือนกัน.........” เมื่อผมได้ยินดังนั้น หัวใจของผมมันก็เริมพองโตขึ้นมาอีกครั้งทันที “มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกูเลย กูไม่เคยคิดว่ากูจะหาเพื่อนดีๆแบบมึงได้ที่ไหนอีกแล้วว่ะ กูขอบใจมึงมากนะ เอก”

ทันใดนั้นน้ำตาของผมมันก็ไหลออกมาอีกครั้ง..........
ความเจ็บปวดมากกว่าการที่เขาได้รับรู้ความจริงแล้วถูกปฏิเสธ
นั่นก็คือ การที่เขาเข้าใจความหมายของเราผิดไป
การที่เขาไม่เข้าใจความรู้สึกของเราเลย
และการที่ได้ยินสิ่งที่บอกออกมาทุกอย่างว่าระหว่างเรานั้นมันเป็นได้เพียงแค่ไหน..........


หัวใจของผมมันบอบช้ำมากกว่าปีที่แล้วเสียอีก แต่น้ำตาของผมมันก็เริ่มจะเหือดหายไปตามกาลเวลา
ผมเจ็บปวด แต่ผมก็ยังคงได้เรียนรู้
กระจกเงาเพื่อนของผม ก็ยังคงเป็นเพื่อนที่เข้าใจผมดีที่สุดอยู่ดี........
บางที ผมก็อยากจะเอามีดมากรีดหน้าอกผมออกมาดูเหมือนกันนะ
ผมอยากรู้เหลือเกินแล้วว่าหัวใจของผมตอนนี้มันมีสภาพเป็นอย่างไรแล้วบ้าง..........

เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเขาเป็นเพียงสิ่งหล่อเลี้ยงหัวใจดวงเล็กๆปอนๆของผมให้ยังคงเต้นตามจังหวะชีวิตต่อไปได้


ปีสุดท้าย


เรายังคงหยอกล้อเล่นหัวกันเหมือนทุกๆวัน
เรายังคงเรียนหนังสือ เล่นกีฬา และไปเที่ยวด้วยกัน
แต่ในทุกๆคืนและทุกๆวันที่ผ่านพ้นไป มันก็คอยย้ำเตือนผมอยู่ตลอดเวลาว่าผมเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว.........
ความรู้สึกที่แฝงอยู่ในแววตาคู่นี้........ เขาจะไม่มีวันเข้าใจมันได้เลยหรืออย่างไร


“อีกไม่กี่เดือนเราก็จะเรียนจบกันแล้วนะ มึงว่าเราสองคนจะยังคงเป็นเพื่อนสนิทกันแบบนี้ไปได้ตลอดรึเปล่าวะ” ผมถามออกไปในคืนหนึ่งที่เราคุยโทรศัพท์กันพร้อมๆกับความกลัวในส่วนลึกของใจที่ยังคงถูกเก็บและปกปิดเอาไว้ได้เป็นอย่างดี

“แน่นอน เอก กูก็ไม่รู้อนาคตหรอกนะ แต่กูมั่นใจว่าเราสองคนจะยังคงรักษามิตรภาพที่พวกเราเคยมีมาตลอดสามปีให้กันต่อไปได้จนเราแก่ตายแน่นอนว่ะ”

ผมรู้สึกน้ำตาของตัวเองมันไหลออกมาช้าๆ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความสุขหรือความเศร้าใจ........
เขาบอกว่าเขาจะรักผมตลอดไป........ แต่มันเป็นเพียงความรักแบบเพื่อนไปจนวันสุดท้ายของชีวิตของเขา
เขาบอกว่าเราจะยังคงรักษามิตรภาพของเราเอาไว้ได้ไปตลอด...... แต่สิ่งที่ผมมีให้เขานั้นมันมากกว่าคำเป็นเพื่อนไปแล้ว.........
และมันก็ทำร้ายหัวใจของผมเองอย่างช้าๆและแสนจะทรมานมาเป็นเวลาตลอดสามปี........
ผมจะยังคงทนรับมันได้ต่อไปอีกงั้นหรือ ผมจะยังสามารถทนเจ็บปวดเพื่อเห็นรอยยิ้มของเขาอีกต่อไปได้มั๊ย........

“ว่าแต่ว่านะ เอก กูคบกับมึงมาสามปีเนี่ย กูไม่เห็นมึงมีแฟนเลย มึงไม่เคยชอบใครมั่งเลยเหรอวะ”

ผมยกมือปาดน้ำตาออกช้าๆแล้วพยายามควบคุมเสียงไม่ให้มันสั่นเครือ “มึงอาจจะไม่รู้ ก็แค่นั้นแหละ ท็อป”

“กูเนี่ยนะไม่รู้ โหไรวะ มีไปชอบใครนี่มึงกล้าปิดบังกูเหรอวะเนี่ย”

“เปล่า กูไม่ได้ปิดบังมึง เพียงแต่มึงไม่รู้เท่านั้นเอง ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำ ช่างมันเถอะ....... เพราะกูรู้อยู่แล้วว่าระหว่างกูกับเขามันคงเป็นไปไม่ได้......... ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ตาม” ผมพูดออกไปอย่างยากลำบากเพราะไม่สามารถห้ามน้ำตาของตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว

คืนนั้นผมร้องไห้ให้ท็อปฟังยาวนานมาก เขาเองก็ได้แต่นั่งฟังเสียงสะอื้นของผมอยู่เงียบๆเท่านั้น
เขาไม่ได้ปลอบใจ เขาไม่ได้ถาม เขาไม่ได้ซักไซ้รายละเอียด
เขาแค่รับฟัง..........
และมันก็เป็นความเงียบที่ทั้งอบอุ่นและว่างเปล่าที่สุดเท่าที่ผมเคยรู้สึกมาเลยทีเดียว..........


หลังจากเรียนจบ เราก็ยังคงติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ
เรายังคงไปเที่ยวด้วยกัน คุยโทรศัพท์กัน และเขาก็ปรึกษาเรื่องผู้หญิงที่เขาชอบกับผมอีกตามเคย
ทุกอย่างมันเกือบจะเหมือนกับเมื่อตอนเรายังอยู่ชั้นมอปลายไม่ผิดเพี้ยน
รวมทั้งความรักของผมที่ยังคงมีให้แก่เขาอยู่เงียบๆด้วย.........

แต่สิ่งเหล่านั้นมันก็ดำเนินไปได้แค่เพียงปีเดียวเท่านั้น
เมื่อเวลาผันผ่านไป ผมกับเขาก็คุยกันน้อยลง และสุดท้าย เราก็แทบจะไม่ได้ติดต่อกันอีก
ผมยังรู้ว่าเขาสบายดี เขาเองก็รู้ว่าผมสบายดี
แต่ว่าเราไม่รู้ความเคลื่อนไหวชีวิตประจำวันของกันและกันอีกต่อไป
ผมรู้สึกถึงความเหงาที่สุดในชีวิตก็ตอนนั้นเอง........... ผมรู้สึกว่าผมไม่มีใคร และรู้สึกว่าไม่มีใครต้องการผม
ก่อนหน้านี้ผมจะเหงาจะเจ็บปวด ผมก็ยังคงมีเขาอยู่ข้างกาย
แต่ตอนนี้ผมเจ็บช้ำและทนทุกข์ทรมาน เขาก็ไม่เคยได้รับรู้หรือมองเห็นผมอยู่ในสายตาอีกต่อไป..........

.
.
.


เพื่อนสนิทของผมคือกระจกเงา........

เขาคนนั้นเข้าใจผมทุกอย่าง
เขาคนนั้นรักผมมากเท่าๆที่ผมรักเขา
และเขาคนนั้นไม่เคยทำร้ายผมให้ผมต้องรู้สึกเจ็บปวด

ถ้าหัวใจของผมเป็นเหมือนกับตู้เสื้อผ้าใบใหญ่
ความรักของผมก็คงเป็นเหมือนเสื้อผ้าผืนเก่าที่ไม่เคยมีวันถูกนำออกมาสวมใส่
มันขาดวิ่น ไม่สวยงาม และไม่น่ามอง....... เอามาใส่ ยกให้ใคร ก็คงไม่มีใครเขาต้องการ........

ผมล็อคบานประตูที่เก็บทุกสิ่งทุกอย่างของผมเอาไว้ในนั้นไปแล้ว
ผมไม่สามารถ ไม่กล้า และไม่เคยแม้แต่จะคิดอยากจะเปิดใจให้กับใครคนอื่นอีก
มันจะเป็นปราการด่านสุดท้าย ที่แม้แต่ตัวผมเองก็คงไม่มีวันเปิดมันออกได้อีกต่อไป
เพราะผมไม่ได้ใช้กุญแจในการปิดตาย....... แต่ผมใช้บาดแผลจากในอดีต

วันนี้ เจ็ดปีผ่านไป ผมยืนอยู่หน้ากระจกตัวเดิม.........
กำลังส่องดูการแต่งกายของตัวเอง กำลังพยายามมองลึกลงไปให้ถึงหัวใจของตัวเอง
กำลังพยายามถามตัวเองพร้อมๆทั้งน้ำตาว่าผมไม่มีความสุขหรอกหรือ.........

ความสุขที่เพื่อนสนิทที่ผมรักที่สุดคนนั้นกำลังจะเข้าสู่พิธีวิวาห์

เจ็ดปีผ่านไปแต่ความทรงจำไม่เคยลืมเลือน
เจ็ดปีผ่านไปแต่ความรักไม่เคยจืดจาง
เจ็ดปีผ่านไปแต่ความผูกพันไม่เคยแปรเปลี่ยน

เจ็ดปีแห่งความทรมาน
เจ็ดปีแห่งความทุกข์และความสุขที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้
เจ็ดปีแห่งความชอกช้ำ

และเจ็ดปี ที่เขาไม่เคยรู้เลย............

ต่อจากนี้ ผมก็คงต้องทนเก็บมันเอาไว้อย่างเดิม
เก็บมันเอาไว้จนมันตายไปพร้อมๆกับลมหายใจสุดท้ายในชีวิตของผม..............


หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 28-09-2007 18:46:03
จบแล้วเหรอ  เรื่องที่สอง
แล้วมันก็เศร้าอีกแล้ว
เฮ้อ
ต้นนะต้น...อือ..
นี่ถ้าไม่ใช่นักเขียนในดวงใจละก้อ....งึ่ม แง่ม..ง่ำ
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 28-09-2007 19:24:00
มิตรภาพยาวนานกว่าความรัก  :a1:  :a1:  :a1:
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 28-09-2007 20:00:23
 :a5: เรื่องนี้มันโดน รู้สึกหนึบๆอยู่ใจอก ยังไงบอกไม่ถูก

 :m8:  :m8:  :m8: ยกธงขาว ขอยอมแพ้ไปร้องไห้ก่อน

ต้นใจร้ายยยยย  :o12:
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 28-09-2007 20:59:21
:sad2:     เศร้าทั้งสองเรื่อง      :m15: 
เรื่องแรกน้ำตาไหลพรากๆเลย คุนต้น กาซิกๆ      :m17:

เรื่องที่สอง... อ่านแล้ว รู้สึกถึงความเศร้า มี มันไม่มีทางจางหาย
จนกว่าลมหายใจจะสิ้น      :m8:   


เศร้าง่า.....     :o12:



สุดยอดเลยคุนต้น      o13
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 30-09-2007 23:50:50
ฝึกซ้อมฝีมือหรือ
อ่านแล้วเพลินดี น่าติดตาม ลุ้นไปทุกๆตอนเลยจริงๆ
 :m11: :m11: :m11:

จะมีกี่คนที่ก้าวข้ามอุปสรรคสำคัญ
คือการยอมรับจากสังคมไปได้
 :a3: :a3: :a3:

แอบรัก ก็อย่าไปเสียใจเลยที่ไม่สมหวังแต่ดีใจเถอะว่าครั้งหนึ่งเราก็เคยรู้จักความรักมาแล้ว
ยอมรับและใช้มันอย่างมีสติดีกว่า มีเพื่อนสนิทอยุ่ข้างกายก็มีความสุขได้
 :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 01-10-2007 15:48:06

...........อ่านเรื่องนี้แล้วร้องไห้เลยอ่ะ.......

..........

เจ็ดปีผ่านไปแต่ความทรงจำไม่เคยลืมเลือน
เจ็ดปีผ่านไปแต่ความรักไม่เคยจืดจาง
เจ็ดปีผ่านไปแต่ความผูกพันไม่เคยแปรเปลี่ยน

เจ็ดปีแห่งความทรมาน
เจ็ดปีแห่งความทุกข์และความสุขที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้
เจ็ดปีแห่งความชอกช้ำ

และเจ็ดปี ที่เขาไม่เคยรู้เลย............

.............และเขาก็คงไม่รู้ต่อไป.........จนกว่าที่ผมจะกล้าเผชิญความจริง........ :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: Amamiya ที่ 02-10-2007 02:30:34
ง่า..... :o11:

เศร้าอ่า.... o7 o7

ขอแบบที่ฮาๆแล้วจบแบบแฮปปี้ๆด้วยน๊า.. :m5:

 :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 03-10-2007 09:35:43
ขอเวลา 30 วัน ให้ผมได้บอกว่า...........



ผมมันก็เป็นแค่ผู้ชายเดินดินธรรมดาๆคนหนึ่ง.........

ผมเป็นพนักงานระดับกลางที่ทำงานอยู่ในบริษัทระดับกลางๆ ผมยังโสด อายุยี่สิบหก หน้าตาคงพอดูดีอยู่บ้าง มีเงินพออยู่พอใช้ได้สบายๆ ผมไม่เคยต้องการอยากได้อะไรเป็นพิเศษในชีวิต แค่ผมมีงานทำ มีบ้านอยู่ มีรถขับ ไม่ต้องเป็นหนี้ใคร ผมก็สุขใจแล้ว

แต่ทว่า ตอนนี้ผมกลับรู้สึกทุกข์ใจเหลือเกิน...........

เมื่อกว่าสองสัปดาห์ก่อน บริษัทของผมรับพนักงานใหม่เข้ามาทำงานคนหนึ่ง เขาเป็นเด็กหนุ่มไฟแรงหน้าละอ่อนที่เพิ่งจบมาจากมหาวิทยาลัย หัวหน้าส่งเขาเข้ามาอยู่ในแผนกของผมและมอบหมายงานให้ผมเป็นคนดูแลและคอยฝึกหัดน้องเขา

อะไรๆมันก็คงไม่มีปัญหา เว้นเสียแต่ว่า..........

ไอ้เหี้ยนี่มันน่ารักโคตรๆๆๆเลย!!!

ผมไม่เคยมีแฟน เพราะผมไม่เคยต้องการผูกมัดกับใคร เท่าที่ผ่านมาชีวิตของผมก็มีแต่การเรียน การงาน แล้วก็ใช้ชีวิตสนุกสนานไปวันๆ แต่ว่า ณ เวลานี้ ผมรู้สึกอยากมีแฟนเหลือเกิน!!

เขาเป็นเด็กหนุ่มที่เรียบร้อย ว่าง่าย นิสัยดี แต่ก็กวนตีนนิดๆตามประสาวัยรุ่น เขาเองก็ดูชอบพอและสนิทสนมกับผมมากเป็นพิเศษเช่นกัน เขาชอบหยอกล้อเล่นหัวกับผม แต่ก็ยังคงให้ความเคารพผมมาก เขาบอกว่าเขาถูกชะตากับผม แถมยังเคยบอกผมด้วยซ้ำว่าผมเป็นคนมีเสน่ห์.......... โอ๊ยยยยยย!!! ไอ้บ้านี่มันไม่รู้เลยว่า ยิ่งมันทำตัวน่ารักน่าหยิกแบบนี้มากเท่าไหร่ หัวใจของผมมันก็ยิ่งเรียกร้องอยากได้มันมาเป็นลูกสะใภ้ให้แม่ผมมากขึ้นเท่านั้น!

แต่ว่าผมต้องทำยังไง ถึงจะได้หัวใจของเขามาครองนะ
ที่ผ่านมาผมก็เคยแค่หมาหยอกไก่ ไม่เคยจีบใครจริงๆจังๆสักที
เพื่อนๆร่วมงานของผมต่างก็ไม่มีใครรู้เลยว่าผมเป็นเกย์ และผมก็ไม่รู้ด้วยว่าไอ้เด็กเปรตนี่มันจะเป็นรึเปล่า

แต่ผมก็ไม่สนใจแม่งแล้ว!! ใครจะมารู้เอาตอนนี้ก็รู้ไป เขาจะเป็นเกย์หรือไม่ก็ไม่สำคัญ
เพราะถ้ามันไม่เป็น กูก็จะทำให้มันเป็นเอง!!

ผ่านมาสองอาทิตย์แล้วยังไม่ได้มันมานอนกอดเลยยยยยย ใจจะขาดแล้วคร้าบบบบบ!!!!

ถ้างั้นก็เอาอย่างนี้ดีกว่า............
ยังไงๆก็ขอเวลาผมอีกสักสามสิบวันก็แล้วกัน.........

.
.
.

วันที่หนึ่ง
ผมส่งข้อความเข้ามือถือของเขา บอกเขาว่า “คิดถึง”

วันที่สอง
ส่งข้อความเข้ามือถือของเขาอีกครั้ง บอกว่า “คิดถึงจริงๆ ไม่ได้ขี้จุ๊”

วันที่สาม
ผมส่งข้อความอวยพรให้หลับฝันดี ว่า......... “ถ้าไม่ฝันถึงคนส่ง ขอให้นรกแดกกบาล”
และในที่สุดมันก็ทนไม่ไหวเลยต้องโทรกลับมาเคลียร์ สุดท้ายผมก็เลยได้คุยโทรศัพท์กับมันก่อนนอนถึงสองชั่วโมง

วันที่สี่
ตอนกลางวันพามันออกไปกินข้าว แล้วพาไปกินติ่มซำตอนเย็น

วันที่ห้า
พามันออกไปกินข้าวตอนกลางวัน แล้วตอนเย็นพาไปกินติ่มซำ

วันที่หก
ที่ทำงานหยุด เลยชวนมันออกไปดูหนัง

วันที่เจ็ด
เมื่อวานมันไม่ยอมไป เลยโทรชวนไปเดินเจเจแทน

วันที่แปด
แกล้งทำงอนที่มันไม่ยอมไปด้วย ด้วยการสั่งงานมันเยอะๆ กดดันมันหนักๆ......... แล้วก็พาออกไปกินข้าวตอนกลางวัน

วันที่เก้า
แกล้งทำแอบมองมันตอนกำลังยืนฉี่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็ตบบ่าแล้วก็บอกว่ามันมีดีไม่เบา

วันที่สิบ
สั่งงานน้อยๆ ยิ้มเยอะๆ ซื้อลูกชิ้นปิ้งมาให้ แอบเดินไปจับตูด แล้วบอกว่ามีด้ายติด

วันที่สิบเอ็ด
แซวมันว่ามีพนักงานสาวสวยแผนกอื่นมาแอบชอบ

วันที่สิบสอง
แกล้งโกรธใส่ หาว่ามันทำงานไม่ได้เรื่อง ดุด่ามันเยอะๆ ให้มันจ๋อย

วันที่สิบสาม
โทรไปหามันแต่เช้า บอกขอโทษเรื่องเมื่อวานที่เผลอหึงเรื่องพนักงานสาวคนนั้น เลยหลุดทำตัวไม่ดีออกไป ขอพามันออกไปกินข้าวเย็นเป็นการขอโทษ ขับรถไปรับที่บ้าน แนะนำตัวว่าเป็นเจ้านายของมัน

วันที่สิบสี่
ซื้อตั๋วหนังก่อนแล้วค่อยขับรถไปรับมันที่บ้านเพื่อเป็นการมัดมือชก แต่เพื่อความชัวร์เลยขู่มันว่าถ้ามันไม่ยอมไปด้วย ผมจะใช้ซันไลท์สระผมเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ ตอนเย็นพากลับไปส่งที่บ้าน ตีซี้กับพ่อและแม่ของมันทันทีในฐานะเพื่อนสนิทของลูกชาย

วันที่สิบห้า
ซื้อฮาร์ทบีทไปให้ห่อนึง ปลอบใจที่มันโดนเจ้านายด่า แล้วชวนมันไปเที่ยวบ้านหลังเลิกงาน

วันที่สิบหก
เมื่อวานมันบอกรู้สึกไม่ค่อยสบายเลยไปบ้านเราไม่ได้ ตอนเช้าเลยซื้อโจ๊กหน้าปากซอยไปฝาก แต่บอกไปว่าทำเอง
(รีบโกหกซะก่อนที่จะไม่ได้โกหกหลังคบกัน)

วันที่สิบเจ็ด
ขับรถไปส่งมันที่บ้านแล้วเข้าไปไหว้พ่อตาแม่ยาย ปฏิเสธคำเชิญกินข้าวเย็นอย่างสุภาพ

วันที่สิบแปด
พามันไปเดินมิดไนท์เซลหลังเลิกงาน แอบซื้อของฝากไปฝากพ่อแม่มันด้วย จากนั้นค่อยพากลับไปส่งที่บ้านตอนดึกๆ พ่อแม่จะได้ชวนค้างที่บ้าน แล้วก็ปฏิเสธไปอีกครั้งอย่างนุ่มนวล

วันที่สิบเก้า
พามันไปเดินช็อปปิ้งอีก ซื้อทองม้วนสดไปฝากพ่อแม่เขาด้วย โดนชวนนอนค้างอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ปฏิเสธ

วันที่ยี่สิบ
ตื่นแต่เช้ามาช่วยแม่ยายทำกับข้าว พาหมาไปเดินเล่น จากนั้นก็กลับมารถน้ำต้นไม้ให้พ่อตา

วันที่ยี่สิบเอ็ด
พามันไปเที่ยวฟาร์มงู จากนั้นก็พาไปกินงูเห่าผัดเผ็ด แต่อำมันว่าเป็นไก่แล้วค่อยเฉลยทีหลัง พอตอนเย็นก็ซื้อที่ทับกระดาษรูปงูเหลือมกับแป้งเย็นตรางูให้มัน ตอนกลางคืนมันจะได้ฝันว่าโดนงูรัด

วันที่ยี่สิบสอง
รีบโผล่หน้าไปให้มันเห็นเป็นคนแรก เผื่อมันฝันถึงงูจริงๆ จะได้คิดว่าเราเป็นเนื้อคู่

วันที่ยี่สิบสาม
ลาป่วยดูใจ ทดสอบว่ามันจะทำยังไง แต่จริงๆแล้วแอบเอาตุ๊กแกไปปล่อยที่บ้านมันสักยี่สิบตัว

วันที่ยี่สิบสี่
แกล้งทำซึมเพราะพิษไข้ ไม่คุย ไม่มอง ไม่ส่งข้อความหา ไม่ทำตัวหวานๆหนึ่งวัน......... เพื่อเป็นการเว้นระยะห่างให้เขาได้คิดถึงเราบ้าง

วันที่ยี่สิบห้า
โทรไปตอนดึกๆ แกล้งทักว่าได้ยินเสียงตุ๊กแกร้องเต็มเลย

วันที่ยี่สิบหก
เป็นฮีโร่ช่วยพ่อตาแม่ยายกำจัดตุ๊กแก แล้วก็ได้นอนค้างที่บ้านมันอีกหนึ่งคืน

วันที่ยี่สิบเจ็ด
ชวนไปกินเหล้า แกล้งทำเป็นเมา จากนั้นก็ให้มันขับรถไปส่งที่บ้าน อาบน้ำเองไม่ไหว และไม่ใส่กางเกงในนอน

วันที่ยี่สิบแปด
รีบตื่นแต่เช้า แต่แกล้งทำเป็นหลับ นอนกอดมันไว้ เอาไข่เบียดขา จากนั้นก็ละเมอออกมาว่า “รักนะ”

วันที่ยี่สิบเก้า
หลังเลิกงานพาไปดูหนังรักในโรงสวีท ถ้าไม่ขัดขืน แปลว่ามีใจ

วันที่สามสิบ
ซื้อปาท่องโก๋ไปให้ตอนเช้า ตอนกลางวันชมมันให้เจ้านายฟังเยอะๆ ตอนเย็นพาไปกินข้าว ซื้อฝอยทองไปฝากพ่อตากะแม่ยาย จับตุ๊กแกตัวสุดท้ายใส่กล่องแล้วไปทิ้งลงในป่า นอนค้างที่บ้าน แกล้งนอนละเมอเพ้อชื่อมัน แล้วค่อยแอบหอมแก้มตอนตีสี่...........

.
.
.

เคล็ดลับความสำเร็จที่จะมองข้ามไม่ได้ในทุกๆวันนั้นอยู่ที่ “รอยยิ้ม”
ไม่ว่าจะเจ้านายด่า หมาที่บ้านป่วย หวยแดก กล้วยแขกเปียก ยังไงๆก็ต้องยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนและจริงใจเสมอๆ

จริงๆแล้วผมเองก็รู้ตัวว่ามันเองก็ชอบผมอยู่เหมือนกันมาตั้งแต่วันที่สามแล้วล่ะ แต่ผมก็ยังคงปฏิบัติการสามสิบวันของผมต่อไป

เพื่ออะไรน่ะหรือ...........

ก็เพื่อพิสูจน์รักแท้ที่ผมมีให้กับมันยังไงล่ะ เพื่อเอาไว้คุยเล่นเป็นความทรงจำน่ารักๆเวลาที่เราฉลองครบรอบคบกันครบห้าสิบปียังไง!!

แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ......... เพื่อวันที่สามสิบเอ็ด ผมจะได้บอกรักเขาออกไปอีกครั้งด้วยปากจากใจของผมโดยที่ผมไม่ต้องแกล้งเพ้อ ไม่ต้องแกล้งละเมอ ไม่ต้องเล่นลูกไม้ใดๆ และผม........ ก็จะได้ยินเขาบอกว่ารักผมกลับมาโดยที่ผมไม่ต้องขู่ว่าจะเอามายองเนสมาใช้แปรงฟันอีกต่อไปด้วย

หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ~Brand New Beat~ ที่ 03-10-2007 16:17:40
เรื่องนี้น่ารักอ่า หลังจากอ่านเรื่องเศร้าๆมาสองเรื่องแล้ว

ก็แอบยิ้มกับเรื่องนี้ได้ซะที่ แอบขำบางวิธีด้วยอะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 03-10-2007 16:30:55

.................... เพื่อวันที่สามสิบเอ็ด ผมจะได้บอกรักเขาออกไปอีกครั้งด้วยปากจากใจของผมโดยที่ผมไม่ต้องแกล้งเพ้อ ไม่ต้องแกล้งละเมอ ไม่ต้องเล่นลูกไม้ใดๆ และผม........ ก็จะได้ยินเขาบอกว่ารักผมกลับมาโดยที่ผมไม่ต้องขู่ว่าจะเอามายองเนสมาใช้แปรงฟันอีกต่อไปด้วย..............

.............น่ารักจังเลย........ :m2: :m2:
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: blueboy ที่ 17-10-2007 16:31:11
มาพลายก่อนยังไม่ได้อ่านเลยครับ :m23: :m23:
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 17-10-2007 16:32:57
มาพลายก่อนยังไม่ได้อ่านเลยครับ :m23: :m23:

^
^

ผมว่าจะแอบเนียน ปล่อยทู้ตกสักหน่อย 555

 :laugh:

หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 17-10-2007 16:49:08
วันที่ 31 รับเงินเดือนแล้วพาไปเลี้ยงกันสองต่อสอง  :m3:   :m3:  :m3:
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 17-10-2007 21:25:27
เจอรอยยิ้มทุกวัน หัวใจก็ต้องอ่อนลงหล่ะนะ
 :m18: :m18: :m18:
ตอนนี้เขียนได้อินไปกับกิจวัตรแต่ละวันเลยนะ
ดูเหมือนมีชีวิตดี
 :m1:
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 17-10-2007 22:25:36
:o8:     อ่านตอนนี้แล้วใจละลาย  อ๊ายยยยยยยยยยยย...    :o8:


อยากมีคนมาทำก่าเราแบบนี้มั่งจัง ทั้ง สามสิบวันเลยนะ อิอิ      :m1:



เพ้อไปแล่ะซิน ฮ่าๆ      o14


 :give2:     อ่านแล้วเหมือน ยำรวมมิตรเลย คิคิ  แต่สุดแสนจะอร่อยเหาะ  เอิ้กๆ     :laugh:


เปรียบเป็นของกินซะแล่ะซิน  กร๊ากกกกกกกก...       o17
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 17-10-2007 22:38:45
หลังจากเศร้ามาสองตอน..ก็ยิ้มได้..อิอิ
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 17-10-2007 22:48:48

เรื่องสุดท้ายนี่ค่อยยังชั่วหน่อย

ไม่ทำร้ายจิตใจคนอ่าน  :a11: :a6:

หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 18-10-2007 23:57:47
ส่งท้ายให้อีกเรื่องก่อนไอ้ต้นจะไป ตจว คับ  o1

......................................

ขอบฟ้าที่ใกล้เกินสายตา



เมื่อถึงวันที่เด็กปีหนึ่งกำลังจะเข้ามารายงานตัวเพื่อรับน้องของคณะของผม พวกเพื่อนของผมก็ตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่เพราะจะได้ส่องเด็กสาวๆรุ่นๆเฟรชชี่ที่กำลังจะมาเป็นเหยื่อให้พวกมันได้แกล้ง ได้จีบ หรือไม่ก็ได้จับตามประสาพวกมันไป มันเป็นวงจรอุบาทว์ที่ถ่ายทอดจากรุ่นมาสู่รุ่นจริงๆ เมื่อปีที่แล้วพวกผมโดนรุ่นพี่แกล้ง ปีนี้เราก็จะได้แกล้งรุ่นน้องบ้าง แต่เรื่องแกล้งกันเล่นกันมันก็ไม่เท่าไหร่หรอก คณะพวกผมไม่มีทำอะไรโหดๆหรือไม่ดีๆอยู่แล้ว เพียงแต่เด็กๆที่เพิ่งจบมาจากมัธยมนี่ต่างหากที่ทำให้พวกเราแทบทุกคนรู้สึกหัวใจมันกระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันที

แต่ไม่ใช่สำหรับผม

ผมยืนอยู่กับเพื่อนๆที่กำลังคอยต้อนน้องๆให้นั่งเป็นแถวๆตามกลุ่มที่จัดเอาไว้ ภายในโรงยิมก็อากาศค่อนข้างอบอ้าวอยู่แล้ว เพื่อนๆของผมก็ยังมาคอยแหกปากส่งเสียงเรียกและคอยบอกให้ทุกคนทำตามคำสั่งและอยู่ในความสงบอีก มันทำให้ผมยิ่งรู้สึกร้อนและหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก หลายๆคนที่อยู่ใกล้ๆผม ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายก็จะต้องคอยมาพูดคุยหัวเราะแล้วก็ “เลือก” เอาไว้ก่อนว่าคนไหนหล่อคนไหนสวยไว้เป็นทาร์เก็ต....... ถึงจะได้แค่มองแค่เลือกไว้เอ็นอาหารตาอาหารใจเท่านั้น พวกมันก็พอใจกันแล้ว

ผมไม่ใช่คนขวางโลกนะ ผมไม่ใช่คนที่เกลียดการรับน้องหรืออะไรด้วย ผมกลับเป็นคนที่เฉยๆและโอเคได้กับทุกๆอย่างไม่ว่าจะเรื่องอะไร ซึ่งนั่นคงเป็นข้อดีของผมนั่นเอง เพียงแต่ว่าวันนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมกับกิจกรรมตรงหน้านี่เท่าไหร่เลยจริงๆ

“ไอ้นุ มึงว่าคนนั้นน่ารักป่ะวะ ตาโต หน้าใสปิ๊งเชียว เชี่ยยย จะน่ารักไปไหนวะนั่น” ไอ้แม็ก เพื่อนในกลุ่มของผมคนหนึ่งเดินเข้ามากอดคอผมแล้วก็ชี้ไปทางน้องผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ไกลๆ “เด่นสุดในวงนั้นเลยนะเว้ยน่ะ”

“ก็น่ารักดี แต่กูเฉยๆว่ะ”

“แล้วคนนั้นอ่ะ เมื่อกี๊ไอ้บอลมันไปถามมาแล้ว เห็นว่าชื่อน้องแป้ง” ไอ้แม็กชี้ไปที่น้องผมยาวถักเปียอีกคนหนึ่ง

“ก็งั้นๆ ตกลงมึงจะเลือกสักคนได้รึยัง”

“เฮ้ย โห ไมมึงพูดงี้ว้า ปีนี้เด็กน่ารักๆเยอะนะเว้ยย ไม่เหมือนรุ่นเราแม่งมีแต่ยัยเพิ้ง มึงไม่คิดจะจีบใครมั่งเลยเหรอวะ ถามจริง”

“ไม่คิด” ผมตอบกลับไป “กูบอกแล้วไง ยังไงๆกูก็ยังไม่ยอมตัดใจจากพี่พีช”

พี่พีชเป็นรุ่นพี่ของผมหนึ่งปี แต่จริงๆแล้วเขาเป็นรุ่นพี่ของผมมาตั้งแต่ผมอยู่มัธยมแล้วด้วยซ้ำ ผมไม่เคยคิดเลยว่าพอผมมาเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ผมจะได้มาเจอได้มาอยู่ที่เดียวกับพี่เขาอีก และผมก็ชอบพี่เขามานานมากแล้วด้วย...... ถึงมันจะเป็นแค่การแอบปลื้มอยู่ฝ่ายเดียวก็เถอะ

“งั้นมึงก็คงต้องฝันต่อไปแล้วล่ะมั๊ง ไอ้นุ ปีนึงแล้วนะที่มึงได้แต่มองพี่เขาน่ะ จะคุยกับเขามึงก็ยังไม่กล้า แถมพี่เขามีแฟนแล้วอีกต่างห่ก มึงจะเอายังไงของมึ๊งงงง” ไอ้แม็กตัวแสบหัวเราะเยาะผม แต่เมื่อมันเห็นสีหน้าของผมมันก็หยุดหัวเราะลงทันที “เอ่อ คือ แบบว่ากูว่านะ มึงลองมองคนอื่นเขาดูมั่งดีกว่าว่ะ ไม่งั้นมึงมีหวังได้จมอยู่แต่กับพี่เขาคนเดียวแล้วไม่มีวันได้มีฟงมีแฟนกับเขาแน่นะเว้ย ปีนึงคุยกันสามคำนี่ไม่ไหวนะเว้ย ลองดูคนที่เขาไม่มีแฟนสิวะ นิสัยมึงหน้าตามึงก็ดีอ่ะ แต่เสียอย่างเดียว....... แม่งดุไปหน่อย........” ไอ้แม็กพูดประโยคสุดท้ายแบบไม่ค่อยเต็มคำเท่าใดนัก

“เออ เอาไว้กูอยากมีแฟนจนใจจะขาดเมื่อไหร่ กูค่อยไปขอความช่วยเหลือจากพวกมึงก็แล้วกัน” ผมหันหลังกลับแล้วเดินไปนั่งอยู่บนสแตนด์ที่มุมห้อง สายตาของผมก็ไปหยุดอยู่ที่พี่หนึ่ง แฟนของพี่พีช........

“มันมาทำเหี้ยอะไรที่นี่วะ” ผมสบถออกมาเบาๆกับตัวเอง

แต่ที่ผมหงุดหงิดนั้นไม่ใช่เพราะผมไม่รู้คำตอบเรื่องนั้นหรอก แต่มันเป็นเพราะผมรู้ดีเลยต่างหากว่ามันมาที่นี่เพราะอะไร ไอ้พี่หนึ่งเนี่ย มันเป็นสุดๆของสุดๆของไอ้ผู้ชายเจ้าชู้เลย ที่มันมาทีนี่ทั้งๆที่มันไม่จำเป็นต้องมาเลยก็เพราะมันมาเพื่อส่องเด็ก และเพื่อหาของเล่นชิ้นใหม่ของมันก็เท่านั้นเอง ที่บ้านมันรวย ลูกนักการเมือง พ่อมีอิทธิพล อยากได้อะไรก็ต้องได้ ชื่อเสียงของมันใครๆเขาก็รู้กันไปทั่ว ทั้งเที่ยวเก่ง ทั้งเจ้าชู้ พอผมรู้ว่ามันมาคบกับพี่พีชแล้วผมก็หัวใจสลายไปทันที ไม่ใช่เพราะคนที่ผมชอบไปมีแฟนหรอก แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเป็นไอ้เหี้ยนี่ ผมไม่อยากให้คนดีๆอย่างพี่พีชต้องเจ็บปวดและเสียใจ ผมไม่เข้าใจเลยว่าพี่พีชเห็นดีอะไรในตัวมัน

แต่จะว่าผมไม่รู้ซะเลยก็ไม่ถูกอีก เพราะผมรู้ดีทีเดียว ใครๆก็รู้ ว่ามันน่ะ ปากหวานเป็นที่หนึ่ง เอาใจเก่ง แล้วก็เป็นคนที่สามารถพูดเรื่องโกหกให้ฟังดูเป็นความจริงได้อย่างที่สุด ซึ่งนั่นล่ะ ที่ทำให้ผู้หญิงหลายต่อหลายคนต้องหลงมันมานักต่อนักแล้ว........ รวมทั้งพี่พีชด้วย

เริ่มแรกผมก็คิดว่าพี่พีชคงเปลี่ยนมันได้จริงๆ ผมเคยเผลอคิดไปว่ามันคงรักพี่พีชจริง แต่ต่อมาผมก็รู้ว่าไม่ใช่เลย มันอาจจะรักพี่พีชจริง พี่พีชอาจจะเป็นคนดีมากจริง แต่เขาก็ยังคงไม่สามารถเปลี่ยนสันดานไอ้เหี้ยนี่ได้เลย มันแค่คบกับพี่พีชในฐานะ “ตัวจริง” ก็เพื่อลบภาพลักษณ์ความเป็นเพลย์บอยของมันก็เท่านั้นเอง........

“ไอ้หน้าส้นตีนเอ๊ย” ผมสบถออกมาเบาๆอีกครั้ง

“มึงว่าใครวะ ไอ้นุ” เสียงของปลาเพื่อนของผมดังขึ้นทางด้านหลังของผม ผมจึงหันกลับไปมองยังที่มาของเสียงทันที

“ก็ไอ้เหี้ยนั่นน่ะแหละ” ผมพยักเพยิดไปอีกฟากหนึ่งของโรงยิม “มึงคิดว่ามันมาทำเหี้ยอะไรล่ะ ถ้าไม่ได้มาเล็งเด็กๆปีหนึ่งไปเป็นเหยื่อมันอีกน่ะ”

“เอออ....... ช่างมันเหอะน่า ต่างคนต่างอยู่น่ะมึง ทำใจให้สบายๆแล้วมาสนุกกับคนอื่นๆดีกว่าน่า กูเห็นมึงอารมณ์บูดมาแต่เช้าแล้วนะ”

“ก็กูเสือกไปเห็นหน้าไอ้เหี้ยนั่นตั้งแต่เช้านี่”

“เอาน่าๆ ปล่อยมันไปเหอะ นี่ มึงดูน้องคนนั้นดิ่ น่ารักมั๊ย กูช๊อบบชอบบบ พวกกูเล็งกันไว้นานแล้วววว” ปลาชี้ให้ผมมองไปยังเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากที่เราสองคนนั่งอยู่เท่าไหร่

ผมไม่ต้องใช้เวลามองหาคนที่ปลาชี้ให้ดูนานเลย เพราะเขาคนนั้นดูโดดเด่นกว่าคนอื่นๆตรงนั้นมากจริงๆ เขากำลังพูดคุยและหัวเราะกับพวกเพื่อนๆของผมอยู่ ทั้งๆที่โดนรุ่นพี่ผู้หญิงรุมอยู่ถึงสี่คน เขาก็ยังคงร่าเริงและดูเป็นกันเองกับทุกคนมาก เขามีผิวขาว รอยยิ้มและลักยิ้มที่โดดเด่น ดวงตากลมโตที่ดูเป็นประกาย ดูๆแล้วไม่น่าจะสูงมากนัก ซึ่งอาจจะนับเป็นข้อเสียของเขาเพียงข้อเดียวเลยก็ได้ ไม่อย่างนั้นหน้าตาแบบนี้คงสามารถถูกเลือกให้เป็นเดือนคณะหรือแม้แต่เดือนมหาลัยได้สบายๆ

“อืมม ก็น่ารักดีนะ แต่กูว่ามันดูน่ารักมากกว่าหล่อนะ มึงชอบแบบนี้กันเหรอ” ผมถาม

“ทั้งน่ารักทั้งหล่อเลยล่ะมึ๊งงงง หน้าหวานๆ แต่จริงๆแล้วก็เข้มๆ แมนมากกกกก” ปลาลากเสียง “เคยเป็นนักกีฬาฟุตบอลโรงเรียน เคยเป็นตัวแทนไปแข่งฟิสิกส์โอลิมปิก ที่บ้านมีธุรกิจส่วนตัว เป็นลูกชายคนเดียว รวย เก่ง ฉลาดหล่อ......”

“แต่เตี้ย” ผมต่อประโยคให้จนจบ “นี่มึงจ้างนักสืบเอกชนไปสืบเรื่องน้องเขามาหมดแล้วรึไงวะ” ผมหัวเราะเบาๆ

“อีนี่ เสียมารยาท ถึงเขาจะไม่สูง แต่อย่างอื่นกินขาดนะยะ แถมที่กูรู้เรื่องทั้งหมดเนี่ย น้องเขาบอกเองต่างหาก แกเอ๊ยยย แบบว่าเป็นคนน่ารักมากกกก เปิดเผย จริงใจ ร่าเริง คุยเก่ง ยิ้มหวาน......”

“แต่สูงกว่ามึงแค่สามเซ็นต์”

“ไอ้ห่านุ นี่มึงจะขัดคอกูไปถึงไหน” ปลาตะเบ็งเสียงแล้วยืนขึ้นเอามือเท้าสะเอว แต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มกว้างอยู่ “เดี๋ยวเอาไว้จับมันกินนมเยอะๆเดี๋ยวมันก็สูงเองนั่นแหละ ชิ”

 “ถ้ามันชอบกิน ‘นม’ น่ะนะ” ผมหัวเราะ

“กรี๊ดดดดดด มึงหมายความว่ายังไง”

“ไม่รู้สิ” ผมยักไหล่ “ถึงมันจะเพอร์เฟ็กต์ขนาดนั้นน่ะนะ แต่มันก็อาจจะเป็น ‘เกย์’ ก็ได้นี่”

“กรี๊ดดดดดด มึงห้ามพูดในสิ่งที่กูกำลังกลัวอยู่เด็ดขาดดดด ไม่จริงๆๆๆ น้องไวท์ของชั้นต้องไม่เป็นเกย์เด็ดขาด” ปลาเอามือปิดหูแล้วส่ายหน้า “กูไม่คุยกับมึงแล้ว ประสาทเสียหมด ไอ้เหี้ยนี่ ทำเอาอิมเมจสวยๆของกูพังหมดแล้ว” เมื่อปลาพูดจบ เขาก็เดินออกไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆตรงที่น้องไวท์ของมันนั่งอยู่พอดี

หลายชั่วโมงผ่านไป พวกเราทั้งหมดก็ทำกิจกรรมหลายๆอย่าง ทั้งร้องเพลง เล่น เต้น จับกลุ่ม แนะนำตัว ทุกๆอย่างเท่าที่จะทำได้ เมื่อมองจากภาพรวมของเด็กกว่าสี่ร้อยคนแล้ว คนที่เด่นๆและมีสิทธิ์ตกเป็นเป้าของพวกรุ่นพี่หรือแม้แต่รุ่นเดียวกันนั้นก็มีไม่มากอย่างที่คิดจริงๆ ไม่ว่าจะทั้งผู้หญิงหรือผู้ชาย และ “น้องไวท์ของทุกคน” ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ถูกจับตามองมากที่สุดด้วย

วันถัดมาพวกเราก็นัดรวมตัวรับน้องกันอีกครั้ง ครั้งนี้ไอ้พี่หนึ่งมันไม่ได้โผล่มาด้วย ซึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกสบายใจมากขึ้นอีกหน่อย วันนี้พวกเรามีการแบ่งกลุ่มกันตามบ้านโดยการจับฉลาก ผมถูกเพื่อนยัดเยียดให้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าบ้านสี่ ถึงจะไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ก็ไม่ได้รังเกียจอะไร รุ่นพี่ประจำบ้านหลักๆนั้นจะมีอยู่ราวๆสิบคน และทั้งไอ้แม็กและปลาก็เป็นสมาชิกเดียวกับบ้านของผมด้วย และเมื่อน้องไวท์จับฉลากได้บ้านของพวกเรา เสียงเฮก็ดังขึ้นมาจากทุกๆคนที่นั่งอยู่รอบๆผมทันที

“มึงจะเฮไปกับเขาทำไมวะ ไอ้แม็ก ไอ้เก่ง” ผมถามเพื่อนของผมสองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

“ไม่รู้ เห็นพวกผู้หญิงมันเฮกันกูก็เลยเฮมั่ง” ไอ้แม็กหัวเราะ

“ก็เฮรับน้องไง ไอ้น้องไวท์นี่มันก็น่ารักดีออก ได้คนเก่งๆหน้าตาดีๆ แถมเล่นบอลเก่งอีกต่างหากแบบนี้มาอยู่ที่บ้านของเรา มันก็ถือเป็นโชคของพวกเรานะเว้ย” ไอ้เก่งพูดเสริม

เมื่อเด็กทุกคนจับฉลากกันครบหมดแล้ว บ้านทุกๆบ้านก็เต็มไปด้วยสมาชิกใหม่ที่นั่งรอคำสั่งของพวกเราอยู่ตามมุมต่างๆของโรงยิม หลังจากการแนะนำตัวทุกๆคนและเล่นเกม พูดคุยกระชับมิตรกันแล้ว ก่อนจะแยกย้ายกันกลับ ปลากับเพื่อนผู้หญิงอีกสองคนก็เข้าไปนั่งคุยกับน้องไวท์ และผมก็กำลังนั่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นด้วย

“น้องคะ ถ้ามีปัญหาอะไรล่ะก็ มาถามพวกพี่ได้ทุกเรื่องเลยนะ เดี๋ยวพวกพี่จัดการให้ทุกอย่างเลย” ปลาพูด

“เฮ้ยๆ กูเป็นหัวหน้าบ้านนะ มึงจะมองข้ามหัวกูไปเลยรึไง” ผมพูดแทรกพร้อมกับหัวเราะเบาๆ

“อย่าไปสนมันค่ะน้อง......” ปลาโบกมือปัดอย่างรำคาญ “พี่รู้ว่าน้องๆกลัวมัน ไอ้เนี่ยมันดุค่ะ โหด ใจดำ ทมิฬหินชาติ มีอะไรปรึกษาพี่ๆดีกว่า ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน พี่รู่ว่าน้องเองก็กลัวมันเหมือนกันแหละ”

“ไม่นะครับ ผมไม่ได้กลัวสักหน่อย” ไวท์หัวเราะ “พี่นุมีอะไรน่ากลัวเหรอครับ” เขาหันมายิ้มให้กับผม

“ก็นั่นน่ะสิ พี่ออกจะใจดี ไม่ได้มีอะไรให้กลัวสักหน่อย ใช่มั๊ย” ผมยิ้มตอบกลับไป

“ย่ะ พ่อคนหน้าตาดี แหม ทั้งหล่อทั้งใจดีเลยนะมึ๊งงงงง” แจน เพื่อนอีกคนหนึ่งพูดขึ้นบ้าง “แต่ปีเนี๊ย รางวัลหน้าตาดีไม่ได้เป็นของมึงแล้วนะคะ คุณนุ แต่ตกเป็นของน้องไวท์คนนี้ต่างหาก”

“ไวท์มีแฟนรึเปล่า หน้าตาดีแบบเนี๊ย ไม่น่ารอดน้า” ปลาพูดขึ้นบ้าง

“ไม่มีหรอกครับ ผมไม่ได้สนใจใครเป็นพิเศษด้วย กะว่าค่อยมาหาเอาตอนอยู่มหาลัยนี่แหละครับ” ไวท์หัวเราะเบาๆ ทำเอายัยสาวๆที่นั่งอยู่แถวๆนั้นใจละลายกันไปเป็นแถบๆทีเดียว

“เลือกพี่นะคะน้องงงง เลือกคนอายุมากกว่าได้ประสบการณ์คุ้มค่านะค้าาาา” แจนรีบเสนอตัวทันที

“คงไม่มั๊งครับพี่ ขอโทษนะครับ” ไวท์หัวเราะแหะๆ ทำเอาผมกับคนอื่นๆอดหัวเราะออกมาด้วยไม่ได้ ผมชักชอบความตรงไปตรงมาขอไอ้เด็กคนนี้ซะแล้วสิ

“สมน้ำหน้ามึ๊งงงง อีแร๊ดดดด หน้าแหกหมอไม่รับเย็บ” ปลาหัวเราะชอบใจ “มันต้องอย่างกูนี่ สวย เพียบพร้อม กุลสตรี ไม่ร่านเหมือนมึงหรอกค่ะ จริงมั๊ยคะ น้องไวท์” ปลาหันไปหลิ่วตาให้ไวท์ ทำเอาผมอดขำไม่ได้ที่พวกมันต้องแก่งแย่งชิงดีเพื่อผู้ชายกันถึงขนาดนี้

“พี่ๆก็สวยกันทุกคนแหละครับ เพียงแต่ว่าผมไม่ได้ชอบแบบพวกพี่เท่านั้นเอง” ไวท์พูดขึ้น ทำเอายัยพวกที่นั่งอยู่แถวนั้นหน้าแหกกันเป็นแถวๆ ส่วนผมก็หัวเราะจนท้องแข็ง

“แล้วน้องชอบแบบไหนล่ะคะ สวยๆขนาดพี่เนี่ย ยังไม่ได้อีกเหรอ” แจนพูดพร้อมกับทำท่าสยายผม

“คือ..... มันก็พูดยากนะครับ แต่ว่าผมไม่ได้ชอบผู้หญิงน่ะครับ ผมชอบผู้ชาย”

นับจากวันที่น้องไวท์เปิดตัวอย่าสง่าผ่าเผยและช็อกโลกมากที่สุดวันนั้นแล้ว ทั้งข่าวลือและชื่อเสียงของเขาก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว งานนี้ทำเอาสาวๆหลายคนอกหักกันไปเป็นแถบๆ แต่ทว่าชื่อเสียงของเขาก็ไม่ได้แพร่ไปในทางที่ไม่ดีเลยแม้แต่น้อย กลับกัน เขาก็ยังคงมีเพื่อนเลือกคบและให้ความสนใจมากอยู่ดีนั่นเอง ไม่ว่าจะทั้งรุ่นพี่หรือรุ่นเพื่อน และไม่ว่าจะทั้งผู้หญิงหรือผู้ชาย นั่นก็คงเป็นเพราะเขาเป็นคนที่ร่าเริง สดใส นิสัยดี และเป็นคนจริงใจเปิดเผยแบบสุดๆนั่นเอง ถึงแม้เขาจะทำให้สาวๆหลายคนอกหักไปแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่คิดพยายามจะเปลี่ยนนิสัยเขากลับมาให้ชอบผู้หญิงเหมือนเดิมให้ได้ และเขาก็ยังคงเป็นตัวเก็งที่จะได้รับเลือกให้เป็นเดือนคณะของเราอยู่ดี

“เป็นไง เด็กมึง เปิดเผยอย่างที่มึงว่าจริงๆด้วยสินะ” ผมหัวเราะกับปลา ขณะที่เรากำลังรอรุ่นน้องทุกคนมารวมกลุ่มกันอีกครั้งสำหรับการจับสายรหัส

“สุดๆไปเลยมึง กูงี้อึ้งแดกไปเลย ไม่คิดเลยว่าจะมีใครในโลกที่กล้าเปิดตัวได้เจ๋งขนาดนี้มาก่อน”

“กูก็ว่างั้นว่ะ แล้วมันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่มอปลายเลยมั๊ยเนี่ย”

“เห็นว่าไม่นะ คือ เค้าน่ะมาจากโรงเรียนกางเกงน้ำเงิน เพื่อนเค้าที่สนิทๆบางคนก็รู้แหละว่าเค้าน่ะชอบผู้ชาย แต่ก็ไม่ได้เปิดตัวโจ่งแจ้งขนาดนี้”

“อกหักมั๊ยล่ะ มึงน่ะ” ผมหัวเราะ

“แหม๊ กล้าพูดนะค้าาา คุณนุกูล คนอกหักน่ะมึง ดูนั่นซะก่อน” ปลาชี้ไปที่หัวโค้งตึก พอผมหันไปมองตามก็เห็นพี่พีชกำลังเดินจับมือมากับไอ้พี่หนึ่ง “เห็นว่าเร็วๆนี้เค้าจะย้ายไปอยู่หอเดียวกันแล้วด้วยนะ มึงรู้รึเปล่า”

“เออ กูรู้” ผมหันกลับมาสนใจรุ่นน้องที่กำลังทยอยกันเดินเข้ามาเหมือนดิม “จริงๆมันก็เรื่องของเค้านั่นแหละ กูจะไปทำอะไรได้”

“อ้าว พูดเหมือนตัดใจได้แล้วเลยนะ”

“ก็ไม่เชิงหรอก.........” ผมเหม่อมองไปยังพี่พีชครู่หนึ่ง “กูแค่คิดถึงเรื่องที่พวกไอ้แม็กมันพูดน่ะ....... กูไม่ได้เลิกชอบพี่เขาหรอก ไม่รู้กูจะเลิกคิดแบบนั้นได้รึเปล่าด้วยซ้ำ แต่ว่ากูก็กำลังคิดว่า กูคงไม่ยึดติดกับพี่เขามากมายอะไรอีกแล้วว่ะ ถ้าเขายังไม่เลิกกัน กูก็ไม่คิดจะเข้าไปแทรก รอเขาเลิกกันก่อนดีกว่า และระหว่างนั้น กูก็จะพยายามไม่ใส่ใจเรื่องของไอ้เหี้ยหน้าม่อนั่นอีก”

“โอโห เวลาแค่ไม่กี่วัน ทำไมมึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้วะ หรือว่ามึงแอบปิ๊งเด็กคนไหนเข้ารึเปล่าเนี่ย” ปลาทำน้ำเสียงทำสีหน้าตกใจ

“มึงจะบ้าเรอะ กูไม่ใช่พวกมึงนะ อ้าว นั่นไง ที่รักมึงมานั่นแล้วน่ะ” ผมชี้ไปทางด้านหลังของปลา น้องไวท์ของมันกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับเพื่อนกลุ่มใหญ่อีกหนึ่งกลุ่มพอดี

“ว้ายยย สุดหล่อของกูมาแล้ว เพี๊ยงงงง ขอให้กูได้น้องเขาเป็นน้องรหัสด้วยเถ้อออ น้องเทคก็ได้วะ กูยอมหมดเลยยยย”

“มึงจะให้กูล็อคเลขมั๊ย” ผมหัวเราะ

“แน่ใจนะ มึงจะทำให้กูจริงๆเหรอ” ปลาหันมาทำตาโตใส่ผม

“เปล่า กูโกหก ของแบบนี้มันอยู่ที่ดวงและโชคชะตาว่ะ ถ้าดวงมึงสมพงศ์กันจริง เดี๋ยวมึงก็ได้คู่กันเองนั่นแหละ” ผมหัวเราะแล้วเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อนคนอื่นๆ

เมื่อเด็กปีหนึ่งทุกคนมากันพร้อมแล้ว และหลังจากกิจกรรมกลุ่มอีกนิดหน่อย ก็ถึงเวลาแบ่งกลุ่มตามบ้านแล้วให้จับพี่เทคก่อน โดยที่คณะของผมนั้น พี่เทคจะเป็นพี่ๆที่อยู่ในบ้านของตัวเอง ส่วนพี่รหัสนั้นจะเป็นพี่ในคณะทุกๆคน และเมื่อการจับฉลากและกิจกรมทุกอย่างของวันนั้นจบลงก็ปรากฏว่าผมต้องเป็นพี่เทคให้กับไวท์ ส่วนพี่รหัสของเขานั้นเป็นเพื่อนผู้หญิงของผมคนหนึ่งที่ผมไม่ค่อยจะคุ้นเคยด้วยนัก

“เลวที่สุด ไอ้นุ นี่แกล็อคเลขภาษาอะไรวะ” ปลาเดินเข้ามาหาผมหลังจากที่ผลการจับฉลากทั้งหมดออกมาแล้ว

“เฮ้ย ก็กูบอกกูไม่ได้ล็อค”

“ถ้างั้นก็แปลว่ามึงดวงสมพงศ์ให้ได้คู่กับน้องเขาน่ะสิยะ แหม”

“มึงพูดอะไรของมึง กูบอกว่ากูไม่ได้ล็อค พูดแบบนี้มันหมายความว่ายังไง ถ้ามึงอยากได้ มึงเอาเขาไปเลยไป แล้วเอาน้องของมึงมาแทน” ผมพูดออกไปอย่างไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่นัก ซึ่งก็ทำให้ปลาหน้าเสียไปเลยเหมือนกัน

“เฮ้ย กูขอโทษ มึงอย่าเพิ่งอารมณ์ขึ้นสิ กูแค่ล้อเล่นเอง”

“เออ กูผิดเองแหละ......” ผมถอนหายใจ “กูขอโทษ กูมันขี้หงุดหงิดไปหน่อย อย่าถือสากูเลยแล้วกันนะ”

คืนวันนั้น ขณะที่ผมนั่งดูทีวีอยู่ที่บ้านผมก็ได้รับโทรศัพท์จากเบอร์แปลกหน้าตอนเวลาราวๆสามทุ่ม ถึงผมจะคิดว่าผมพอรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร แต่ผมก็อดที่จะเอารายชื่อและเบอร์โทรศัพท์ทั้งหมดของเด็กในบ้านทุกคนมาเทียบก่อนไม่ได้ และมันก็เป็นเบอร์ของน้องไวท์จริงๆซะด้วย

“สวัสดีครับ ขอโทษทีนะครับที่พี่รับช้า” ผมรับสาย

“ครับ นี่ไวท์นะครับ พี่นุ เห็นพี่สั่งไว้ว่าคืนนี้ให้โทรมารายงานตัวกับพี่เทคทุกคน พี่ทำอะไรอยู่รึเปล่าครับ ผมกวนรึเปล่า”

“เปล่าหรอก พี่ก็แค่ดูทีวีน่ะ แต่ที่รับช้าก็เพราะเอาเบอร์มือถือในสมุดที่จดไว้มาเทียบกับเบอร์ไวท์ดูน่ะ เพราะพี่ไม่ได้เมมเอาไว้”

“อ้าว พี่ไม่ได้เมมเบอร์ผมเอาไว้เหรอครับ” ไวท์มีน้ำเสียงผิดหวังลงนิดหน่อยทันที แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าผมรู้สึกไปเองรึเปล่า “แล้วนี่ก็แปลว่าพี่ไม่ชอบรับเบอร์แปลกหน้าเหรอครับ ถึงดูระวังตัวจัง”

“ก็นิดหน่อยน่ะ เบอร์พี่มันจำง่าย แล้วคนดันชอบโทรมาผิดเยอะ พี่ก็เลยตัดรำคาญไปซะ”

“แล้วผมทำให้พี่รำคาญรึเปล่าครับ”

“เฮ้ย ไม่หรอก ก็ไวท์ต้องโทรหาพี่อยู่แล้วนี่นา พี่เองก็รออยู่เหมือนกันนั่นแหละ”

“เหรอครับ ถ้างั้นผมขอคุยกับพี่อีกหน่อยก็แล้วกันนะครับ ผมเองก็กำลังอยู่ว่างๆเบื่อๆพอดีเลย”

ผมเงียบไปพักหนึ่ง เพราะไม่แน่ใจว่าควรจะตอบยังไงดี ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจหรอกนะ  แต่ผมชักเริ่มรู้สึกเอะใจกับน้องคนนี้ซะแล้วสิ เพราะผมไม่ค่อยเคยชินกับการถูกใครรุกเข้าหาแบบนี้มาก่อนสักเท่าไหร่

“ก็ได้นี่ครับ พี่เองก็ไม่มีอะไรทำพอดี.........”

หลังจากการคุยโทรศัพท์กับเขาคืนนั้น ผมก็ได้เรียนรู้นิสัยของเขาเพิ่มเติมมากขึ้นอีกเยอะจริงๆ เขาเป็นเด็กหนุ่มนิสัยดีอย่างที่ใครๆเขาว่ากันจริงๆด้วย

แต่ไอ้ความนิสัยดีของเขามันก็ชักจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มากจนเกินกว่าที่ผมต้องการและคาดหวังเอาไว้เยอะทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อมันมารวมกับความจริงใจและเปิดเผยของเขาแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างผมกับเขาก็เลยกลายเป็นกลับตาลปัดไปเลยจริงๆ ไม่สิ ถ้าพูดให้ถูกต้อง ต้องบอกว่าชีวิตของผมมันพลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือไปเลยต่างหาก

หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 18-10-2007 23:58:32
ขอบฟ้าที่ใกล้เกินสายตา (๒)



นับจากโทรศัพท์โทรมาแนะนำตัววันนั้นแล้ว ไวท์ก็โทรหาผมทุกคืน ตอนแรกๆก็แค่คืนละหน แต่หลังจากผ่านไปได้สัปดาห์นึง มันก็กลายเป็นโทรหาผมวันละสองสามรอบทุกวัน แถมนอกจากโทรศัพท์แล้วเขายังมาหาผมที่หอและคอยหาเวลาไปกินข้าวกับผมบ่อยมากขึ้นด้วย ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะปกติผมก็มักจะไปไหนมาไหนคนเดียวอยู่แล้ว พอมีเขามาอยู่ด้วยบางทีก็ทำให้รู้สึกผมหายเบื่อไปได้มั่งเหมือนกัน ซึ่งผมก็เคยสงสัยเหมือนกันนะว่าปกติแล้วผมควรน่าจะต้องรู้สึกรำคาญหรืออึดอัดใจเวลาที่มีใครมาทำแบบนี้กับผมสิ แต่ว่าท้ายที่สุดแล้วสิ่งเหล่านั้นมันก็เริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผมไปทีละน้อยๆโดยที่ผมไม่รู้ตัว......... ไม่สิ ผมรู้ตัวนั่นล่ะ เพียงแต่ว่าผมไม่เคยปฏิเสธหรือมีท่าทีรังเกียจเขาเลยต่างหาก ผมไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไรเลยแม้แต่น้อย

จากที่ผมต้องเป็นพี่เทคให้เขา ก็กลับกันกลายเป็นเขามาคอยเทคแคร์ผมแทบจะทุกเรื่อง และเมื่อผ่านไปนานเข้าๆ คนในคณะก็เริ่มที่จะรู้เรื่องของผมกับเขามากขึ้น ก็เดือนคณะปีที่แล้วกับเดือนคณะปีล่าสุดดันสนิทสนมกันเกินหน้าเกินตาซะขนาดนี้ แถมไอ้เจ้าไวท์ก็ยังประกาศตัวชัดแจ้งว่ามันเป็นเกย์ไปแล้วซะขนาดนั้น  ผมก็เลยเริ่มตกอยู่ในสถานะลำบากใจและกระอักกระอ่วนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะผมต้องคอยปฏิเสธคำถามของคนอื่นว่าผมเป็นเกย์รึเปล่า ผมคบกับมันแล้วใช่มั๊ยอยู่ตลอด และที่สำคญ ผมกลัวพี่พีชจะเข้าใจผิดด้วย จนในที่สุด ผมจึงตัดสินใจว่าจะต้องหยุดเรื่องนี้ลงได้แล้วสักที

“ไวท์ พี่รู้นะว่าไวท์คิดยังไงกับพี่ แต่ว่าเลิกเถอะครับ พี่ไม่ได้เป็นเกย์ พี่คงคบกับไวท์ไม่ได้หรอก และที่สำคัญ พี่มีคนที่พี่ชอบอยู่แล้วด้วย” ผมบอกเขาทางโทรศัพท์คืนหนึ่งหลังจากที่เขาโทรมาตอนสามทุ่มตามปกติทุกๆวัน

“พี่นุหมายถึงพี่พีชใช่มั๊ยครับ เรื่องนั้นผมก็รู้ มีคนบอกผมหลายคนแล้ว”

“ใช่ เพราะงั้นพี่ว่าไวท์ตัดใจจากพี่เถอะครับ เราเป็นพี่เป็นน้องธรรมดาๆกันน่ะดีแล้ว พี่เองก็ไม่ได้รังเกียจไวท์หรอกนะ แต่ถ้ามันมากกว่านี้พี่ก็คงจะไม่ไหวเหมือนกัน คนอื่นๆเขาเริ่มเข้าใจผิดกันไปหมดแล้ว พี่เหนื่อย” ผมถอนหายใจ

“พี่เหนื่อยมากเลยเหรอครับ กับการที่มีผมคอยอยู่ข้างๆ คอยทำอะไรๆให้พี่แบบนี้........” ไวท์มีน้ำเสียงเศร้าใจเล็กน้อย และคำถามนั้นของเขาก็ทำให้ผมต้องหันกลับมาถามตัวเองจริงๆอีกครั้ง

ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมเองก็รู้มาตลอดว่าเขาเป็นเกย์ โอเค เรื่องนั้นผมไม่คิดมาก ผมรับได้ ผมไม่ได้แคร์เรื่องคนอื่นจะมีชีวิตอะไรยังไงอยู่แล้ว ถัดมา เขาเริ่มจีบผม และไปๆมาๆก็กลายเป็นจีบผมอย่างออกนอกหน้า เดินตามผมต้อยๆเหมือนลูกหมา คอยเอาใจผมทุกอย่าง ซื้อของกินมาให้ ซื้อขนมมาฝาก อยากจะเจอผมตลอดเวลา ถ้าถามว่าผมรำคาญมั๊ย........ น่าแปลกที่ผมก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญเลย ผมเองก็ยังคงรู้สึกเฉยๆอยู่ดี หรือเผลอๆผมอาจจะรู้สึกชอบและเคยชินกับกิจวัตรเล่านั้นไปแล้วด้วยก็ได้ เพราะอย่างน้อยๆเขาก็ไม่ได้มาดักจี้ดักปล้นฆ่าหรือข่มขู่ผม เพราะฉะนั้นถ้านั่นเป็นความสุขของเขา ผมก็เลยปล่อยให้เขาทำต่อไป แต่ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ผมเริ่มรู้สึกเหนื่อยและไม่ชอบกับการกระทำของมันนี่..........

“ครับ พี่เหนื่อย ไวท์ทำให้พี่อึดอัด แต่ว่าพี่ไม่อยากจะบอกไวท์ตรงๆเท่านั้นเอง พี่คิดว่าไวท์น่าจะคิดเองได้ ว่าการที่ไวท์มาชอบพี่และทำแบบนี้โดยที่พี่ไม่ได้คิดอะไรกับไวท์เลย มันทำให้พี่อยู่ในสถานะที่อึดอัดมาก” ผมโกหกออกไป เพราะคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าเรารีบๆจบบทสนทนาตรงนี้และหักดิบมันซะ

“แล้วที่พี่แอบชอบพี่พีชล่ะครับ พี่ไม่คิดว่าเขาจะอึดอัดพี่มั่งเหรอ พี่พีชเองเขาก็รู้นะว่าพี่ชอบเขา และที่ผมรู้มาน่ะ พี่เขาเองก็ไม่ได้ชอบพี่เลยแม้แต่นิดเดียวไม่ใช่เหรอครับ แถมเขายังลำบากใจมากด้วยที่พี่เองก็บอกคนอื่นจนเขารู้กันทั่วว่าพี่ชอบพี่พีชน่ะ แล้วพี่เคยคิดถึงเรื่องนี้มั๊ยล่ะครับ พี่บอกผมคิดเอง แล้วพี่เคยคิดเรื่องในจุดนี้บ้างเหมือนกันรึเปล่า”

ผมถือโทรศัพท์นิ่งไปเพราะคำพูดเหล่านั้นของมันทันที ไวท์ไม่ได้พูดเยาะเย้ย ถากถาง หรือเสียดสีผมเลยแม้แต่น้อย ผมไม่รู้สึกถึงน้ำเสียงแบบนั้นออกมาจากคำพูดของเขาเลย แต่ว่าสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกได้อย่างชัดเจนและเจ็บปวดมากที่สุดนั่นก็คือ “ความจริง” ต่างหาก

โดยเฉพาะความจริงเกี่ยวกับพี่พีช

ผมกดปุ่มวางสายลงโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก หลังจากนั้นไวท์ก็โทรเข้ามือถือของผมอีกสามครั้ง แต่ผมไม่รับสาย เขาส่งเมสเสจมาบอกผมว่าขอโทษ แต่ผมก็กดลบมันทิ้งทันที ตอนนี้ผมไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว...... พอกันทีกับความรักงี่เง่าๆของเขาทั้งหมด พอกันทีกับทุกๆอย่างระหว่างผมกับเขา

วันรุ่งขึ้นผมเจอไวท์ยืนรอผมอยู่ที่หน้าห้องเรียน แต่ผมก็เดินเลยเขาไปพร้อมๆกับเพื่อนๆโดยทำเป็นไม่ได้ยินเสียงทักของเขา ตอนกลางวันเขามองหาผมในโรงอาหาร แต่เมื่อเขานั่งลงบนโต๊ะเดียวกับผม ผมก็ลุกขึ้นเดินหนีไป พอตกเย็นเขามาหาผมที่หน้าหอ แต่ผมก็ยังคงไม่สนใจเขา ทำราวกับเขาเป็นอากาศที่ผมไม่อยากแม้แต่จะสูดหายใจเข้าไป

สามวันผ่านไปที่ผมพยายามเลี่ยงเขาตลอด และไวท์เองก็ไม่ได้พยายามจะพูดอะไรกับผมด้วยเช่นกัน เขาแค่โผล่มาให้ผมเห็นหน้า พยายามจะสบตากับผม เขายังคงโทรหาผมตอนสามทุ่มทุกคืน เขาส่งเมสเสจมาบอกราตรีสวัสดิ์และอรุณสวัสดิ์ผมเหมือนทุกๆวันก่อนหน้านี้ไม่เคยขาด แต่เมื่อมาถึงวันที่สี่ในตอนเย็น เขาเดินเข้ามาหาผมที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่หน้าหอคนเดียว พร้อมกับถุงใส่ผัดไทร้านอร่อยในมหาลัยที่ผมกับเขาเคยไปกินด้วยกันบ่อยๆ

“ยังไม่ได้กินข้าวใช่มั๊ยครับ ผมซื้อมาให้พี่นะ ระวังเดี๋ยวจะปวดท้องอีก” เขาวางถุงลงบนโต๊ะ

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าเขาก็พบกับรอยยิ้มของเขาที่ผมเคยเห็นอยู่ทุกๆวันอีกครั้ง ผมรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในอกทันที นี่มันไม่เคยเรียนรู้อะไรบ้างเลยรึไง.........

ผมหยิบถุงนั้นขึ้นมา จากนั้นก็โยนมันทิ้งลงไปในถังขยะใกล้ๆ

“ไม่ได้ขอให้ซื้อ ไม่ได้หิว ไม่ได้ต้องการ........” ผมพูดออกไปอย่างเย็นชา แต่ในขณะเดียวกันก็เริ่มรู้สึกถึงความคุกรุ่นที่เริ่มก่อตัวในอกขึ้นมาเรื่อยๆด้วย “จะทำแบบนี้ไปอีกถึงเมื่อไหร่ กูเคยบอกแล้วใช่มั๊ย ว่ากูรำคาญ ต่อแต่นี้ไปมึงเลิกยุ่งกับกูสักที! แล้วก็ไม่ต้องมาให้กูเห็นหน้าอีก!!” จากน้ำเสียงเรียบเฉยก็เริ่มเพิ่มสูงขึ้นๆ จนท้ายที่สุดก็กลายเป็นว่าผมตะคอกใส่หน้าเขาออกไปด้วยความโกรธ

ไวท์มองหน้าผมราวกับผมเพิ่งจะควักหัวใจและวิญญาณของเขาออกมา ใบหน้าของเขาซีดเผือด และแววตาของเขาก็ดูว่างเปล่า แต่อีกไม่กี่วินาทีต่อมาแววตาของเขาก็กลับมาดูมีชีวิตอีกครั้ง แต่ว่าก็เป็นชีวิตที่ดูเจ็บปวดและรวดร้าวที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลย

ไวท์หันหลังกลับแล้วก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไป เขาสวนเข้ากับเพื่อนๆของผมที่กำลังจะเดินมาอ่านหนังสือกับผมพอดี ทำให้พวกนั้นต่างถามผมกันใหญ่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อพวกมันเห็นว่าผมไม่อยากตอบ ก็ไม่มีใครกล้ายุ่งกล้าถามอะไรกับผมอีก

คืนนั้นตอนสามทุ่ม ผมอดหยิบโทรศัพท์มือถือมาดูไม่ได้ แต่ว่าสุดท้ายจนผมหลับไปราวๆเที่ยงคืนและตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ผมก็ยังไม่เห็นมิสคอลและเมสเสจจากไวท์เหมือนอย่างเคย วันนั้นทั้งวันผมไม่ได้เจอหน้าไวท์อีกเลย และวันต่อๆมา ผมก็ไม่เห็นแม้แต่เขาอยู่ในระยะสายตาของผมเลยเช่นกัน จนเวลาผ่านไปได้หนึ่งสัปดาห์ผมก็เริ่มหวั่นใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับไวท์รึเปล่า ผมจึงตัดสินใจโทรไปถามปลา

“เขาก็มาเรียนทุกวันแหละ แต่ตอนนี้กูพอจะเข้าใจแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น มึงทำแบบนั้นลงไปได้ยังไงวะ ไอ้นุ”

“ทำอะไร นี่มึงรู้ได้ไงว่ากูกับมันเกิดอะไรขึ้น มันบอกมึงรึไง”

“เปล่า เค้าไม่เคยบอกอะไรพวกกูเลยสักครั้งสักอย่าง อ้อ แล้วก็เผื่อมึงจะไม่ได้สังเกตหรือไม่เคยรู้นะ เค้าไม่เคยเอาเรื่องของมึงกับเค้ามาบอกให้คนอื่นๆรู้เลยด้วย เค้าอาจจะชอบมึง จีบมึง แต่เค้าก็ไม่เคยป่าวประกาศให้ใครๆเขารู้เลย แต่คนอื่นๆน่ะมันเอาไปพูดกันเอง และไวท์เค้าก็เป็นคนเปิดเผยตามปกติอยู่แล้ว ถึงเขาจะไม่ปฏิเสธ แต่เขาก็ไม่โกหกและเล่าให้ใครฟังเหมือนกัน เพราะงั้นคนอื่นๆมันก็เลยปากต่อปากกันไปใหญ่เองทั้งนั้น”

ผมรู้สึกอึ้งๆเล็กน้อยกับข้อมูลที่เพิ่งได้รับมา เพราะผมคิดมาตลอดเวลาว่าไวท์คงจะเที่ยวพูดบอกใครๆว่าเขานั้นชอบผมและกำลังจีบผมอยู่

“แล้วมึงมาบอกกูทำไม แต่ถ้ามึงไม่รู้เรื่องของกูกับมัน แล้วทำไมมึงถึงพูดเหมือนกับว่ามึงรู้เรื่องทุกอย่างอยู่แล้ววะ”

“ก็เพราะกูรู้จักมึงน่ะสิ แถมมันก็เห็นได้ชัดๆด้วย ช่วงหลังๆนี้ไวท์เขาเปลี่ยนไปมาก เขาพยายามหลบหน้าหลบตาทุกๆคนตลอด เรียนเสร็จเขาก็กลับ เวลามาเรียน ก็จะมาสายไปราวๆสิบนาทีเพื่อเลี่ยงคน เขาไม่สุงสิงใคร ไม่พูดคุยกับใคร และที่สำคัญ เขาพยายามหลบมึงทุกครั้งเท่าที่จะทำได้ นี่แหละ ที่ทำให้มันดูออกง่ายมากว่ามึงอาจจะพูดอะไรกับเขาออกไป......... นี่ มึงฟังกูนะ ไอ้นุ กูรู้จักมึง และกูก็ไม่ได้เกลียดมึงไม่ได้โกรธมึง กูรู้ว่ามึงไม่ได้เป็นเกย์ และไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่กูก็ไม่คิดว่ามึงจะทำแบบนี้ลงได้ว่ะ นุ กูรู้สึกผิดหวังในตัวมึงจริงๆว่ะ”

“กูรู้เท่าที่กูอยากรู้แล้ว ขอบใจมาก ปลา” ผมกดปุ่มวางโทรศัพท์ลง จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง คิดถึงสิ่งต่างๆที่ผมเป็น เคยมี และบัดนี้........ มันขาดหายไป

อีกเกือบสามสัปดาห์เต็มที่ผมไม่ได้เจอหน้าไวท์เลย แรกๆผมก็รู้สึกแย่มากเหมือนกัน ความว่างเปล่าที่จู่ๆก็เกิดขึ้น ผมรู้สึกว่าเขาจากหายไปเร็วพอๆกับวันที่เขาเข้ามาในชีวิตของผมทีเดียว ความรู้สึกผิดลึกๆกับสิ่งที่ผมทำลงไป และความกดดันที่ได้มาจากเพื่อนๆมันเริ่มจะทำให้ผมรำคาญ แต่ว่าไม่นานนักผมก็เริ่มที่จะเคยชินกับมันเหมือนเดิม เพราะว่านอกจากการที่ไอ้ไวท์มันหายไปจากชีวิตผมแล้ว ยังมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในชีวิตของผมอีกอย่างหนึ่งด้วย นั่นก็คือ ผมได้เริ่มพูดคุยกับพี่พีชมากขึ้นแล้ว

เนื่องจากเรื่องที่ไวท์เข้ามาจีบผมจนเป็นเรื่องดังไปจนแทบจะทั้งคณะนั้น ทำให้วันหนึ่งพี่พีชกับเพื่อนของเขาเข้ามาพูดคุยแซวเล่นกับผมเรื่องนี้ และนับแต่วันนั้นมา ผมก็เลยมีโอกาสได้พูดคุยกับพี่เขาบ่อยมากขึ้น บวกกับการที่เรามาจากโรงเรียนเดียวกัน ทำให้เรามีเรื่องคุยด้วยกันเยอะมากขึ้น นอกจากนั้นความสนใจของเราสองคนก็ยังคล้ายๆกันอีกด้วย ทำให้พี่พีชกับผมสนิทกันเร็วมาก มากจนช่วงหลังๆพี่เขาจึงเริ่มวางใจที่จะเล่าและปรึกษาปัญหาของพี่เขาให้ผมฟังมากขึ้นเรื่อยๆ

ตลอดเวลาเทอมหนึ่งจนถึงช่วงก่อนสอบไฟนอล เป็นเวลานานแล้วหลังจากที่ไวท์หายไปจากชีวิตของผม แต่ผมก็ได้พี่พีช คนที่ผมเคยใฝ่ฝันมานานเข้ามาแทน ถึงแม้มันจะเป็นในฐานะเพื่อน แต่ผมก็มีความสุขมาก ผมทำเพื่อเค้าทุกๆอย่าง เป็นเพื่อนคุย เป็นเพื่อนเที่ยวในยามที่พี่เขาต้องการ ถึงแม้ว่าผมจะรู้ว่าเขายังคบกับไอ้พี่หนึ่งอยู่ก็ตามที

วันหนึ่งในช่วงไม่กี่วันก่อนสอบ ขณะที่ผมกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียวที่โต๊ะประจำหน้าหอเหมือนทุกๆวัน ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา ตอนแรกผมคิดว่าเป็นพี่พีชที่ผมนัดพี่เขาให้เอาหนังสือมาให้ แต่เมื่อผมเงยหน้าขึ้นไป คนที่ผมเห็นกำลังยืนอยู่ก็คือไวท์

ไวท์ที่ผมไม่ได้เห็นหน้าเลยมานานถึงหนึ่งเดือนดูเปลี่ยนไปมาก เขาทั้งโทรม ผอม และดู....... ไม่มีความสุข ไม่มีวี่แววของคนที่เคยยิ้มเก่งและเป็นที่รักของเพื่อนๆเหลืออีกเลย

ผมก้มหน้ากลับลงไปที่หนังสือของผมอีกครั้ง ทำเหมือนกับว่าผมไม่รู้ว่าเขามายืนอยู่ตรงนั้นเลยสักนิดเดียว

“พี่นุครับ ผมแค่อยากจะขอโทษ...... ผมทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ผมรู้ว่าผมพูดไม่ดีกับพี่ ผมพยายามจะอธิบายให้พี่ฟัง ผมอยากจะให้พี่ให้โอกาสและยอมฟังผมสักครั้ง แต่ผมก็ไม่เคยอยู่ในสายตาของพี่อีกเลย ผมไม่ได้ตั้งใจจะประชดพี่หรือทำให้พี่ไม่พอใจเลยแม้แต่นิดเดียวจริงๆนะครับ ผมก็แค่คิดว่าพี่เองก็คงรู้ว่าความรู้สึกของคนที่แอบชอบคนๆหนึ่งอยู่ทั้งๆที่มันเป็นไปไม่ได้นั้นมันเป็นอย่างไรเท่านั้นเอง ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้พี่รำคาญผมจริงๆนะ ผมไม่มีวันคิดไม่ดีหรือทำให้พี่ต้องไม่สบายใจเด็ดขาด......”

“นี่ไวท์ไม่เข้าใจคำว่า ‘ไม่ต้องมาให้เห็นหน้าอีก’ ตรงไหนงั้นเหรอครับ” ผมพูดออกไปโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือ แต่ทว่าภายในใจของผมนั้นมันกำลังเจ็บร้าวอย่างที่สุด เพราะผมเข้าใจสิ่งที่ไวท์พูดออกมาดีทุกอย่างจริงๆ ผมในตอนนี้..... หรือแม้แต่ที่ผ่านมา มันก็เป็นแบบไอ้ไวท์นี่เอง เพียงแต่ผมไม่เคยยอมรับมันเลย

ผมได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆวิ่งออกไป และสิ่งต่อมาที่ผมรับรู้ก็คือเสียงหัวใจของตัวเองที่กำลังแตกออกเป็นเสี่ยงๆอยู่ภายในอก ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร ถึงปกติผมจะเป็นคนหยาบๆ ไม่ละเอียดอ่อนมากนัก แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกสับสนมากถึงขนาดนี้ในชีวิต

ผมหยิบสมุดหนังสือของผมทั้งหมดเก็บใส่ลงในกระเป๋า เดินตรงไปยังมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง จากนั้นก็ขี่มันออกไปหน้ามอ ผมจอดรถลงที่หน้าหอของพี่พีชที่เขาพักอยู่กับพี่หนึ่ง และเมื่อผมกำลังจะเดินตรงเข้าไปในหอพัก ผมก็ได้ยินเสียงของคนสองคนดังโวยวายมาจากทางด้านหลังของหอ ผมจำเสียงนั้นได้ทันที มันเป็นเสียงของพี่พีชกับพี่หนึ่งนั่นเอง  ผมเดินเลียบเข้าไปทางด้านหลังเงียบๆพยายามไม่ส่งเสียงให้พวกเขารู้ตัวมากที่สุด และสิ่งที่ผมเห็นนั้นมันก็ทำให้ผมหัวใจเกือบต้องหยุดเต้น เพราะผมกำลังเห็นไอ้พี่หนึ่งกำลังทำร้ายร่างกายพี่พีชอยู่ มันทั้งทุบ และทั้งตบพี่พีชที่กำลังพยายามยื้อตัวมันเอาไว้พร้อมกับน้ำตาที่ไหลจนอาบหน้า

ผมรีบกระโดดเข้าไปต่อยหน้าไอ้หนึ่งทันที เราสองคนแลกหมัดกันอยู่ครู่หนึ่งในขณะที่พี่พีชก็ยังคงตะโกนร้องห้ามและร้องไห้อยู่ข้างๆ จนเมื่อผมต่อยมันจนคว่ำลงได้ ผมก็หันหน้าช้ำๆกลับมาหาพี่พีชเพื่อถามเค้าว่าเป็นอะไรรึเปล่า แต่ทว่าสิ่งที่ผมได้รับก็คือ ความเจ็บปวดจากการที่ถูกตบเข้าที่หน้าอย่างแรง ถ้อยคำด่าทอ และความปวดร้าวหัวใจที่เห็นพี่พีชรีบวิ่งเข้าไปประคองตัวของไอ้หนึ่งขึ้นมากอดอยู่แนบอก

ผมรู้สึกว่าใบหน้าของผมด้านชา หูของผมไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว และสมองของผมก็ไม่รับรู้อะไรอีกต่อไป ขาของผมมันพาผมเดินออกจากที่แห่งนั้นและลากตัวเองกลับไปยังมอเตอร์ไซค์ของผม ผมบิดไอ้เพื่อนคู่ชีพของผมอย่างแรง ผมไม่รู้ว่าผมกำลังมุ่งหน้าไปที่ไหน และผมก็ไม่รู้ว่าผมควรจะทำยังไงต่อไป แต่น่าแปลกตรงที่ว่าคนๆแรกที่ผมนึกถึงขึ้นมาในเวลานั้นนั่นก็คือไวท์......... และเขาก็เป็นคนสุดท้ายที่ผมคิดถึงด้วยเช่นกัน เพราะหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที สิ่งที่ผมได้ยินก็คือเสียงล้อที่บดถนนจนดั่งลั่นหู ความรู้สึกที่เจ็บปวดที่ไปทั่วทั้งร่างกาย และความมืดมิดที่เข้ามาปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง

.
.
.


เมื่อผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ผมรู้สึกว่าลำคอของผมแห้งผาก ความเจ็บปวดที่ยากจะทานทนแล่นไปทั่วร่าง และความสับสนกับทุกสิ่งทุกอย่างว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่......... แต่ว่าสิ่งถัดมานอกจากเพดานห้องสีขาวที่ผมเห็นนั่นก็คือ ใบหน้าของไวท์ที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่ขอบเตียงของผม สิ่งถัดมาที่ผมรู้สึกนอกจากความเจ็บปวดตามร่างกายก็คือความอบอุ่นจากฝ่ามือของมันที่กำลังมือของผมอยู่อย่างแนบแน่น

ตอนแรกผมคิดว่าผมคงจะฝันไป แต่เมื่อผมลองขยับนิ้วมือดูเบาๆ ผมก็สามารถรับรู้ได้ถึงสัมผัสและความอบอุ่นจากฝ่ามือของมันได้จริงๆ

ไวท์คงจะรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของมือของผม เขาจึงลืมตาตื่นขึ้นมาช้าๆ

“พี่นุ ตื่นแล้วเหรอครับ” เขายิ้มกว้าง

มันเป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ได้เห็นมานานมากแล้วเหลือเกิน ความอบอุ่นที่จู่ๆผมก็รู้สึกแผ่ซ่านไปทั้งร่างกายและจิตใจทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว แต่ทว่าจู่ๆรอยยิ้มของไวท์ก็หุบลง แววตาเป็นประกายของเขาจางหายไปกลายเป็นสายตาของความกลัวและไม่มั่นใจเข้ามาแทนที่

“เอ่ออ ขอโทษครับ” เขาพูดพร้อมๆกับลุกขึ้นและหันหลังจะเดินออกจากห้องไป

“เดี๋ยวก่อน” ผมร้องห้ามออกไปอย่างยากลำบาก “นั่นไวท์จะไปไหน กลับมานั่งก่อนเถอะ อยู่เป็นเพื่อนพี่ก่อน”

เขาดูท่าทางลังเลเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าหลบสายตาของผมแล้วนั่งลงที่เดิม

“พี่หิวน้ำ ขอน้ำพี่หน่อยได้มั๊ยครับ”

ไวท์พยักหน้าแล้วก็หันไปหยิบน้ำมารินใส่แก้ว และเขายังไม่ลืมที่จะใช้หลอดเพื่อให้ผมดูดเองได้สะดวกๆอีกด้วย เมื่อผมรู้สึกดีขึ้นแล้ว ผมก็เริ่มต้นยิงคำถามทันที

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย พี่จำได้ว่าเมื่อวานพี่ไปหาพี่พีชแล้วก็.........” ผมชะงักไป เมื่อความทรงจำครั้งล่าสุดมันย้อนกลับมาอีกครั้ง

“ที่นี่ที่โรงพยาบาลครับ เมื่อวานพี่นุถูกรถชนตอนกำลังจะเลี้ยวรถเข้ามอ บังเอิญผมอยู่แถวๆนั้นพอดี ก็เลยพาพี่มาส่งที่นี่ได้ทัน ตอนนี้พี่อย่าเพิ่งขยับตัวมากนะครับ เพราะว่าพี่ไหปลาร้าหัก แล้วก็แขนขวาด้วย......”

“แล้วพี่พีชล่ะ พี่พีชเป็นยังไงบ้าง” ผมโพล่งออกไป

ไวท์หน้าเสียลงทันที “ผมก็ไม่รู้ครับ ขอโทษนะครับพี่........”

ผมค่อยๆหลับตาลงอีกครั้ง ความเจ็บปวดที่ผมรู้สึกว่ามันหนักหนายากจนเกินจะทนไหวมันโหมกลับเข้ามาอีกครั้ง แต่ทว่ามันเป็นความเจ็บปวดที่ใจ ไม่ใช่ร่างกาย นอกจากนั้น ความรู้สึกสับสนเหล่านั้นก็ยังกลับเข้ามารบกวนใจผมอีกครั้งด้วยเช่นกัน

เสียงประตูห้องของผมถูกเปิดออก พร้อมๆกับเสียงร้องทักด้วยความดีใจของปลา นอกจากนั้นก็ยังมีไอ้แม็กอีกคนด้วย แต่ว่าเมื่อเพื่อนของผมสองคนเดินเข้ามา ไวท์ก็รีบขอตัวแล้วลุกเดินออกจากห้องไปทันที

“เฮ้ย นี่มึงตื่นแล้วกูก็ดีใจหรอกนะ นุ แต่นี่มึงได้พูดอะไรกับน้องเขาไปอีกรึเปล่า” ปลาถามผมพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ไวท์เพิ่งลุกไป

“เปล่านี่ กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นอะไร”

“ปกติกูก็ไม่ค่อยอยากจะยุ่งอะไรกับการตัดสินใจของมึงหรอกนะ ไอ้นุ กูรู้ว่ามึงมีโลกส่วนตัวสูง แต่ว่าตอนนี้กูเฉยไม่ได้แล้วจริงๆว่ะ มึงบอกกูสองคนมาให้หมดเดี๋ยวนี้เลย มึงจะเจ็บเจียนตายแค่ไหนกูก็ไม่สน แต่มึงต้องพูดออกมาให้หมด เรื่องของมึงกับไอ้ไวท์น่ะ เอาตั้งแต่แรกเลยด้วย” ไอ้แม็กเดินไปหยุดอยู่มุมห้อง กอดอก แล้วมองหน้าผม ผมไม่ค่อยได้เห็นมันเป็นแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ

ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเรียบเรียงและเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกไปให้ทั้งสองคนฟัง และแน่นอนว่าผมก็ยังแทรกความรู้สึกและความคิดของผมออกไปบ้างด้วย แต่ก็ไม่มากจนเกินไปนัก เพราะผมเองยังไม่รู้เลยว่าผมรู้สึกยังไงกันแน่ ผมเล่ามาถึงตอนที่ไปเจอพี่พีชกับไอ้หนึ่ง และสุดท้ายก็มาจบที่ถึงวินาทีสุดท้ายก่อนที่ทั้งสองคนนี้จะเดินเข้ามา ปลากับแม็กที่เงียบมาตลอดเวลาจึงเริ่มมองหน้ากัน แล้วปลาก็เป็นคนแรกที่พูดขึ้น

“กูเงียบมาตั้งนาน แต่มึงรู้มั๊ยว่ากูคิดอะไรอยู่ ไอ้แม็ก นี่ถ้ามึงไม่เจ็บหนักอยู่แล้วนะ กูจะบอกพยาบาลให้เอาปรอทวัดความบ้ามาเสียบตูดมึงสักร้อยทีตอนนี้เลย”

“อะไรของพวกมึงวะ มึงจะพูดอะไรก็บอกกูมาเหอะ ตอนนี้กูไม่รู้แล้วว่ากูจะคิดยังไง”

“ไอ้ไวท์มันรักมึง มึงก็รู้ใช่มั๊ย โอเค แน่นอน มึงต้องรู้อยู่แล้วล่ะ แล้วมึงรู้มั๊ยว่ามันรักมึง ‘มาก’ ขนาดไหนน่ะ” ปลาพูดพร้อมกับถอนหายใจ “มึงรู้บ้างมั๊ยว่ามันมีอะไรอยู่ในใจของมันบ้างนอกจากความรักน่ะ มึงเคยคิดถึงความเจ็บปวดของเขาบ้างมั๊ย”

“นับตั้งแต่วันแรกที่มันได้เจอมึงได้ทำทุกอย่างให้กับมึงน่ะ มึงรู้ตัวมั๊ยว่ามันก็ไม่ต่างกับสิ่งที่มึงมีให้พี่พีช ไอ้นุ และมึงก็ยังไปปฏิเสธมันทั้งๆที่ตัวมึงเองก็ไม่ต่างจากมันได้ลงคอเหรอวะ นี่มึงไม่เคยคิดเรื่องนี้เลยจริงๆรึไง กูไม่ได้จะพูดเพื่อสนับสนุนให้มึงชอบผู้ชายหรอกนะ แต่ว่าไอ้ไวท์มันเป็นคนดีจริงๆ และมึงก็ทำกับมันไม่ดีมากๆด้วย”

“ใช่ ไอ้แม็กมันยังรู้เลย นี่นุ มึงฟังกูแล้วคิดดูให้ดีๆนะ ไวท์เขาทำทุกอย่างให้มึงมาตลอด และมันก็คือ ‘ทุกอย่าง’ จริงๆ กูไม่เข้าใจว่ะ แรกๆมึงก็ดีกับมันอยู่หรอกนะ แต่ทำไมจู่ๆมึงถึงได้เปลี่ยนไปได้ พอมึงบอกเขาว่าอย่ามาให้มึงเห็นหน้าอีก มึงนึกดูดีๆซิว่ามึงเคยได้เจอหน้าเขาอีกมั๊ย........ มึงเห็นมั๊ย มึงเข้าใจรึยัง ว่าทำไมเขาถึงได้เป็นแบบนั้น” ปลาพูดพร้อมกับผายมืออกไปยังนอกประตู

“มึงปฏิเสธมันมาตลอด แต่ว่ากูก็เห็นมึงก็ดูมีความสุขดีน่ะนะ กูก็เลยไม่อยากไปยุ่งกับมึง ไอ้นุ แต่ตลอดเวลาที่มึงคุยกับพี่พีชมาประมาณสองเดือนเนี่ย มึงก็คือมันนั่นแหละ ไม่ต่างกันเลย และนั่นมันก็เท่ากับมึงปฏิเสธตัวมึงเองด้วย และสุดท้ายดูซิว่าใครที่เขารักมึงจริง ไอ้เชี่ยนุเอ๊ยยย กูล่ะไม่สบอารมณ์เลยจริงๆว่ะ” ไอ้แม็กพูดพร้อมกับพ่นลมหายใจออกทางจมูกแรงๆ

ผมพยายามคิดตามที่ทั้งสองคนนั้นพูด และพยายามจะปล่อยให้ความรู้สึกทั้งหลายเหล่านั้นให้จมลงสู่สมองและหัวใจ แต่ว่ามันก็ทำได้ไม่ง่ายเลย.........

“มึงฟังนะ นุ คนที่เขาพามึงมาที่โรงพยาบาลนี่น่ะคือไวท์ คนที่ร้องไห้และเป็นห่วงมึงมากที่สุด ก็คือไวท์ คนที่เขามาคอยเฝ้ามึงตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ก็ยังเป็นไวท์อีก....... และที่สำคัญที่สุด เขาก็เป็นคนที่ให้เลือดของเขาแก่มึงด้วย ถ้าไม่ได้เขา ป่านนี้มึงตายไปแล้ว จำเอาไว้ซะ ในตัวของมึงตอนนี้มีเลือดของเขาไหลเวียนอยู่นะ”

“ส่วนไอ้คนที่มึงรักนักรักหนาและตาบอดมาตั้งนานน่ะ........” ไอ้แม็กเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะส่ายหัว “กูว่ามึงยังไม่อยากรู้เรื่องนั้นตอนนี้หรอก”

“พวกกูจะให้เวลามึงคิดหน่อยก็แล้วกัน นุ แล้วอีกราวๆสิบห้านาทีกูสองคนจะกลับมาใหม่” ปลาพูดพร้อมกับหันไปพยักหน้าให้แม็ก จากนั้นทั้งสองคนก็เดินตรงไปยังประตู

“เดี๋ยว........” ผมร้องห้าม ทำให้ทั้งคู่หันกลับมามองผมด้วยสายตาเดียวกัน “มึง......... ช่วยตามไวท์กลับมาให้กูทีได้มั๊ย”

ทั้งคู่พยักหน้า จากนั้นก็เปิดประตูเดินออกจากห้องไป และอีกราวๆห้านาทีถัดมา ไวท์ก็เดินกลับเข้ามาอีกครั้ง เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม เราสองคนนั่งเงียบโดยไม่พูดจากันอยู่สักพัก ก่อนที่ผมจะหันไปมองหน้าเขาตรงๆแล้วพินิจดูโครงหน้าหล่อๆนั่นอีกครั้ง........ ดูท่าทางเขาจะเหนื่อยและเจอช่วงเวลาที่ยากลำบากมามากจริงๆ และทั้งหมดนั่นก็เป็นความผิดของผมเอง

“ทำไมตอนแรกไวท์ถึงได้จะเดินออกจากห้องไปครับ แล้วก็เมื่อกี๊ด้วย ไวท์ออกไปทำไม” ผมถามพร้อมสายตาที่จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเขา

“ก็...... พี่นุเคยบอกว่าไม่อยากเห็นหน้าผมอีก ผมก็เลย......... ไป..........” เขาก้มหน้าแล้วตอบออกมาเบาๆ และมันก็ทำให้ผมต้องน้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้

“ไอ้เด็กโง่ ไอ้งี่เง่า ไอ้เหี้ยเอ๊ยยย แม่งงงง” ผมสบถ

“ผม..... ผมขอโทษครับ” ไวท์ยังคงก้มหน้าอยู่

ผมใช้มือค่อยๆประคองหน้าของเขาให้เงยขึ้นมาช้าๆ และเมื่อเขาเห็นผมกำลังร้องไห้อยู่ เขาก็ร้องไห้ออกมาด้วยเช่นกัน

“ต่อแต่นี้ไปห้ามทำตัวแบบนั้นอีกเข้าใจมั๊ย”

“พี่นุครับ ผมขอโทษ........ ตอนนั้นผมไม่ได้ตั้งใจ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พี่เกลียดผมจริงๆนะ ผมรักพี่นะครับ รักมากด้วย.......” ไวท์โพล่งออกมาพร้อมน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาเป็นสาย

“พอเถอะไวท์ พอได้แล้ว ที่พี่พูดน่ะ พี่หมายความว่าต่อจากนี้ไปห้ามไวท์ไปไหนอีกเด็ดขาด เข้าใจมั๊ย นับจากนี้ไวท์จะต้องอยู่ข้างๆพี่ไปตลอด ห้ามทิ้งพี่ไปอีก เข้าใจมั๊ยครับ........” ผมพูดออกไปอย่างยากลำบาก พยายามจะห้ามน้ำตาของตัวเอง “ฟังพี่ให้ดีๆนะครับ ไวท์ พี่รักไวท์ครับ และพี่จะไม่ทำให้ไวท์ต้องเสียใจอีก พี่สัญญา”

ไวท์ลุกขึ้นยืนแล้วก็โผเข้ามากอดผมทันที ผมรู้สึกถึงความเจ็บที่แล่นไปจนทั่วร่างโดยเฉพาะบริเวณไหปลาร้า แต่ว่ามันก็เป็นความเจ็บปวดที่ผมทนได้ เพราะความโล่งใจ ความอบอุ่น และความรักที่ถูกแทนที่จนเต็มภายในใจของผมนั้นมันช่วยบรรเทาทุกอย่างหมดแล้ว

ผมมันโง่เอง ผมมันงี่เง่า ผมทำสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตลงไป ไม่ใช่การที่ผมทิ้งขว้างคนที่ผมรักไป แต่เป็นการที่ผมทิ้งขว้างความจริงในใจของผมไปต่างหาก ตลอดเวลาผมปิดตัวเองมาตลอดว่าผมไม่ได้รักคนอื่นเลยนอกจากพี่พีช คนที่ผมไม่มีทางจะไปรักเขาได้ และนั่นก็ทำให้ผมต้องทำร้ายคนที่เขารักผมและทำร้ายความรักที่ผมมีให้แก่เขาคนนั้นไปด้วยโดยไม่รู้ตัว

ถ้าขอแค่ผมถามใจตัวเองได้นานกว่านี้......... ถ้าขอแค่ผมสามารถรับรู้ความจริงในใจของตัวเองลึกๆได้เร็วกว่านี้ หัวใจของเราสองคนก็คงไม่ต้องบอบช้ำจากความผิดพลาดอันน่าเศร้าแบบนี้แน่นอน.........

ตอนนี้ผมได้รับรู้และเรียนรู้ความรักที่แท้จริงแล้ว และไม่มีวันที่ผมจะปล่อยให้มันต้องหลุดลอยหรือเลยผ่านไปอีกครั้งแน่นอน

ผมจะเก็บความรักครั้งนี้เอาไว้ไม่ให้มันมีวันต้องเลือนหายไป............



หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: สาวตัวกลม ที่ 19-10-2007 00:42:49
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ชอบเรื่องนุ ไวท์ อ่ะ :m17:
น้องไวท์น่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก :m13:
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 19-10-2007 01:13:37
ขอบฟ้าอยู่ไกล........... แต่ใกล้เกินสายตาจะมองเห็น
^
 แต่ในที่สุด นุ ก้อมองเห็น ขอบฟ้า ของตัวเองจนได้ เนอะ    :m1:
นึกว่าจะมองไม่เห็นน้องไวท์  ซะแล้ว     :m13:
ต้อง ให้ ตัวช่วยอย่างเพื่อนๆ ออกโรง...     :m26:

เด็กคนนี้น่ารักจริงๆเลย ถ้า นุไม่เอา ส่งมาให้ซินก้อด๊ะนะ  คิคิ        :m3:


*ป๋อล๋อ... คุนต้นนุ่ม ไป ตจว .เหรอคะ  เดินทางปลอดภัย ทั้งไป-กลับนะค  ะ     :m1:

ถ้าไปเที่ยว ก้อ ขอ ให้เที่ยวให้สนุกนะคะ  ตุนความสุข กลับมาฝากเยอะๆก้อพอ  คิคิ    o15   
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 19-10-2007 10:43:19
น้องไวท์น่ารักมากๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้&#
เริ่มหัวข้อโดย: ~Brand New Beat~ ที่ 20-10-2007 01:35:33
อ้างถึง
“ส่วนไอ้คนที่มึงรักนักรักหนาและตาบอดมาตั้งนานน่ะ........” ไอ้แม็กเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะส่ายหัว “กูว่ามึงยังไม่อยากรู้เรื่องนั้นตอนนี้หรอก”

เกิดไรขึ้นกับพี่พีซอ่าครับ อ่านแล้วสงสัยมากมาย

แอบชอบตอนนี้โดยเฉพาะตอนจบน่ารักมากมาย

แอบอินด้วยนะเนี้ย ซึ้งเชียว หุหุ

 :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 20-10-2007 06:04:43
คนที่มันไม่ชอบก็ยากที่จะทำให้ชอบหล่ะนะ
เมื่อเตือนไม่ฟังมันก็พูดยากจริงๆ
 :a3:
แต่เรื่องดูนุจะโหดร้ายและเห็นแก่ตัวมากๆจริงๆ
 :m19:
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 20-10-2007 06:36:52
ก็ยังดีนะที่นุรู้ตัวทัน  ไม่งั้นก็เศร้าแย่เลย ถ้าน้องไวท์ตัดใจหันไปมีแฟนใหม่ละก้อ
แล้วไม่แต่งต่ออีกหน่อยเหรอ อยากรู้เรื่องต่ออีกซักนิดดดดด นึงก็ยังดีอ่า 
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 27-10-2007 19:33:52
เอาของเก่ามาหากินนิสสส ก่อนเริ่มเรื่องใหม่ อิอิ  :laugh:


รอยยิ้มที่ไม่มีวันลบเลือน




ตั้งแต่เล็กจนโต ผมเติบโตขึ้นมาโดยมีความเหงาอยู่เป็นเพื่อนข้างกาย พ่อและแม่ของผมต่างก็ทำงานหนักเพื่อให้ผมมีความสุข แต่พวกท่านก็ไม่เคยรู้เลยว่าความสุขที่แท้จริงของผมนั้นถูกพวกท่านพรากมันไปจากผมนานมาแล้ว.......

เมื่อตอนผมยังเด็ก ผมเคยถูกผู้คนหลายคนห้อมล้อมและเอ็นดูเพราะความที่เป็นเด็กน่ารักและช่างพูด ผมเองก็ชอบที่จะส่งยิ้มและหัวเราะไปกับคนอื่นๆเช่นกัน มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมเป็นเด็กที่โชคดีที่สุดในโลก ผมมีพ่อแม่ที่รักและมีเวลาให้แก่ผม ผมมีคนอื่นๆมารัก และผมก็รักคนอื่นๆรอบข้างผมมากด้วยเช่นกัน

แต่เมื่อผมโตขึ้นเรื่อยๆ หลายๆอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อยๆ จนเมื่อผมอยู่ชั้นปอสี่ ผมก็แทบไม่เคยยิ้มหรือหัวเราะให้กับใครอีกเลย จากเด็กช่างพูดกลายเป็นเด็กเก็บตัว จากคนที่มีผู้คนมาห้อมล้อมก็กลายเป็นคนที่ทำให้เพื่อนๆวัยเดียวกันไม่เล่นด้วยและทำให้ผู้ใหญ่ต่างก็กังวล

พ่อและแม่ของผมต่างก็รักผมไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปนั้นมีอยู่สองอย่าง นั่นก็คือพวกท่านรักผมในแบบที่ต่างออกไป และพวกท่านไม่รักกันเองอีกแล้ว และสิ่งนั้นไม่ทำให้ผมรู้สึกเป็นคนที่ถูกรักอีกเลย

พวกท่านคิดว่าการที่เรามีเงินนั้นจะทำให้ผมมีความสุข พวกท่านทั้งสองต่างก็เฝ้าเพียรทำงานหนักเพื่อหาเงินมาให้ผมใช้และเพื่อประโยชน์ของตัวผมเองในอนาคต ทั้งสองคนทำงานหนักมากจนกระทั่งพวกเขาแทบไม่มีเวลาให้กับผมอีกต่อไป และแน่นอน ไม่มีเวลาดูแลความรักของกันและกันอีกเลยด้วย น่าเสียดาย ที่ผมเป็นเด็กที่ค่อนข้างจะฉลาดเกินวัย และนั่นมันทำให้ผมเรียนรู้บางสิ่งเช่นว่า ต่อให้ครอบครัวของผมมีเงินมากเท่าใด แต่ถ้าพ่อและแม่ไม่เคยใช้เวลาอยู่กับผมเลย นั่นมันก็ไม่ได้ทำให้ผมมีความสุขจริงๆเลยแม้แต่นิดเดียว และอีกอย่างที่ผมรู้ในเวลาต่อมาเมื่อผมโตมากขึ้นอีกหน่อยนั่นก็คือ ความรักที่ดูเหมือนจะหวานชื่น ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่จำเป็นต้องจบลงอย่างสวยงามตลอดไป

ผมไม่ใช่เด็กเก็บกดหรือเป็นเด็กมีปัญหาแต่อย่างใด ซึ่งนั่นก็คงเป็นเพราะถึงผมจะฉลาดแค่ไหนผมก็ยังคงเป็นเพียงแค่เด็กธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น ผมยังคงหัวเราะ และมีความสุขกับเพื่อนๆตามประสาเด็กผู้ชายทั่วไป แต่เมื่อผมเริ่มเข้าเรียนชั้นมัธยมต้น การเปลี่ยนแปลงจากเด็กชายก็เริ่มพัฒนาไปสู่ชายหนุ่มอย่างช้าๆ ซึ่งรวมกับความที่ผมเป็นคนช่างคิดอยู่แล้วด้วยก็เลยยิ่งทำให้ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในตัวของผมมากขึ้นเรื่อยๆ  อย่างเช่นถ้าภายนอกของผม ผมจะเป็นคนที่ยิ้มยากอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ตอนแรกผมไม่ค่อยจะมีเพื่อนมากนัก และบางครั้ง ต่อให้นานแค่ไหน ผมก็ยังคงไม่มีเพื่อนอยู่ดี แน่นอน ผมหมายถึงเพื่อนที่รักผมจริงๆไม่ใช่แค่ที่เงินทอง และไม่ใช่หมายถึงเพื่อนที่แค่เจอหน้ากันทุกๆวัน แต่ผมหมายถึง “เพื่อนแท้”........  ไม่ใช่ ผมไม่ใช่คนร่ำรวยแบบมหาเศรษฐีอะไรนักหรอก และผมก็ไม่เคยใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือยเลยด้วย เพราะเงินทั้งหลายเหล่านั้นมันเป็นเงินที่พ่อและแม่หามาโดยแลกกับความสุขของลูกของเขา ซึ่งนั่นก็คือความสุขของผมนั่นเอง....... อย่างที่สองที่ผมรู้เกี่ยวกับตัวผมเองนั่นก็คือ ผมไม่มีความสนใจในเรื่องของความรักเลยสักนิด ผมแทบไม่เชื่อในเรื่องของความรู้สึกที่เรียกว่าความรักเลย แน่นอน ว่าตอนนั้นผมเพิ่งจะอยู่มอหนึ่ง ผมอาจจะยังเด็กเกินไปก็ได้ แต่ว่าในขณะที่เด็กผู้ชายคนอื่นๆเริ่มจะสนใจเพศตรงกันข้ามนั้น ผมกลับเลือกที่จะอยู่กับตัวผมเองคนเดียวแบบนั้นมากกว่า

จนเมื่อผมอยู่ชั้นมอสอง เราทุกคนต้องจับฉลากห้องใหม่อีกครั้ง และครั้งนี้ทำให้ผมได้พบกับคนๆหนึ่งที่ผมสามารถเรียกได้อย่างเต็มปากเลยว่าเขาเป็นเพื่อนที่ผมรักมากที่สุดในโลก..... ไม่ว่าจะในช่วงเวลานั้นหรือในปัจจุบันนี้

เขาคนนั้นมีชื่อว่า ภู บ้านของภูมีฐานะปานกลาง เขาไม่ได้มีอะไรโดดเด่นทั้งเรื่องหน้าตา การเรียน และกีฬา แต่อย่างหนึ่งที่โดดเด่นที่สุดในตัวของเขานั่นก็คือรอยยิ้ม เขาเป็นคนหนึ่งที่มีเพื่อนและมีคนรักมากที่สุดในชั้นเรียน และเขาก็สามารถที่จะเลือกใครมาเป็นเพื่อนหรือสามารถที่จะรวบรวมผู้คนให้มาห้อมล้อมเขาอยู่ได้โดยใช้เพียงอัธยาศัยบวกกับรอยยิ้มของเขาเท่านั้น แต่ทว่าเขากลับเลือกที่จะมาคบกับผม

ภูเป็นคนร่าเริงและยิ้มเก่งจนผมรู้สึกอิจฉาเขาในทุกๆครั้งที่ผมเห็นเขาส่งยิ้มให้คนอื่น เมื่อครั้งแรกที่ผมรู้จักกับเขานั้นผมก็คิดว่าเขาก็แค่ทำความรู้จักกับผมตามมารยาทเท่านั้น เพราะว่าเขาเป็นคนแบบนั้นนั่นเอง เขาเข้ากันได้ดีกับทุกๆคนและทำความรู้จักกับทุกๆคนที่อยู่รอบกายของเขา แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมถึงได้รู้ว่าเขาไม่ใช่แค่คบกับผมในฐานะของคนรู้จักอย่างที่ผมคิด ไม่ใช่แม้แต่ในฐานะเพื่อน แต่หากเป็นในฐานะเพื่อนสนิทต่างหาก

หลังจากที่ผมรู้จักกับภูได้ราวๆเกือบสองเดือน วันนั้นเป็นวิชาพละที่พวกเราทุกคนต้องลงไปเรียนกันที่โรงยิม แต่ว่าผมรู้สึกไม่สบายและตัวร้อนมาก อาจารย์จึงอนุญาตให้ผมขึ้นมานอนพักบนห้องได้ เมื่อผมเดินขึ้นมาฟุบอยู่บนโต๊ะคนเดียวได้ราวๆห้านาที ผมก็รู้สึกว่ามีคนๆหนึ่งเดินเข้ามาหาผม

“เป็นไงมั่ง พี”

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของเสียงช้าๆ ภูนั่นเอง ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ

“อืมม ก็ดีขึ้นนะ ไม่เป็นอะไรหรอก” ผมบอกเขา

“ดีขึ้นแล้วทำไมโทรมขนาดนี้วะเนี่ย ไหนมานี่หน่อยซิ” เขายื่นมือออกมาสัมผัสที่หน้าผากของผม “ตัวร้อนจี๋เลย กินยารึยัง”

ผมส่ายหน้า “ว่าแต่ทำไมมึงถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ ไม่ไปเรียนหรือไง” ผมถามเขา

“ไม่ล่ะ กูขออาจารย์แล้ว และอีกอย่าง วันนี้ก็ไม่ได้มีอะไรทำมากมายด้วย” เขาตอบแล้วลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆผม

“ทำไมมึงต้องทำแบบนี้ด้วยวะ” ผมถามเขา เพราะผมไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมเขาจึงต้องดีกับผมขนาดนี้ หลายครั้งที่ผมเห็นเพื่อนคนอื่นๆไม่สบายหรือได้รับบาดเจ็บ ทุกๆคนจะต้องเข้ามารุมดูแลและถามอาการด้วยความเป็นห่วง แต่มันแทบไม่เคยเกิดขึ้นกับผมเลย ถึงแม้ทุกคนจะเป็นห่วงผม แต่ผมก็รู้สึกได้เลยว่ามันแตกต่างกันออกไป แน่นอน ผมรู้อยู่แล้วว่าคงเป็นเพราะผมเอง ผมไม่เคยคิดร้ายอะไรกับใครก่อน แต่ผมก็ไม่เคยที่จะยิ้มหรือแสดงความเป็นมิตรออกมาก่อนเช่นกัน “คนอื่นๆเขายังไม่สนใจกูเลย ทำไมมึงต้องมาดูแลกูแบบนี้ด้วยวะ”

ภูหน้าเสียลงทันที “มึงไม่ชอบให้กูทำแบบนี้เหรอ...... คือ ถ้างั้นกูก็ขอโทษก็แล้วกัน” เขาก้มหน้า

“เปล่าๆ ไม่ใช่” ผมรีบชันตัวขึ้นนั่งตัวตรงทันที “กูขอโทษ ภู กูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น........ กูแค่ คือ กูไม่คิดว่าคนอย่างกูจะมีใครมารักมาเอาใจใส่กูแบบนี้เท่านั้นเอง คือ กูไม่เห็นว่าทำไมมึงถึงต้องทำแบบนี้ด้วยในขณะที่คนอื่นเขายังไม่เห็นจะใส่ใจคนขวางโลกอย่างกูเลย” ผมพูด และน้ำตามันก็เริ่มไหลออกมาทีละน้อยโดยที่ผมไม่ได้ตั้งใจ

ภูเงยหน้าขึ้น และเมื่อเขาเห็นน้ำตาของผม แทนที่เขาจะปลอบใจผมหรือแสดงความเสียใจไปกับผมด้วย เขากลับทำให้ผมต้องแปลกใจด้วยการส่งยิ้มกว้างออกมา

“ก็เพราะกูเป็นเพื่อนมึงไง กูรักมึง โอเคป่าว” เขายิ้มแล้วก็เอามือมาเช็ดน้ำตาบนแก้มของผมออก “คราวนี้มึงฟังกูให้ดีๆ มึงไม่ใช่คนขวางโลกอย่างที่มึงคิดหรอก มึงแค่เป็นคนยิ้มยากเพราะอาจจะเคยเจออะไรมามากเท่านั้นเอง กูรู้ แต่จริงๆแล้วน่ะ มึงเป็นคนใจดีแล้วก็อ่อนโยน ไม่มีใครในห้องสักคนที่เกลียดมึงหรอก ไม่มีจริงๆ มึงเชื่อกูสิ เพียงแต่พวกเขา ‘ยัง’ ไม่เห็นมึงแบบที่กูเห็นเท่านั้นเอง เวลามันจะพิสูจน์ให้มึงรู้เองว่าคนอื่นๆเขาก็รักมึงเหมือนกัน พี”

เมื่อได้ยินอย่างนั้นน้ำตาของผมมันก็ไหลออกมาอีก

“ทำไมมึงถึงกล้าพูดได้ขนาดนั้นวะ” ผมถาม

“อืมมม นั่นสินะ” เขาทำท่าคิด จากนั้นก็ยิ้มออกมาอีกครั้งเมื่อได้คำตอบให้แก่ตัวเอง “อ๋อ กูว่านะ มันต้องเป็นเพราะกูรักมึงนั่นแหละ” พีหัวเราะออกมา แต่ผมกลับนั่งนิ่งเมื่อได้ยินอย่างนั้น ถึงตอนนั้นผมจะแค่อายุสิบสาม แต่ผมก็รู้นะว่าคนที่ชอบผู้ชายหรือที่เรียกว่าเกย์นั้นมันเป็นยังไง และทั้งหมดที่ผมได้ยินอยู่นี้มันมีความหมายว่า ภูเป็นเกย์และชอบผมอย่างนั้นเหรอ

แต่ที่ผมอึ้งนั้นไม่ใช่ความคิดที่ว่าภูเป็นเกย์หรืออะไรหรอก เพราะผมก็รู้ตัวว่าผมเองก็ชอบผู้ชายเช่นเดียวกัน และมันก็คงจะดีมากด้วยถ้าภูนั้นมาชอบผมจริง แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจมากที่สุดนั่นก็คือการที่ภูพูดว่า เขารักผม ถึงสองครั้งแล้วต่างหาก

เมื่อเห็นผมเงียบไปนาน ภูก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “คนอื่นๆน่ะ เขาก็แค่ไม่กล้าคุยกับมึงก็เพราะมึงเป็นคนยิ้มยากต่างหาก มึงไม่ค่อยเปิดใจรับใครง่ายๆ แต่จริงๆแล้วมึงนั่นแหละที่เป็นคนรักเพื่อนมากกว่าใครๆ จริงป่าว”

ผมก้มหน้าเพราะความอาย ใบหน้าของผมร้อนผ่าว แน่นอนว่าเป็นเพราะพิษไข้ด้วยส่วนหนึ่ง และตอนนี้มันก็คงจะแดงมากด้วยแล้วเช่นกัน ต้องขอบคุณอาการไข้ของผมที่ช่วยปกปิดความเขินอายของผมได้เป็นอย่างดี

“อะไรๆ อายเหรอวะ” ภูหัวเราะแล้วก้มหน้ามามองผม

“กูเปล่าสักหน่อย หน้ากูมันแดงเพราะพิษไข้ต่างหาก” ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา

“กูก็ไม่ได้บอกสักหน่อยว่ามึงหน้าแดง นั่นแน่ มึงเขินจริงๆใช่มั๊ยล่า ไอ้พี” ภูหัวเราะพร้อมๆกับขยี้หัวของผมเบาๆ และคราวนี้ผมก็ยิ้มออกมาด้วยพร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำมากขึ้นไปอีก

“นี่ไง เห็นมั๊ย เวลามึงยิ้มแล้วมึงน่ารักจะตาย มีลักยิ้มที่แก้มซ้ายด้วย” ภูพูดแล้วเอานิ้วมาชี้ที่รอยบุ๋มบนแก้มข้างซ้ายของผม “คราวหลังก็ยิ้มบ่อยๆนะ เข้าใจป่าว แล้วเดี๋ยวอะไรๆมันก็จะดีเองนั่นแหละ กูสัญญา และอีกอย่าง........ กูชอบด้วย” คราวนี้ภูหน้าแดงขึ้นบ้างแล้วเหมือนกัน เขาใช้นิ้วชี้เกาแก้มของตัวเองเบาๆและยังคงยิ้มกว้างอยู่เช่นเดิม

บทสนทนาของเราทั้งสองคนจบลงแค่นั้น เพราะหลังจากนั้นภูก็ปล่อยให้ผมได้นอนพักผ่อนไป ส่วนเขาก็นั่งอยู่ข้างๆผมตลอด ตั้งแต่นั้นมา ผมก็รู้แล้วว่าผมมีใจรักเพื่อนของผมคนนี้แบบไหน ผมอยากที่จะได้เห็นรอยยิ้มของเขาแบบนี้ตลอดไปจริงๆ

และวันนั้นก็เป็นวันแรกและวันเดียวที่เขาพูดว่าเขารักผม

จากนั้นถัดมา ผมกับภูก็สนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ เราสองคนไปไหนมาไหนและทำอะไรด้วยกันตลอดเวลา เพื่อนๆบางคนก็แซวเราบ้างว่าเราตัวติดกันยิ่งกว่าปาท่องโก๋เสียอีก แต่ผมไม่สนใจ เพราะผมถือว่านั่นคือสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นกับผมที่ทำให้เพื่อนๆเริ่มสนิทและหยอกล้อเล่นกับผมมากขึ้น และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะภูช่วยผมเอาไว้แท้ๆ หลังจากนั้นไม่นาน อย่างที่ภูเคยบอกเอาไว้ เวลามันจะพิสูจน์ให้ผมได้รู้เอง ผมเริ่มพูดคุยและหัวเราะกับคนอื่นมากขึ้น ซึ่งทำให้ผมมีเพื่อนสนิทมากขึ้นตามไปด้วย แน่นอน ว่าผมก็ยังคงเป็นคนพูดน้อยและยิ้มน้อยอยู่อย่างเคย เพียงแต่ว่าเมื่อมีภูอยู่ด้วย ผมก็รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมากกว่าช่วงเวลาไหนๆมากมายในชีวิตทีเดียว

เวลาผ่านไปสองปีจนเราสองคนได้ขึ้นมาอยู่ชั้นมัธยมปลายเป็นครั้งแรก ผมกับภูก็ได้อยู่ห้องเดียวกันอีก ผมกับเขาสนิทกันมากจริงๆ และใครๆก็รู้เรื่องนี้ จากตอนแรกแค่เพื่อนๆในห้องและห้องข้างๆ แต่จนถึงตอนมอสี่นี้ แทบจะทุกคนในระดับชั้นและยังรวมไปถึงอาจารย์หลายๆท่านด้วยที่รู้ว่าผมสองคนเป็น “คู่หู” ที่แทบจะแยกจากกันไม่ออกทีเดียว คนหนึ่งนั้นหัวไม่ดี แต่ร่าเริงและยิ้มเก่ง ใครๆก็รักและรู้จัก ส่วนอีกคน เป็นเด็กหัวดี แต่ขี้อาย และพูดน้อยยิ้มน้อย ทว่าคนสองคนที่แตกต่างกันในแทบจะทุกเรื่องนั้นกลับเป็นเพื่อนที่รักกันและสัญญากันว่าจะรักกันอย่างนี้ไปจนวันตาย

แต่สุดท้าย สัญญานั้นมันก็ไม่เป็นจริง เพราะผมเองนั่นแหละ ที่เป็นฝ่ายผิดสัญญา..........

วันนั้นเป็นวันก่อนวันสอบวันสุดท้ายของเทอมหนึ่งตอนที่เราอยู่ชั้นมอห้า หลังสอบเสร็จผมก็นั่งรอภูอยู่ที่ม้านั่งตัวเดิมพร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆเหมือนทุกๆครั้ง แต่เมื่อภูออกมาจากห้องสอบและมาพบกับพวกเราทุกคน เขากลับบอกเพื่อนๆทุกคนว่าเขามีเรื่องอยากจะคุยกับผมแค่สองคน และอยากให้ทุกคนกลับไปก่อน

“มีอะไรเหรอวะ ทำไมต้องให้คนอื่นๆกลับไปก่อนด้วย” ผมถามเขาเมื่อเราอยู่กันสองคนแล้ว

“ก็ ไม่มีอะไรหรอก........” เขายิ้มกว้างในแบบฉบับของเขา ผมสังเกตเขามานานมากแล้วว่าเขาหน้าตาดีขึ้นกว่าเมื่อตอนเด็กๆเยอะเลยทีเดียว อาจจะเรียกว่า “หล่อ” เลยไม่ได้ แต่เขาก็เป็นคนที่หน้าตาใช้ได้ทีเดียว แบบที่ใครๆควงก็ไม่ต้องรู้สึกอายแน่ๆ

และแน่นอนไม่ใช่ว่าเป็นเพราะผมนั้นชอบเขาอยู่แล้วถึงได้พูดแบบนั้นหรอกนะ

“ยิ้มอยู่ได้ ยิ้มทำไม มีอะไรก็พูดมาสิวะ กูล่ะเบื่อรอยยิ้มของมึงจริงๆ เห็นแม่งทุกวัน” ผมพูด แต่จริงๆแล้วผมโกหก ผมไม่เคยเบื่อรอยยิ้มของเขาเลยแม้แต่น้อย

“ง้านนเหรออ มึงเบื่อจริงอ่ะ” เขาฉีกยิ้มกว้างมากขึ้นอีก แล้วก็เลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ผมจนผมรู้สึกอายและยิ้มออกมา

“อะไรเล่า” ผมพูด พลางขยับตัวหนี

“แต่กูไม่เคยเบื่อรอยยิ้มมึงเลยนะ พูดจริงๆแล้ว กูโคตรชอบรอยยิ้มแล้วก็ลักยิ้มของมึงเลย” เขาหัวเราะเบาๆ

“พอๆ ตกลงมึงมีอะไรจะบอกกู........” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง รู้สึกว่าตัวเองหน้าแดง

“ก็ พรุ่งนี้สอบวันสุดท้ายแล้วใช่มั๊ยล่ะ” เขาขยับตัวกลับไปนั่งที่เดิมดีๆ “กูก็เลยอยากชวนมึงไปเที่ยวน่ะ หลังสอบเสร็จอ่ะนะ”

“งั้นเหรอ ไปไหนล่ะ แล้วคนอื่นๆอ่ะ ไม่ไปกับพวกมันเหรอ” ผมถาม

“หลังจากไปกินไปเที่ยวกับพวกมันก่อนก็ได้ กูแค่....... เอ่ออ...... คือกูอยากชวนมึงไปบ้านกูว่ะ” เขาพูดขึ้นแล้วยิ้มอายๆ

“ชวนกูไปบ้านมึงเนี่ยนะ” ผมแปลกใจ เพราะที่ผ่านมาผมไม่เคยได้ไปบ้านของภูเลย มีแต่ภูที่เคยมาบ้านของผมบ้างสี่ห้าครั้งเท่านั้นเอง

“ช่ายย กูจะชวนมึงไปนอนค้างที่บ้านกูว่ะ” เขาเกาแก้มแกรกๆด้วยนิ้วชี้ เขามักจะทำแบบนี้เสมอๆเวลาที่เขาอาย ส่วนผมก็ชอบเวลาที่เขาทำแบบนี้มากๆด้วยเช่นกัน

ผมแกล้งทำนิ่วหน้าแบบไม่ไว้ใจ “นี่มึงจะมาไม้ไหน อย่าบอกนะว่าวางแผนจะพรากพรหมจรรย์กู” ผมพูดแล้วยิ้ม

ภูหัวเราะ “โอ๊ยยยยย ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้ากูจะเอาไอ้นั่นของมึงน่ะนะ กูไม่ต้องวางแผนหรอก กูจะขอดีๆตรงๆเลยด้วยซ้ำ”

ผมหน้าแดงขึ้นมาอีกครั้งทันที เขาเป็นคนชอบพูดจาโผงผาง และตรงไปตรงมาเสมอๆ และที่สำคัญ เขาชอบพูดจาทีเล่นทีจริงแบบนี้มากๆ ทำให้ผมไม่รู้สักทีว่าครั้งไหนที่เขาพูดจริงและครั้งไหนที่เขาพูดเล่น

“นั่นแน่ เขินล่ะสิ คุณปฐพี” ภูยิ้มกว้างที่แกล้งผมได้สำเร็จอีกครั้ง “มึงคิดว่ามึงไปได้มั๊ยล่ะ”

“เอ่ออ.... กูก็ต้องถามที่บ้านดูก่อนว่ะ แต่กูคิดว่าไม่น่าจะมีปัญ..........”

“นายภูมิธร” เสียงๆหนึ่งดังขัดขึ้น

เราสองคนหันไปหาที่มาของเสียงทันที แล้วก็พบกับอาจารย์สอนวิชาภาษาอังกฤษยืนกวักมือเรียกภูอยู่

“เวรและไง กูจะโดนอะไรวะเนี่ย เอางี้ เอาเป็นว่ามึงตอบตกลงแล้วก็แล้วกันนะ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้พอมึงไปบ้านกู กูจะบอกอะไรมึงบางอย่าง กูจะพูด.......... คร้าบๆๆ เดี๋ยวครับ อาจารย์ รอแป๊บนึงคร้าบบบบ!!” เขาหันไปตะโกนบอกอาจารย์ จากนั้นก็หันหลับมาหาผมอีกครั้ง “เออๆ ถึงไหนแล้วนะ เออใช่ คือพรุ่งนี้เนี่ย กูอยากจะคุยอะไรกับมึงหน่อย เพราะงั้นมึงต้องไปบ้านกูนะ กูจะบอกสิ่งที่กูไม่ได้บอกมึงมานานหลายปีแล้ว....... ก็ สามปีได้แล้วมั๊ง”

เราสองคนมองตากันนิ่งอยู่ราวๆสองวิ จากนั้นภูก็ชิงพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“เออๆ กูไปและนะ เจอกันพรุ่งนี้ที่ห้องสอบ” เมื่อพูดจบเขาก็วิ่งออกไปทันที ผมเห็นตอนที่เขาวิ่งไปหาอาจารย์ เขาก้มหน้าวิ่งแล้วก็เอามือเกาแก้มไปด้วย

ผมนั่งอยู่ย่างนั้นอีกราวๆห้านาที คิดถึงสิ่งที่ภูเพิ่งพูดออกมา นี่เขาหมายความว่าอย่างที่ผมคิดรึเปล่านะ เพราะถ้าเขาหมายความว่าแบบนั้นจริงๆ ผมก็คิดที่จะเริ่มต้นเดินก้าวต่อไปด้วยแล้วเหมือนกัน  ไม่สิ ต่อให้เขาไม่พูดในสิ่งที่ผมคิดออกมา ซึ่งถึงแม้ผมค่อนข้างมั่นใจว่าต้องใช่แน่ ผมค่อนข้างมั่นใจมาตลอดว่าเขาเองก็คิดกับผมแบบเดียวกับที่ผมคิดกับเขา เพียงแต่เราสองคนไม่เคยพูดมันออกมาเลย แต่คราวนี้ผมก็พร้อมที่จะเป็นฝ่ายเริ่มพูดเองบ้างแล้ว ไม่เห็นมันจะมีอะไรเสียหายนี่

ถ้าหากใครสักคนมาขีดข้อกำหนดในเรื่องของความรักให้ผมฟังล่ะก็ ผมก็พร้อมจะตอกหน้าเขากลับไปทันทีเลย เพราะตัวอย่างที่ผมเห็นชัดๆมันก็มีอยู่ตรงหน้าผมนี่แล้วไง ผมและเพื่อนคนนี้รักกันและเราก็รักกันดีมากด้วยมาตลอดระยะเวลาหลายปี ถึงแม้ว่าเราสองคนจะเป็นผู้ชายเหมือนกันก็ตาม แล้วพ่อและแม่ของผมล่ะ พวกท่านไม่ได้เป็นตัวอย่างของความรักชายหญิงที่ล้มเหลวหรอกเหรอ ข้อจำกัดเรื่องเพศไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาขีดกั้นผมได้เลยตั้งแต่ผมยังเล็กแล้วด้วยซ้ำ ผมเรียนรู้เรื่องพวกนี้ได้เองมาตั้งแต่ผมยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมเองนั้นชอบผู้ชาย


ใช่แล้ว......... ความรักของผมนั้นก็คงเป็นเหมือนดั่งผีเสื้อ

มันใช้เวลานานกว่าจะเติบโต มันสวยงาม และน่าทะนุถนอม
แต่สุดท้ายก็ มันจากเราไปอย่างง่ายดาย รวดเร็ว และช่างบอบบางเหลือเกิน..........


ผมรอคอยวันสอบวันสุดท้ายอย่างใจจดใจจ่อ ผมรอแทบไม่ไหวแล้วที่ผมจะได้พูดคำว่า “รัก” ออกไปให้คนที่ผมรักและรู้ว่าเขาก็รักผมเช่นเดียวกันฟัง

แต่สุดท้ายแล้ว ความฝันมันก็ยังคงเป็นแค่ความฝัน เช้าวันรุ่งขึ้นผมได้รับข่าวร้ายที่สุดในชีวิตเมื่อมีคนมาบอกทางโรงเรียนว่า นายภูมิธรเกิดประสบอุบัติเหตุ รถมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่เขาซ้อนท้ายเสียหลักและล้มลงในหมู่บ้านของตัวเองและเป็นเหตุให้เขาถึงแก่ชีวิต

หัวใจของผมแตกสลาย ผมนั่งทำข้อสอบอย่างไม่รู้เลยว่าตัวเองกาอะไรลงไปบ้าง น้ำตาของผมมันไหลไม่ยอมหยุด ผู้คนหลายคนทั้งนักเรียนและอาจารย์ต่างก็โศกเศร้าและเสียใจ เขาเป็นที่รักของทุกๆคนจริงๆ หลายคนพยายามเข้ามาปลอบผม แต่ผมก็ไม่ได้ยินอะไรที่พวกเขาพูดเลยสักนิด สิ่งที่ก้องอยู่ในหัวของผมตลอดเวลานั้นมีอยู่แค่เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือเสียงใสๆของเขาตั้งแต่เขายังไม่แตกหนุ่ม ประโยคที่เขาบอกว่า เขารักผม เสียงที่หนักขึ้นทุ้มขึ้นของเขาที่บอกผมว่า เขามีอะไรบางอย่างจะพูดกับผมหลังจากที่เขาไม่ได้พูดมันมานานแล้วถึงสามปี และเสียงของเขาจากประโยคสุดท้ายที่เขาพูดกับผมว่า เขาจะมาเจอผมที่ห้องสอบในเช้าวันนี้...............

แต่ว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่มา และคงจะไม่มาให้ผมได้พบหน้าอีกต่อไปแล้ว..............

เขาคือคนๆเดียวที่ทำให้โลกของผมสว่างสดใสขึ้น เขาคือคนๆเดียวที่ทำให้ผมประทับใจได้ตั้งแต่รอยยิ้มแรกพบ และเขาคือคนๆเดียวที่สอนให้ผมรู้จักกับคำว่า “เพื่อนแท้” และ “ความรัก”

ท้ายที่สุดแล้วผมก็ไม่เคยได้ไปบ้านของเขา แต่ในงานศพ แม่ของเขาได้นำของสิ่งหนึ่งมามอบให้แก่ผม มันคือรูปถ่ายที่ผมถ่ายคู่กับเขาสองคนในห้องเรียนตั้งแต่เรายังอยู่ชั้นมอสอง ในรูปนั้น ใบหน้าที่ผมเกือบจะลืมเลือนมันไปแล้ว ใบหน้าตอนเด็กของเขาที่กำลังยิ้มกว้างอย่างที่เขาชอบทำเป็นประจำและกำลังกอดคอกับผมเองที่ก็กำลังยิ้มอยู่เช่นเดียวกัน ลักยิ้มข้างซ้ายของผมบุ๋มลงไปเล็กน้อย และเสียงของเขาก็ดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง...........

“นี่ไง เห็นมั๊ย เวลามึงยิ้มแล้วมึงน่ารักจะตาย มีลักยิ้มที่แก้มซ้ายด้วย คราวหลังก็ยิ้มบ่อยๆนะ เข้าใจป่าว แล้วเดี๋ยวอะไรๆมันก็จะดีเองนั่นแหละ กูสัญญา และอีกอย่าง........ กูชอบด้วย”

“แต่กูไม่เคยเบื่อรอยยิ้มมึงเลยนะ พูดจริงๆแล้ว กูโคตรชอบรอยยิ้มแล้วก็ลักยิ้มของมึงเลย”


ผมร้องไห้ออกมาอีกครั้ง และคราวนี้มันมากกว่าครั้งไหนๆด้วย ผมพลิกดูด้านหลังของรูปช้าๆ และเห็นลายมือของเขาเขียนเอาไว้อยู่สองบรรทัด บรรทัดแรกเป็นลายมือตอนเด็กๆของเขา เขียนเอาไว้ว่า

“กูจะรักมึงอย่างนี้ไปจนวันตาย”

ส่วนอีกบรรทัดเป็นลายมือที่หวัดและเป็นผู้ใหญ่กว่าบรรทัดแรกอย่างเห็นได้ชัด ผมดูจากรอยหมึกแล้วเดาเอาว่าเขาน่าจะเพิ่งเขียนมันเมื่อไม่นานมานี้เอง มันถูกเขียนเอาไว้ว่า

“หนึ่งเดียว อันเป็นที่รัก และจะรักตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยน”

เมื่ออ่านจบผมก็ร้องไห้จนตัวโยน ทั้งแม่ของภูและเพื่อนๆคนอื่นๆก็เข้ามาปลอบผมให้ผมสงบลง แต่ผมห้ามตัวเองไม่ได้ ผมห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ ในชีวิตของผมทั้งชีวิต ผมไม่เคยได้สัมผัสกับคำว่ารักแบบที่ภูเคยมอบให้ผมมาก่อนเลย การจากไปของเขาทำให้ผมรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างที่สุด ผมรู้สึกราวกับไม่เหลือใครอีกแล้ว เขาเข้ามาในโลกของผมแล้วเปลี่ยนชีวิตผมไป เขามอบความรักให้ผมในแบบที่ผมไม่เคยได้รับจากใคร และไม่คิดว่าจะมีใครทำให้ผมได้ในแบบที่เขาทำด้วย ผมไม่รู้จริงๆว่าถ้าปราศจากเขาแล้ว ชีวิตของผมต่อจากนี้มันจะเป็นอย่างไร..............

จากนั้นผมก็ใช้ชีวิตอยู่ต่อมาโดยเฝ้าคิดถึงและเสียใจแต่เพียงเรื่องๆเดียว นั่นก็คือ แม้แต่คำว่ารัก ผมยังไม่เคยได้บอกเขาออกไปเลยสักครั้ง...........

เมื่อขึ้นเทอมใหม่ ผมก็ไปเรียนตามปกติ แต่ผมไม่รู้สึกปกติเลยแม้แต่น้อย ผมเศร้า และหดหู่ ผมกลับเป็นคนที่พูดน้อยและยิ้มน้อยเหมือนเดิม ผมไม่สุงสิงกับใคร และไม่เห็นว่าผมจะต้องทำแบบนั้นไปทำไมถ้าเมื่อผมทำไปแล้วและผมจะต้องเจ็บปวดเพราะการสูญเสียอีกครั้ง ผมใช้ชีวิตอยู่กับการคิดถึงเขาในทุกๆนาทีที่ผมหายใจ ทุกๆวันที่ผมใช้ชีวิต และทุกๆคืนที่ผมหลับตานอน

จนวันหนึ่ง ผมหยิบรูปของภูที่ถ่ายคู่กับผมรูปนั้นออกมาดูแบบที่ผมทำเป็นประจำ รอยยิ้มของเขามันบอกผมว่าผมควรเลิกที่จะเป็นแบบนี้ได้แล้ว ผมรู้ตัวว่าภูไม่ได้ต้องการให้ผมเป็นแบบนี้ เขาชอบรอยยิ้มของผม เขาชอบลักยิ้มของผม แต่ตอนนี้ผมกำลังจะสูญเสียสิ่งเหล่านั้นที่ทำให้ผมกับภูผูกพันกันไปเสียแล้ว......... วันนั้นผมร้องไห้อย่างรุนแรงกับตัวเองอีกครั้งหนึ่ง แล้วสัญญากับตัวเองว่าผมจะเข้มแข็งขึ้นเพื่อตัวของผมเองและคนที่กำลังหัวเราะมาให้ผมอย่างมีความสุขอยู่ที่โลกนู้น

ผมหยิบรูปถ่ายเดี่ยวล่าสุดของภูเท่าที่ผมมีออกมาดูอีกครั้ง ผมไม่เคยเบื่อรอยยิ้มของเขาเลยจริงๆ.........

ผมรู้ว่าสิ่งที่เขาปรารถนาดีต่อผมมากที่สุดก็คืออยากให้ผมมีความสุข เพราะฉะนั้นผมก็จะมีความสุข เพื่อที่เขาจะได้ยังคงมอบรอยยิ้มที่แสนประทับใจนั้นให้ผมได้ตลอดไปด้วย ผมบอกขอโทษเขา ว่าผมไม่สามารถรักษาสัญญาที่ผมกับเขาเคยมีให้กันว่าเราจะรักกันอย่างนี้ไปจนวันตายได้แล้ว..............

“ภู กูขอโทษนะ กูรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับมึงไม่ได้แล้ว.......” ผมพูดกับรูปถ่ายของเขาและร้องไห้ออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ “.......เพราะถึงมึงจะจากไปแล้ว แต่กูก็ยังไม่หยุดรักมึง ภู...... กูขอโทษ....... ทั้งๆที่มึงทำตามสัญญาของเราแท้ๆ ทั้งๆที่มึงเองก็รักกูไปจนถึงวันตายของมึง....... แต่กูรักมึงมากจริงๆ และจะยังคงรักมึงไปตลอดกาลด้วย กูไม่สามารถหยุดรักมึงได้แม้ว่าความตายจะพรากมึงไปจากกูแล้ว กูสัญญา....... กูสัญญาว่าแม้แต่ความตาย ก็ไม่อาจพรากความจริงข้อนั้นไปจากเราสองคนได้........ ภูมิธร กูขอสัญญา ว่านับจากนี้ไป.............” แต่ผมไม่สามารถจะจบประโยคได้ ผมร้องไห้และร้องไห้ ร้องจนคิดว่าน้ำตาของตัวเองคงจะเปลี่ยนเป็นสายเลือด ผมร้องจนกระทั่งผมหลับไปทั้งๆที่มีน้ำตาอาบใบหน้า

วันรุ่งขึ้น ผมไปทำเรื่องลาออกจากโรงเรียนทันที เพราะผมไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่กับที่ๆเต็มไปด้วยความทรงจำของเขาและผมแบบนี้อีกต่อไปได้ ถ้าผมอยากจะก้าวเดินต่อไป สักวันหนึ่งผมก็ต้องเรียนจบจากที่แห่งนี้อยู่ดี เพราะฉะนั้นผมก็จะขอก้าวเดินต่อไปตอนนี้เลย และผมสัญญา ว่าผมจะไม่มีวันลืมเพื่อนรักของผมคนนี้เด็ดขาด เขายังคงมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของผม และผมก็ยังคงสามารถเห็นรอยยิ้มและได้ยินเสียงหัวเราะของเขาได้ในทุกๆครั้งที่ผมหลับตาลง........

ต่อจากนี้ไป ผมจะทำตัวเองให้ดีขึ้นและมีความสุข เพื่อเขาที่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งในใจของผมด้วยเช่นกัน


ปล. ใครอยากรู้จักเขาคนนี้มากขึ้น อยากรู้ว่าต่อจากนี้เขาเป็นยังไงต่อ ไปอ่านในการเดินทางของศิลากับฟ้าครามนะครับ (ฮา)  :laugh:

หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 27-10-2007 22:05:06
อ่าน ๆ ไป อ้าวอ่านแล้วนี่หว่า  :a5:  :a5:
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 28-10-2007 00:28:43

ก็ว่าอยู่ว่ามันคุ้นๆ  :a6: :a6:

หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 28-10-2007 01:15:32
อะไรมันก็ไม่แน่ไม่นอน
 :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 28-10-2007 02:37:39



เมาชิบ  ปวดหมองว่ะ




ผมรู้ว่าพี่รักผม  และผมก็รักพี่  แต่โลกของผม  เข้ามาไม่ได้. . .


ทราบครับ  ทราบดี  ผมเข้าไปไม่ได้  ขอบคุณสำหรับทุก ๆ  อย่างนะครับ

กูรักมึงแหละ  ไอ้น้อง. . . รักมากพอ ๆ กับที่กูรักไอ้เนฯ


หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 28-10-2007 08:06:19



เมาชิบ  ปวดหมองว่ะ




ผมรู้ว่าพี่รักผม  และผมก็รักพี่  แต่โลกของผม  เข้ามาไม่ได้. . .


ทราบครับ  ทราบดี  ผมเข้าไปไม่ได้  ขอบคุณสำหรับทุก ๆ  อย่างนะครับ




เด๋วปั๊ดตบชัก รักนะไอ้หมี
ถ้าไม่รักจะพูดเรอะ

จุ๊บๆ

ปล.

อ่าน ๆ ไป อ้าวอ่านแล้วนี่หว่า  :a5:  :a5:

ก็ว่าอยู่ว่ามันคุ้นๆ  :a6: :a6:

5555
เด๋วไม่คุ้นคับ รอโหน่ยยยย เห็นมันเข้าคอนเสป เลยขอแจมนิดนึง

หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 29-10-2007 01:17:39

...........อ่านอีกทีก็เศร้าอยู่ดี........ :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 29-10-2007 21:15:12
บทหนึ่งของชีวิต



ผมอายุยี่สิบปีและกำลังจะเรียนอยู่ปีสามแล้ว แต่ทว่าผมก็ยังคงมองไม่เห็นเป้าหมายในอนาคตของชีวิตของผมเลยแม้แต่น้อย อีกแค่เพียงไม่ถึงสองปีผมก็จะต้องเลือกทางเดินชีวิตเส้นใหม่ของผมอีกครั้งแล้ว แต่มันก็น่าแปลกที่ทั้งๆที่เมื่อสองสามปีก่อนหน้านี้ ผมยังไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาตกอยู่ในที่นั่งลำบากแบบนี้ ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะต้องมาอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นทางแยกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผมอย่างเช่นทุกวันนี้ กลับกัน ก่อนหน้านี้ผมค่อนข้างจะมั่นใจเสียด้วยซ้ำว่าชีวิตของผมมันจะต้องดำเนินไปอย่างไร.........

แต่ไม่ใช่ ณ ตอนนี้เลยจริงๆ

เมื่อสองปีก่อนหลังจากที่ผมเข้ามหาวิทยาลัยได้ไม่นาน พ่อกับแม่ของผมก็บอกความจริงที่ถูกปกปิดมานานแล้วว่า พวกเขาทั้งสองคนนั้นไม่สามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไป ตอนนั้นผมทั้งช็อคและตกใจมาก ผมคิดว่าทั้งสองคนนั้นคงจะพูดเล่น คิดว่ามันคงเป็นแค่เรื่องล้อเล่น เป็นตลกร้ายที่ไม่น่าจะเป็นความจริงเท่านั้น แต่ทว่าความจริงนั้นมันก็ช่างปวดร้าวนัก เมื่อสุดท้ายแล้วผมก็ต้องมารับรู้ว่าตลอดชีวิตเกือบยี่สิบปีของผมมันเป็นเพียงความหลอกลวงและคำโกหกคำโตของคนที่ผมเรียกว่าพ่อกับแม่เท่านั้น

หลังจากความจริงที่ว่าทั้งสองคนไม่ได้รักกันมานานแล้วถูกเปิดเผยออกมา พ่อกับแม่ของผมก็แยกกันอยู่แบบที่เรียกได้ว่าเกือบจะสมบูรณ์แบบทีเดียว พ่อของผมกลับบ้านแค่สัปดาห์ละไม่กี่คืน ส่วนนอกเหนือจากนั้นเขาก็จะไปนอนกับแฟนใหม่ของเขา ส่วนแม่ของผมถึงจะยังคงอยู่ที่บ้าน แต่ว่าก็วางแผนเอาไว้แล้วว่าสักวันเขาจะกลับบ้านของตัวเองที่จังหวัดเพชรบูรณ์

และตอนนี้ สองปีผ่านไปนับจากเหตุการณ์ที่เป็นจุดเริ่มต้นใหม่ในชีวิตของผมทั้งหมด ผมก็กำลังยืนอยู่ ณ ขนส่งเก่าในตัวเมืองของจังหวัดเพชรบูรณ์...........

เมื่อไม่นานมานี้ตาของผมเพิ่งจะลาจากไปด้วยโรคหัวใจ ทำให้แม่ของผมตัดสินใจกลับมายังบ้านของตัวเองทันที และมันยังไม่ใช่เพียงแค่การตัดสินใจของแม่ผมเท่านั้นด้วย มันยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ด้วยว่าผมจะเลือกที่จะอยู่กับแม่ที่นี่หรืออยู่กับพ่อที่กรุงเทพต่อไป

ผมรักทั้งพ่อและแม่ของผมมากเท่าๆกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมาทั้งสองคนคือบุคคลที่ผมรักและเทิดทูนมากที่สุด แต่แล้วจู่ๆวันหนึ่งความรู้สึกทั้งหลายเหล่านั้นมันก็พังลงไปต่อหน้าต่อตาทันทีราวกับพายุร้ายที่โหมพัดบ้านของเราให้พังทลายกลายเป็นเสี่ยงๆ ผมรู้สึกว่าผมถูกเลี้ยงขึ้นมาด้วยคำโกหกและความหลอกลวง ผมรู้สึกเหมือนถูกทรยศหักหลัง และผมรู้สึกราวกับชีวิตของผมนั้นมันถูกสร้างขึ้นมาจากพื้นฐานของความลวง ความรักหลอกๆที่มีแต่เปลือกนอกแต่ไร้ซึ่งเนื้อใน

ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอม ผมจึงตัดสินใจจะมาเยี่ยมแม่ของผมที่บ้านในตัวเมืองนี่ ไม่ใช่ว่าผมเลือกที่จะมาอยู่กับแม่ในตอนนี้ และไม่ใช่ว่าผมรู้แล้วว่าผมจะทำอะไรต่อไปในอนาคตดี เพียงแต่ว่าผมก็แค่กลับมาเจอหน้าบุพการีคนหนึ่งของผมอีกครั้งเท่านั้นเอง และเมื่อเทอมใหม่เริ่มต้นขึ้น ผมก็ต้องกลับไปอยู่หอที่มหาวิทยาลัยอีกเช่นเคย

ก่อนที่ตาของผมจะเสียได้ไม่นาน เขาได้ซื้ออาคารพาณิชย์ที่มีลักษณะคล้ายๆกับทาวน์เฮาส์เอาไว้สองหลัง และตอนนี้แม่ของผมก็กำลังรอผมอยู่ที่นั่น ส่วนตัวของผมเองผมแทบไม่เคยมาที่จังหวัดนี้เลย โดยเฉพาะบ้านหลังใหม่ที่ผมกำลังจะไปนี่ผมยิ่งไม่เคยรู้เลยว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร และแม่ของผมก็เรียกผมมาที่นี่เพื่อที่จะช่วยเขาในการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์และออกแบบตบแต่งภายในด้วยนั่นเอง

ทันทีที่ผมนั่งรถเข้าไปถึงบ้านหลังใหม่ของแม่ของผม แม่ก็กำลังยืนรอรับผมอยู่ที่หน้าบ้านอยู่แล้ว

“เป็นไง ชอบมั๊ย แม่ว่าแม่จะชวนเก่งไปเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์วันนี้เลยเนี่ย เพราะแม่ให้คนเขามาทำความสะอาดกันไว้หมดแล้ว”

ผมเงยหน้าขึ้นมองไปยังอาคารสามชั้นเบื้องหน้า ดูภายนอกมันก็ดูดีอยู่หรอกนะ และจากที่เห็นด้วยสายตา ส่วนภายในนั้นก็ค่อนข้างจะกว้างขวางและถูกออกแบบมาอย่างดีด้วยเช่นกัน

“แม่จะไม่ถามเก่งหน่อยเหรอครับว่าเหนื่อยรึเปล่า เก่งนั่งรถมาตั้งห้าชั่วโมงนะ” ผมพูด พร้อมกับเดินเข้าไปวางกระเป๋าลงบนพื้นบ้าน “ไปกันเลยมั๊ยครับ จะซื้อเฟอร์นิเจอร์ใส่บ้านใช่มั๊ยล่ะ เค้าจะได้มาส่งให้เราได้ทันใช้นั่งใช้นอนวันนี้ได้เลยไง”

“ไม่ไปนอนที่บ้านคุณตาก่อนเหรอลูก เหนื่อยไม่ใช่เหรอ”

“ไม่อ่ะครับ เก่งไม่อยากไปไหนแล้ว นอนที่นี่แหละ บ้านคุณตาอยู่ไกลจะตาย เก่งขี้เกียจ เอากุญแจมาสิครับ เดี๋ยวเก่งขับรถให้ แม่บอกทางเก่งก็แล้วกัน” ผมยื่นมือขอกุญแจรถจากแม่ของผม

หลังจากนั้นเราสองคนก็ใช้เวลาหมดไปกับการเลือกซื้อเครื่องเรือนและอุปกรณ์ไฟฟ้าที่จำเป็นสำหรับอยู่อาศัยอีกราวๆสามชั่วโมง จนกระทั่งเมื่อเรากำลังขับรถกลับไปหาร้านอาหารทานกันตอนเย็น แม่ของผมก็เริ่มหัวข้อสนทนาที่ผมพยายามเลี่ยงที่จะตอบมานานขึ้น

“เก่งคิดว่ายังไงลูก ถ้าให้มาอยู่ที่บ้านหลังนั้น เก่งว่าเก่งอยู่ได้มั๊ย”

“แม่ เก่งบอกแล้วงเก่งยังไม่รู้อะไรทั้งนั้นล่ะครับ ขอเก่งเรียนให้จบก่อนเถอะครับ” ผมถอนหายใจ

“แต่อีกแค่สองปีก็จะเรียนจบแล้วไม่ใช่เหรอ แม่ว่าถ้าเก่งจะหางานทำที่นี่มันก็ไม่ยากหรอกนะ”

“อีกตั้งสองปีครับแม่ ไม่ใช่อีกแค่” ผมแก้ “และที่สำคัญ ถ้าแม่พูดถึงเรื่องงานล่ะก็ ผมเรียนวิศวะอินเตอร์แบบนี้ อยู่กรุงเทพมันจะมีโอกาสก้าวหน้ามากกว่านะครับ ถ้าให้เก่งมาอยู่ที่นี่ล่ะก็ เก่งคงไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงแน่ๆ”

“แปลว่าเก่งตัดสินใจไว้แล้วว่าอยากจะอยู่กับพ่อสินะ” แม่ของผมพูดด้วยน้ำเสียงตึงๆนิดๆ

“ใช่ครับ แต่เก่งตัดสินใจไว้ตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนนะ ตัดสินใจไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะเข้ามหาลัยซะอีก แต่ว่านับตั้งแต่วันนั้น เก่งก็ไม่ได้ตัดสินใจอะไรอีกแล้ว เก่งไม่รู้แล้วครับว่าชีวิตเก่งมันควรจะเดินไปทางไหน”

“แต่ถ้าเก่งไม่มาอยู่กับแม่ แม่ก็ต้องอยู่คนเดียวนะลูก”

“และทั้งพ่อและแม่ก็เป็นครอบครัวของเก่งทั้งคู่ด้วยเหมือนกันนะครับ จู่ๆแม่จะให้เก่งเลือกเรื่องอะไรแบบนี้ง่ายๆมันไม่ได้หรอก และที่สำคัญ เก่งไม่อยากจะลือกอะไรทั้งนั้นด้วย........” ผมผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ “เก่งว่าเราเลิกคุยเรื่องนี้กันดีกว่านะครับ”

ตลอดทางจนถึงร้านอาหารและตลอดเวลาที่เราสองคนนั่งทานข้าวด้วยกัน ผมก็แทบจะไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเลย เว้นแต่แม่ของผมที่คอยหาเรื่องชวนผมคุยอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าผมก็ไม่รู้สึกมีความสุขหรืออยู่ในอารมณ์ที่จะคุยเรื่องไร้สาระพวกนั้นได้เลยจริงๆ บทสนทนาสั้นๆบนรถเมื่อครู่นี้มันทำให้ความรู้สึกดีๆที่ยังคงพอมีเหลืออยู่บ้างพังไปหมดแล้ว แต่ที่จริงผมก็แทบไม่เคยรู้สึกมีความสุขอีกเลยนับตั้งแต่วันที่ความจริงทั้งหมดถูกเปิดเผยออกมาวันนั้นแล้ว

เมื่อร้านเฟอร์นิเจอร์โทรมาบอกพวกเราว่าทางร้านกำลังขนส่งทุกอย่างไปให้ที่บ้านแล้ว เราทั้งคู่จึงขับรถกลับมาเพื่อรอรับของ และเมื่อเวลาผ่านไปอีกกว่าสองชั่วโมง บ้านหลังใหม่ที่ผมต้องใช้นอนอีกสองเดือนครึ่งนับจากนี้ก็เสร็จสมบูรณ์พอที่จะเรียกได้ว่าบ้านจริงๆ

คืนนั้นผมกับแม่นั่งคุยกันเรื่องของสิ่งที่แม่คิดจะทำต่อไปในอนาคต แม่บอกว่าแม่คงจะไม่กลับไปกรุงเทพแล้ว ครั้งหน้าที่กลับไปก็คงจะกลับไปเก็บของที่เหลือและจัดการธุระทุกอย่างให้เรียบร้อย ส่วนเรื่องงาน แม่บอกว่าแม่จะเข้าเป็นหุ้นส่วนกับเพื่อนเปิดสถาบันกวดวิชาที่นี่ ซึ่งนั่นก็วกเข้ามาถึงเรื่องที่ว่าถ้าผมเรียนจบแล้วผมก็สามารถมาเป็นครูสอนให้ที่นี่ได้ด้วยเช่นกัน ทำให้ผมต้องขอตัวแม่ขึ้นห้องไปนอนก่อนโดยอ้างว่าเหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวันเต็มทีแล้ว

คืนนั้นทั้งคืนผมนอนแทบไม่หลับเลย ผมรู้สึกสับสนกับอนาคตของตัวเอง แม่ของผมก็อยากให้ผมมาอยู่กับเขาที่นี่ ส่วนพ่อก็คาดหวังให้ผมกลับไปทำงานที่บริษัทของเขา และไหนจะยังเรื่องบ้านของผมที่กรุงเทพที่ผมโตขึ้นมาตลอดเวลายี่สิบปีอีก ตอนนี้แม่ของผมก็มั่นใจแล้วว่าเขาจะไม่กลับไปอยู่ที่นั่นอีก ส่วนพ่อก็ไม่ค่อยจะได้นอนที่นั่นอยู่แล้วเพราะผมยื่นคำขาดว่าต่อให้ผมจะนอนที่หอ แต่ผมก็ยอมรับให้ผู้หญิงคนอื่นเข้ามาอยู่ในบ้านของผมไม่ได้ ผมยอมให้ผู้หญิงแปลกหน้ามานอนในห้องนอนและนอนบนเตียงที่แม่ของผมเคยนอนไม่ได้จริงๆ

ดูเหมือนว่ามันจะเป็นปัญหาที่ผมหาทางออกไม่ได้จริงๆแล้ว ถึงผมจะผิดหวังและเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก มากเสียจนไม่อยากจะรับรู้อะไรๆอีกต่อไปเลย แต่ว่าพวกเขาก็เป็นพ่อและแม่ของผมที่เลี้ยงดูผมมา ท้ายที่สุดไม่ว่าผมจะเลือกเส้นทางไหน ผมก็คงจะต้องทำให้ใครคนใดคนหนึ่งต้องผิดหวังและเสียใจ

เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีห้า ผมขับรถออกจากบ้านเงียบๆพยายามไม่ปลุกให้แม่ตื่นเพื่อไปซื้ออาหารเช้าที่ตลาดไม่ไกลจากบ้านมากนัก แต่เนื่องจากผมยังคงไม่คุ้นทาง ผมจึงต้องขับรถวนอยู่นานพอควรเหมือนกัน ทั้งๆที่มันน่าจะไปถึงได้ในเวลาแค่สิบนาที แต่ผมก็กลับใช้เวลามากกว่านั้นถึงสองเท่า

ผมจอดรถไว้ที่ข้างถนนและเดินเข้าไปซื้ออาหารสำเร็จรูปพร้อมของสดอีกนิดหน่อย จากนั้นก็นั่งดื่มกาแฟกับกินปาท่องโก๋ที่ร้านขายกาแฟโบราณในตลาดแห่งหนึ่ง จนเมื่อรู้สึกว่าตัวเองตื่นดีแล้วจึงเดินกลับมายังรถของตัวเอง ผมเปิดประตูหลังและวางถุงกับข้าวทั้งหมดลง จากนั้นก็ควักบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกงและยกขึ้นมาจุด ผมเริ่มสูบบุหรี่ครั้งแรกก็เมื่อตอนที่เครียดเรื่องครอบครัวมากๆนั่นล่ะ แต่ปกติแล้วผมจะไม่ค่อยสูบมันมากนักหรอก เพราะแค่สูบตอนที่มีเรื่องเครียดๆนั้นมันก็มากพอแล้วที่จะทำให้ผมสูบได้เกือบจะทุกวัน

ผมยืนหันหลังพิงรถและพ่นควันออกจากปากพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ เนื่องจากตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้าอยู่ จึงยังไม่มีทั้งคนและรถมากนัก ผมหันหลังกลับและเปิดประตูรถออกเพื่อที่จะขับรถกลับบ้าน แต่ว่าผมก็ไม่ได้สังเกตเห็นรถมอเตอร์ไซค์ที่กำลังวิ่งมาจะจอดอยู่ใกล้ๆผมเลยแม้แต่นิดเดียว ทำให้คนขับรถมอเตอร์ไซค์คันนั้นต้องรีบหักหลบประตูรถของผมอย่างรวดเร็วจนเขาเกือบจะเสียหลักล้มลง แต่ที่แย่ไปกว่านั้นนั่นก็คือ คนขับคนนั้นไม่ได้มาแค่คนเดียว แต่มีคนซ้อนท้ายและมีเพื่อนพ่วงมาอีกหนึ่งคันสองคนด้วย

“ทำเหี้ยอะไรไม่รู้จักดูทางเลยรึไง!” คนขับรถมอเตอร์ไซค์คันที่เกือบจะชนเข้ากับประตูของผมเข้าโวยวายด้วยน้ำเสียงหาเรื่อง

ผมยืนมองหน้าของคนทั้งสี่คนนิ่งๆ ดูแล้วพวกเขาก็น่าจะอายุราวๆเด็กมอปลายเท่านั้นเอง

“มองหน้าหาส้นตีนอะไรวะ กูถามไม่ได้ยินรึไง” ไอ้เด็กคนเดิมพูดขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้เขาก็ได้ความสนใจจากผมไปอย่างที่เขาต้องการจริงๆ

“เออ กูขอโทษ กูก็ไม่ได้อยากให้รถกูมันเป็นรอยหรอก แต่มึงก็จู่ๆก็ขี่รถเข้ามาเบียดกูเองเหมือนกันนี่” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่แทบไม่ต่างกับที่พวกเขาพูดกับผมเลย ซึ่งนี่ก็คงเป็นนิสัยเสียของผมอีกข้อนึงด้วยนั่นเอง

“อ้าว ไอ้นี่ปากดีนี่หว่า รู้มั๊ยวะว่าที่นี่มันที่ไหน ไม่คุ้นหน้าเลยนี่หว่ามึงน่ะ” ผู้ชายอีกคนหนึ่งพูดขึ้นบ้าง

ผมส่ายหน้า “ไม่รู้ รู้แต่ว่าเป็นตลาด และที่สำคัญ กูไม่แคร์ด้วย ไม่ว่าจะที่นี่เป็นที่ไหน หรือพวกมึงเป็นใคร และจำเป็นรึเปล่าที่กูต้องกลัวพวกมึง”

“เฮ้ย ไอ้เหี้ยนี่แม่งปากดีว่ะ”

“พูดจาหาเรื่องแบบนี้กลัวไม่ได้กลับบ้านดีๆรึไงวะ”

“ก็กูพูดไปแล้วว่ากูขอโทษ หรือว่าพวกมึงไม่ได้ยิน” ผมโยนบุหรี่ลงไปบนพื้นตรงหน้าของไอ้คนแรกสุด “กูไม่อยากจะมีเรื่องหรอกนะ แต่ตอนนี้กูก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะยกมือขอโทษแล้วพูดจาหวานๆใส่ใครด้วยเหมือนกัน เพราะงั้น ต่างคนต่างไปเหอะ โตๆกันแล้ว อย่ามาทำเรื่องให้มันเหมือนเด็กๆทะเลาะกันแบบนี้เลย กูว่ามันไร้สาระ”

“ไอ้เหี้ยนี่ ไม่เจ็บตัวไม่รู้เงาหัวซะแล้ว!” ทั้งสี่คนเดินตรงเข้ามาหาผมพร้อมจะหาเรื่องเต็มที่ ส่วนผมเองก็พร้อมที่จะรับมือทุกอย่างแล้วเหมือนกัน แต่ว่าจู่ๆก็มีเสียงห้าวๆเสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆพวกเรา

“เฮ้ย พวกมึงจะทำอะไรวะ!”

พวกเราทุกคนหันไปมองยังที่มาของเสียงทันที รถมอเตอร์ไซค์ตันหนึ่งขับมาจอดอยู่ข้างๆรถของผม และคนที่พูดก็คือเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนละโลกกับไอ้สี่คนตรงหน้าผมนี่เลย โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าที่นี่คือจังหวัดไหน และการได้เห็นวัยรุ่นหน้าตาดีแบบเขาคนนี้ได้นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์สำหรับผมมากเช่นกัน

“แจ๊ค” คนหนึ่งในสี่คนข้างหน้าผมพูดขึ้น

“กูถามว่าพวกมึงจะทำอะไร” เด็กหนุ่มที่ชื่อแจ๊คดับเครื่องลงและเดินลงตรงเข้ามาหาพวกเรา

“ก็ไอ้เหี้ยนี่น่ะสิมันมาหาเรื่องพวกเราก่อน”

“ใช่ แถมมันยังทำรถพวกกูเกือบล้มด้วย แล้วยังมีหน้ามากวนตีนอีกต่างหาก”

แจ๊คหันมามองหน้าผมครู่หนึ่ง ทำให้ผมเห็นหน้าของเขาได้ชัดมากขึ้น โครงหน้ารูปไข่ ผิวสีแทนเนียนใสไม่มีสิวสักเม็ด ผมที่ถูกตัดสั้นเป็นทรงรองหวี และยังคิ้วและดวงตาคู่นั้นอีก..........

“แต่กูไม่สนใจ มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบให้พวกมึงมีเรื่องที่นี่ และที่สำคัญไม่ใช่เวลานี้ หรือมึงจะบอกว่ามึงลืมไปแล้วว่ากูเคยบอกพวกมึงไว้ว่ายังไง” แจ๊คหันกลับไปพูดกับเพื่อนๆของเขา ทำให้ทั้งสี่คนมองหน้ากันแบบเกรงๆทันที ดูท่าทางผมจะเจอหัวโจกตัวจริงเข้าให้ซะแล้ว

“แล้วไอ้เหี้ยนี่ล่ะ จะปล่อยมันไปเฉยๆรึไง” ไอ้คนที่เกือบขับรถมาชนรถผมชี้หน้าผมแล้วพูดขึ้น ถึงแม้ตอนนี้น้ำเสียงของเขาจะเริ่มมีความไม่มั่นใจแฝงอยู่ด้วยแล้วก็ตาม

“มันเป็นอุบัติเหตุ และที่สำคัญ เขาพูดคำว่าขอโทษกับพวกมึงรึยัง” แจ๊คถาม

“พูดแล้ว แต่ว่ามันก็.............”

“ไม่มีแต่ทั้งนั้น กูบอกแล้วไง ไม่ใช่ที่นี่และเวลานี้”แจ๊คสวนกลับด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “พวกมึงรีบๆไปได้แล้ว จะกลับบ้านหรือไปไหนก็ไป อย่าทำให้กูต้องโมโห เข้าใจรึเปล่า”

และทันทีที่สิ้นเสียงของหัวโจกแจ๊ค นักเลงเด็กทั้งสี่คนก็พากันซ้อนรถมอเตอร์ไซค์ขี่ออกไปทันที และเมื่อเหลือเพียงแค่ผมกับแจ๊ค เขาก็หันกลับมามองหน้าผมอีกครั้ง ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะพูดอะไรออกไปดีด้วยเช่นกัน จะให้พูดว่าขอบใจที่มาช่วยเอาไว้ก็คงไม่ใช่ และจะให้พูดขอโทษที่ไปหาเรื่องเพื่อนๆของเขาก็คงไม่ได้อีกเช่นกัน ผมจึงตัดสินใจล้วงหยิบบุหรี่ออกมาอีกครั้ง

“สูบเข้าไป เดี๋ยวก็ตายไวหรอก ไอ้หน้าอ่อน” แจ๊คพูดขึ้น ทำให้ผมชะงักมือลงทันที “คราวหน้าก็หัดระวังตัวไว้ด้วย อย่าพยายามหาเรื่องมากนัก ไอ้เด็กต่างถิ่น........” เขาพูดพร้อมๆกับเดินกลับไปซ้อนรถของเขา และเมื่อเขาสต๊าร์ทเครื่องขึ้น เขาก็หันกลับมาหาผมอีกครั้ง แต่คราวนี้มีรอยยิ้มเล็กๆอยู่บนใบหน้าของเขาด้วย “เพราะครั้งหน้ากูอาจจะมาช่วยมึงไม่ได้แล้วก็ได้นะ ไอ้หน้าหวาน ดูแลตัวเองดีๆหน่อย เข้าใจรึเปล่า”

เมื่อพูดจบเขาก็ขี่รถเลี้ยวเข้าตลาดหายไป ทิ้งให้ผมยืนงงอยู่พร้อมกับความรู้สึกแปลกๆอยู่อย่างนั้น นี่ผมเพิ่งเจอหน้าเขาแค่ไม่ถึงหน้านาทีก็ได้ชื่อเล่นใหม่ถึงสามชื่อแล้วอย่างนั้นเหรอ แถมผมยังข้องใจกับชื่อสุดท้ายที่เขาเรียกผมว่า “ไอ้หน้าหวาน” อีกด้วย

จริงอยู่ว่าผมออกจะเป็นคนหน้าเด็กกว่าวัย แถมยังตัดผมสั้นมากอีกต่างหาก ทำให้คนหลายคนคาดเดาอายุผมผิดอยู่บ่อยๆ และบางครั้งยังมีคนคิดว่าผมเป็นเด็กมอปลายอยู่เลยด้วยซ้ำ และถึงผมจะมีคนทักว่าหน้าตาดีและน่ารักอยู่เรื่อยๆ แต่ว่าผมก็ไม่เคยคิดว่าเลยว่าผมนั้น “หน้าหวาน” และไม่เคยคิดเลยว่าจะมีใครเรียกผมแบบนั้น เพราะนิสัยห่ามๆของผมนั้นมันก็ค่อนข้างจะต่างกับหน้าตาของผมอยู่มากพอดูเลยเหมือนกัน

วันนั้นทั้งวันผมแทบจะไม่ได้คิดถึงอะไรอย่างอื่นอีกเลยนอกจากเหตุการณ์เมื่อตอนเช้า และที่สำคัญ ใบหน้าของแจ๊คกับน้ำเสียงและสิ่งที่เขาพูดกับผมมันก็ยังก้องอยู่ในใจของผมอยู่ตลอดเวลา ผมถึงกับคิดไปว่าผมที่ต้องติดอยู่ที่นี่อีกสองเดือนกว่าจะมีโอกาสได้เจอกับเขาอีกรึเปล่านะ

วันถัดมาผมก็ตื่นไปตลาดแต่เช้าอีกเช่นเคย ในใจนั้นก็คาดหวังลึกๆว่าผมจะได้เจอกับแจ๊คอีกครั้ง แต่สุดท้ายแล้วจนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งสัปดาห์ ผมก็ไม่เคยได้เจอกับเขาอีกเลย ผมเริ่มจะรู้สึกผิดหวัง และความเครียดจากการที่ถูกแม่กดดันเรื่องการตัดสินใจของผมแบบอ้อมๆเป็นพักๆ มันก็ทำให้ผมเริ่มจะรู้สึกหดหู่มากขึ้นเรื่อยๆ ยังดีที่ตลอดเวลากว่าสัปดาห์ที่ผ่านมานี่ผมยังวุ่นเรื่องของการซื้อของเข้าบ้าน และการคุยกับแม่และเพื่อนๆแม่เรื่องการทำธุรกิจที่ว่านั่นด้วย มันจึงทำให้ผมผ่านพ้นช่วงเวลาของผมไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

เช้าวันหนึ่งผมตื่นแต่เช้าเพื่อออกไปที่ตลาดอีกครั้ง และเช้าวันนี้ผมก็รู้สึกเหนื่อยและเสียอารมณ์มากกว่าวันอื่นๆอีกด้วย เนื่องจากพ่อของผมโทรมาหาผมเมื่อคืนและถามว่าผมอยากจะกลับไปกรุงเทพเพื่อทานข้าวพร้อมๆกับเค้าและแฟนใหม่ของเขาไหม แน่นอนว่าผมต้องปฏิเสธอยู่แล้ว ผมยังไม่พร้อมที่จู่ๆจะมีแม่ใหม่ที่เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ไวขนาดนี้หรอก............ ถึงแม้ว่าผมจะพยายามเลี่ยงที่จะเจอเธอคนนั้นมานานกว่าสองปีแล้วก็ตาม

หรือบางทีมันอาจจะถึงเวลาแล้วจริงๆก็ได้

ผมนั่งลงที่ร้านกาแฟร้านเดิมที่ผมเคยนั่งเมื่อวันแรกของผมในตลาดแห่งนี้ และครั้งนั้นก็เป็นครั้งแรกและเพียงครั้งเดียวของผมด้วย เพราะปกติผมไม่ค่อยชอบดื่มกาแฟเข้มๆแบบนี้เท่าไหร่นัก แต่ว่าวันนี้ผมยังไม่อยากจะรีบกลับบ้านและผมก็รู้สึกอยู่ในอารมณ์อยากจะกินอะไรแรงๆสักทีด้วยเหมือนกัน ผมจึงนั่งลงที่โต๊ะพร้อมกับสั่งกาแฟและปาท่องโก๋ที่ป้าคนขาย ร้านนี้จะมีป้าเป็นคนขายกาแฟ ส่วนปาท่องโก๋นั้นจะมีผู้ชายหน้าจีนคนหนึ่งขายคู่กับแฟนของเขา ขณะที่ผมกำลังจิบกาแฟรอปาท่องโก๋อยู่นั้น ผมก็นั่งคิดไปถึงสถานการณ์ของตัวผมเอง บางทีผมควรจะเลิกวิ่งหนีสักทีได้แล้วก็ได้ แต่ว่ายังไงๆผมก็ยังไม่มั่นใจว่าตัวผมเองพร้อมที่จะทำและนับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจริงๆแล้วหรือเปล่า........

ผมควักบุหรี่ขึ้นมาจ่อที่ปากกำลังคิดจะจุดขึ้นสูบอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงๆหนึ่งคลับคล้ายคลับคลาดังขึ้นจากทางด้านหลังของตัวเอง

“อยากตายไวนักรึไง สูบอยู่ได้ ไอ้แท่งมะเร็งเนี่ย”

ผมหันกลับไปมองยังที่มาของเสียงก็พบกับแจ๊คกำลังยืนอยู่พร้อมกับจานใส่ปาท่องโก๋อยู่ในมือ

“มันมีดีอะไรวะ ไอ้บุหรี่เนี่ย ยอมเสียตังค์เพื่อจะเสียปอด” แจ๊ควางจานปาท่องโก๋ลงบนโต๊ะ พร้อมๆกับดึงบุหรี่ออกไปจากมือของผม หลังจากที่เขาถือและมองดูมันอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็โยนมันทิ้งลงถังขยะทางด้านหลังไป “เอาที่เหลือมาด้วย” เขาหันกลับมาสั่งผม

ผมมองหน้าเขาด้วยความแปลกใจปนตกใจ เนื่องจากผมไม่ได้คิดว่าจะได้มาเจอเขา และที่สำคัญ ผมไม่ได้คิดว่าจะได้มาเจอเขา “แบบนี้” ด้วย แต่เมื่อเห็นสีหน้าของแจ๊ค ผมก็รู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ได้พูดเล่น ผมจึงยื่นซองบุหรี่ที่เหลืออยู่ราวๆครึ่งซองให้แก่เขาทั้งๆที่ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองทำแบบนั้นไปทำไม

“ดี ว่าง่ายๆ จะได้ไม่ต้องต่อปากต่อคำ” เขารับมันไปแล้วก็โยนมันทิ้งลงไปในถังขยะ จากนั้นเขาก็เดินอ้อมมานั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของผม เขาหยิบปาท่องโก๋ที่เพิ่งจะวางลงบนโต๊ะตรงหน้าผมขึ้นไปกินหน้าตาเฉย พร้อมๆกับยกแก้วชาร้อนของผมขึ้นดื่มด้วย

“เอ๊า ไม่กินรึไง” เขาถาม ผมจึงเริ่มต้นจิบกาแฟของผมอีกครั้ง แจ๊คนั่งมองหน้าผมนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง “เป็นใบ้รึไง ไม่เห็นพูดอะไรสักคำ”

“ก็แล้วจะให้พูดอะไร อยู่ๆก็โผล่มาแย่งของกินของคนอื่นไปกินแบบนี้” ผมเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว

“เริ่มจากชื่อก็ได้ หรืออยากให้กูเรียกว่าไอ้หน้าหวาน” เขาเองก็ยิ้มที่มุมปากออกมาเล็กน้อยด้วยเช่นกัน

“เก่ง” ผมตอบออกไปสั้นๆ พร้อมกับยกกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง “แล้วทำไมถึงมาอยู่แถวนี้ได้ล่ะ แถมจู่ๆยังมานั่งกินปาท่องโก๋ของคนอื่นอีกต่างหาก”

“ทำไมจะไม่ได้ ก็ถิ่นกู” แจ๊คยักไหล่

“ไอ้แจ๊ค!” เสียงของอาเฮียขายปาท่องโก๋ดังขึ้น “มึงไปนั่งอยู่ที่นั่นได้ยังไง ไหนบอกจะมาช่วยกูขายของ แล้วนี่ยังไปกินของลูกค้าเขาอีก เพื่อนมึงเหรอวะ”

“เปล่าเฮีย เพิ่งรู้จักชื่อเมื่อกี๊นี้แหละ”

“เอ้า แล้วมึงไปนั่งกับเขาได้ยังไง ลงมาช่วยกูเดี๋ยวนี้ ไอ้เด็กเปรตนี่ ไปหาเรื่องคนอื่นเค้าอีกรึไงวะ” เฮียเดินตรงเข้ามาหาเราสองคนพร้อมกับดึงคอเสื้อของแจ๊คขึ้น จากนั้นเขาก็หันมาหาผม “ขอโทษด้วยนะครับ น้องโดนมันหาเรื่องเอารึเปล่า”

“เปล่าครับ เขาแค่มานั่งคุยกับผมเฉยๆ”

“เห็นป่ะเฮีย ก็บอกแล้วไงว่าแจ๊คไม่วิวาทที่ตลาดหรอกน่า” แจ๊คลุกขึ้นยืนก่อนจะหันมายิ้มแบบกวนๆให้ผมก่อนจะเดินกลับไปที่หน้าร้าน

“ต้องขอโทษแทนมันด้วยนะครับ ไอ้แจ๊คมันนักเลงคุมแถวนี้น่ะ ว่าแต่น้องชายเป็นเพื่อนมันเหรอครับ ผมไม่เห็นเคยเห็นหน้าเลย”

“เปล่าหรอกครับ ผมมาจากกรุงเทพ เพิ่งจะรู้จักน้องชายเฮียก็วันนี้แหละ”

“ตายห่า! แล้วทำไมมันทำตัวระรานชาวบ้านแบบนี้วะ สงสัยต้องสั่งสอนมันสักหน่อยแล้วมั๊ง”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ อย่าไปว่าเขาเลย เขาแค่เข้ามานั่งคุยกับผมเฉยๆเอง ว่าแต่ตอนนี้ผมคงต้องไปแล้วล่ะครับ เริ่มจะสายแล้ว เฮียกลับไปขายของต่อเถอะ คิดเงินผมเลยด้วยครับ” ผมลุกขึ้นยืนแล้วมองหาแจ๊คที่กำลังเดินยกจานใส่ปาท่องโก๋ไปให้ลูกค้าที่โต๊ะอื่น

“ผมขอแค่ค่ากาแฟของเจ๊แกอย่างเดียวก็แล้วกันครับ ส่วนค่าปาท่องโก๋ผมยกให้ แทนคำขอโทษเรื่องไอ้แจ๊คมัน”

ผมตกลงจ่ายเงินแค่ค่ากาแฟ จากนั้นก็บอกลาเฮียเจ้าของร้าน แต่ก่อนที่ผมจะเดินออกมา แจ๊คก็เรียกผมเอาไว้

“จะกลับแล้วเหรอ ทำไมรีบกลับนักวะ” เขาเดินตรงเข้ามาหาผม แต่ก็ไม่ลืมที่จะเหลือบไปมองเฮียด้วยว่าเขาเห็นและได้ยินที่เราคุยกันรึเปล่า

“แม่รออยู่ที่บ้าน ต้องรีบกลับ” ผมตอบ

“งั้นพรุ่งนี้มาอีกนะเว้ย ถ้าไม่มามึงโดนแน่ อย่าเพิ่งลืมล่ะว่ามึงยังมีคดีค้างอยู่กับพวกกูน่ะ”

แต่ผมก็ไม่ได้ให้คำตอบหรือรับปากอะไร เพราะเมื่อพูดจบเขาก็หันหลังเดินกลับเข้าร้านไปทันทีแล้ว และน่าแปลกที่ทั้งๆที่คำพูดเมื่อครู่ของเขามันเหมือนเกือบจะเป็นคำขู่หรือบังคับ ซึ่งปกติผมคงจะต้องโมโหและรู้สึกไม่พอใจเอามากๆด้วย แต่ทว่าเมื่อแจ๊คเป็นคนพูด ผมกลับรู้สึกยินดีที่จะทำตามอย่างที่เขาบอกด้วยความเต็มใจเลยทีเดียว

หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 29-10-2007 21:15:52

เช้าวันต่อมาผมก็ไปนั่งกินกาแฟที่ร้านเดิมเวลาเดิมอีกครั้ง แต่ทว่าวันนี้ผมไม่เจอเขาเหมือนอย่างเมื่อวาน แต่พอผมนั่งจิบกาแฟได้สักสิบนาที ผมก็เห็นแจ๊คขี่รถมอเตอร์ไซค์มาจอดที่หน้าร้านพอดี เขาถูกเฮียเม้งใส่นิดหน่อยก่อนที่จะเดินตรงเข้ามาหาผม และอีกครั้ง เขานั่งลงบนเก้าอี้ที่เดิม พร้อมกับยกแก้วชาร้อนขึ้นจิบและหยิบปาท่องโก๋ตรงหน้าเข้าปากทันที

“รอนานล่ะสิ คิดว่ากูจะไม่มาแล้วใช่มั๊ยล่ะ” เขายิ้มแบบกวนๆอีกครั้ง

“เปล่า กูจะรอทำไม เพิ่งจะมาได้ไม่ถึงห้านาที” ผมโกหก

“ห้านาทีเหรอวะ........” เขายิ้มแล้วมองที่ถ้วยชาที่เขาเพิ่งยกขึ้นจิบ และมันก็คงจะเย็นไปลงไปเยอะแล้วด้วย

“ว่าแต่วันนี้ไม่ทำงานรึไง มาถึงก็นั่งแล้วหยิบเข้าปากแบบนี้เลยเนี่ย” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง

“ไม่อ่ะ ขี้เกียจ” เขาส่ายหน้า และเมื่อเฮียสังเกตเห็นน้องชายของเขากำลังนั่งอยู่กับผม เขาจึงวางมือลงจากแป้งปาท่องโก๋ที่กำลังนวดอยู่ตรงหน้าพร้อมกับเดินเข้ามาหาพวกเราทันที

“ไอ้แจ๊ค ตกลงมึงจะช่วยงานกูรึเปล่าเนี่ย แล้วนี่ไปกินของเขาอีกได้ยังไง”

“ยังไม่ช่วยอ่ะเฮีย วันนี้ยังขี้เกียจอยู่ ขอแจ๊คนั่งกินกับเพื่อนเฉยๆก่อนก็แล้วกัน และพอมันกลับแล้วเดี๋ยวแจ๊คค่อยไปช่วย”

“ถ้ามึงจะกินมึงก็จ่ายตังค์กูมาด้วย ไม่ใช่ไปแย่งแขกกูแดกแบบนี้”

“ไม่เป็นไรหรอกครับเฮีย แค่นี้เอง ผมไม่ถือ” ผมพูด

“เฮียกลับไปปั้นแป้งต่อได้แล้วไป เดี๋ยวสายๆกว่านี้แล้วจะขายไม่ทันนะ” แจ๊คเงยหน้าขึ้นไปคุยกับเฮียของเขา

เฮียส่งสายตาดุดันให้แจ๊คแว่บหนึ่งก่อนจะหันหลังกลับไปยืนอยู่หน้าร้านเหมือนเดิม

“เบื่อจริงๆ มีพี่ขี้บ่นเนี่ย เออ แล้ววันนี้ต้องรีบกลับอีกรึเปล่า ไอ้หน้าหวาน”

“เก่ง ไม่ใช้ไอ้หน้าหวาน กูบอกชื่อกูให้มึงฟังไปแล้วเมื่อวาน จำไม่ได้รึไง”

“จำได้ แต่อยากเรียกไอ้หน้าหวานมากกว่า ทำไม มึงไม่ชอบรึไง”

“เออ ไม่ชอบ”

“ดี เพราะกูจะเรียกมึงแบบนั้น”

อ้าว แล้วตกลงมันจะเอายังไงกันแน่วะ

หลังจากนั้นเป็นต้นมากิจวัตรประจำวันของผมทุกๆวันในตอนเช้าก็คือผมต้องออกไปซื้อของที่ตลาดตั้งแต่ตีห้าครึ่ง นั่งกินปาท่องโก๋กับกาแฟที่ร้านของเฮียตี๋ คุยกับแจ๊คราวๆครึ่งชั่วโมง แล้วจึงค่อยขับรถกลับบ้าน ถึงมันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันก็เป็นช่วงเวลาๆสั้นที่ทำให้วันเวลาอันยาวนานที่เหลือของผมมีความหมายขึ้นอีกมาก ผมจะกลับมาบ้านในตอนเช้าด้วยอารมณ์ที่ดีเป็นพิเศษจนแม่ผมเองก็ยังสังเกตเห็น ส่วนถึงแม้วันไหนที่ผมมีเรื่องให้ไม่สบายใจหรือรู้สึกเบื่อๆ ผมก็แค่ต้องทนเก็บมันเอาไว้แค่คืนเดียว แล้ววันรุ่งขึ้นทุกๆอย่างมันก็จะกลับมาดีได้เหมือนเดิมอีกครั้ง

ที่ผ่านมานั้นเราสองคนก็ไม่ค่อยจะได้คุยอะไรกันจริงๆจังๆสักเท่าไหร่หรอก ต่างคนต่างก็มักจะแค่กวนตีนกันไปกวนตีนกันมา โดยเฉพาะมันที่ชอบกวนตีนผม และผมก็ต้องเป็นฝ่ายคอยยอมแพ้อยู่ทุกครั้งไป เราคุยกันเรื่องไร้สาระมากมายหลายเรื่อง แต่ทั้งผมกับเขาต่างก็ไม่เคยคุยกันถึงชีวิตของกันและกันเลย ผมไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใคร อายุเท่าไหร่ เรียนอยู่ชั้นไหน พ่อแม่ทำงานอะไร บ้านอยู่ส่วนไหนของเมือง และเขาเองก็ไม่เคยถามผมเรื่องพวกนั้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นเราสองคนก็เหมือนกับรู้จักกันเพียงแค่ชื่อ เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่เจอกันทุกวัน และมันก็เป็นความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างจะแปลกประหลาดอยู่สักหน่อย แต่ทว่ามันก็ทำให้ผมรู้สึกสบายใจมากด้วย มันเหมือนกับผมไม่จำเป็นต้องเอาความไม่สบายใจของผมมาบอกเล่าให้เขาฟัง แต่เพียงแค่ได้คุยกับคนแปลกหน้าที่คุ้นเคยคนนี้ ผมก็รู้สึกดีมากเพียงพอแล้ว

ทุกอย่างดำเนินไปแบบนี้จนกระทั่งถึงเช้าวันหนึ่งของสัปดาห์ที่สามของผมในจังหวัดเพชรบูรณ์ ผมตื่นแต่เช้าแล้วขับรถออกไปตลาดแบบทุกๆวัน และผมก็เจอกับแจ๊คและนั่งคุยกับเขาเหมือนอย่างปกติ แต่วันนี้ดูเขาจะอารมณ์หงุดหงิดเป็นพิเศษ

“เป็นอะไรวะ วันนี้ดูเซ็งๆนะ ไม่ค่อยกวนตีนเหมือนอย่างเคย” ผมถามหลังจากที่เห็นเขาดูเงียบๆไปกว่าทุกวัน ซึ่งนั่นก็แปลว่าเขาคงจะเป็นคนที่ชอบคิดมากพอดูเลยเหมือนกัน และไอ้นิสัยเกเรกวนเมืองนั่นมันก็คงเป็นแค่พียงเปลือกนอกของเขาเท่านั้น

“เปล่า ก็แค่เซ็งๆแม่น่ะ เพราะแม่บอกจะให้ไปเรียนพิเศษเพิ่ม”

“อ้าว ก็ดีแล้วนี่ อยู่ว่างๆไม่ใช่รึไง เห็นบ่นเบื่อบ่อยๆ”

“มันก็ใช่ ไอ้เรื่องเรียนน่ะไม่ว่าหรอก แต่กูไม่อยากไปเรียนกับใครก็ไม่รู้ เห็นแม่บอกเป็นลูกเพื่อนแม่เหี้ยไรเนี่ยแหละจะมาสอน มึงคิดดูดิ่ วันๆนึงต้องนั่งอยู่กับแม่งตั้งสองสามชั่วโมง อึดอัดตายห่า”

“แล้วนั่งอยู่กับกูทุกวันๆนี่ไม่อึดอัดรึไง” ผมถาม

“ไม่อ่ะ มึงมันไม่ค่อยยุ่งเรื่องของกูดี กูชอบ” เขาตอบออกมาหน้าตาเฉยทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเขินนิดๆ จึงต้องรีบกลบเกลื่อนตัวเองก่อนที่เขาจะสังเกตเห็น

“ก็ดีแล้วนี่ ยังเรียนอยู่มอปลายไม่ใช่เหรอ จะได้เอาไปใช้เอ็นทรานซ์ไง”

“มึงพูดเหมือนมึงไม่ได้อยู่มอปลายอย่างนั้นน่ะ” แจ๊คขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มพูดต่อ “เออ เรื่องนั้นมันก็ใช่ แต่ไม่รู้ดิ่ ถ้ากูอยากเรียนกูก็จะเรียนเองแหละ ไม่ชอบให้ใครมาบังคับ แถมต้องไปนั่งเรียนกับคนแปลกหน้านี่ต่างหากที่กูไม่ค่อยชอบใจมากที่สุด”

“ตอนแรกเราสองคนก็คนแปลกหน้าไม่ใช่รึไง ลองให้โอกาสเขาดูหน่อยสิแล้วค่อยตัดสิน ถ้าเขาสอนไม่ดีก็ค่อยบอกเลิกเรียน ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ว่าแต่จะเริ่มเรียนเมื่อไหร่วิชาอะไรมั่งเนี่ย”

“กูก็ไม่รู้ แม่กูเค้าก็ยังไม่ชัวร์เลย”

“อ้าว งั้นมึงจะเครียดทำไมวะ...... เออ จะว่าไปถ้ากูถามอะไรมึง มึงจะบอกว่ากูยุ่งเรื่องส่วนตัวของมึงมั๊ยเนี่ย”

“ก็แล้วมึงจะถามอะไรล่ะ”

“กูก็แค่อยากรู้ว่ามึงอยากเข้ามหาลัยอะไร คณะอะไรเท่านั้นแหละ”

แจ๊คนิ่งไปพักหนึ่ง เป็นอาการนิ่งที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่มั่นใจว่าควรจะบอกกับผมยังไงมากกว่านิ่งแบบไม่อยากจะบอกเรื่องส่วนตัวของเขาให้ผมรู้เลย ซึ่งนั่นก็นับว่ายังดี

“กูอยากไปเรียนที่กรุงเทพ.......” เขาตอบออกมาพร้อมกับสายตาที่จับจ้องอยู่ที่แก้วน้ำชาของผมในมือของเขา จากนั้นเขาเงยหน้าขึ้นมาถามผม “ว่าแต่มึงเถอะ จบมอปลายแล้วอยากเรียนอะไรวะ”

“อืมมมม นั่นสินะ.........” ผมนึกขำอยู่ในใจ “คงจะเป็นวิศวะมั๊ง แต่กูก็ชอบภาษาอังกฤษนะ อาจจะเรียนอินเตอร์”

“จริงดิ่ จริงๆกูก็อยากเรียนวิศวะเหมือนกันนะ ถ้าเป็นไปได้กูก็อยากจะไปกรุงเทพด้วย” แจ๊คทำตาโตท่าทางตื่นเต้น แต่ไม่กี่วินาทีถัดมาเขาก็ดูซึมลงไปทันที “แต่ว่าพ่อกูเค้าไม่อยากให้เรียนว่ะ”

“เฮ้ย อย่าคิดมากเลย ชีวิตมึง อนาคตมึง มึงเลือกเองได้น่า พ่อแม่มึงเค้าคงเข้าใจการตัดสินใจของมึงแหละ” ผมพูดออกไป แต่ทันใดนั้นใจของผมมันก็ย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องราวของตัวเองด้วยเช่นกัน คำพูดของผมมันย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองเข้าให้ซะแล้ว

“ไม่รู้ดิ่ ช่างแม่งเหอะ กูยังไม่อยากคิดเหี้ยอะไรแล้ว แม่งเซ็ง วันนี้ไปขี่รถเล่นดีกว่า เย็นๆค่อยกลับบ้านไปคุยกับแม่อีกที”

“นั่นสินะ............” ผมนิ่งไปพักหนึ่ง

เราสองคนเงียบกันไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่แจ๊คจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้น

“วันนี้บ่ายสอง เจอกูหน้าตลาด ไม่มาเจอเจ็บแน่นะมึง” เขาพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากร้านไป

ตอนแรกผมก็เกือบจะหยุดเขาเอาไว้แล้ว แต่ว่าผมก็ชินกับการกระทำห่ามๆดิบๆเอาแต่ใจของเขาแบบนี้แล้วด้วยเหมือนกัน ผมจึงปล่อยไปเลยตามเลย และรู้ด้วยว่าวันนี้ตอนบ่ายสองผมก็คงจะมาหาเขาตามนัดอีกแน่ๆ เพราะว่าครั้งนี้มันเป็นนัดแรกของเราสองคนนอกจากนั่งกินกาแฟกับปาท่องโก๋ตอนเช้าแบบนี้เลยนี่นา



(ยาวอีกและ แต่เด๋วมีต่อ)
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 29-10-2007 21:50:10
มิตรภาพก็เกิดขึ้นได้ทุกทีสำหรับคนดีๆ
 :m18: :m18: :m18:
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 29-10-2007 22:10:56
แจ๊คน่ารักดีนะ :m1:
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 30-10-2007 10:54:33
 :laugh3:
ถ้าแจ๊ครู้ว่าคนที่จะสอนเป็นคนที่นั่งคุยตรงหน้าจะทำหน้ายังไงฟะนั่น

ตามลุ้นอยู่นะครับ
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 30-10-2007 22:19:50
บทหนึ่งของชีวิต (๒)


เมื่อผมกลับบ้าน แม่ของผมก็กำลังนั่งรอผมอยู่ที่โซฟารับแขกอยู่แล้ว

“เก่งมาคุยกับแม่หน่อยซิลูก”

“มีอะไรครับแม่” ผมเดินลงไปนั่งข้างๆแม่พร้อมกับความรู้สึกหวั่นๆ นี่มันต้องไม่ใช้เรื่องดีแน่ๆ

“เมื่อเช้าพ่อของเก่งเค้าโทรมา เค้าบอกแม่ว่าเค้าอยากให้เก่งกลับไปกรุงเทพ แต่เก่งไม่ยอมกลับ เค้าก็เลยหาว่าแม่เป็นคนที่เหนี่ยวรั้งเก่งเอาไว้”

ผมรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้ยินนิดๆ และก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลยด้วย เพราะถึงทั้งสองคนจะแยกทางกันด้วยดี แต่ว่าจริงๆแล้วทั้งคู่ต่างก็เก็บความรู้สึกตึงๆที่มีให้กันเอาไว้ภายในมาตลอด โดยเฉพาะเมื่อมีปัจจัยเรื่องของผมที่เป็นตัวกลางเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะผมเป็นคนที่ทั้งคู่ต่างก็พยายามจะชักจูงให้ไปเป็นพวกของตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงรู้เลยว่าเรื่องที่แม่กำลังพูดอยู่นี่คงไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆแน่นอน และถึงตอนนี้มันอาจจะยังไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าปล่อยไปนานๆมันก็กลายสามารถเป็นชนวนให้เกิดเรื่องอื่นๆตามมาในภายหลังแน่......... และใช่แล้ว โดยมีผมเป็นตัวต้นเหตุนั่นเอง.

“แล้วแม่ได้บอกพ่อไปรึเปล่าครับ ว่าเก่งตัดสินใจเอง ไม่ได้เกี่ยวกับแม่เลย”

“บอกแล้ว แม่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อเค้าชวนเก่งกลับไปตอนไหน แต่เค้าก็ไม่เชื่อแม่นักหรอก”

“โอเคครับ แม่ เรื่องนี้ปล่อยเก่งจัดการเอง เก่งไม่อยากคุยเรื่องแบบนี้ตั้งแต่เช้าหรอกครับ เก่งรู้ว่าแม่ก็เครียด แต่อย่าคิดมากนะครับ ถ้าเก่งเป็นคนก่อปัญหา เก่งจะเป็นคนจัดการเอง เดี๋ยวเก่งบอกพ่อเองครับว่าเรื่องทั้งหมดมันไม่เกี่ยวกับแม่เลย พ่อกับแม่ไม่มีผลอะไรกับการตัดสินใจของเก่งทั้งนั้นล่ะครับ” ผมลุกขึ้นยืนแล้วหอมแก้มแม่เบาๆ “อ้อ กับข้าวอยู่ในถุงนะครับ แม่จัดการได้เลยนะ เก่งกินมาแล้ว เก่งขอขึ้นห้องไปนอนต่ออีกหน่อยก็แล้วกัน”

แต่เมื่อผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้ว จู่ๆน้ำตามันก็ค่อยๆไหลอออกมาจากตาของผมช้าๆ........ ผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เรื่องพวกนี้มันถึงจะจบ นี่ถ้าผมไม่รักหรือไม่แคร์พ่อกับแม่ของผมทั้งคู่ไปเลยมันก็คงจะดีกว่านี้ นี่ถ้าผมไม่เกิดขึ้นมาบนโลกนี้ซะเลยมันจะดีกว่ามั๊ย และทำไม ทำไมทั้งสองคนถึงต้องรักผมมากแบบนี้ด้วย ถ้าทั้งคู่ไม่มีใครต้องการผมเลยสักคนมันคงจะง่ายกว่านี้ มันจะดีกว่ารึเปล่าถ้าเราต่างก็ไม่มีใครอยากจะข้องเกี่ยวกันอีกแล้วต่างคนต่างไป และทำไมผมถึงต้องเป็นต้นเหตุของความยุ่งยากทั้งหมดนี่ด้วย

ทำไม...........

ผมเผลอหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่เมื่อคืนขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว ผมลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาแล้วลองส่องกระจกดู ถ้าไม่นับโครงหน้าเดิมๆที่ผมเห็นอยู่ทุกวัน ผิวขาวเนียนที่ผมได้รับจากแม่ ตาและคิ้วที่เข้มที่ผมได้มาจากพ่อ นอกจากนั้นแล้วผมก็เห็นเพียงดวงตาที่แดงก่ำจากการร้องไห้ ใบหน้าที่เหนื่อยล้าจากความเครียด และแววตาที่เศร้าหมองมานานหลายปี........ หลายครั้งที่ผมส่องกระจก ผมจะมองเห็นความเจ็บปวดจากบาดแผลลึกในใจที่คนอื่นมองไม่เห็นสะท้อนออกมาอยู่ตลอดเวลา

ผมลงมานั่งคุยกับแม่เรื่องงานของแม่อีกพักหนึ่ง แม่บอกว่าแม่อาจจะให้ผมมาช่วยสอนหนังสือให้แม่ด้วยบางครั้ง ซึ่งผมก็ไม่ได้คัดค้านอะไร และที่สำคัญคืออย่างน้อยๆเวลาที่ผมมาอยู่ที่นี่ผมก็จะได้มีอะไรทำบ้างด้วย พอผมบอกว่าผมจะออกไปข้างนอกตอนบ่าย แม่ก็บอกว่าแม่นัดเพื่อนของแม่เอาไว้พรุ่งนี้ และผมจะต้องอยู่บ้านเพื่อคุยกับเพื่อนแม่คนนี้กับลูกของเขาด้วย ซึ่งผมก็โอเคอีก ถึงตอนแรกผมไม่คิดว่าผมจะต้องทำงานเร็วขนาดนี้ แต่มันก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรทำนั่นแหล่ะนะ

พอเกือบๆจะบ่ายสองผมก็ขับรถไปจอดไว้ที่เดิมหน้าตลาด ผมยืนพิงประตูรถรอแจ๊คอยู่ครู่หนึ่ง มอเตอร์ไซค์คันที่ผมคุ้นเคยก็ค่อยๆชะลอเข้ามาจอดอยู่ที่ข้างรถของผม

“เอ้า ขึ้นมา” แจ๊คสั่ง

ผมเดินขึ้นไปซ้อนท้ายเขาอย่างว่าง่าย ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะพาผมไปที่ไหน แต่ก็น่าแปลกที่ผมกลับไม่มีความรู้สึกอยากจะถามเขาเลย

แจ๊คพาผมซ้อนท้ายแล้วขี่วนรอบตัวเมืองไปเรื่อยๆ เขาไม่ได้ขี่เร็วมากนัก ผมเดาเอาว่ามันคงจะเป็นการพาผมเที่ยวชมตัวเมืองรอบๆในแบบของเขาเองนั่นเอง จนเวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง เขาก็พาผมมาหยุดที่หน้าร้านขายข้าวมันไก่แห่งหนึ่ง

“หิวรึเปล่า” เขาถามเมื่อเราสองคนลงจากรถแล้ว

“ไม่อ่ะ” ผมส่ายหัว “ทำไม มึงจะเลี้ยงเหรอวะ”

“ฝันไปเหอะมึง กูก็แค่ถามตามมารยาท”

“อ้าว มึงมีด้วยเหรอวะ มารยาทเนี่ย” ผมแกล้งทำท่าตกใจ “เพราะขนาดปาท่องโก๋กูมึงยังมาขโมยแดกของกูทุกวัน แต่ก็นั่นแหละนะที่ทำให้กูไม่ได้คาดหวังว่ามึงจะเลี้ยงข้าวกู”

“ปากดีนะมึง งั้นมึงมากับกูนี่เลย” แจ๊คยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนจะเดินนำผมไปในร้าน
 
“ทำไมวะ ตกลงมึงหิวเหรอ”

“เออ ไม่งั้นกูจะมาร้านขายข้าวทำไม” แจ็คเดินนำไปนั่งลงที่โต๊ะ “ลุง ข้าวมันไก่สองจาน”

“เฮ้ย กูไม่หิว” ผมรีบร้องห้าม

“แล้วใครบอกกูสั่งมาให้มึงแดก”

เป็นอันว่าผมก็ต้องหุบปากไป

ระหว่างรออาหาร เราสองคนก็นั่งเงียบไม่พูดไม่จากันอีกตามเคย ผมรู้สึกแปลกๆนิดหน่อยที่ได้มีบรรยากาศแบบนี้กับแจ๊คบ้าง และผมก็ไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้เขาอยู่ในอารมณ์ไหน ผมคิดอยากจะถามเขาว่าเขาสบายใจขึ้นมั่งรึยัง แต่ผมก็ไม่กล้า และที่สำคัญตัวผมเองผมยังเอาไม่รอดเลย แล้วนับประสาอะไรจะไปยุ่งวุ่นวายกับธุระของคนอื่นเขา

“เป็นอะไรวะ ถอนหายใจทำไม” แจ็คถามขึ้นหลังจากที่ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อคิดถึงเรื่องที่แม่บอกผมเมื่อเช้า “ทำไม อยู่กับกูมันน่าเบื่อนักเหรอวะ”

“เปล่าๆ” ผมรีบปฏิเสธจังหวะเดียวกับที่ข้าวมันไก่สองจานถูกวางลงบนโต๊ะพอดี ผมจึงเลื่อนจานไปตรงหน้าแจ๊คทั้งสองใบ

“แดกซะ” เขาพูดพลางผลักจานกลับมาให้ผมใบหนึ่ง และเมื่อเขาเห็นสีหน้าของผมเขาก็เลยพูดต่อ “ไม่ต้องงง ไก่มึงนั่นแหละ ไม่แดกมีเจ็บ”

“ก็กูบอกกูไม่หิว” ผมส่ายหัว “กูก็นึกว่ามึงหิวจัดเลยจะแดกเองทั้งสองจาน แถมตอนแรกมึงยังบอกว่ามึงไม่ได้สั่งมาให้กูแดกด้วยนี่หว่า”

“เออ เมื่อกี๊กูไม่ได้สั่งข้าวมาให้มึงแดก แต่ตอนนี้กูกำลังสั่งให้มึงแดก เข้าใจยัง กูเสียตังค์นะเว้ย อย่ามาโยกโย้ เดี๋ยวพ่อตบคว่ำ”

ผมส่ายหน้าช้าๆก่อนจะยกช้อนขึ้นมาตักข้าวคำแรกเข้าปาก แจ๊คมีสีหน้าพอใจขึ้นมาทันที

“ดีมาก ว่าง่ายๆ มึงนี่มันก็ว่าง่ายดีเนอะ ดี แดกเข้าไปเยอะๆ ไม่ใช่เอาเวลาไปร้องไห้จนโทรมแบบนี้”

ผมเงยหน้าขึ้นมาจากจานข้าวของตัวเองทันที “มึงหมายความว่าไง”

“แดกไป ไว้ค่อยคุย” แจ๊คพูดจบบทสนทนาก่อนที่เราสองคนจะจัดการกับข้าวตรงหน้าของพวกเราจนเกลี้ยง......... เฉพาะจานของแจ๊คนะ ส่วนผมเหลือเกือบครึ่งจานเพราะว่าไม่หิวจริงๆ ก็ผมเพิ่งจะกินข้าวก่อนออกมาเจอแจ๊คเมื่อไม่นานมานี้เอง แถมยังไม่ค่อยรู้สึกอยากอาหารอีกด้วย แต่แจ๊คก็จิ้มไก่ของผมไปกินเสียจนเกลี้ยงอย่างไม่รังเกียจ

หลังจากกินเสร็จ เขาก็พาผมไปที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ผมจำได้ว่าที่นี่มันไม่ค่อยไกลจากบ้านผมมากนัก และนอกจากนั้นเวลาตอนนี้ที่สวนนี่ยังไม่ค่อยมีคนอีกด้วย

เมื่อเราสองคนลงจากรถและเดินเล่นกันอยู่เงียบๆสักพัก แจ๊คก็เป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดขึ้น

“ตกลงมึงเป็นอะไร ทำไมวันนี้ซึมๆ แถมยังร้องไห้มาอีกต่างหากวะ”

“มึงเอาที่ไหนมาพูดว่ากูร้องไห้” ผมแย้ง รู้สึกเขินนิดๆที่ดูเหมือนเขาจะรู้และดูผมออก

“ก็มึงเล่นตาแดงตาช้ำซะขนาดนี้ เฮ้ยนี่ นี่กูกำลังถามมึงนะ ไม่ใช่ให้มึงมาถามกู”

“ก็เรื่องครอบครัว........” ผมตอบเลี่ยงๆสั้นๆ และก็ผิดคาดที่แจ๊คไม่ได้เซ้าซี้ถามอะไรผมต่อ ผมจึงเป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้นเองหลังจากที่เราเงียบกันไปครู่หนึ่งอีกครั้ง “ว่าแต่เรื่องเรียนว่าไงมั่ง คุยกับแม่รึยัง”

“คุยแล้ว........” เขาตอบพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นหญ้า ผมจึงนั่งตามลงไป “พรุ่งนี้ไปเจอคนสอนก่อน แล้วถ้ากูไม่ชอบก็ค่อยว่ากัน”

“ตกลงอยากเข้าวิศวะใช่มั๊ย” ผมถามเขา

“อืม........” เขาพยักหน้าช้าๆก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็หันมาสบตากับผมด้วยสีหน้าและแววตาแบบที่ผมไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อนเลย และที่สำคัญผมไม่เคยคิดว่าเขาจะทำหน้าแบบนี้ได้ด้วย มันเป็นสีหน้าอายๆ ไม่มั่นใจในตัวเอง และดูสับสน เป็นอะไรที่ไม่ใช่แจ๊คที่ผมรู้จักเลยจริงๆ “เฮ้ย........ คือ กูไม่เคยทำอะไรแบบนี้กับใครเลยนะเว้ย......”

“ทำอะไร” ผมแปลกใจและเริ่มคิดไปไกลกว่าที่มันน่าจะเป็นนิดหน่อย

“คือ........” แจ๊คเริ่มมีท่าทีลังเลอีกครั้ง “กูอ่ะไม่มีเพื่อนนะเว้ย ไอ้พวกเหี้ยนั่นกูก็ไม่เคยจะคิดว่ามันเป็นเพื่อนจริงๆกับกูสักคนหรอก กูไม่เคยทำแบบนี้กับใครเลย คือ แบบว่า ไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้กับคนอื่นเลยจริงๆนอกจากกับตัวกูเองนะ” เขาพูดตะกุกตะกัก ทำให้ผมเห็นด้านที่น่ารักๆของเขาแบบนี้บ้างจนผมต้องเผลอยิ้มมุมปากออกมาเล็กน้อยและรีบหุบมันกลับอย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะเห็นแล้วผมจะโดนด่า “กูว่ามึงมันแปลกดี มึงมันไม่เหมือนคนอื่นๆ กูก็เลย.......... คือ มึงจะฟังกูหน่อยได้เปล่าวะ”

“ได้ดิ่ มึงจะพูดอะไรล่ะ กูจะไม่ถามหรือขอให้มึงพูดหรอก กูจะฟังอย่างเดียวพอ”

“ไม่ๆๆ” เขาส่ายหัว “กูอยากให้มึงฟังกูแล้วก็คุยกับกูด้วย”

ผมรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็พยักหน้าออกไป จากนั้นแจ๊คก็เล่าให้ผมฟังว่าเขาน่ะ ไม่ใช่ลูกแท้ๆของพ่อแม่เขาหรอก เขาเป็นลูกบุญธรรมของพ่อ ซึ่งพ่อแม่แท้ๆของเขาคือใครเขาก็ไม่รู้ และเมื่อพ่อบุญธรรมของเขามาแต่งงานกับแม่ของเขาตอนนี้ เขาจึงได้เฮียตี๋ที่เป็นน้องชายของแม่เป็นพี่ชายไปอีกคน และนั่นคือเหตุผลที่ทำไมเขากับเฮียตี๋ถึงได้ไม่มีเค้าโครงหน้าเดียวกันเลยแม้แต่น้อย แถมยังดูอายุห่างกันมากอีกต่างหาก ผมฟังประวัติย่อๆของเขาไปพร้อมกับทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดไปด้วย

“แม่กูน่ะทำร้านขายเฟอร์นิเจอร์ ส่วนพ่อกูก็เป็นทหาร เพราะงั้นพวกเค้าถึงไม่อยากให้กูเรียนวิศวะไง เขาอยากให้กูกลับมาทำงานที่บ้าน แถมแม่กูเค้าก็ไม่ค่อยชอบกูนักด้วย เขาหาว่ากูเป็นเดกเกเรเหลือขอ เค้าอยากจะดัดสันดานกูก็เลยจะจับกูไปเรียนพิเศษนี่แหละ ส่วนพ่อกูก็ตามใจแม่กูทุกอย่าง และที่สำคัญ กูมันไม่ใช่ลูกในไส้ของเขานี่ เขาจะมาแคร์อะไรกับเด็กเกอย่างกู”

“แต่จริงๆแล้วมึงก็ไม่ได้อยากจะเป็นคนแบบนั้นใช่มั๊ยล่ะ” ผมถามกลับไปเมื่อเขาพูดจบ

แจ๊คมีท่าทางขัดขืนเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจแล้วพยักหน้า “ก็คงงั้นมั๊ง ว่าแต่ทำไมมึงถึงคิดงั้นล่ะ มึงรู้ได้ไง”

“ก็ถ้ามึงมันเหลือขอจริง มึงคงไม่ตัดสินใจอยากมีอนาคตดีๆหรอก แถมที่นี่มันไม่ใช่กรุงเทพ มึงอยากเรียนถึงวิศวะ แถมยังอยากไปกรุงเทพอีกต่างหาก และที่สำคัญการที่มึงคิดมากเรื่องนี้และจากคำพูดของมึงทุกๆอย่างเมื่อเช้าน่ะ มันบอกกูว่าจริงๆแล้วมึงเป็นคนเอาถ่านมากขนาดไหน ไม่ใช่คนอย่างที่แม่มึงพูดหรอก”

“ถ้างั้นกูจะทำไงดีวะ........ กูไม่ได้รังเกียจเรื่องเรียนพิเศษหรอกนะเว้ย พูดไปมึงอาจจะไม่เชื่อก็ได้ แต่ว่าในโรงเรียนกูก็ทำคะแนนได้ดีนะ แต่กูไม่ชอบใจที่ทำไมพวกเขาต้องมาบังคับกดดันกูนักด้วยวะ”

“ก็ทำอย่างที่มึงอยากทำนั่นแหละ มึงอยากเรียนวิศวะ มึงอยากสอบติดที่กรุงเทพ มึงก็ต้องเรียนเยอะๆ ไม่ต้องไปสนว่าใครเป็นคนอยากให้มึงทำอะไร แต่สนที่ว่าผลออกมาคือมึงได้ความรู้ ส่วนเค้าจะไม่อยากให้มึงเรียนวิศวะก็เรื่องของเขา อนาคตมึงทั้งอนาคตมึงก็เลือกเองเลย คิดซะว่าตอนนี้มีโอกาสได้ตักตวงความรู้แล้ว มึงก็ฉวยโอกาสมันเอาไว้ซะ......... ว่าแต่ตอนนี้มึงอยู่มอไหนวะ”

“ปีหน้ามอหกแล้ว”

“เหลือเวลาอีกปีเดียว สู้ๆเว้ย บอกตามตรงนะ เด็กกรุงเทพน่ะ มันแข่งขันกันสูง แค่เรียนในโรงเรียนมึงมันไม่พอหรอก เนี่ย แม่มึงเค้ารักมึงแหละ เค้าถึงได้อยากให้มึงเรียนพิเศษเพื่อความรู้ของตัวมึงเองน่ะ อย่างน้อยๆมันก็เป็นการดัดสันดานที่เค้ายอมเสียเงินและมึงได้ความรู้นะ”

“หึ ไอ้เรื่องรักไม่รักกูก็ไม่แน่ใจนักหรอกนะ” แจ๊คพ่นลมหายใจออกทางจมูกพร้อมรอยยิ้มเหยียดๆ “แต่ว่ามึงก็พูดถูกว่ะ กูเลือกทางเดินชีวิตของกูเอง น้ำขึ้นก็รีบตัก แม่งเอ๊ย มึงนี่มันเข้าใจคิดเข้าใจพูดว่ะ” แจ๊คหันมายิ้มกว้างให้ผมก่อนจะตบบ่าผมแรงๆ “ขอบใจเว้ย กูไม่คิดเลยนะเนี่ยว่ากูจะมาคุยอะไรแบบนี้กับคนอื่น เอาล่ะ คราวนี้ตามึงมั่งแล้ว”

ถึงผมจะรู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร แต่ผมก็ยังคงแกล้งทำเซ่ออยู่ดี “ตากูเรื่องอะไรวะ”

“เดี๋ยวมึงจะโดนเหนี่ยว มึงคิดว่ากูจะยอมพูดความลับของกูอยู่คนเดียวรึไง”

จริงๆแล้วมันก็ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากให้เขารับรู้เรื่องของผมหรอก เขาเองก็เป็นเพียงคนเดียวที่ผมรู้สึกสบายใจที่อยากจะพูดคุยเรื่องพวกนั้นด้วยเช่นกัน ซึ่งนั่นมันคงเป็นเพราะเราค่อนข้างจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันแต่ในขณะเดียวกันเราก็แทบไม่ต่างจากคนแปลกหน้าเลย นี่เองที่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราสองคนต่างก็รู้สึกวางใจกันและกันมากกว่ากับคนอื่นๆ ปกติถ้าเป็นเพื่อนๆผมคนอื่นนั้นแทบจะไม่มีใครรู้เรื่องปัญหาทางบ้านของผมนี่เลย เพราะปกติแล้วผมเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบคุยเรื่องส่วนตัวกับคนอื่นเท่าไหร่นัก ผมจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนมาถึงเมื่อเช้านี้ให้แจ๊คฟัง เขาเองก็นั่งฟังเงียบๆ เงียบเสียจนผมสงสัยว่าเขายังคงฟังผมอยู่หรือเปล่า

จนเมื่อผมพูดจบ เขาก็ยืนขึ้น แล้วก็ออกเดินไป ทำให้ผมต้องรีบลุกและเดินตามเขาไปติดๆ

“จะไปไหนวะ” ผมถาม

“พามึงไปหาคำตอบ”

ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด แต่ก็ตัดสินใจจะไม่ถามอะไรมากนัก เขาพาผมซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ไปยังริมคลองแห่งหนึ่ง เขาชี้ให้ผมมองลงไปในน้ำแล้วถามว่าผมเห็นอะไร พอผมตอบว่าผมไม่เห็นอะไรเลย เขาก็ด่าว่าผมโง่อีก

“มึงเห็นเงาที่สะท้อนในน้ำมั๊ย ไอ้ควาย เงาของกูกับมึงน่ะ”

“เออๆ เห็นแล้ว”

“เมื่อกี๊มึงให้คำตอบกูว่ายังไง มึงจำได้มั๊ย ถ้ามึงไม่อยากพูดออกมาอีกครั้ง มึงนึกในใจก็ได้ แต่ตอนนึกมึงต้องมองลงไปที่เงาบนน้ำของเราสองคนด้วยนะ แล้วบอกกูทีว่ามึงได้คำตอบรึยัง”

ผมถึงกับอึ้งกับคำพูดของเขา และในขณะเดียวกันก็เข้าใจด้วยว่าสิ่งที่เขาพยายามจะสื่อนั้นมันคืออะไร และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเงาในลำคลองแห่งนี้ไม่ได้สะท้อนแค่เงาของสองคนด้านบนนี้เท่านั้นด้วย แต่มันยังสะท้อนทั้งความต่างและความเหมือนของคนสองคนนี้ได้อย่างชัดเจนทีเดียว ผมกับเขามีนิสัยบางอย่างคล้ายๆกัน และสถานการณ์ของเราทั้งคู่มันก็ยังคล้ายกันมากด้วยในแง่ที่ว่าเราต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตของเราเหมือนๆกัน แต่มันก็ยังมีความต่างที่ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าผมมันน่าสมเพชขนาดไหนอย่างชัดเจน นั่นก็คือแจ๊คนั้นยอมรับและมุ่งมั่นกับการตัดสินใจของเขามาก เพียงแค่เขาได้รับการชี้นำจากคำพูดเพียงนิดหน่อยของผม เขาก็มั่นใจแล้วว่าเขาควรจะทำยังไงต่อไปในอนาคตดี แต่ในขณะเดียวกัน ผมที่รู้ตัวดีอยู่แล้วว่าคำตอบของผมมันก็เหมือนกับสิ่งที่ผมเพิ่งพูดกับเขาไป แต่ผมเองกลับยังไม่มั่นใจเลยว่าตัวผมเองจะทำแบบนั้นได้จริง..........

ผมนี่มันช่างอ่อนแอและน่าสมเพชจริงๆ

ดูเหมือนแจ๊คจะรู้ว่าผมกำลังรู้สึกอย่างไรอยู่ เขาจึงเดินนำผมกลับไปยังรถมอเตอร์ไซค์และขี่พาผมกลับไปหน้าตลาดที่ผมจอดรถแช่เอาไว้ตั้งแต่ตอนบ่าย คืนนั้นผมนอนคิดถึงคำพูดของแจ๊คและปัญหาของตัวเองเกือบทั้งคืน ใจหนึ่งผมก็อยากจะตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่อีกใจผมก็อยากจะได้ยินเสียงของเขาเหลือเกิน แต่ผมก็ไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของเขา และผมก็ไม่รู้ด้วยว่าผมควรจะขอเขาเอาไว้รึเปล่า คืนนั้นผมคิดมากจนผมลืมเรื่องที่แม่ผมนัดเจอกับคนที่ผมจะต้องติวหนังสือให้ไปเสียสนิท จนกระทั่งรุ่งเช้า หลังจากกลับจากตลาดและใช้เวลาอยู่กับแจ๊คครู่หนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากเหมือนเคย แต่ผมก็ยังไม่กล้าขอเบอร์มือถือของเขาอยู่ดี เมื่อมาถึงบ้าน แม่ของผมก็เตือนผมว่าตอนสายๆเพื่อนของแม่จะพาลูกชายของเขาเข้ามาหา แม่ยังเตือนผมไว้อีกด้วยว่าเวลาสอนน้องคนนี้ให้ใจเย็นๆ เพราะเขาเป็นคนใจร้อน ผมพยักหน้ารับรู้และขึ้นห้องไปนอนพักอีกงีบหนึ่ง จนเวลาสิบโมง แขกของแม่ก็มาถึงพร้อมลูกชายของเขา

“เก่ง นี่คุณยิ้ม เพื่อนแม่เอง เค้าเป็นเจ้าของร้านเฟอร์นิเจอร์ที่เราไปซื้อของไง จำได้มั๊ย” แม่ผมแนะนำ และแน่นอนว่าผมก็จำเขาได้เช่นกัน เพียงแต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าเขามีลูกชาย

“สวัสดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้ “แล้วเห็นว่าลูกชายคุณน้าจะมาด้วยไม่ใช่เหรอครับ”

“เขาไปจอดรถน่ะค่ะ เดี๋ยวก็มาแล้ว”

แม่พาคุณยิ้มนั่งลงบนโซฟา ส่วนผมก็เดินเข้าครัวไปรินน้ำเปล่าใส่แก้วออกมาสี่ใบ และเมื่อผมเดินออกมาจากในครัว ผมก็ต้องตกใจเมื่อเห็นคนที่กำลังนั่งอยู่ติดกับคุณยิ้มคือ แจ๊ค

“เก่ง นี่ไงน้องที่คุณยิ้มอยากให้เก่งช่วยดูแลหน่อยน่ะ” แม่ของผมร้องเรียกเมื่อเห็นผมหยุดยืนอยู่หน้าประตูครัว

เมื่อแจ๊คเห็นผมเขาก็มีท่าทีแปลกใจมากเช่นกัน และผมมั่นใจว่าผมเห็นแววตาไม่พอใจของเขาอยู่แวบหนึ่งด้วย แต่มันก็เป็นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ก่อนที่เขาจะปกปิดอาการทุกอย่างกลับมาเป็นตัวของเขาเองเหมือนเดิม นั่นก็คือทำสีหน้าเฉยเมยไร้อารมณ์ หรือถ้าพูดให้ชัดก็คือท่าทางขวางโลกนิดๆตลอดเวลานั่นเอง

ทั้งแม่ของผมกับแม่ของแจ๊คต่างก็พูดคุยแนะนำลูกชายของตัวเอง โดยส่วนมากผมกับแจ๊คจะนั่งเงียบๆกันมากกว่า ซึ่งตอนนี้แจ๊คก็รู้ว่าแล้วว่าผมไม่ใช่เด็กมัธยมปลายอย่างที่เขาคิด เมื่อแม่ของผมพูดว่าผมเรียนอยู่คณะอะไรที่ไหน แจ๊คก็มีรอยยิ้มเหยียดๆฉายขึ้นมาบนใบหน้าทันที และเมื่อคุณยิ้มพูดถึงเรื่องเรียนของแจ๊คว่าแจ๊คอยากเรียนอะไรต่อไป ทั้งผมและเขาต่างก็รู้สึกตึงเครียดขึ้นมาแทบจะพร้อมๆกัน

“แจ๊คเค้าอยากไปเรียนต่อที่กรุงเทพน่ะค่ะ พี่กับพ่อของเขาอยากให้เขาเรียนบริหาร จะได้กลับมาช่วยดูแลร้านที่บ้านได้” แม่ของแจ๊คพูด

“บริหารเหรอครับ.......” ผมถาม และเมื่อมองหน้าแจ๊คผมก็รู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ตอนนี้ “ทำไมไม่ลองถามแจ๊คเค้าดูล่ะครับว่าเขาอยากเรียนอะไร ผมว่าบริหารดูไม่ค่อยเหมาะกับน้องเขาเท่าไหร่เลยนะครับ และที่สำคัญเค้าต้องไปเรียนอีกตั้งสี่ปี มันเป็นอนาคตของเขาทั้งชีวิตเลยนะครับ ถ้าเขาต้องไปเรียนในสิ่งที่ไม่อยากเรียนแล้วเกิดเรียนได้ไม่ดีหรือพาลเกเรไปเลยล่ะก็ คงแย่แน่ๆ อนาคตทั้งอนาคตของเขาก็คงพังไปเลย แถมยังจะพาให้พ่อกับแม่ต้องลำบากไปด้วยอีกต่างหาก ผมว่าคุณยิ้มลองคิดเรื่องนี้ดูดีๆนะครับ เพราะว่าเพื่อนผมที่มาเรียนวิศวะทั้งๆที่ไม่อยากเรียน เพียงเพราะว่าพ่อเขาน่ะจบวิศวะมาและอยากให้ลูกเจริญตามรอยเท้าตัวเอง และสุดท้ายก็เรียนไม่ไหว เลยเสียคนไปเลย แถมยังต้องโดนรีไทร์ออกไปอีกต่างหาก”

เมื่อผมพูดจบทุกคนก็นิ่งเงียบไปทันที และแม้แต่แจ๊คยังดูมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยไปด้วยเลยไม่ได้

“คือผมไม่ได้อยากจะเข้าไปยุ่งกับเรื่องในครอบครัวของคุณยิ้มนะครับ อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิด แต่ว่าผมหวังดีน่ะครับ ทั้งกับตัวน้องเขาเองแล้วก็ตัวพ่อกับแม่ด้วย เพราะผมรู้ว่าคุณยิ้มเองก็อยากจะให้เขาเป็นคนดีแล้วก็ได้เรียนดีๆใช่มั๊ยล่ะครับ ถ้าไม่งั้นก็คงไม่ยอมเสียเงินให้เขาได้เรียนหนังสือเพิ่มเติมแบบนี้หรอก เพราะงั้นผมว่าถ้าหวังดีกับตัวเขาจริง ก็ปล่อยให้น้องเขาทำในสิ่งที่เขาอยากจะทำดีกว่ามั๊ยครับ เขาจะได้มีความสุขแล้วมันก็ไม่ได้เดือดร้อนใครด้วย ว่าไงครับแจ๊ค แจ๊คอยากเรียนอะไรต่อครับ” ผมหันไปหาเขาแล้วยิ้มให้เขาเต็มที่ “พี่ว่าบุคลิกแจ๊คดูเหมาะจะเรียนวิศวะนะ แถมพี่เองก็เรียนวิศวะอยู่ ถ้าให้ติวให้นี่สบายเลย แจ๊คคิดว่าแจ๊คเรียนไหวมั๊ยล่ะครับ”

แจ๊ดยิ้มมุมปากแบบพอใจออกมาเล็กน้อย “ผมอยากเรียนวิศวะครับ พี่เก่ง” เขาเน้นที่คำว่าพี่เล็กน้อย “ถ้าเป็นไปได้ก็อยากสอบให้ได้ และผมก็คิดว่าผมเรียนไหวด้วย แต่สุดท้ายก็ต้องแล้วแต่พ่อกับแม่นั่นแหละ เพราะเขาเป็นคนส่งผมเรียนนี่” แจ๊คใช้น้ำเสียงประชดประชันเล็กน้อย ตอนนี้ความกดดันจึงมาตกอยู่ที่คุณยิ้มแม่ของแจ๊คแทน

“ก็........ แล้วแต่แจ๊คก็แล้วกัน แต่ว่าต้องกลับไปคุยกับพ่อดูก่อนนะ ว่าเขาจะว่ายังไง แล้วยังไงตอนนี้ก็เรียนหนังสือไปก่อน ตักตวงเอาความรู้เอาไว้ ส่วนเรื่องเอ็นทรานซ์นั่นก็ค่อยดูปีหน้าก็แล้วกัน ยังมีเวลาให้เปลี่ยนใจได้อีก” คุณยิ้มพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจเล็กน้อย ซึ่งก็นับว่าน่าจะเป็นผลดีต่อตัวแจ๊คเอง ถึงแม้ว่าประโยคสุดท้ายนั้นจะยังไม่ชัดเจนว่ามันหมายถึงตัวของคนพูดหรือตัวของแจ๊คก็ตาม

หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 30-10-2007 22:20:29

หลังจากนั้นไม่นานทั้งสองคนก็ขอตัวกลับบ้านไป และวันรุ่งขึ้นจะเป็นวันแรกที่แจ๊คจะมาหาผมที่บ้านนี่อีกครั้งในฐานะของรุ่นน้องหรือลูกศิษย์เพื่อให้ผมสอนหนังสือให้ เมื่อทั้งสองจากไปผมก็เกิดความรู้สึกแปลกๆขึ้นมาในใจทันที มันเป็นความรู้สึกตื่นเต้นดีใจแต่ก็แฝงไปด้วยความกังวลนิดๆที่ได้รู้ว่าความสัมพันธ์ของผมกับเขานั้นกำลังจะพัฒนาไปสู่อีกขั้นหนึ่งแล้ว เช้าวันต่อมาผมตื่นแต่เช้ากว่าปกติและแต่งตัวดูดีมากกว่าเคยนิดหน่อยโดยที่ผมเองก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไม ผมไปถึงที่ร้านของเฮียตี๋และนั่งรอแจ๊คอยู่นานกว่าครึ่งชั่วโมง แต่ทว่าเขาก็ไม่มา ผมรู้สึกแปลกใจนิดๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากและตัดสินใจกลับบ้านเพื่อรอสอนเขาในตอนสิบโมงเช้า

เมื่อแจ๊คมาถึง เราสองคนก็ขึ้นไปบนห้องนอนของผมที่ชั้นสาม และเมื่อประตูห้องถูกปิดลง เขาก็นั่งลงบนเตียงพร้อมหันมายิ้มเหยียดๆให้ผมตามแบบฉบับของเขาทันที

“แล้วไงต่อล่ะครับ พี่เก่ง” เขาเน้นที่คำว่าพี่อีกแล้ว “ยังมีอะไรที่ผมควรจะต้องรู้อีกบ้างมั๊ยครับ”

ผมรู้ดีทีเดียวว่าเขาไม่ได้หมายถึงเรื่องเรียนหนังสือแน่ๆ

“กูขอโทษ กูน่าจะบอกมึงก่อน” ผมตัดสินใจใช้สรรพนามแทนตัวเองแบบเดิม “มึงโกรธกูเหรอวะ เมื่อเช้าก็ไม่ได้ไปที่ร้าน........”

“รอกูอยู่อีกล่ะสิ” แจ๊คยิ้มออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นรอยยิ้มจริงๆไม่ใช่รอยยิ้มกวนๆแบบเดิมอีกแล้ว “เออ ไม่โกรธแล้วก็ได้วะ เพราะกูก็ไม่เคยถามมึงเองนี่หว่า กูก็แค่คิดไปเองของกูอยู่คนเดียวจริงๆใช่มั๊ยล่ะ ถึงจะหงุดหงิดนิดหน่อยก็เหอะนะ”

คราวนี้ผมเป็นฝ่ายยิ้มออกมาบ้างที่รู้ว่าเขาไม่ได้โกรธผม

“แล้วมีอะไรที่มึงควรจะต้องบอกกูอีกมั๊ย ไอ้หน้าหวาน”

“กูบอกมึงก็ได้ คราวนี้กูจะบอกทุกอย่างเลย แต่มึงเองก็ต้องบอกกูด้วยนะ” ผมนั่งลงข้างๆเขา

สรุปวันนั้นสองชั่วโมงที่ผมควรจะเป็นฝ่ายสอนหนังสือเขา เราก็กลับนั่งคุยกันถึงเรื่องราวของกันและกัน ผมถามเขาถึงเรื่องชีวิตที่นี่ เขาถามผมถึงชีวิตในมหาลัย เป็นการทำความรู้จักกันจริงๆจังๆอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก และเมื่อผมถามเขาว่าถ้ามีผมเป็นครูสอนหนังสือให้แบบนี้ เขาจะยังรู้สึกไม่อยากเรียนและอคติกับคนแปลกหน้าคนนี้อยู่มั๊ย เขาก็ตอบว่าไม่ และเมื่อผมขอให้เขาแทนตัวเองว่าแจ๊คไม่ใช่กูแบบที่เขาใช้พูดกับแม่ได้รึเปล่า เขาก็หัวเราะออกมา

“ฝันไปเหอะ ไอ้หน้าหวาน”

หลังจากนั้นมาเราสองคนก็เจอกันแทบทุกวัน ทุกเช้าที่ร้านปาท่องโก๋ และทุกบ่ายที่บ้านของผม วันไหนที่ไม่มีเรียน เขาก็จะพาผมไปขี่รถเล่นบ้าง พาไปเดินเล่นที่ต่างๆบ้าง และเขาก็เป็นฝ่ายขอเรียนเพิ่มจากวันละสองชั่วโมงเป็นสามชั่วโมงด้วยตัวเองอีกด้วย จนเมื่อเวลาผ่านไปราวๆเดือนนึง ผมก็มีเหตุจำเป็นที่จะต้องกลับไปกรุงเทพก่อนกำหนดอย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะว่าพ่อของผมต้องเข้าโรงพยาบาล และผมก็เป็นเพียงคนเดียวที่จะดูแลพ่อและยังดูแลเรื่องที่บ้านพร้อมๆกันไปได้อีกด้วย

เมื่อผมบอกแจ๊คเรื่องนี้ เขาก็ยังคงมีสีหน้านิ่งเฉย ดูไม่รู้ร้อนรู้หนาวเหมือนอย่างเคยจนผมรู้สึกน้อยใจเล็กน้อย เพราะว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาผมรู้ตัวแล้วว่าผมนั้นชอบเขามาก มากแบบที่ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อนเลย แต่ผมก็ไม่เคยรู้เลยเช่นกันว่าเขานั้นคิดยังไงกับผมกันแน่ ผมไม่เคยแน่ใจได้เลยด้วยซ้ำว่าความสัมพันธ์ของเราสองคนทุกวันนี้มันคืออะไร และผมก็ไม่กล้าที่จะเสี่ยงด้วย เพราะประสบการณ์จากพ่อและแม่ของผมมันก็ทำร้ายผมมามากเพียงพอแล้ว

“แล้วตัดสินใจได้รึยัง ว่าจะเอายังไงเรื่องพ่อกับแม่น่ะ” แจ๊คถามขึ้น

ผมรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องของเราเป็นอย่างแรก รู้สึกผิดหวังที่เขาไม่ได้ทักท้วงผมบ้างว่าผมจะกลับมาอีกมั๊ยหรืออะไรเลย แต่ก็อย่างว่า ผมจะไปคาดหวังอะไรได้ล่ะ

“ก็ไม่รู้สิ....... แต่ในใจตอนนี้ก็คิดไว้แล้วว่าอยากจะทำอย่างที่อยากจะทำว่ะ มึงสอนอะไรกูหลายอย่างนะ แจ๊ค มึงเป็นตัวของตัวเอง มึงมีความคิดเป็นของตัวเอง มึงเชื่อมั่นในทางเดินของตัวเอง มึงเป็นอะไรที่กูไม่เคยได้เป็นและเป็นได้เลย ทั้งๆที่มึงอายุน้อยกว่ากูแต่มึงกลับเป็นผู้ใหญ่กว่ากูเยอะมากเลยว่ะ และที่สำคัญ มึงยัง........”

“ยังอะไรวะ”

“ช่างเหอะ........ แต่ว่ามะรืนนี้กูก็ต้องไปแล้ว พรุ่งนี้กูคงสอนไม่ได้นะ”

“เออ มึงเก็บของอะไรให้เรียบร้อยเหอะ ไม่ต้องสอนกูหรอก”

“แล้วเราจะได้เจอกันอีกป่าววะ” ผมเผลอพลั้งปากถามออกไป

“คงจะอยู่ที่ดวงว่ะ”

เย็นนั้นหลังจากเขากลับบ้านไป ผมก็นอนเหงาอยู่คนเดียว ทั้งๆที่ใจก็พะวงเรื่องพ่อและการต้องตัดสินใจของตัวเองมาก แต่อีกใจผมก็คิดถึงแจ๊คมากด้วยเช่นกัน วันรุ่งขึ้นถึงตอนเช้าเราจะเจอกันที่ร้าน แต่เขาก็ไม่ได้มาหาผมที่บ้านตอนบ่ายเพราะเราคุยกันเอาไว้แล้ว วันนั้นผมซึมมากผิดปกติจนแม่ยังสังเกตเห็นได้ และแม่ก็เข้าใจว่าคงเป็นเพราะว่าผมเป็นห่วงอาการป่วยของพ่อ แต่อันที่จริงแล้วพ่อเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมากขนาดนั้นหรอก

เมื่อถึงวันที่ผมจะต้องกลับกรุงเทพ ผมก็ยังคงตื่นไปที่ร้านของเฮียตี๋เหมือนอย่างเคย แต่ว่าแจ๊คก็ไม่มา ตลอดเวลาที่ผ่านมานี่เป็นเพียงครั้งที่สามเท่านั้นที่เขาไม่มาเจอกับผมตอนเช้า และนี่ก็เป็นครั้งแรกด้วยที่ผมถามหาเขาผ่านทางเฮียตี๋ เฮียบอกผมว่าเฮียเองก็ไม่รู้ว่าทำไม และเมื่อคืนเขาก็ไม่ได้กลับบ้านแต่ไปนอนค้างที่บ้านเพื่อน ผมรู้สึกเป็นห่วงเขาเล็กน้อยแต่ก็รู้สึกน้อยใจมากกว่า จนเมื่อใกล้ได้เวลาที่ผมต้องขึ้นรถทัวร์ แจ๊คก็ยังคงไม่มาหาผม แต่ก็ผมเองนั่นแหละที่คาดหวังเอาไว้ว่าเขาอาจจะมาส่งโดยที่ลืมคิดไปว่าจริงๆแล้วแจ๊คน่าจะมีนิสัยอย่างไร และผมกับเขานั้นมันก็ไม่ได้มีอะไรเกินเลยไปมากกว่าคำว่า “คนแปลกหน้าที่คุ้นเคย”

ตลอดเวลาห้าชั่วโมงกว่าบนรถทัวร์ผมเอาแต่คิดถึงช่วงเวลาเดือนกว่าๆที่ผ่านมาของผมในบ้านหลังใหม่ของผมที่จังหวัดแห่งความทรงจำของผมนั้น ตลอดเกือบยี่สิบปีที่ผ่านมาผมเคยไปยังจังหวัดนั้นแค่ไม่ถึงสิบครั้ง แต่ว่าการไปเยือนเพียงครั้งนั้นครั้งเดียวของผมมันก็สอนและให้อะไรแก่ผมมากกว่าที่ผมเคยคิดว่าผมจะได้รับเยอะมากทีเดียว ผมได้เรียนรู้ตัวของผมเองมากขึ้น ได้ถูกสอนทั้งทางตรงและทางอ้อมให้เผชิญหน้ากับปัญหาและความจริง ได้รู้จักคนใหม่ๆ ได้ทำสิ่งที่ผมไม่เคยได้ทำ และที่สำคัญ......... ได้รู้จักเพื่อน ครู ลูกศิษย์ รุ่นน้อง และคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่มีชื่อว่า แจ๊ค

เมื่อผมกลับถึงกรุงเทพผมก็ได้เผชิญหน้ากับแฟนของพ่อเป็นครั้งแรกด้วยการตัดสินใจของผมเอง จนเมื่อพ่อของผมออกจากโรงพยาบาล ผมจึงตัดสินใจบอกแม่ให้ลงมาหาที่กรุงเทพ โดยบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับทุกคนแบบพร้อมหน้าในฐานะครอบครัวเป็นครั้งสุดท้าย

ผมบอกพ่อและแม่ว่าผมจะตัดสินใจแล้วว่าไม่เลือกใครทั้งนั้นนอกจากอนาคตของตัวเอง ผมบอกทั้งคู่ว่าทั้งสองคนคงจะเสียใจแต่ผมเองก็เสียใจไม่แพ้กัน ผมไม่สามารถเลือกเพียงหนึ่งในคนที่ผมรักสองคนได้ เพราะฉะนั้นถ้าพ่อและแม่ยังบังคับให้ผมต้องเลือก ผมก็จะขอไม่เลือกใครเลยนอกจากตัวผมเอง ถึงยังไงสักวันหนึ่งไม่ช้าไม่นานผมก็จะต้องมีทางเดินเป็นของตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงขอใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวและทำความเคยชินกับมันซะตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า ยังไงๆทั้งสองคนก็ยังเป็นพ่อกับแม่ของผมอยู่ดี และยังไงๆผมก็จะยังคงรักทั้งคู่ตลอดไป แต่ผมต้องทนทรมานกับการอยู่กึ่งกลางแบบนี้มานานมากพอแล้ว นับจากตอนนี้ไปผมจะขอเลือกทางเดินของตัวเองบ้าง และถ้าพ่อกับแม่ไม่อยากให้ผมทำแบบนี้ก็อย่าบังคับให้ผมต้องมาจมอยู่กึ่งกลางทางเลือกในสถานการณ์ที่ผมไม่ต้องการแบบนี้อีกเลย

โชคดีที่ทั้งพ่อและแม่ของผมเข้าใจและยอมรับการตัดสินใจของผม ถึงตอนแรกทั้งคู่จะยังไม่ค่อยแน่ใจมากนัก แต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไปแรงกดดันทั้งหลายก็ค่อยๆหายไปทีละน้อยๆ พ่อเลิกบังคับและกดดันให้ผมต้องไปทำงานที่บริษัทของเขา ส่วนแม่ก็เลิกตื้อตามให้ผมไปอยู่กับเขาที่จังหวัดเพชรบูรณ์ด้วยเช่นกัน ถึงแม้บางครั้งผมจะลังเลและไม่มั่นใจเพราะว่าอยากจะเจอหน้าแจ๊คอีกสักครั้ง แต่นั่นก็จะเป็นการตัดสินใจที่มีแจ๊คเป็นพื้นฐาน ไม่ใช่การตัดสินใจที่มาจากตัวของผมเอง

ตลอดเกือบหนึ่งปีต่อมาหลังจากนั้นผมก็ไม่ได้คุยและไม่ได้เจอแจ๊คอีกเลย น่าแปลกที่ทั้งๆที่ตอนนั้นเราก็เจอกันทุกวันและนับว่าค่อนข้างสนิทกันพอสมควร แต่ผมก็ไม่เคยมีเบอร์มือถือของเขาเลยอยู่ดี มันช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดสำหรับผมจริงๆ เขานั้นเป็นดั่งพายุที่พัดเข้ามาหาผมอย่างกะทันหัน แต่แล้วก็จากไปเงียบๆโดยแทบที่ผมไม่รู้สึกตัว แต่พายุลูกไหนๆก็ย่อมทิ้งความเสียหายที่รุนแรงเอาไว้เบื้องหลังทุกลูก ไม่ต่างกันกับเขาที่ทิ้งความหลังอันยิ่งใหญ่ที่ผมไม่มีวันลืมเลือนเอาไว้ ถึงจะไม่ใช่ความเสียหายหรือความทรงจำอันเลวร้ายดั่งสิ่งที่พายุจริงๆทำ แต่มันก็เป็นความทรงจำที่ยิ่งใหญ่และสวยงาม เป็นพายุที่ผมรักมากที่สุดเท่าที่ชั่วชีวิตของผมได้เจอมาเลยทีเดียว

เวลาเหล่านั้นเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ผมไม่มีวันลืม เป็นความสวยงามของความทรงจำที่ผมไม่อาจจับต้องได้ ทั้งใบหน้า น้ำเสียง ท่าทางของเขา ทั้งความนึกคิด มิตรภาพ และความผูกพันของคนแปลกหน้าสองคนที่บังเอิญมาเจอกัน ความรักที่ผมมีให้แก่เขาและเขาอาจจะไม่เคยได้รับรู้ ความห่วงใยที่เขามีให้ผมที่ผมได้รับรู้แต่ไม่เคยมั่นใจ ทุกสิ่งเหล่านั้นมันเป็นเหมือนกับความฝัน เป็นความฝันที่อบอุ่นแต่ก็แสนเศร้า การจากลาที่ไม่เคยได้บอกลา ความรักและความรู้สึกๆดีที่ไม่เคยได้พูดออกไป หลายต่อหลายคืนที่ผมนั่งเหงาอยู่คนเดียวและร้องไห้น้ำตาออกมาหยดเล็กๆให้กับความทรงจำที่อบอุ่นแต่ก็เจ็บปวดเหล่านั้น.........

วันนี้ผมนั่งอยู่คนเดียวที่ริมบ่อน้ำในหมู่บ้าน หวนนึกถึงความหลังเมื่อหนึ่งปีก่อนของตัวเอง ความทรงจำสวยงามที่ไม่มีวันย้อนมาแต่ก็จะไม่มีวันจางหายไปจากใจของผมด้วยเช่นเดียวกัน แต่ทว่าผมไม่มีน้ำตาอีกแล้ว ตอนนี้ผมมีเพียงรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าเพื่อมอบให้แก่ช่วงเวลาดีๆเหล่านั้นเท่านั้นเอง

“มานั่งยิ้มทำอะไรอยู่ตรงนี้คนเดียว หือ ไอ้หน้าหวาน”

ผมหันกลับไปมองที่มาของเสียงที่ผมคุ้นเคย ใบหน้าหล่อๆพร้อมรอยยิ้มกวนๆนั่นก็ยังคงมีอยู่แบบเดิมไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ถ้ามีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปล่ะก็คงมีเพียงการที่เขาสอบติดที่มหาวิทยาลัยเดียวกับผม เป็นรุ่นน้องในคณะของผม อาศัยอยู่บ้านเดียวกับผม และความสัมพันธ์ของเราสองคนที่พัฒนาขึ้นไปจากเมื่อปีก่อนนี้มากนั่นเอง

“นั่งนึกเรื่องเก่าๆเรื่อยเปื่อยน่ะ” ผมหันไปยิ้มให้แก่เขา

“อะไรวะ ยังไม่แก่เลยทำมารำลึกความหลังเป็นคนแก่ไปได้” เขายื่นมามาให้ผมจับ “ไปเหอะ ไปนั่งกินปาท่องโก๋กัน”

ผมจับมือของเขาแล้วดึงตัวเองขึ้น แจ๊คหันซ้ายหันขวาเพื่อดูว่ามีคนอยู่ใกล้ๆรึเปล่า แต่ว่าตอนนี้ยังคงเช้าอยู่มากจึงไม่มีใครอยู่ในระยะสายตาของเราเลย เขารีบชะโงกหน้ามาหอมแก้มผมไวๆก่อนที่เราสองคนจะเดินไปนั่งร้านปาท่องโก๋ร้านประจำร้านใหม่ของเรา ถึงร้านนี้จะไม่อร่อยและให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนร้านของเฮียตี๋ แต่ว่าอย่างน้อยๆมันก็เป็นสถานที่จุดเริ่มต้นที่ช่วยเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของเราเข้าไว้ด้วยกัน

ความทรงจำที่ไม่มีวันลืมเลือน กับความรักที่จะไม่มีวันจืดจาง...................


หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 30-10-2007 22:44:51
จบแล้วใช่มะ  :m3:  :m3:  :m3: ชอบมั่ก ๆ น้องแจ๊คน่าร๊าก   :m1:  :m1:  :m1:
เรื่องนี้ก็ซึ้งอีกแล้ว เถื่อนนิด ๆ หุหุ ชอบมากกกกกกกกกกกกกก  :m4:  :m4:  :m4:
รออ่านเรื่องต่อไปจ้า  :a2:  :a2:
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 01-11-2007 09:44:11




โดนเรียกตัวด่วน . . .  ที่กระบี่ยุ่งมากเลยวุ้ย

ไว้ . . . ตอนมาส่งงานอาจารย์  จะแวะไปหาไรกินด้วย


ไว้เจอกันเมื่อชาติต้องการ . . .

หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 01-11-2007 20:13:26
สุดท้ายเราก็ต้องมีชีวิตของเราเอง
มันเป็นชีวิตของเราทั้งชีวิตนี่เนอะ
 :m18: :m18: :m18: :m18:
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 02-11-2007 00:56:32

...........ความทรงจำ........

..........มันทำหั้ยเรายิ้มและร้องไห้ได้ในเวลาเดียวกัน......... :undecided: :undecided:
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 02-11-2007 01:03:23
ลงชื่อไว้ก่อง ๆ ยางม่ะอ่านหรอกพี่ชาย  :m14: :m14:

ลป.  จัยร้ายมากเรยนะ ไปกินฟูจิม่ายชวนกานอ้ะ   :m26:
       น้องชายจะตายเพราะสอบแคลฯ แร้วหล่ะ  :m8:
       โกดแร้น ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ  :m16: :m16:
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 02-11-2007 09:01:42
ลงชื่อไว้ก่อง ๆ ยางม่ะอ่านหรอกพี่ชาย  :m14: :m14:

ลป.  จัยร้ายมากเรยนะ ไปกินฟูจิม่ายชวนกานอ้ะ   :m26:
       น้องชายจะตายเพราะสอบแคลฯ แร้วหล่ะ  :m8:
       โกดแร้น ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ  :m16: :m16:

เมิงไปวันนั้นกรูยังโดนรุมด่า ขืนลากไปอีกกรูมิโดนเสยรึ  :a6:

สอบไปเหอะ ไว้สอบเสดค่อยแรดอีกที

 :laugh:

หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 02-11-2007 12:57:11
เพราะชีวิตคือชีวิตเมื่อมีเข้ามาก็ต้องมีเลิกไปมีสุขสมหวังมีทุกข์โศกยังไงก็สู้ๆนะครับ(เป็นนิยายที่ยาวได้ใจเลยจริงๆ :m3:)
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 02-11-2007 15:10:07


เมิงไปวันนั้นกรูยังโดนรุมด่า ขืนลากไปอีกกรูมิโดนเสยรึ  :a6:

สอบไปเหอะ ไว้สอบเสดค่อยแรดอีกที

 :laugh:



สอบเสดแร้วเด้ะ ๆๆ  :m17:
แต่ว่า กลับบ้านอ่ะ  :m23:
กลับไป ม.อีกที ก้อ 8 นู่นแน่ะ  :m17: :m17:
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 05-11-2007 15:05:20
เพิ่งมีเวลามาอ่านน่ะพี่ชาย  :m17:

กระทู้ตกไปไกลเหมือนกันนะเนี่ย  :เฮ้อ:

ปล. ไวท์ ... หุหุหุ  :m12: :m12: :m12:
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 05-11-2007 22:04:12
แว่บมาช่วยดัน ไม่ได้อ่านมาสักพัก

อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกซ์ ชอบแจ๊ค :m1: น่ารักดี

มาต่ออีกเรื่องเร็วนะครับ ต้น
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 18-11-2007 19:26:38
เรื่องนี้เป็น "เรื่องแปล" นะครับ เป็นหนึ่งในเรื่องสั้นที่ผมประทับใจมาก
เรื่องเกี่ยวกับทหารหนุ่มๆครับ (เอิ๊กๆๆ น้ำลายหก)  :laugh:
ผมแปลเอาไว้สักพักใหญ่ๆแล้วล่ะ ตัดสินใจอยู่นานว่าจะเอามาลงดีมั๊ย
และสุดท้ายก็คิดว่าเอามาให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆได้อ่านได้สัมผัสกับความอรู้สึกเหมือนๆกับที่ผมเคยได้สัมผัสก็น่าจะดีครับ
และที่สำคัญ....... มันมีส่วนสำคัญในการเขียนเรื่องของผมเองด้วย เป็นแรงบันดาลใจให้ผมอย่างดีเลย
ถ้าเจออะไรคุ้นๆก็ไม่ต้องแปลกใจไปหนาาา
 :impress:


บัดดี้


ผมรู้ว่าคนที่นอนอยู่ในถุงห่อศพนั้นคือบัดดี้ ผมเห็นทหารคนอื่นเป็นคนวางเขาลงไปเอง แต่ทำไมกัน ทำไมผมถึงไม่ใช่คนที่ไปนอนอยู่ข้างๆเขา ผมมองไปยังบัดดี้จากนั้นก็ก้มลงมองดูขาของผมเอง....... แต่มันไม่อยู่แล้ว ดูไม่มีร่องรอยว่าเคยมีขาอยู่ตรงนั้นด้วยซ้ำ เมื่อผมเห็นดังนั้น ความทรงจำของเรื่องราวที่เพิ่งผ่านมาก็วิ่งเข้ามาชนผมเข้าอย่างจัง ผมตะโกนร้องเรียกความช่วยเหลือจากหน่วยแพทย์ทันที แต่เขากลับบอกผมว่าเขาไม่สามารถช่วยผมให้ทุเลาจากอาการเจ็บปวดลงได้

“เอายาเหี้ยอะไรก็ได้มาให้ผมเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นก็เอาปืนมา แล้วผมจะช่วยให้ตัวเองหายเจ็บเอง” ผมพูดใส่หน้าเขา

เขามองหน้าผม จากนั้นก็ฉีดมอร์ฟีนให้ผมอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก หลังจากนั้นไม่นานสมองของผมก็เริ่มจะจมดิ่งไป...........

.
.
.

เพิ่งจะเมื่อคืนนี้เอง ที่ผมกับบัดดี้กำลังมีอะไรกัน เขาคือผู้ชายคนแรกของผมที่ผมเคยใช้ปากด้วย และตอนนี้ผมก็ทำแบบนั้นให้เพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้น ครั้งแรกที่เราใช้ปากให้แก่กันนั้น บัดดี้เป็นคนเริ่มทำให้กับผมก่อน ส่วนผมก็ใช้นิ้วลูบไล้ไปบนเส้นผมสั้นเกรียนของเขาช้าๆจนกระทั่งผมหลั่งในปากของเขา เมื่อเขากลืนทุกหยอดลงคอไปหมดแล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วก็พูดว่า “ขอบใจ”

ผมคว้าตัวของเขาขึ้นมา ลูบไล้ไปบนส่วนต่างๆของร่างกายของเขาจนกระทั่งเจอเข้ากับน้องชายที่แข็งราวกับท่อนไม้ของเขา ผมก้มต่ำลงไปใช้ปากให้กับเขา ตอนแรกมันก็ทุลักทุเลพอสมควร แต่เมื่อบัดดี้เริ่มส่งเสียงครางออกมาอย่างพอใจ ผมก็เร่งเครื่องเต็มที่ ผมทำทุกๆอย่างจนกระทั่งเขาฉีดน้ำของเขาลงไปในคอของผมเช่นเดียวกัน

เมื่อผมลุกขึ้นยืน เขาก็มองหน้าของผม “ตอนนี้มึงเป็นของกูแล้วนะ”

“มึงเองก็เหมือนกัน” ผมยิ้มกว้าง

เขายิ้มกว้างแล้วก็พยักหน้า “มันต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว”

.
.
.

ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งในโรงพยาบาล รู้สึกถึงความเจ็บปวดและความแสบร้อนจากทั่วทั้งด้านข้างของร่างกายของผม และขาของผมก็เป็นเพียงความทรงจำไปแล้ว พยาบาลที่กำลังดูแลผมอยู่บอกผมว่าพวกเขาจับผมใส่เครื่องบินแล้วส่งผมมายังที่แห่งนี้ ผมพยักหน้ารับ จากนั้นความคิดถึงและความทรงจำเกี่ยวกับบัดดี้ก็วิ่งเข้ามาจนเต็มจิตใจของผม และมันก็ทำให้ผมเริ่มต้นร้องไห้อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำให้เหล่าพยาบาลต้องเข้ามาช่วยกันฉีดยาให้แก่ผม แล้วหลังจากนั้นผมก็ผล็อยหลับไป

ผมอายุสิบเก้าและสูงเกือบๆร้อยแปดสิบเซนติเมตร ผมมีผมสีบลอนด์ ตาสีน้ำตาล และมีผิวสีแทนอ่อนๆ ผมไม่เคยสังเกตหน้าตาของตัวเองมาก่อนเลยจนกระทั่งผมได้พบกับบัดดี้ และเขาก็ย้ำเตือนพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าผมมันน่ารักเป็นบ้าเลย และเมื่อผมมองไปที่บัดดี้ ผมก็เห็นสิ่งๆเดียวกันนั้นในตัวเขาเช่นเดียวกัน เขากับผมมีขนาดร่างกายพอๆกัน เพียงแต่ว่าเขามีผมสีดำหนา และทุกครั้งที่ผมได้ใช้นิ้วไล้ไปบนเส้นผมของเขานั้น มันก็ทำให้ผมรู้สึกมีอารมณ์ขึ้นมาได้เสมอๆ และมีอยู่ครั้งหนึ่งด้วยที่แค่ผมได้ลูบไล้ผมของเขา ผมก็ถึงกับหลั่งออกมาได้โดยที่ไม่ต้องแตะต้องตัวเองเลย บัดดี้หัวเราะชอบใจและบอกกับผมว่า เขาดีใจมากที่ไม่ต้องไปห่วงว่าผมจะไปวุ่นวายกับคนอื่นเลย เพราะไม่มีใครในค่ายที่มีเส้นผมแบบเขาอีกแล้ว

ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสิ่งที่ผมกับบัดดี้ทำนั้นเป็นเรื่องของพวกรักร่วมเพศ เราสองคนนอนอยู่ด้วยกันในความมืด จูบปากแลกลิ้นกัน และใช้ปากอมให้แก่กันและกัน และผมก็ไม่เห็นและไม่รู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นมันจะผิดตรงไหน เมื่อผมถามบัดดี้เรื่องนี้ เขาก็ยิ้มตอบกลับมา

“ช่างหัวพวกแม่งเหอะ กูไม่แคร์ว่าคนอื่นมันจะคิดยังไง แต่กูแคร์แค่มึงเพียงคนเดียว ถ้าสิ่งที่เราทำมันจะเป็นเรื่องเกย์ๆก็ช่างแม่ง กูก็จะเป็นเกย์เพื่อมึงและจะเป็นตลอดไปด้วย”

บัดดี้ได้กลายมาเป็นโลกทั้งใบของผมไปแล้ว เมื่อตอนที่เราเข้าฐานทัพ เขาก็ได้อยู่หน่วยเดียวกับผม เมื่อเราสองคนถูกสั่งให้นอนแบบหัวชนเท้า ซึ่งก็คือผมต้องนอนเอาหัวไปไว้ที่ปลายเท้าของเขาและเขาก็ต้องนอนโดยมีเท้าของผมวางอยู่ตรงหน้าของเขา ทุกๆครั้งที่ผมมองลงไปที่เท้าของตัวเอง ผมก็จะเห็นเขากำลังมองผมอยู่เช่นกัน

ช่วงระหว่างประจำการ พวกเราต่างก็คอยระวังและดูแลกันและกันมากกว่าใครคนอื่นๆ ไม่ว่าจะยามที่ผมต้องเจอกับภาวะยากลำบากขนาดไหน เขาก็จะคอยให้กำลังใจและช่วยเหลือผมอยู่ตลอดเวลา

เราทั้งคู่ต่างก็ไม่มีครอบครัว เพราะฉะนั้นเมื่อวันจบการศึกษาและออกจากฐาน พวกเราจึงเปิดห้องโรงแรมห้องหนึ่งไว้ พวกเราสั่งอาหารขึ้นมากินกัน จากนั้นเราก็ถอดเสื้อยูนิฟอร์มออก แล้วบัดดี้ก็เริ่มต้นใช้ปากให้กับผมทันที และเมื่อผมเสร็จผมก็ทำคืนให้กับเขาบ้างเช่นกัน แต่แล้วจู่ๆ ผมก็คิดอยากทำอย่างอื่นที่มากกว่านั้น ผมจับบัดดี้ให้นอนคว่ำลงแล้วผมก็จ่ออาวุธของผมเข้าไปที่ปากทางเข้าของเขา เขาคอยบอกผมอยู่ตลอดเวลาว่าอย่าทำให้เขาเจ็บ แต่ตอนนั้นผมไม่รู้ตัวเลยว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ ความอยากมันเข้าครอบงำจิตใจของผมไปหมดแล้ว ผมอัดกระแทกเจ้าน้องชายยาวแปดนิ้วของผมเข้าไปจนสุดลำ บัดดี้ร้องออกมาเสียงดังเพราะความเจ็บปวด จากนั้นเขาก็บอกผมว่าห้ามเคลื่อนไหวเด็ดขาด ผมจึงแช่เอาไว้อยู่อย่างนั้น จนเมื่อเขาเริ่มรู้สึกสบายตัวขึ้นมานิดหน่อยแล้วเขาก็ดึงตัวเองออกช้าๆแล้วก็หันมาเผชิญหน้ากับผม และใบหน้าของเขาก็บ่งบอกความรู้สึกออกมาหมดทุกสิ่งทุกอย่าง

“ทิม เมื่อกี๊มันเจ็บชิบหายเลย มึงรู้มั๊ย กูอยากจะสนุกกับมึง ไม่ใช่อยากจะทำให้ก้นของกูฉีกออกแบบนั้น มึงเป็นเหี้ยอะไรของมึงขึ้นมาเนี่ย เราสมควรที่จะเป็นเพื่อนกัน เป็นพี่น้องกันไม่ใช่รึไง” เขาหยุดพูดแล้วก็ใช้มือปาดน้ำตาออก “กูรักมึงเหี้ยๆ แต่มึงกลับทำแบบนี้กับกู มึงกลับกล้าทำร้ายกู”

ผมรีบกระโดดลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงเข้าไปหาเขา บัดดี้กำหมัดแน่นเหมือนกับเขาพร้อมจะต่อยผมได้ทุกเมื่อ “ชกกูเลย บัดดี้ ถ้ามึงต้องการแบบนั้น กูจะยอมรับมันทุกอย่าง แต่ว่ากูไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายมึงจริงๆ มึงก็รู้ ไอ้เหี้ยเอ๊ย มึงก็รู้ว่ากูไม่มีวันทำร้ายมึง” ผมรู้สึกว่าเสียงของผมกำลังสั่นเครือ “ยกโทษให้กูเถอะนะ บัดดี้ กูขอร้อง”

บัดดี้โอบรอบคอของผมแล้วดึงตัวผมเข้าไปแนบกับหน้าอกของเขา เขาจูบลงบนหน้าผากของผม “กูยกโทษให้มึง...... เพราะว่ามึงเป็นคนของกู”

ผมโอบกอดรอบเอวของเขาเอาไว้ “กูเสียใจ บัดดี้”

เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ “กูก็ขอโทษมึง ทิม กูไม่มีทางที่จะชกมึงได้หรอก กูสาบาน”

พวกเรากลับลงไปนอนลงบนเตียงแล้วก็ใช้ปากให้กันและกันอีกครั้ง บัดดี้วางหัวลงบนแขนของผมแล้วฝังหน้าลงบนรักแร้ของผม พอผมบอกเขาว่าเวลาเขาทำแบบนี้แล้วมันทำให้ผมเกิดอารมณ์เขาก็หัวเราะแล้วบอกว่าให้ผมเอาเขาได้แล้ว ตอนนี้เขาต้องการผมแล้ว และครั้งนี้ผมก็ค่อยๆทำมันช้าๆเพื่อให้เขามีความสุขที่สุด

เราสองคนกลายเป็นคู่หูที่แยกจากกันไม่ได้ ไม่มีใครและไม่มีอะไรมาขวางระหว่างเราสองคนได้เลย พวกเรายังเด็ก แต่พวกเราก็เป็นทหาร พวกเราไม่เกรงกลัวอะไรอื่นนอกเสียจากกลัวจะต้องสูญเสียซึ่งกันและกันไป และนั่นก็ไม่ใช่หัวข้อสนทนาที่เรามักคุยกันด้วย ที่ค่ายฝึกนั้นบางทีก็เป็นเหมือนกับสนามเด็กเล่น และบางทีมันก็สามารถโหดร้ายได้ราวกับนรกเลยทีเดียว แต่พวกเราทุกคนก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆสิ่งจากที่นี่เยอะมาก หลายๆสิ่งที่ทำให้เราเป็นทหารที่ฉลาดขึ้นและแข็งแกร่งมากขึ้นก่อนจะถูกส่งไปประจำการที่อิรัก

ขณะที่พวกเรานั่งกันอยู่บนเครื่องบินพร้อมๆกับทหารหนุ่มอีกหลายคน เราต่างก็หยอกล้อและพูดคุยกันถึงเรื่องต่างๆ รวมถึงเรื่องผู้หญิงด้วย จากที่มองๆดูแล้ว คนหรือสองคนในหมู่พวกเรานั้นเคยมีประสบการณ์เรื่องนั้นมาแล้ว แต่ที่เหลือนั้นคงยังไม่เคยเลย ส่วนตัวแล้วผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เพราะผมมีบัดดี้อยู่แล้ว บัดดี้เริ่มบอกคนอื่นๆว่าเราสองคนเป็นพี่น้องต่างพ่อกัน ซึ่งผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะผมก็แค่รักผู้ชายคนนี้มากเหลือเกิน

เมื่อเรามาถึงที่อิรัก นอกจากสัมภาระที่พวกเราติดตัวมา ที่นั่นก็มีความร้อน ทราย และแสงแดดรอรับเราพร้อมอยู่แล้ว พวกเราตั้งเต็นท์กันแต่เช้าตรู่ ผมกับบัดดี้เลือกที่นอนติดกันตรงมุมเต็นท์ ขณะที่ผมกำลังจัดของอยู่นั้น บัดดี้ก็เดินเข้ามาหาผมแล้วบอกว่าเขาหาที่ๆสำหรับเราสองคนส่วนตัวที่นี่ได้แล้ว และเมื่อผมพยักหน้ารับ เขาก็ส่งยิ้มแบบนั้นกลับมาให้ผม รอยยิ้มที่สามารถละลายน้ำแข็งได้ และเขาก็ยังใช้มันละลายหัวใจของผมด้วยเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเราเริ่มคุ้นเคยกับกิจวัตรประจำวันของที่นี่ ผมกับบัดดี้ก็แทบไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวกันเลย แต่เราก็ยังคงได้อยู่ใกล้ๆกันแทบจะตลอดเวลาอยู่ดี ซึ่งนั่นก็มีความหมายสำหรับผมมากที่สุดแล้ว

การได้อยู่กันตามลำพังสองคนที่แนวสังเกตการณ์นั้นเป็นช่วงเวลาวิเศษสุด ไม่มีใครจากภายนอกจะมองเห็นพวกเราได้ และถ้ายังไม่ถึงเวลาเฝ้ายาม พวกเราก็จะมีเวลาได้ทำอะไรๆกันโดยที่ไม่ต้องกังวลจนกว่าจะถึงกะของเราอีกครั้ง เราสองคนจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นกะของผมหรือกะของเขา มีอยู่ครั้งหนึ่งที่บัดดี้นอนหนุนตักของผมเหมือนกับหลายๆครั้ง แล้วถามว่าเราสองคนควรจะอยู่กับกองทัพไปตลอดชีวิตหรือจะออกไปทำอย่างอื่นด้วยกันดี ผมถามเขากลับว่าถ้าเราออกไปแล้วเราจะออกไปทำอะไรกันดี บัดดี้หัวเราะแล้วก็ตอบกลับมาว่า

“หางานทำ หาที่อยู่ ก็เหมือนกับคนอื่นๆในโลกไง”

“พูดจริงรึเปล่า” ผมไม่เคยละสายตาออกไปจากใบหนาของเขาเลย

“แหงสิ” เขาพยักหน้า “กูไม่อยากจะไปอยู่ที่ไหนโดยไม่มีมึงเด็ดขาด”

ผมแน่ใจว่าเขามองเห็นสายตาแห่งความกังวลของผมเพราะว่าผมไม่เคยทำงานที่ไหนมาก่อนเลย ผมมันก็เป็นแค่เด็กบ้านนอกธรรมดาๆ ผมอยากจะอยู่กับบัดดี้ แต่ผมก็กลัวว่าผมจะไม่มีเงินพอสำหรับใช้ชีวิต แล้วหลังจากนั้นไม่นานพวกเราก็คงต้องแยกจากกัน ยิ่งผมมองใบหน้าของเขามากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งอยากจะให้เขาได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น และยิ่งทำให้ผมรู้ตัวว่าผมคงจะให้อะไรเขาไม่ได้ถ้าหากผมไม่มีเงินมากพอ เขามองผมตอบกลับมาด้วยสีหน้าแบบเดิมๆที่ช่วยคลายกังวลให้แก่ผมมาตลอด

“ทิม มันไม่สำคัญหรอกว่าเราจะนอนที่ไหนหรือทำงานอะไร ตราบเท่าที่เรามีกันและกัน ทุกๆอย่างนอกเหนือจากนั้นมันก็จะลงตัวเองนั่นแหละ กูสาบาน”

น้ำเสียงและคำพูดของเขาช่วยปลอบใจผมและทำให้ผมเห็นความหวังขึ้นมาอีกครั้ง ผมมองไปรอบๆตัวว่ามีใครอยู่แถวนั้นรึเปล่าจากนั้นก็ก้มลงจูบเขา พวกเราเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบ และเราก็รู้มันดีด้วย

หกเดือนต่อมาขณะที่เราอยู่กันตามลำพังอีกครั้ง ผมบอกบัดดี้ว่าผมรักเขา เขาจ้องตาผมกลับมาด้วยแววตาเป็นประกายภายใต้แสงจันทร์ ผมเห็นสีหน้าหวั่นไหวของเขา จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงอันหวั่นไหว

“ห้ามมึงพูดประโยคนั้นออกมาอีกเด็ดขาดนะ ทิม มึงเข้าใจมั๊ย”

ปกติแล้วผมมักจะเห็นด้วยกับบัดดี้ทุกๆอย่างนะ แต่ไม่ใช่ครั้งนี้ “ช่างมึงสิ ไอ้เหี้ยเอ๊ย กูไม่สนหรอกนะว่ามึงจะว่ายังไง กูรักมึง และจะรักตลอดไปด้วย ถ้ามึงไม่ชอบที่กูพูดแบบนั้น ก็เอาปืนที่มึงสะพายบ่าอยู่มาจ่อหัวกูแล้วก็ยิงกูให้ตายแม่งไปเลยก็แล้วกัน”

“มึงจะบ้ารึไง ไอ้เหี๊ยเอ๊ย.........” บัดดี้ทิ้งตัวนั่งลงบนพื้น “กูรักมึง รักมานานแล้วด้วย ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกันด้วยซ้ำ มึงก็รู้นี่ การได้รักมึงมันเป็นทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่กูปรารถนาแล้ว แต่นี่มึงมารักกูด้วย มันทำให้กูกลัว กลัวว่ากูจะไม่สามารถปกป้องมึงได้.........” เขามองหน้าผมอีกครั้งจากนั้นก็หันหน้าหนีไปทางอื่น “ช่างมันเถอะ กูก็แค่มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยเท่านั้นเอง..........”

บัดดี้นิ่งเงียบไปอีกราวๆสองชั่วโมง ผมเผลอผล็อยหลับไปหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งบัดดี้ปลุกผมขึ้นมา

“ทิม ตื่นก่อน กูคิดมากเรื่องนี้จนจะบ้าตายอยู่แล้วนะ”

ผมลืมตาขึ้นมามองหน้าเขา ใบหน้าของเขาด้านหนึ่งมีรอยดินเปื้อนอยู่ ผมอยากจะดึงตัวเขาเข้ามากอดและจูบเขาเหลือเกิน แต่ผมก็ทำไม่ได้เพราะเขามีเรื่องสำคัญที่อยากจะคุยกับผม และเขาก็ต้องการให้ผมตั้งใจฟังเขา

“ทิม กูรักมึงมากกว่าที่กูเคยรักใครๆซะอีก กูรู้สึกเหมือนกับในที่สุดกูก็ได้มีครอบครัวกับเขาบ้าง แต่ในขณะเดียวกันกูก็กลัวที่จะเสียมึงไปด้วย ถ้าเกิดทางกองทัพจะปลดพวกเราออกเพราะว่าเราเป็นเกย์ กูก็ยังโอเคกับมันนะ กูรู้ว่ากูดูแลมึงได้ และมึงก็จะมีความสุขด้วย.......” บัดดี้สูดลมหายใจเข้าช้าๆ และเสียงของเขาก็เริ่มสั่นเครือ “แต่ว่าถ้าเกิดมึงตายที่นี่ขึ้นมา กูก็จะยิงตัวตายตามมึงไปด้วย กูไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยปราศจากมึงได้จริงๆ และแค่การที่กูคิดว่ากูไปสัมผัสตัวกับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่มึง มันก็ทำกูรู้สึกอยากจะอ้วกแล้ว ทิม กูรู้สึกแบบนั้นจริงๆ กูไม่เคยเสียใจกับสิ่งที่กูเป็นเลย และสิ่งที่กูต้องการมากที่สุดก็คือมึงกับกูสองคน นอกเหนือไปจากนั้นแล้ว เราสองคนสามารถร่วมกันทำและฝ่าฟันมันไปเองทีหลังได้ ใช่มั๊ย”

ผมมองหน้าบัดดี้จากนั้นก็เริ่มต้นร้องไห้ออกมา ผมไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าใครมาก่อนเลย ผมยอมตายดีกว่าที่จะร้องไห้ให้ใครเห็น แต่ที่นี่ เวลานี้ ตอนนี้ ทหารคนหนึ่งกำลังทำให้ผมร้องไห้ราวกับตัวเองเป็นเด็กอายุสองขวบ บัดดี้ดึงตัวของผมขึ้นไปกอดอย่างแนบแน่น เขาจูบทางด้านข้างของหัวของผมและบอกผมว่าทุกๆสิ่งมันจะต้องไม่เป็นอะไร ทุกๆอย่างจะต้องโอเค เขาบอกว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของผม เพราะเขาเองก็รู้สึกแบบนั้นเช่นเดียวกัน

เขาใช้นิ้วโป้งปาดน้ำตาของผมออก “มึงโอเคขึ้นรึยัง”

ผมเอื้อมมือออกไปเช็ดคราบดินออกจากหน้าของเขา “บัดดี้ มึงสาบานกับกูเดี๋ยวนี้ได้มั๊ย ว่าระหว่างเราจะต้องไม่เกิดเหี้ยอะไรขึ้นเด็ดขาด สาบานกับกูสิ”

เขาเอื้อมมือมาวางลงบนหลังคอของผม “พวกเราจะต้องไม่เป็นอะไร กูสาบาน”

ผมพยายามจะยิ้ม แต่ผมก็ทำไม่ได้ ผมกุมมือของเขาเอาไว้จากนั้นก็มองตาเขา “บัดดี้ มันไม่สำคัญสำหรับกูเลยจริงๆนะว่าเราจะทำอะไรกันตราบเท่าที่เรามีกันและกัน กูกลัว...... กูกลัวจริงๆ กลัวว่ากูจะเสียมึงไป ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับมึงล่ะก็ กูอยากให้มึงรู้ไว้นะว่าชีวิตของกูก็จบสิ้นลงด้วยเหมือนกัน”

ผมเห็นว่าเขากำลังเริ่มจะร้องไห้ ผมจึงจูบลงบนแก้มของเขา จากนั้นก็รีบยืนขึ้นเมื่อได้ยินเสียงจ่ากำลังเดินมา

คืนนั้นทั้งคืนผมคิดถึงแต่บัดดี้ ความตายจะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ผมต้องการถ้าหากผมต้องอยู่ต่อไปบนโลกใบนี้โดยปราศจากเขา ผมรู้สึกว่าผมสามารถตายไปตั้งแต่ตอนนี้โดยรู้สึกโอเคกับมันเลยด้วยซ้ำ หลายวันต่อมาเมื่อผมมีโอกาส ผมก็ไปทำพินัยกรรมเรื่องยกทรัพย์สินและเงินเดือนทั้งหมดของผมให้กับบัดดี้ ผมไม่มีครอบครัวและใครอื่นดังนั้นผมจึงสามารถยกมันให้กับใครก็ได้ที่ผมต้องการ แต่ผมไม่เคยบอกบัดดี้ในเรื่องนี้เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงต้องโกรธผมแน่

สองเดือนถัดมาเป็นช่วงเวลาที่ลำบากมาก ยุทโธปกรณ์ของเราก็เริ่มร่อยหรอลง และในเมื่อไม่มีทหารชุดใหม่ถูกส่งมาเร็วๆนี้เราจึงต่างก็ต้องทำงานกันหนักมาก ทุกคนต่างก็เหนื่อยอ่อน และมันก็ต่างกันเพียงแค่นิดเดียวที่จะฆ่าคนอื่นหรือถูกฆ่าเอาได้ง่ายๆ แต่ทว่าพวกเราก็ได้รับมอบหมายภารกิจมา ดังนั้นเราจึงไม่สามารถปริปากบ่นได้ ผมรู้สึกเป็นห่วงบัดดี้ขึ้นมาทันที ผมอยู่ในช่วงที่รู้สึกไม่สบายทุกๆครั้งที่อาหารเข้าไปในปาก ผมอยากจะอ้วกอยู่ตลอดเวลา และผมรู้ตัวว่ามันเกิดมาจากความเครียดนั่นเอง

สามเดือนครึ่งผ่านไปจนเราได้หนึ่งสัปดาห์ให้พักในพื้นที่ปลอดภัย ทั้งค่ายทหารต่างก็มีน้ำอุ่นให้อาบ มีอาหารดีๆ และชุดยูนิฟอร์มของเราก็ได้รับการซักรีด บัดดี้กับผมได้ตัดผมใหม่ แล้วก็ใช้เวลาชั่วโมงนึงในการเลือกซื้อวีดีโอเกม แต่เราก็ไม่ได้ซื้ออะไรมากไปกว่าโค้กสองกระป๋องและมันฝรั่งถุงใหญ่หนึ่งถุง พวกเราได้นั่งในห้องแอร์ดูหนังกันตามลำพังสองคนซึ่งมันเป็นอะไรที่วิเศษมาก ตอนกลางคืน เราสองคนก็เจอสถานที่เงียบๆและเป็นส่วนตัวที่หนึ่ง พวกเราสองคนนั่งลงและคุยกันเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งบัดดี้เป็นฝ่ายเริ่มพูดเรื่องหนึ่งขึ้นมา

“ทิม กูเปลี่ยนสัญญาแล้วก็ไอ้พวกมรดก ทรัพย์สิน เงินเดือนเหี้ยอะไรพวกนั้นไปให้มึงหมดแล้วนะ กูจะไม่มีวันรักใครมากเท่ากับมึงแน่นอน เราสองคนจะไม่เป็นอะไร มันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในเมื่อเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว กูก็เลยแค่รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่กูต้องทำ มึงเข้าใจกูมั๊ย”

“บัดดี้ กูเองก็ทำแบบนั้นไปแล้วเมื่อสองสามเดือนก่อนเหมือนกัน ก็เหมือนกับที่มึงพูดนั่นแหละ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนี่นะ”

คืนนั้นมีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับบัดดี้ เขาดูกระวนกระวายใจและดูอ่อนไหวมาก ผมนั่งอยู่ข้างๆเขา เอามือวางบนขาของเขาและลูบขึ้นลูบลงช้าๆ รอจนกว่าเขาพร้อมที่จะพูดมันออกมา จนในที่สุดเขาก็มองไปรอบตัวแล้วก็ยืนขึ้น

“ตามกูมา” เขาบอกผม

ผมเดินตามเขาไปในเทรลเลอร์ที่ใช้เก็บผ้าปูที่นอนและผ้าห่ม เมื่อเราสองคนอยู่ข้างในแล้วเขาก็ล็อคประตู จากนั้นก็คลานพาผมเข้าไปตรงกลาง บัดดี้ปิดไฟฉายลงจากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าตัวเองออก ผมเองก็ถอดของตัวเองออกเช่นกัน เราสองคนจูบปากกันอย่างดูดดื่ม และนอนลงบนผ้าปูผืนหนึ่ง บัดดี้กุมมือของผมเอาไว้และวางหัวลงบนต้นแขนของผม ผมจูบที่ใบหูของเขาแล้วก็บอกเขาว่าเขาสามารถบอกผมได้ทุกเรื่อง เขานอนตะแคงข้างแล้วก็ขอร้องให้ผมกอดเขาแน่นๆ ผมทำตามที่เขาบอกและเขาก็เริ่มต้นร้องไห้และพูดสิ่งที่อยู่ในใจของเขา สิ่งที่เขารู้สึกไม่สบายใจทั้งหมดออกมา เมื่อเขาเงียบลงแล้ว ผมก็ค่อยๆยกประคองด้านข้างของหน้าของเขาให้หันมาหาผม จากนั้นเราสองคนก็นอนกอดกันจนหลับไป จนกระทั่งนาฬิกาข้อมือของผมปลุกผมให้ตื่นขึ้นตอนตีสี่ ผมปลุกบัดดี้อย่างอ่อนโยน เขายิ้มให้ผมแล้วก็บอกผมว่าเขารักผม จากนั้นเราสองคนก็ร่วมรักกันก่อนที่ผมจะต้องไปเข้าเวร

หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 18-11-2007 19:27:10

ทุกคนในค่ายเริ่มรู้สึกตื่นเต้นกันมากขึ้นเมื่อการมาประจำการที่อิรักของเรากำลังจะจบลง พวกเราทุกคนล้วนอยากจะกลับไปยังประเทศของเรา แต่ในขณะเดียวกันความกังวลก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย เพราะมันดูเหมือนกับว่าเวลาที่ทหารกำลังจะถูกส่งกลับนั้น เป็นช่วงเวลาที่จะมีการเสียเลือดเสียเนื้อและเสียชีวิตมากที่สุดด้วย พวกเราทุกคนต่างก็รู้กันถึงเรื่องนี้แต่ก็ไม่มีใครกล้าปริปากอะไร ก่อนที่เราจะเก็บของกันนั้นก็เป็นการตรวจตราครั้งสุดท้ายสำหรับพวกเรา พวกเราแพ็คของและขนมันขึ้นรถ แต่เราไม่รู้เลยว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น มีผู้ชายชาวอิรักแก่ๆคนหนึ่งก้มๆเงยๆร้องขอเงินและอาหารอยู่ที่หน้าประตูตอนเวลาราวๆตีสอง บัดดี้รู้สึกสงสารเขาจึงมอบเงินให้ไปนิดหน่อย ผู้ชายคนอื่นๆก็ยื่นสิ่งของให้แก่เขา ตอนนั้นมีคนอยู่แถวนั้นราวๆห้าหกคนได้ แต่เพียงไม่กี่วินาทีถัดมาชายแก่คนนั้นก็ระเบิดตัวเอง พวกเราทุกคนต่างก็ปลิวกระเด็นถอยหลังออกมาเพราะแรงระเบิดราวกับตุ๊กตาผ้า ผมได้ยินเสียงคนกรีดร้องตะโกน ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมไม่สามารถขยับตัวได้อย่างที่ใจต้องการแม้แต่นิดเดียว ผมหันไปเห็นบัดดี้กำลังนอนตะแคงอยู่บนถนน ขาของดูราวกับถูกใครสักคนหักพับครึ่งไปทางด้านหลัง ผมไม่สามารถมองเห็นอะไรได้มากไปกว่านั้นจนกระทั่งมีคนสาดแสงมาที่เขา ใบหน้าของเขาซีกหนึ่งหายไปแล้ว ทหารพยาบาลคนหนึ่งวางนิ้วลงบนต้นคอของบัดดี้เพื่อจับหาชีพจรแล้วก็ส่ายหัว เมื่อเขาตรงเข้ามาหาผมเขาก็รัดสายห้ามเลือดที่ขาของผมก่อนที่จะเลื่อนไปที่แผลที่บ่าของผมต่อ ห้านาทีถัดมาทั่วทั้งบริเวณก็ถูกห้อมลอบไปด้วยตำรวจอิรักและเหล่านาวิกโยธินสหรัฐ รถพยาบาลจอดกันอยู่เต็มสองฟากถนน ผมมองตามร่างของบัดดี้ที่ถูกวางลงในถุงห่อศพด้วยหัวใจที่แตกสลาย คืนนั้นมีคนสามคนต้องตาย และสิ่งเดียวที่ผมจำได้ก็คือบัดดี้ตายไปแล้ว ผมรู้สึกหายใจไม่ออกและเรียกร้องตะโกนให้คนช่วย เขาบอกว่าเขาไม่สามารถช่วยระงับการเจ็บปวดของผมได้ ผมจึงบอกให้เขายิงผมทิ้งซะ จากนั้นเขาจึงยอมฉีดมอร์ฟีนให้แก่ผม............

.
.
.

ผมอยู่ในศูนย์พักฟื้นเป็นเวลากว่าสามเดือน ผมไม่ใช่ทหารเพียงคนเดียวที่นี่ ทุกคนล้วนต่างก็เป็นทหารที่บาดเจ็บและสูญเสียอวัยวะเช่นกัน ผมเสียขาหนึ่งข้างและนิ้วมืออีกสองนิ้ว ผมมีแผลเป็นทั่วทั้งตัวจากสะเก็ดระเบิด แต่บาดแผลที่ไม่มีใครมองเห็นนั้นก็คือบาดแผลจากการสูญเสียบัดดี้ เท่าที่ผ่านมาผมถูกรักษาและดูแลอยู่ตลอดเวลาจนแทบไม่มีเวลาได้คิดเรื่องอะไรเลย แต่ตอนนี้เขาเริ่มหยุดให้ยาผมแล้ว มันจึงทำให้ผมคิดถึงบัดดี้ทุกๆนาทีที่ผมหายใจ และสิ่งๆเดียวที่ผมต้องการก็คือความตาย ผมไม่ได้กินอะไรเลยมาเกือบสองสัปดาห์ และหมอก็คงจะบังคับให้ผมต้องกินเร็วๆนี้ แต่มันก็ไม่สำคัญสำหรับผมอีกแล้ว ผมจะดึงสายออกเอง มันถึงเวลาที่ผมควรจะตายสักที เมื่อไม่มีบัดดี้แล้ว ผมก็ไม่เหลืออะไรอีกต่อไป ถึงจิตแพทย์จะพอช่วยผมได้บ้าง แต่ผมก็บอกเขาเรื่องบัดดี้ไม่ได้อยู่ดี เขาบอกผมว่าผมกำลังอยู่ในช่วงหดหู่และความเครียดจากการที่เห็นเพื่อนถูกฆ่าพอๆกับการที่ได้รับบาดเจ็บด้วยตัวเอง ผมเห็นด้วยกับเขาแล้วก็ปล่อยให้เรื่องมันจบลงแค่ที่ตรงนั้น ผมเริ่มกินอาหารมากพอที่จะทำให้ผมมีแรงและทำให้ผมสามารพบกับจิตแพทย์ได้อีกเรื่อยๆ

สมาชิกของเหล่านาวิกโยธินมาเยี่ยมผมแล้วก็จากไป ผมพยายามจะทำตัวเป็นมิตรแต่ก็ทำไม่ได้ จิตใจของผมมันเต็มไปด้วยความสูญเสียและความปรารถนาที่จะตาย ในระหว่างเดือนที่ห้าในศูนย์บำบัด ผมก็สามารถเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนด้วยตัวได้เพราะอวัยวะเทียม ตอนนี้ผมสามารถเดินออกจากเตียงโดยไม่ต้องพึ่งความช่วยเหลือจากคนอื่นได้แล้ว ผมจึงสามารถที่จะกลับมาคิดถึงเรื่องแผนการของผมได้อีกครั้ง ผมตั้งใจจะเดินออกจากโรงพยาบาล หาห้องในโรงแรมสักห้องหนึ่ง แล้วก็ใช้ปืนยิงสมองของตัวเองตาย

คืนวันเสาร์เป็นเวลาที่รอบบริเวณนี้จะเงียบและปลอดคนมากที่สุด ผมค่อยๆเดินออกจากห้องและเดินลงบันไดไปโดยพยายามไม่ให้คนเห็น เมื่อมาถึงชั้นล่างสุดผมก็ต้องยืนพักหายใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินต่อออกไปนอกตึกได้ ความหนาวเย็นของลมต้นฤดูหนาวสัมผัสเข้ากับผิวของผมเข้าอย่างจัง ผมยืนตัวสั่นอยู่สองสามนาทีก่อนจะออกเดินต่อ ผมเดินข้ามถนนไปยังสวนสาธารณะเล็กๆและเดินไปยังม้านั่งเพื่อจะหยุดพักอีกครั้ง ตรงนั้นเองที่ผมเห็นชายคนหนึ่งแต่งตัวในชุดเดียวกับที่ผมใส่อยู่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวนั้น เขาดูมีอายรุราวๆปลายๆยี่สิบ ยิ่งผมเข้าไปใกล้เขามากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของเขาชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น หัวใจของผมแตกสลายลงทันทีที่ผมได้ยินเสียงร้องของเขา มันทำให้ผมคิดถึงบัดดี้มากจริงๆ ผมนั่งลงข้างๆเขาโดยไม่ได้พูดอะไรออกไป เขาเงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วก็เอ่ยขอโทษ ผมมองหน้าเขาแล้วบอกเขาว่าผมจะไปในอีกไม่กี่นาทีนี้แล้ว

“คุณจะไปไหนล่ะ” เขาถามผม

ผมยิ้มตอบเขา “ชีวิตของผมมันจบแล้วครับ ผมกำลังจะไปฆ่าตัวตายคืนนี้”

เขาพยักหน้า “ผมก็มาอยู่ที่นี่ตอนนี้เพราะเหตุผลเดียวกับคุณเหมือนกัน ชีวิตของผมมันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว”

“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ”

เขาเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าแล้วก็เริ่มเล่าถึงเหตุเพลิงไหม้และการระเบิดที่ทำให้เขาต้องเสียขาทั้งสองข้างของเขาไป

“แต่เท่าที่ดูนี่มันดูไม่ออกเลยนะครับว่าคุณมีขาเทียมน่ะ ผมว่าคุณยังสามารถมีชีวิตต่อไปได้มากกว่าที่คุณคิดนะ” ผมพูดออกไปโดยไม่ทันได้คิด

“คุณจะมารู้อะไร” เขาส่ายหน้า “เมียผม ลูกชายผม........ ทั้งคู่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ตอนที่เขากำลังจะมาเยี่ยมผมที่นี่ ตอนนี้ผมสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดแล้ว”

ผมพึมพำคำว่าขอโทษแล้วก็ลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะเดินจากไป

“กลับมาก่อน ผมเสียใจ...... ผมขอโทษ” เขาร้องห้ามผมไว้

ผมหยุดยืนและไม่ได้เคลื่อนไหวอีกราวๆสองสามนาที จากนั้นก็เดินกลับมานั่งลงที่เดิม

“ผมดาริน แล้วคุณล่ะ ชื่ออะไร” เขายื่นมือออกมา

ผมยื่นมือออกไปแล้วจับมือกับเขา “ทิม”

เขาถามผมว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ผมเล่าให้เขาฟังหมดทุกอย่าง รวมทั้งเรื่องความรักของผมกับบัดดี้ ตอนที่ผมต้องสูญเสียขา และท้ายที่สุด คือตอนที่เห็นถุงห่อศพที่บรรจุร่างกายของบัดดี้นั้นถูกเคลื่อนย้ายออกไปด้วย

ดารินมองตาของผมตลอดเวลาที่ผมเล่าเรื่อง “ผมรู้ว่ามีคนบางคนในกองทัพที่เป็นเกย์นะ แต่ผมไม่เคยรู้จักใครที่เป็นแบบนั้นเลย คือ ผมไม่ได้ตั้งใจหมายความแบบนั้นนะครับ แต่ผมหมายถึงว่าผมกับเมียก็มีเพื่อนที่เป็นเกย์หลายคนเหมือนกัน แต่ผมไม่เคยเจอใครที่เป็นเกย์และอยู่ในกองทัพมาก่อน เท่าที่ดูนี่ผมก็คงไม่มีทางคิดว่าคุณเป็นเกย์แน่ๆ”

ผมมองตาเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรู้สึกสงบลง “ถ้าคุณต้องการให้ผมเดินจากไป ผมก็จะไป ผมไม่ต้องการให้ใครมาตัดสินเรื่องการใช้ชีวิตของผม ผมรักทหารอีกคนหนึ่ง เขาตายไปแล้ว และผมก็คิดถึงเขามากเท่าๆกับที่คุณคิดถึงครอบครัวของคุณนั่นแหละ”

ดารินก้มหน้าลงทันที “ผมเข้าใจ เชื่อผมเถอะ ผมขอโทษ”

ผมพยายามจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยการขอให้เขาโชว์ขาของเขาให้ผมดู หลังจากนั้นเราก็คุยกันเรื่องที่พวกเราผ่านกันมาในอิรักและต้องมาจบลงอย่างเดียวดายที่สถานฟื้นฟูนี่ ดารินถามผมว่าผมรู้หรือเปล่าว่าอีกไม่กี่เดือนผมก็ต้องรีไทร์ออกจากการเป็นทหารเนื่องจากความทุพลภาพหลังจากที่การฟื้นฟูของเราจบลงแล้ว

เขาคงมองเห็นความหวาดกลัวอยู่ในสายตาของผมแน่ เขาจึงรีบอธิบายว่าผมยังคงสามารถเก็บบัตรประจำตัวทหารไว้ได้ ได้เงินสงเคราะห์ค่ารักษาพยาบาล และยังคงได้รับเงินเดือนเต็มโดยไม่ต้องหักภาษีอีกด้วย เขายังบอกผมอีกด้วยว่าผมจะได้เงินสงเคราะห์ทางด้านการศึกษาอีกด้วย

ผมพยักหน้า “แต่มันก็ไม่สำคัญสำหรับผมหรอก ผมไม่ได้วางแผนไว้ว่าจะอยู่ต่อนานถึงขนาดนั้น”

เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ เราคุยกันอีกพักหนึ่ง จากนั้นดารินก็มองหน้าผม “เรามาทำข้อตกลงกันดีมั๊ย ลองมาดูกันว่าถ้าเรายังไม่สามารถหาอะไรหรือเหตุผลใดสำหรับการมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ จากนั้นเราก็รอจนกว่าจะถึงการปลดออก แล้วค่อยไปหาห้องเพื่อฆ่าตัวตายพร้อมๆกัน”

เราสองคนต่างก็รู้กันว่าเราจะไม่มีวันผิดคำสัญญา

ดารินกับผมกลายมาเป็นเพื่อนที่จมอยู่ในความเศร้าและความหดหู่ร่วมกัน พวกเราต่างก็เสียใจและเดียวดาย แต่อย่างน้อยเมื่อเราอยู่ด้วยกัน เราก็มีคนที่จะคอยรับฟังถึงความสูญเสียที่เราต่างก็มีได้ พวกเราไม่เคยเบื่อที่จะร้องไห้ให้กับคนที่พวกเรารักและจากไปเลย หลายเดือนผ่านไป เราสองคนก็เรียนรู้ที่จะใช้ขาเทียมของเราได้ดีขึ้น ผมเริ่มกลับมามีน้ำหนักมากขึ้นเมื่อผมกับดารินใช้เวลากินข้าวด้วยกัน

ครั้งแรกที่ผมเห็นเขาในชุดของนาวิกโยธินเต็มยศ เขาทำให้ผมรู้สึกทึ่งไปเลย เขาสวมยศร้อยเอกและยืนยิ้มให้แก่ผมอยู่

“ผมจะออกจากการอยู่ในกองทัพวันนี้แล้วนะ แต่ผมก็จะยังคงอยู่พักฟื้นที่นี่อีกประมาณสองสัปดาห์ล่ะนะ”

ผมพยักหน้าแล้วเขาก็ทำความเคารพให้กับผมจากนั้นก็เดินออกจากห้องโถงไป หลังจากที่เห็นเขาเดินปิดประตูหายไป ผมก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมอยู่อีกราวๆหนึ่งชั่วโมง เมื่อเขากลับเข้ามา ผมเห็นได้อย่างชัดเจนทีเดียวว่าเขากำลังมีท่าทางไม่ค่อยสบายใจ ผมทำเหมือนผมกำลังอ่านหนังสืออยู่จนกระทั่งเขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม

“ทิม มากับผมหน่อย”

ผมเดินตามเขาไปในห้องของเขา เขาปิดประตูลงและยื่นบรรดาใบรับรองและแฟ้มเอกสารทางการแพทย์ให้แก่ผม

“ในอีกราวๆสองสัปดาห์หน้านี้เดี๋ยวคุณก็จะได้เอกสารแบบนี้เหมือนกันแล้ว”

ผมอ่านทุกอย่างผ่านๆจากนั้นก็วางมันลงบนโต๊ะ เมื่อผมมองไปยังดารินก็เห็นเขากำลังถอดยูนิฟอร์มออกเหลือเพียงกางเกงในตัวเดียว ผมมองไปยังร่างกายของเขาก็เห็นแผลเป็นมากมายแบบเดียวกับที่ผมมี และผมยังเพิ่งสังเกตเห็นอีกด้วยว่าเขาเองก็เป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่งเลยทีเดียว ผมรู้สึกอยากจะหัวเราะออกมาจริงๆ ผมไม่เคยคิดแบบนี้กับคนอื่นเลยนอกจากบัดดี้ แต่ตอนนี้ผมกลับกำลังคิดแบบนั้นกับดารินอยู่ ใบหน้าของผมแดงขึ้นมาทันทีและดารินก็สังเกตเห็นมันด้วย

“เป็นอะไรรึเปล่า” เขาถาม

ผมส่ายหน้า เขานั่งลงข้างๆผมและถอดขาเทียมทั้งสองข้างออกวางไว้บนเตียงของเขา จากนั้นก็เอาผ้าห่มมาคลุมตัวเองเอาไว้ ผมกำลังจะลุกขึ้นยืนแต่เขาก็ห้ามเอาไว้เสียก่อน ผมหันกลับมามองเขา และเขาก็กำลังมองผมอยู่เช่นกัน ผมรู้สึกเหมือนผมต้องพูดอะไรสักอย่างออกไป

“ดาริน ผมรู้สึกดีที่ได้มีคุณเป็นเพื่อนจริงๆนะ ผมเชื่อใจและพึ่งพาคุณมากมาตลอดสองสามเดือนที่ผ่านมา คุณช่วยให้ผมผ่านพ้นวันเหล่านั้นมาได้ ดาริน คุณยังมีโลกทั้งใบรอคุณอยู่ ผมรู้ว่ามันอาจจะฟังดูแปลกที่ผมพูดแบบนี้ แต่คุณเป็นคนที่ดูดีมากจริงๆ ผมไม่ได้อยากจะทำตัวเป็นเกย์กับคุณหรอกนะ ที่ผมอยากจะบอกก็คือ คุณยังสามารถมีเมีย มีลูก มีครอบครัวได้อีกครั้ง เพียงแค่ถ้าคุณให้โอกาสกับตัวเองอีกสักหน.........”

ดารินยกแขนขึ้นมาปิดตาของตัวเอง “ทิม ขอบคุณมากสำหรับทุกอย่าง ผมเข้าใจที่คุณพูดดี ผมขอบคุณเรื่องนั้นมากจริงๆ เพราะว่าเราเป็นเพื่อนกัน ตลอดเวลาที่เรารู้จักกันมาผมมองคุณเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ตอนนั้นคุณยังอายุไม่ถึงยี่สิบด้วยซ้ำ แต่คุณกลับรู้สึกอยากตายแล้ว บางคืนที่ผมนอนอยู่ตรงนี้แล้วคิดถึงการที่คุณจะฆ่าตัวตาย มันทำให้ผมต้องรีบแต่งตัวและเดินออกไปเช็คที่ห้องของคุณดูก่อน จากนั้นผมถึงจะกลับมานอนหลับลงได้.......” เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะพูดต่อ “ทิม ผมไม่สามารถปล่อยให้คุณฆ่าตัวตายได้อีกแล้ว สาบานกับผมด้วยเกียรติของคุณนะว่าคุณจะยังคงรักษาสัญญาของเราเอาไว้ให้นานต่อไปอีกสักหน่อย ถ้าหากเราจะต้องตาย มันก็ต้องเป็นแบบที่เราวางแผนกันเอาไว้ด้วยกันเท่านั้น”

ผมพูดตอบกลับไปด้วยเสียงอันสั่นเทา “ได้ครับ ผมขอสาบานด้วยเกียรติของผมเอง”


หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 18-11-2007 19:28:31
(2)


ดารินออกจากสถานบำบัดในอีกไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ถัดมา เขาบอกกับผมว่าเขาจะกลับมาเยี่ยมผมอีก และให้ผมสาบานที่จะทำตามคำสัญญาของเราสองคนอีกครั้ง ดารินแต่งตัวด้วยเสื้อโปโลและกางเกงขายาว และผมก็ไม่สามารถบอกได้เลยจริงๆว่าเขามีขาเทียม

เขาก้มลงมาจับมือกับผมจากนั้นก็วางมือของเขาลงบนบ่าของผม ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถสบตากับเขาได้ ผมจึงพยักหน้าเบาๆ ผมรู้ว่าผมจะต้องคิดถึงเขามาก ผมรู้สึกสบายใจที่อยู่กับเขา และผมยังเคยชินกับการที่มีเขาอยู่ใกล้ๆมากด้วย พวกเราเป็นเพื่อนกันจริงๆ

หลังจากวันที่เขาเดินออกจากประตูกระจกนั่นไปก็ผ่านไปกว่าหนึ่งเดือน ผมคิดว่าเขาคงจะไปได้ด้วยดีกับชีวิตใหม่ของเขา เขาเป็นคนดี ยังหนุ่ม และหน้าตาดีมากด้วย อีกอย่าง ผมรู้ว่าเขามีหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่ต้องทำ เขาเพิ่งจะสูญเสียครอบครัวของเขาไป และผมก็ไม่โทษเขาในเรื่องนั้นด้วย ผมรู้สึกดีใจสำหรับเขา เพราะเขาสมควรที่จะได้รับความสุขอีกครั้งในชีวิตจริงๆ

การผ่าตัดและการฟื้นฟูของผมในครั้งต่อๆมาทำให้ผมเริ่มพร้อมสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งเมื่อไหร่ก็ได้ ผมไม่ใช่พวกยอมแพ้อะไรง่ายๆ แต่ผมสัญญากับบัดดี้เอาไว้แล้ว และผมก็คิดถึงเขาในทุกๆนาทีของทุกๆวันจริงๆ ผมรู้สึกเหมือนกับชีวิตของผมเริ่มต้นที่บัดดี้ และมันก็จบลงเมื่อผมสูญเสียเขาไป แต่ผมจะยังไม่ทำอะไรลงไปตอนนี้หรอก ผมจะต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับดารินด้วย อย่างไรก็ตาม ผมรู้ว่าชีวิตของผมจะต้องจบลงในอนาคตอันใกล้นี้แล้ว แต่ผมก็ยังคงแสดงออกกับคนอื่นๆด้วยทัศนคติที่ดีอยู่ การบำบัดของผมก็ไปได้ด้วยดีมาก ผมสามารถใส่กางเกงขายาวและเดินไปไหนมาไหนโดยที่ไม่มีใครสามารถบอกได้แล้วว่าผมมีขาจริงเพียงข้างเดียว รอยแผลไฟไหม้ที่ครอบคลุมไปทั่วร่างกายของผมกว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์นั้นก็เริ่มจะฟื้นตัวดีมาก ผมไม่ค่อยรู้สึกเจ็บเวลาขยับตัวเท่าไหร่แล้ว แต่แผลเป็นมันก็จะยังคงอยู่อยู่ดี ผมเหลือการผ่าตัดอีกแค่สองครั้ง จากนั้นทุกๆอย่างก็จะเสร็จสมบูรณ์

การผ่าตัดครั้งต่อไปของผมจะมีขึ้นในวันศุกร์เวลาบ่ายสองโมงครึ่งและใช้เวลาประมาณสามชั่วโมง ผมถามตัวเองหลายครั้งว่ามันจะมีประโยชน์อะไรกัน ผมอายุยี่สิบปี มีขาข้างเดียว และร่างกายท่อนบนก็พังยับเยิน ความรู้สึกเหงาและความจริงที่ว่าผมไม่เหลือใครอีกแล้ววิ่งเข้ามากระแทกผมอีกครั้ง ร่างกายของผมมันไม่เหลือดีแล้ว และผมก็คงไม่สามารถหาใครจะมาเป็นห่วงเป็นใยผม และมองผมด้วยสายตาที่ไม่สงสารและสมเพชได้อีกต่อไป บัดดี้ตายจากไปและทิ้งผมเอาไว้เพียงคนเดียว ผมต้องการเขามากขึ้นทุกๆวัน และในแต่ละวันที่ผมต้องทนผ่านพ้นไปนั้นมันก็ยิ่งยากลำบากมากขึ้นทุกทีๆ ผมรู้ว่าความตายกำลังร้องเรียกผม และผมก็ไม่กลัวมันด้วย

นานๆทีผมก็มีแขกมาเยี่ยมบ้าง หลวงพ่อในค่ายทหารมาหาผมราวๆสัปดาห์ละครั้งและตามโอกาสเท่าที่ท่านจะมาได้ คนจากในค่ายคนอื่นๆอีกสองสามคนก็แวะมาเวลาที่เขาต้องมาธุระแถวนี้ ส่วนนอกเหนือจากนั้นแล้วผมก็ไม่มีใครมาเยี่ยมอีก เวลาส่วนใหญ่ของผมหมดไปกับการอ่านหนังสือ  ทำกายภาพบำบัด และฝันกลางวันถึงชีวิตที่ผมเคยอยากจะมี ในวันศุกร์ขณะที่ผมกำลังเตรียมตัวสำหรับการผ่าตัดนั้น เสียงเคาะประตูห้องของผมก็ดังขึ้น และเมื่อผมหันไปมองก็พบดารินกำลังยืนยิ้มอยู่ตรงนั้น ผมต้องหันไปมองเขาถึงสองครั้งเพราะเขาดูเปลี่ยนไปมากจริงๆ ผมของเขายาวขึ้นเล็กน้อย เขาดูเด็กลงและหล่อขึ้นมาก ผมยิ้มให้กับเขาและรีบสลัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไปซะ ผมบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องของการผ่าตัด เขาบอกขอโทษที่หายไปนาน เขานั่งลงและเล่าให้ผมฟังเรื่องการทำความสะอาดบ้าน เก็บของที่เคยเป็นของลูกชายและเมียของเขาออกไปซะ เขาบอกว่ามันเป็นเรื่องยากก็จริง แต่เขาก็ต้องทำมัน เขาบอกว่าตอนนี้บ้านของเขาพร้อมสำหรับอนาคตอีกครั้งแล้ว เขาบอกเขามีเวลาเหลือเฟือที่จะรอจนกว่าผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งหลังการผ่าตัด

“ขอบคุณมากครับ ดาริน ที่คุณแคร์ผมมากพอที่จะกลับมาที่นี่อีกครั้ง”

เขายิ้มตอบให้กับผม “ผมจะไม่ทิ้งคุณเด็ดขาด เราสัญญากันเอาไว้แล้วนี่”

ขณะที่ผมถูกเข็นออกไป ดารินก็ยังคงนั่งบนเก้าอี้ของเขาอยู่ ผมหันกลับไปมองเขาก็เห็นเขากำลังมองผมอยู่แล้ว

“ทิม คุณรู้ใช่มั๊ยว่าถ้าคุณกลับมาจากการผ่าตัดแล้วดูเด็กลงกว่านี้อีกล่ะก็ เขาต้องจับคุณใส่ผ้าอ้อมแน่ๆนะ”

ผมหัวเราะออกมา “ขอบคุณมากนะครับ พ่อทหารหาญ”

ผมได้ยินเสียงหัวเราะของเขาขณะที่พวกเขาเข็นผมออกไปยังทางเดิน ก่อนที่ผมจะถูกวางยาสลบ ผมสวดมนต์อ้อนวอนต่อพระเจ้าว่าอย่าให้ผมทำลายมิตรภาพของผมกับดารินลงโดยพยายามทำให้มันกลายเป็นอย่างอื่นที่มากกว่าความเป็นเพื่อนเลย

เมื่อผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งมันก็เป็นเวลาเช้าของวันใหม่แล้ว ผมรู้สึกลำคอของผมแห้งผาก เมื่อดารินได้ยินเสียงผมตื่นขึ้น เขาก็ค่อยๆยกหัวผมขึ้นและช่วยให้ผมจิบน้ำเย็นช้าๆ เขาหยิบผ้าเช็ดปากมาเช็ดริมฝีปากของผมแล้วค่อยๆเอนผมลงนอนเหมือนเดิม เขาค่อยๆใช้นิ้วลูบไปบนเส้นผมของผมช้าๆและคุยกับผมด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน

“รู้สึกยังไงบ้าง ทิม”

ผมมองเขาและพยายามจะปรับสายตาให้ชัดเจน “ดาริน ไอ้เหี้ยนี่มันเจ็บเป็นบ้าเลย ผมแค่อยากให้มันจบๆลงไปสักทีแล้ว มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ผมต้องทนความเจ็บปวดเหี้ยห่าอะไรทั้งหมดนี่ ในเมื่อยังไงๆสุดท้ายผมก็ต้องตายอยู่ดี........” ผมรู้ว่ามันเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่ทำให้ผมรู้สึกหดหู่มากขนาดนี้ และเมื่อผมเริ่มต้นร้องไห้ออกมามันก็คงทำให้ดารินรู้สึกกังวลมาก

เขาลูบแก้มของผมช้าๆและรอจนผมเริ่มสงบลง จากนั้นเขาจึงเลื่อนมือมาวางบนหน้าผากของผม “ไม่จริงหรอก คุณจะยังไม่ตาย เราสองคนจะยังไม่ตายเร็วๆนี้ ไม่จนกว่าจะอีกนานเลย และเมื่อคุณออกจากที่นี่แล้ว คุณก็จะกลับบ้าน ผมเองก็ใช้เวลาอยู่นานเหมือนกันกว่าจะผ่านช่วงเวลายากลำบากนั้นมาได้ แต่ผมก็ผ่านมันมาแล้ว คุณจะมีห้องส่วนตัวของคุณเอง และถ้าหากว่าเราทำได้เราก็จะลองเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเราด้วยกัน”

“ผมทนไอ้ความเจ็บปวดเหี้ยนี่ไม่ไหวแล้ว ไม่อีกต่อไปแล้ว ได้โปรดเถอะ ช่วยผมที ผมเจ็บเหลือเกินจริงๆ ผมอยากตาย ขอร้องล่ะ ดาริน ปล่อยให้ผมตายเถอะนะ” ผมเริ่มคร่ำครวญอีกครั้ง

ดารินตัดสินใจกดปุ่มเรียกพยาบาล และไม่ถึงหนึ่งอีกนาทีถัดมา พยาบาลคนหนึ่งก็เข้ามาถามว่าต้องการอะไร ดารินบอกว่าผมเจ็บปวดมาก เธอไม่ได้ทำคัวสุภาพกับดารินมากนัก และถามเขาว่าเขาคิดว่าตัวเขาเป็นใคร เขามองไปที่เธอแล้วตอบว่าเขาเป็นครอบครัวของผม และถามเธอว่าเธอมีปัญหาอะไรกับเรื่องนั้นมั๊ย เธอส่ายหน้าแล้วฉีดยาให้แก่ผม ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเช้าวันถัดไป เมื่อผมมองไปรอบๆตัวผมก็เห็นดารินกำลังหลับอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงของผม ผมยื่นมือออกไปสัมผัสใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างแผ่วเบา เขาลืมตาขึ้นมาแล้วก็ส่งยิ้มให้กับผม

“อรุณสวัสดิ์ พ่อคนเก่ง”

“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณไม่จำเป็นต้องมานอนเฝ้าผมที่นี่ก็ได้นี่ ผมเสียใจจริงๆนะสำหรับเรื่องเมื่อคืนนี้ คุณจะยกโทษให้ผมได้มั๊ย”

เขายืนขึ้นแล้วหาว “ผมรู้แต่ว่าผมต้องการอยู่ที่นี่เพื่อตัวผมเอง แบบนั้นมันจะเป็นอะไรมั๊ยล่ะ”

ผมส่ายหน้า

“วันนี้ผมจะเริ่มต้นเก็บข้าวของของคุณกลับบ้านเลยนะ” เขามองไปรอบๆห้อง “แบบนั้นพอคุณถูกปล่อยให้กลับบ้านได้....... คงราวๆเดือนหน้ามั๊ง คุณจะได้ไม่ต้องจ้างบริษัทขนย้ายไง” ดารินเริ่มต้นสำรวจและรวบรวมของรอบห้อง เขาถามผมทุกๆอย่างที่เขาจับว่าเขาจะทำยังไงกับมันและสามารถเคลื่อนย้ายมันได้มั๊ย เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นลงเขาก็หันมายิ้มให้ผมกับ “มันก็ไม่เลวนี่น่ะ ใช่มั๊ย”

สายตาของผมไม่สามารถละไปจากใบหน้าของเขาได้เลย “ดาริน ทำไมคุณถึงต้องทำเพื่อผมถึงขนาดนี้ด้วย ถึงขนาดให้ผมไปอยู่กับคุณ........”

เขามองผมตอบกลับมาด้วยความรู้สึกแบบเดิมไม่เคยเปลี่ยน “เพราะผมอยากทำ และคุณก็ต้องการมันด้วยไง”

เราทั้งสองคนต่างก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ก่อนมื้อค่ำ ดารินบอกราตรีสวัสดิ์กับผมก่อนจะขอตัวกลับบ้านไป ผมนอนลืมตานึกเสียใจและอับอายถึงสิ่งที่ผมทำให้ดารินต้องรู้สึกไม่ดี ผมโทรเข้าเบอร์ของเขาทั้งๆที่รู้ว่าคงยังกลับไม่ถึงบ้าน ผมจึงทิ้งข้อความเอาไว้ในเครื่องตอบรับอัตโนมัติ

“ดาริน ผมขอโทษที่ทำตัวงี่เง่าลงไป คุณเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมจริงๆ แต่ผมจำเป็นต้องเตือนคุณบางอย่าง...... ยิ่งคุณทำดีกับผมมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งต้องการคุณมากขึ้นเท่านั้น ผมขอร้องล่ะ อย่าทำตัวดีกับผมมากนักเลย ผมกำลังเหงาและก็สามารถเปลี่ยนความดีของคุณให้กลายเป็นอย่างอื่นได้มากกว่านั้นนะ....... มากกว่าเยอะเลยด้วย ผมก็แค่อยากให้คุณรู้ไว้นะครับ ดาริน........ ผมหวังว่าคุณจะกลับมาเยี่ยมผมอีกนะ”

เมื่อผมวางสายลงผมก็รู้สึกโง่งี่เง่าขึ้นมาทันที และจากนั้นผมก็เตือนตัวเองว่าผมยังคงเป็นนาวิกโยธินอยู่ และผมต้องไม่โกหก ไม่แม้แต่โกหกเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเองด้วย

ดารินกลับมาเยี่ยมผมอีกครั้งในบ่ายวันถัดมา เขายิ้มให้แก่ผมเมื่อเขาเดินเข้ามาในห้อง “ผมได้ข้อความของคุณเมื่อคืนแล้ว และผมก็จะขอพูดเรื่องนี้แค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้นนะ........ เราสองคนก็มีกันแค่นี้ และตอนนี้ผมก็มีเพียงแค่คุณเพียงคนเดียวเท่านั้นด้วย” เขานั่งลงและถามผมถึงขาของผมเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเราเลย นางพยาบาลเดินเข้ามาเช็คดูผ้าพันแผลของผม และดารินก็ยืนดูอยู่ตรงนั้น ขณะที่พยาบาลแกะผ้าพันแผลของผมออก เมื่อเขาเห็นรอยแผลที่ทอดยาวตั้งแต่หัวไหล่ลงไปจนถึงขาอ่อน เขาก็พยักหน้าออกมา “คราวนี้ผมก็รู้แล้วว่าทำไมคุณถึงได้เจ็บมากนัก”

“ดาริน คุณว่าผมดูน่าเกลียดมากมั๊ยเพราะไอ้แผลไหม้ไปทั้งตัวแบบนี้”

ดารินยิ้มให้กับผม “งั้นก็ขอผมพูดแบบนี้ก็แล้วกัน...... คุณน่ะ หล่อมากพอที่จะทำให้ใครๆต้องหันกลับมามองซ้ำเลยด้วยซ้ำ”

“ขอบคุณครับ” ผมตอบพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ แล้วยื่นซองจดหมายที่ผมได้รับจากกองทัพให้แก่เขา

เขาอ่านมันแล้วก็เงยหน้ากลับขึ้นมามองผม “ทิม นี่มันจดหมายยืนยันความทุพลภาพของคุณจากหน่วยงานบริการทหารผ่านศึกนี่ คุณจะได้รับเงินเก้าสิบเปอร์เซ็นต์จากการสูญเสียขาและบาดแผลไฟไหม้บนร่างกาย และอีกสิบเปอร์เซ็นต์จะมาจากการปลดออกจากราชการทหารเหมือนๆกับผม และคุณก็กำลังจะปลดออกในอีกประมาณสองสัปดาห์นี้แล้ว”

ผมมองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา ผมรู้สึกทำอะไรไม่ถูกและหวาดกลัวอย่างที่สุด เพราะการเป็นทหารมันเป็นเพียงอย่างเดียวที่ผมรู้จัก

ดวงตาของดารินไม่ได้ละไปจากสายตาของผมเลย “ผมรู้ว่าคุณกลัว แต่ผมอยากจะบอกคุณว่าผมจะอยู่ใกล้ๆกับคุณเสมอ เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องอยู่ตัวคนเดียว ผมจะช่วยให้คุณผ่านพ้นมันไปเอง แบบที่คุณช่วยผมผ่านมันมาได้ไง”

“แต่ผมไม่ได้ทำอะไรเพื่อช่วยเหลือคุณเลยนะ” เสียงของผมแตกพร่า

เขาหัวเราะ “สิ่งที่คุณทำน่ะช่วยชีวิตผมเอาไว้นะ คุณรักแล้วก็แคร์ผมมาก และผมก็รู้ว่าคุณก็ยังคงรู้สึกแบบนั้นอยู่ด้วย”

เมื่อได้ยินอย่างนั้นผมก็ร้องไห้ออกมาทันที ดารินไม่ได้แก่กว่าผมมากนัก เขายืนอยู่ตรงเตียงของผมแล้วก็ใช้แขนโอบรอบผมเอาไว้

“ช่วงนี้มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผมรู้ แต่คุณไม่ได้อยู่เพียงคนเดียวนะ ผมสัญญาด้วยเกียรติของผมไปแล้ว”

ผมพยักหน้าลงบนบ่าของเขา เขานั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้งแล้วยื่นกระดาษทิชชู่มาให้ผมใช้ซับน้ำตา ผมมองไปในตาของเขาแล้วเห็นดวงตาของเขาเป็นประกาย ผมไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร เขารีบเบือนหน้าหนีมองออกไปยังนอกหน้าต่าง และเมื่อเขาหันกลับมา สีหน้าของเขาก็กลับมาเป็นแบบเดิมอีกครั้ง

เราสองคนนั่งดูทีวีกันอยู่สักพักก่อนที่ดารินจะลุกขึ้นยืน “ผมว่าผมจะไปซื้ออะไรมากินกับคุณสักหน่อย แต่คุณต้องเลี้ยงนะ”

คำพูดของเขาทำให้ผมต้องยิ้มกว้าง “ส่งกระเป๋าตังค์ของผมมาเลย”

เขาหลิ่วตาให้ผมก่อนจะเดินออกไปและตะโกนกลับมา “ผมจ่ายให้เอง แต่เท่ากับคุณเป็นหนี้ผมแล้วนะ เดี๋ยวอีกประมาณสองชั่วโมงผมกลับมา”

ผมมองตามเขาเดินออกจากประตูไปจากนั้นก็พลิกตัวแล้วร้องไห้อีกครั้ง และครั้งนี้มันเป็นเพราะความเหงา...... ผมคิดถึงบัดดี้มากจริงๆ และผมก็รู้ด้วยว่าผมกำลังตกหลุมรักดาริน มันเป็นอะไรที่เราทั้งสองคนต่างก็ไม่ต้องการในช่วงเวลาแบบนี้ เราสองคนต่างก็มีเรื่องให้ต้องคิดให้หวั่นไหวกันมากพออยู่แล้ว ผมไม่อยากจะรู้สึกแบบนี้เลยจริงๆ

ดารินกลับมาตอนเวลาประมาณห้าโมงเย็น พร้อมกับถุงแม็คโดนัลด์ถุงใหญ่ และถุงจากร้านหนังสือถุงหนึ่ง เขาลากโต๊ะและเก้าอี้มาวางไว้ติดกับข้างเตียงแล้วก็วางถุงลง ผมเปิดแต่ละถุงออกแล้วหยิบอาหารออกมาวางไว้ข้างนอก เรานั่งกินข้าวแล้วก็พูดคุยกัน หลังจากนั้นผมก็เริ่มอ่านหนังสือและก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าดารินนั้นผล็อยหลับไปโดยเอาหัวเกยอยู่บนเตียงข้างๆผม ผมค่อยๆใช้นิ้วลูบไล้ไปบนเส้นผมของเขาอย่างช้าๆและแผ่วเบา ผมใช้มือสัมผัสใบหน้าของเขาแล้วลูบมันช้าๆ เขาช่างดูงดงามจริงๆ ผมขยับปลายนิ้วไปมาจนกระทั่งเขาลืมตาตื่นขึ้นมา

“ผมชอบการได้มาอยู่ที่นี่กับคุณนะ” เขาพูดออกมาขณะที่มองตาของผมไปด้วย “มันทำให้ชีวิตของผมมีความหมายขึ้นมาอีกครั้ง ผมซื้อหนังสือมาเป็นของขวัญมาให้คุณด้วยนะ ผมคิดว่ามันอาจจะช่วยให้คุณคลายกังวลและรู้สึกผ่อนคลายลงได้บ้างจนกว่าจะถึงสัปดาห์หน้าที่เราจะกลับบ้านกัน”

ผมพยักหน้า “ดาริน ขอบคุณมากครับสำหรับทุกๆอย่าง แต่คุณไม่จำเป็นต้องเป็นคนจ่ายเงินทุกๆอย่างแบบนี้หรอก ให้ผมเป็นคนช่วยออกเงินบ้างเถอะ”

เขาส่ายหน้า “ผมมีเงินมากพอหรอก ถ้าผมจำเป็นต้องใช้เงินหรือต้องขอยืมคุณ ผมจะบอกคุณเอง โอเคมั๊ย”

หลังจากมื้อเย็น ผมยื่นมือออกไปจะให้เขาจับ แต่เขากลับคว้ามือของผมไปเพื่อดึงตัวผมเข้าไปกอดแล้วกล่าวคำว่าราตรีสวัสดิ์ก่อนจะเดินออกไป

ข้างในถุงหนังสือที่เขาบอกมีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งชื่อว่า “ไทรแองเกิ้ล ออฟ ไลท์” เป็นเรื่องราวของเกย์หนุ่มสองคน และมันก็สนุกมากจนผมวางไม่ลงจริงๆ เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อดารินมาเยี่ยม ผมก็ยิ้มให้เขาและบอกเขาว่าหนังสือสนุกมาก

“ขอบคุณสำหรับหนังสือนะครับ มันช่วยได้มากจริงๆ ผมไม่รู้สึกเหงามากเหมือนเมื่อก่อนแล้วล่ะ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ต้องมาที่นี่ทุกวันอยู่ดี”

ดารินหัวเราะหึๆในลำคอ “ก็ลองห้ามผมดูสิ”

เราสองคนหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน

หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 18-11-2007 19:29:23
ในวันปลดจากราชการของผมเป็นวันที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตและเป็นสิ่งที่ยากที่สุดที่ผมเคยทำมาจริงๆ ดารินมาที่โรงพยาบาลแต่เช้า เขาเอายูนิฟอร์มของผมมาให้และช่วยผมแต่งตัว ผมมองเขาคุกเข่าลงตรงหน้าแล้วดึงกางเกงของผมขึ้น มันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผมรู้ว่าผมสามารถมีความรักได้อีกครั้งจริงๆ ผมอยากจะที่รักเขา แต่ว่า........

“ให้ตายยย คุณดูหล่อมากเลยจริงๆนะ” เขาผิวปากออกมา “พร้อมรึยัง”

“ดาริน ขอบคุณมากนะครับสำหรับทุกอย่าง และผมหมายความว่าแบบนั้นจริงๆนะ”

เขาพยักหน้า “ถ้าเกิดคุณรู้สึกแย่ขึ้นมาเมื่อไหร่ให้หายใจเข้าลึกๆแล้วมองมาทางผมนะ ผมจะช่วยให้คุณผ่านพ้นมันไปได้เอง”

ภายในห้องทำพิธี ขณะที่ผมกำลังจะเดินเข้าไปผมก็เห็นเจ้าหน้าที่นาวิกโยธินสี่ห้าคนกำลังนั่งอยู่ เมื่อผมเดินเข้าไปพวกเขาก็ยืนขึ้นต้อนรับผม หลังจากการกล่าวปราศรัยสั้นๆและการกล่าวถึงคุณงามความดีและความกล้าหาญแล้ว ผมก็ถูกปลดออกมาจาการเป็นทหารอย่างเป็นทางการขณะที่อายุยี่สิบปีกับอีกสิบเอ็ดเดือน ผมต้องประคองตัวเองอย่างหนักเพื่อเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง และทันทีที่ผมปิดประตูห้องเข้าไป ผมก็ทรุดลงไปกองกับพื้นแล้วความกลัวก็เข้ามาครอบงำผมจนผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป

ดารินเปิดประตูออกแล้วนั่งลงบนพื้นตรงข้ามกับผม “มานี่มา ทิม” เขาดึงตัวผมเข้าไปกอด มือของเขาวางอยู่บนหลังและบนคอของผม และน้ำตาของผมก็กำลังไหลซึมเข้าไปในเสื้อของเขา “คุณต้องไม่เป็นอะไร ผมจะไม่ยอมปล่อยให้คุณต้องเผชิญเรื่องนี้ตามลำพังเด็ดขาด”

ผมรู้สึกราวกับหัวใจของผมกำลังแตกสลาย “ดาริน นอกเหนือจากบัดดี้แล้วผมก็ไม่เคยมีใครมารักผมอีกเลย ผมไม่อยากใช้ชีวิตตัวคนเดียว ผมกลัว ผมกลัวจริงๆ ไม่ใช่แค่ว่าผมสูญเสียบัดดี้ไปแล้ว แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่ใช่ทหารอีกต่อไปแล้วด้วย”

ดารินกอดผมแน่นขึ้นอีก “จำเอาไว้ เราสองคนจะยังคงเป็นทหารอยู่เสมอ....... เรายังคงเป็นนาวิกโยธินอยู่ตลอดไป”

ผมยึดมั่นในตัวของดารินด้วยชีวิตของผม โลกของผมนั้นมันเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก มากจนเกินไปเสียด้วยซ้ำ และผมก็ไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับมันเลย เมื่อผมร้องไห้จนพอใจและรู้สึกพร้อมมากขึ้นแล้ว เราก็ยืนขึ้นและเปลี่ยนชุดของผม ผมเดินตามดารินไปที่รถและเราก็กลับไปยังบ้านของเขา ผมไม่เคยเห็นมันมาก่อน และเท่าที่ผมรู้ก็คือมันเป็นสถานที่ที่ผมจะต้องอาศัยอยู่นับต่อจากนี้ไป เมื่อเราจอดรถ ผมก็รู้สึกชอบมันขึ้นมาทันที มันเป็นบ้านที่สร้างด้วยอิฐและดูมีอายุ ภายในเป็นพื้นไม้ มีสองห้องนอนและหนึ่งห้องน้ำ ภายนอกมีโรงรถสำหรับสองคันและด้านหลังก็มีสระว่ายน้ำ ดารินยิ้มให้กับผมขณะที่เขาเดินนำผมจากห้องไปสู่ห้อง เขาโชว์ห้องของเขาให้ผมดูและผมก็เห็นรูปของครอบครัวของเขาวางอยู่

ผมหยิบมันขึ้นมาถือไว้ในมือและดารินก็กำลังมองอยู่เช่นกัน “ดาริน พวกเขารักคุณมากจริงๆนะ”

เขาพยักหน้า

ห้องของผมอยู่ตรงกันข้ามกับห้องของเขา มันดูดีมาก ดารินจัดวางของของผมเข้าที่ และทำให้มันดูเป็นเหมือนกับห้องของผมจริงๆ บนตู้เสื้อผ้าของผมมีจดหมายวางเอาไว้อยู่ ผมกำลังจะหยิบมันขึ้นมาอ่านแต่ดารินก็หยุดผมเอาไว้เสียก่อน

“กินข้าวก่อนเถอะ”

พวกเราทำอาหารกลางวันเป็นแซนด์วิชกับมันฝรั่ง เมื่อเราทานอาหารกันเสร็จแล้วดารินก็ลุกขึ้นไปหยิบจดหมายมาให้กับผม ดารินเป็นคนเปิดอ่านมันและเขาก็ทำมันอย่างระมัดระวังด้วยเพราะเขากลัวว่าผมจะรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอีก

“ทิม บัดดี้มอบเงินของเขาไว้ให้กับคุณ และทางรัฐบาลก็ส่งเช็คมาให้ คุณต้องนำมันไปฝากนะ และคุณก็ยังได้รับเช็คสำหรับเงินย้อนหลังทั้งหมดอีกด้วย”

ผมยักหน้า ส่วนที่เหลือนั้นก็เป็นเอกสารจำพวกที่ต้องเซ็นรับรอง ดารินเป็นคนกรอกรายละเอียดทั้งหมดแทนผมขณะที่ผมเป็นคนบอกข้อมูล เมื่อเขาเขียนมาถึงตรงวันเกิดของผมเขาก็หยุดมือลงและเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม

“คุณจะอายุครบยี่สิบเอ็ดสิ้นเดือนนี้แล้วนี่ ตลกดีนะ”

“ทำไมล่ะครับ” ผมถาม

“เพราะว่าผมจะอายุยี่สิบเจ็ดหลังจากวันเกิดของคุณหนึ่งวัน พวกเราจะได้ฉลองวันเกิดร่วมกันไง”

ผมพยักหน้ารับเป็นเชิงเห็นด้วย

สองวันถัดมาเป็นวันที่เราต่างก็ยุ่งกับการต้องไปทำธุระที่ธนาคาร ผมมีเงินมากกว่าที่ผมคิดเอาไว้เสียอีก ดารินเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมดให้ และผมใส่ชื่อของเขาให้เป็นญาติของผมด้วย ขณะที่เรากำลังกลับบ้าน เขาก็แวะพาผมไปซื้อของใช้และเสื้อผ้าก่อน เขาให้ผมสัญญาว่าจะใส่ขาสั้นในคืนนี้ และผมก็สัญญา

ตอนที่ผมกำลังเดินเข้าไปในครัวเพื่อช่วยเขาทำอาหารเขาก็หยุดและหันมามองผม “คุณดูดีนี่”

หลังอาหาร ผมบอกดารินว่าผมอยากจะไปเยี่ยมหลุมศพของบัดดี้ เขามองหน้าผมและลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะอาหารไป เมื่อเขากลับมา ในมือของเขาก็ถือจดหมายอยู่ฉบับหนึ่ง เขาอ่านที่อยู่และหมายเลขของหลุมศพและบอกว่า บัดดี้ถูกฝังอยู่ที่สุสานทหารตามที่ผมต้องการ

“ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นอะไรที่คุณต้องการ เพราะงั้นผมเลยจัดการมันให้ไปหมดแล้ว” เขาบอก

น้ำตาของผมเริ่มรื้นขึ้นมาอีกครั้ง “นั่นเป็นอะไรที่บัดดี้คงต้องการด้วยเหมือนกัน ผมจะไปที่นั่นสัปดาห์หน้าครับ ผมต้องไปบอกลาเขา”

“ผมเข้าใจดี”

เช้าวันเสาร์เราจับเครื่องบินไปวอร์ชิงตัน ดารินยืนยันที่จะไปกับผมด้วย เขาบอกว่าเขาจะไม่ยอมทิ้งให้ผมไปคนเดียวเด็ดขาด พวกเราไปถึงกันที่นั่นตอนก่อนเที่ยง เราเช่ารถ และขับไปเช็คอินที่โรงแรม เมื่อเราเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเราก็ขับรถไปยังสุสานกันทันที ดารินกับผมเดินขึ้นเนินใหญ่กันช้าๆ เราเดินผ่านหลุมศพไร้ชื่อจำนวนมากมาย และในที่สุดเราก็มาหยุดอยู่ที่หน้าหลุมศพของบัดดี้ ผมคุกเข่าลงและพูดกับเขาว่าผมรักและคิดถึงเขามากแค่ไหน ผมถามเขาว่าเขาจะว่าอะไรมั๊ยถ้าเกิดผมตกหลุมรักใครสักคนอีกครั้ง และผมก็ยังบอกเขาอีกว่าผมยังคงรักเขาอยู่ด้วยหัวใจของผมทั้งดวง และผมจะคิดถึงเขาตลอดไป เมื่อผมเงยหน้าขึ้นไปมองดาริน ผมก็เห็นเขากำลังมีน้ำตาไหลอาบแก้มอยู่ ผมยืนขึ้นข้างๆแล้ววางมือลงบนบ่าของเขา

“ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์มาที่นี่กับผม”

เราเดินออกจากที่นั่นกันช้าๆ เมื่อเราเดินออกจากสุสานแล้วเราก็แวะไปที่ ลินคอร์นส เมมโมเรียล จากนั้นก็ไปยัง เวียตนาม เมมโมเรียล ขณะที่เรากำลังเดินอยู่นั้น นาวิกโยธินหนุ่มคนหนึ่งก็เดินตรงเข้ามาหาเราแล้วก็บอกว่ากองทัพกำลังต้องการชายหนุ่มอยู่

“ขอบใจมาก แต่ว่าเราสองคนต่างก็ออกจากราชการกันแล้วทั้งคู่” ดารินมองหน้าเขา แล้วก็ยกขากางเกงขึ้นให้เขาเห็น

ทหารหนุ่มคนนั้นหน้าแดงขึ้นมาทันที “ขอโทษด้วยครับ ผมขอโทษจริงๆ ผมไม่ได้ตั้งใจจะลบหลู่”

ดารินส่ายหน้า และผมก็เช่นกัน “ไม่ว่ากันอยู่แล้ว”

พวกเราสองคนต่างก็หมดแรงกันเลยทีเดียวเมื่อกลับมาถึงโรงแรม ห้องของพวกเรานั้นเป็นห้องที่มีเตียงขนาดคิงไซส์ ทางโรงแรมกล่าวขอโทษ แต่ว่านี่ก็เป็นเพียงห้องเดียวที่พวกเขามีเหลืออยู่ในช่วงเทศกาลแบบนี้ ซึ่งพวกเราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ผมถอดเสื้อผ้าออกแล้วเดินไปอาบน้ำ เมื่อผมกลับออกมาสัมผัสกับความเย็นของเครื่องปรับอากาศมันก็ทำให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นมากจริงๆ ผมล้มตัวลงบนเตียงด้วยบ๊อกเซ่อร์เพียงตัวเดียวและปิดตาลง เมื่อผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นดารินกำลังนอนหลับอยู่ข้างๆผม ผมยื่นมืออกไปลูบใบหน้าของเขาเบาๆ เมื่อนิ้วของผมลูบไล้ไปบนเส้นผมของเขาผมก็เกิดอาการแข็งตัวขึ้นมาทันที

ดารินรู้สึกตัวและหันหน้ามาหาผม “แล้วยังไงต่อล่ะ ทีนี้”

ผมมองเข้าไปในดวงตาของเขา “ดาริน ผมขอโทษ แต่ผมรักคุณ ผมขอร้องล่ะ อย่าเกลียดผมเลยนะ”

เขาพยักหน้ากลับมา “ผมก็รู้สึกแบบนั้นกับคุณเหมือนกัน ทิม ก่อนที่ผมจะแต่งงาน ผมก็เคยมีอะไรกับผู้ชายมาก่อนบ้างเหมือนกัน แต่พอผมแต่งงาน ผมก็เลิก จากนั้นเมื่อผมได้เจอคุณ เมื่อเราสองคนได้ผ่านอะไรๆมาด้วยกัน ผมก็เริ่มรู้สึกแบบนั้นกับคุณอีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกที่ผมไม่ได้รู้สึกมานานหลายปีมากแล้ว ผมได้เรียนรู้ว่าผมต้องการคุณมากกว่าสิ่งไหนในโลกนี้เสียอีก ผมอยากจะสำรวจความรู้สึกของตัวเอง ความรู้สึกของเราสองคน และลองดูว่ามันจะพาเราไปได้ไกลถึงไหน สัญญากับผมนะ สัญญาว่าคุณจะไม่ทำอะไรที่เป็นการทำร้ายตัวเองเด็ดขาด และคุณก็จะซื่อสัตย์ด้วย ผมต้องการจะแน่ใจในเรื่องนั้น เพราะการที่ต้องสูญเสียคุณไปจะเป็นจุดจบของสัญญาของเราสองคน และสุดท้ายผมก็คงจะต้องตายอย่างทรมานที่สุด” ดารินประคองใบหน้าของผมเอาไว้ในมือแล้วก็จูบลงบนริมฝีปากของผม

ผมรู้ว่าเขาสามารถรู้สึกถึงหัวใจของผมที่กำลังเต้นแรงสักหนึ่งร้อยครั้งต่อนาทีได้เลย ขณะที่เขาลูบไล้ปลายนิ้วไปบนเส้นผมของผมนั้น มันทำให้ผมต้องร้องครางออกมาราวกับโดนกระแสไฟช็อตไปทั่วร่างกายเลยทีเดียว เขาลูบไล้ไปตามร่างกายของผม นิ้วของเขานั้นนุ่มนวลแต่ก็แข็งแรงด้วยในเวลาเดียวกัน เขาจูบลงบนใบหน้าของผมและเมื่อมือของเขาไปหยุดอยู่ที่ท่อนลำของผม ผมก็ร้องออกมาอีกครั้ง

ผมถามเขาว่าเขารู้สึกอย่างไรกับเวลานี้ เขายิ้มและตอบกลับมาว่า

“ทิม ผมรักคุณ และนี่ก็เป็นร่างกายของคุณ มันกระตุ้นผม มันทำให้ผมรู้สึกดี มันทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้น แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ผมอยากจะดึงคุณเข้ามาอยู่ภายในตัวของผมเพื่อที่ผมจะได้ปกป้องคุณได้ตลอดไปด้วย”

ดารินเริ่มเลื่อนจะตัวต่ำลงไปและผมก็หยุดเขาเอาไว้ ผมจูบลงบนริมฝีปากของเขาและเลื่อนต่ำลงไปยังหน้าอก และเรื่อยลงไปจนถึงท้องของเขา เมื่อริมฝีปากของผมสัมผัสเข้ากับส่วนนั้นของเขา ผมก็รู้สึกเลยว่าผมต้องการเขามากเหลือเกิน จนเมื่อผมครอบปากลงไป เขาก็ร้องครางออกมา มือของเขาป่ายไปทั่วเส้นผมของผม เขาร้องออกมาและบอกผมว่าเขากำลังจะไม่ไหวแล้ว จากนั้นไม่นานเขาก็หลั่งออกมาใส่ปากของผม และผมก็หลั่งออกมาในบ๊อกเซ่อร์ของตัวเองโดยไม่ต้องแตะต้องมันเลยด้วยซ้ำ ผมถอนปากออกเมื่อมันเริ่มอ่อนตัวลง และคลานไปนอนอยู่ข้างๆเขา เขามองตาผมและเริ่มต้นจูบผมอีกครั้ง สุดท้ายผมก็หลับลงไปบนแผ่นอกของเขา

ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงดารินกำลังสำรวจร่างกายของผมอยู่ ผมเอื้อมมือออกไปลูบเส้นผมของเขา พอผมบอกเขาว่าผมรู้สึกดีมากที่เขาทำแบบนั้น เขาก็ตอบกลับมาว่าดีแล้ว เขาใช้ปากให้กับผม และมันก็ไม่ต้องใช้เวลานานเลยที่ผมจะแตกใส่ปากของเขา เช้าวันถัดมาเรานอนอยู่บนเตียงกอดกันและกัน หัวของดารินซบอยู่บนบ่าของผม ผมจูบลงบนหน้าผากของเขาและบอกเขาว่าเขามีความสำคัญกับชีวิตของผมมากขนาดไหน

เขาเงยหน้าขึ้นแล้วจูบลงบนปากของผม “ผมอยากจะมีชีวิตอยู่อีกครั้ง และคราวนี้ผมอยากจะใช้ชีวิตของผมกับคุณ”

ผมจูบเขาตอบ “ผมก็เหมือนกัน”

ดารินจูบลงบนทุกๆตารางนิ้วบนร่างกายของผม เขาจูบลงบนแผลที่หน้าท้องและหน้าอกของผม “ทุกๆอย่างเกี่ยวกับตัวของคุณสำคัญสำหรับผมทั้งนั้น ผมรักทุกส่วนของร่างกายของคุณไม่ว่ายังไงก็ตาม เข้าใจรึเปล่า”

ผมพยักหน้าแล้วพูดตอบกลับเขาไป “ดาริน คุณเป็นของผมนะครับ และจะเป็นตลอดไป ผมรู้แล้วว่าผมรักคุณหมดทั้งหัวใจ ได้โปรดอย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณเลยนะ”

ดารินพยักหน้า “ทิม คุณคือดวงใจของผม และผมจะอยู่กับคุณไปตลอดเวลาและตลอดกาล..........”



หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 18-11-2007 20:02:19
กลัวขัดจังหวะการโพสต์จริง ๆ   :m22:  :m22:
รออ่านต่อนะ   :m7:
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 19-11-2007 20:16:42
ความรัก กับ เวลา
หัวข้อ: Re: [series : รวมเรื่องสั้น] จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........ ** พิเศษรับปีใหม่**
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 21-12-2007 23:41:14


เรื่องนี้ผมเคยโพสลงปาล์มครับ สักเมื่อสองสามปีก่อนมั๊ง ไม่รู้จะมีกี่คนที่เคยผ่านตา
แต่ตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นคนเขียน รู้สึกแย่เหมือนกัน เพราะเหมือนโกหกคนอ่าน
แต่ก็อยากให้ได้อะไรจากเรื่องสั้นๆเรื่องนี้ไปบ้างครับ ไม่อยากให้คิดว่าเป็นแค่เรื่องแต่งน่ะนะ.......
เพราะอย่างน้อยๆเรื่องนี้มันก็เป็นความจริงสำหรับคนบางคน........

...................................

ปีใหม่ ใครๆเขาก็มีความสุขกัน ทุกคนได้อยู่กับครอบครัว ไม่ก็กับคนอันเป็นที่รัก
แต่สำหรับผม เมื่อวันปีใหม่เวียนมาถึงทีไร สิ่งที่ผมทำเป็นประจำทุกปี ก็มีแค่นอนคุดคู้อยู่บนเตียงคนเดียว และหวังแค่ให้เทศกาลแห่งความสุขนี้ผ่านพ้นไปไวๆด้วยเถอะ

เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ ทนเจ็บปวด และทนร้องไห้อยู่คนเดียวอย่างนี้สักที

ผมเคยมีครอบครัวที่อบอุ่น มีพ่อ มีแม่ และน้องชายที่ผมรัก
แต่ผมกลับทำตัวไม่ดีเอง เมื่อผมเข้ามหาลัยและอยู่ชั้นปีที่สอง ผมตัดสินใจขอพ่อกับแม่ไปอยู่หอ เพราะเพียงแค่ว่าผมอยากอยู่กับเพื่อนๆ และจะได้ไปเที่ยวกับเพื่อนได้สะดวกๆ
ผมรักครอบครัวของผมมากนะ แต่ตอนนั้นผมกลับเลือกที่จะใช้เวลาอยู่กับเพื่อนมากกว่า
เพราะผมเห็นว่ายังไงครอบครัวของผมก็ยังอยู่กับผมไปอีกนาน หากคิดจะเจอก็สามารถเจอเมื่อไหร่ก็ได้
ผมเลยเลือกที่จะไปเที่ยวกับเพื่อนที่มหาลัยในวันส่งท้ายปีที่บ้านเพื่อนคนหนึ่ง และกินเหล้ากันจนโต้รุ่งแทนที่จะไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัดกับครอบครัวของผม
วันนั้นผมเมาเป็นหมา และปิดมือถือทิ้ง เพราะรำคาญแม่ที่เอาแต่โทรมาถาม ว่าทำอะไรๆอยู่ และบอกแต่ว่าอย่าเมามากนะ

“กินเหล้าไม่ให้เมา แล้วจะกินทำซากอะไรวะ” ตอนนั้นผมคิดอย่างนั้น และยังหันไปหัวเราะกับเพื่อนๆ

ผมจึงตัดสินใจตัดรำคาญ ตัดการติดต่อจากมือถือไปเลย เพราะยังไงๆผมก็อยู่กับเพื่อนๆอยู่แล้ว
คงไม่มีใครโทรมาหาผมอีกหรอก

ผมตื่นมาวันรุ่งขึ้นเวลาเกือบสามโมงเย็น และเมื่อผมกลับไปถึงบ้านก็ต้องได้พบกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต นั่นก็คือครอบครัวของผม ทั้งพ่อแม่ และน้อง ประสบอุบัติเหตุถูกรถบรรทุกขับมาชนระหว่างขับรถไปบ้านของญาติ

ทั้งตำรวจ ญาติๆ และเพื่อนบ้านทุกคนพยายามจะติดต่อผม แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะว่าผมปิดมือถือทิ้งไปเมื่อคืน

ผมทรุดตัวลงแล้วร้องไห้ ชีวิตของผมไม่เหลือใครแล้วตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ผมด่าตัวเอง โทษตัวเอง และเกลียดตัวเองที่สุดในชีวิต
ผมเคยคิดจะฆ่าตัวตายไปหลายหน แต่ยังดี ที่ผมยังพอมีความคิดดีๆเหลืออยู่บ้าง ความคิดที่ว่าผมขอทำอะไรดีๆเพื่อครอบครัวของผมเป็นอย่างสุดท้ายหลังจากที่ผมทำไม่ดีมามากพอแล้ว
นั่นก็คือผมจะเรียนให้จบ และใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เป็นคนดีของสังคม เพื่อทดแทนบุญคุณของเหล่าคนที่ผมรักและรักผมมากที่สุดที่จากผมไปแล้ว

นับหลังจากเหตุการณ์วันนั้น เมื่อผมเริ่มลำบากเรื่องเงินในการเรียนและในการใช้จ่ายมากขึ้น
 เพื่อนที่ผมคิดว่าผมเคยมี ก็ค่อยๆพากันหายไปกันทีละคนสองคน ญาติๆที่มีก็ช่วยผมได้แค่บางส่วนเท่านั้น ผมจึงต้องทำงานไปเรียนไป และใช้ชีวิตอย่างลำบากที่สุดนับตั้งแต่ผมเกิดมา

แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ทางกาย แต่ยังเป็นทางใจอีกด้วย
ผมรู้สึกถึงความเหงาที่สุดในชีวิตก็ต่อเมื่อทุกอย่างมันสายไปแล้วนั่นเอง...........

ใช่แล้ว ผมสำนึกได้ก็เมื่อมันสายไป ผมสำนึกได้ว่าพ่อแม่ของผมต้องลำบากขนาดไหนเพื่อหาเงินมาส่งผมกับน้องเรียนดีๆสูงๆ และรับภาระทุกสิ่งทุกอย่างจากที่ผมใช้ไปอย่างสุรุ่ยสุร่าย
ผมนอนร้องไห้หลายต่อหลายคืน ผมนึกท้อใจก็หลายหน
ความคิดที่ว่าอยากจะตาย แวบเข้ามาในหัวของผมแทบจะทุกๆอาทิตย์หรือสองอาทิตย์
แต่ว่าสุดท้ายแล้วผมยังคงมีความรักหลงเหลืออยู่ ความรักที่ผมอยากจะมอบชดเชยให้แก่ครอบครัวของผม ถึงแม้ว่าพวกเขาจะจากผมไปแล้วและจะไม่สามารถรับรู้มันได้อีกเลยก็ตาม........

รวมถึงความรักเพื่อเพื่อนเพียงคนเดียวที่ยังคงอยู่เคียงข้างผมมาตลอด

ในตอนแรกผมก็ไม่ค่อยจะชอบและสนิมสนมกับมันเท่าไหร่นักหรอก เพราะมันก็ไม่เคยได้ไปเที่ยวไปกินเหล้ากับพวกผม แถมยังชอบปากเปียกปากแฉะเรื่องเรียนเรื่องรายงานของผมจนน่ารำคาญ
แต่สุดท้าย มันก็เป็นคนเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ข้างกายผม ที่คอยให้กำลังใจ ช่วยเหลือ และสนับสนุนผมมาตลอดจนผมเรียนจบ

หลังจากเรียนจบมีงานทำได้ปีนึง มันก็มาสารภาพกับผม ว่ามันรักผม
ตอนนั้นผมรู้สึกตกใจมากที่มีผู้ชายมาบอกรักแบบนั้น ผมจึงถึงกับหันหลังให้แก่มัน และเดินจากมันมา
ผมไม่ได้รับการติดต่อจากมันอีกเกือบเดือน และนั่นเองที่ทำให้ผมรู้ว่า ตลอดเดือนนึงนั้นผมคิดถึงมันมากแค่ไหน
ยิ่งใกล้ช่วงปีใหม่แบบนี้ มันที่เคยอยู่ข้างๆผมปลอบโยนผมให้ผ่านพ้นมาได้ตลอดทุกๆปีก็ไม่อยู่อีกแล้ว ซึ่งนั่นก็เพราะว่าผมมันเลวเอง.........

ผมผลักไสคนที่เขารักผมออกไป ไม่ต่างกับเมื่อครั้งนั้นเลย..........

ผมเริ่มรู้สึกแย่มากๆ ผมคิดถึงมัน ผมต้องการมันมาอยู่ข้างๆผม
ตลอดเวลาที่ผ่านไปเกือบเดือน เวลาที่ผ่านไปนั้นผมใช้ไปกับการถามตัวเองและตัดสินใจ ว่าผมรู้สึกกับมันยังไง
ผมให้คำตอบตัวเองไม่ได้ แต่ผมตัดสินใจได้ ว่าผมควรจะทำอย่างไร
มันคือเพื่อนคนเดียวที่รักผมจริงและอยู่ข้างๆผมมาตลอด มันรักผม และผมก็รักมัน ไม่ว่าจะเป็นความรักแบบไหนมันก็ไม่สำคัญอีกแล้ว
ผมจะบอกมัน ว่าผมรักมัน เพื่อที่เหตุการณ์แบบที่เคยเกิดขึ้นกับครอบครัวของผม จะไม่เกิดขึ้นอีก
ผมไม่อยากให้มันสายเกินไปเหมือนเมื่อครั้งนั้น

เวลาผ่านไปทุกวินาที ยิ่งใกล้วันสิ้นปี ผมก็ยิ่งต้องการมัน ยิ่งคิดถึงมัน ผมจึงตัดสินใจจะขับรถไปหามันที่บ้านในคืนวันที่ 30 ธันวาคม
ผมจำได้แม่นว่าวันนั้นรถติดมาก เพราะบ้านมันอยู่นอกเมือง และคนส่วนมากก็กำลังอยู่ในช่วงออกเดินทางไปต่างจังหวัดกัน
เมื่อผมไปถึงบ้านมัน ก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็นว่าบ้านของมันกำลังจัดงานศพกันอยู่
แขกในงานน้อยมาก เนื่องจากเวลาขนาดนี้แล้ว และยังเป็นช่วงเทศกาลอีกด้วย
ผมถึงกับเข่าอ่อน หมดเรี่ยวแรงแม้แต่จะเดิน ไม่มีแรงแม้แต่จะก้าวาลงจากรถ ความกลัวมันเริ่มคืบคลานเข้ามาสู่ภายในใจของผม
และสุดท้าย ผมก็ต้องรับรู้เรื่องราวทุกอย่างจากแม่ของมันอย่างไร้วิญญาณ

ความเป็นจริงนั้นมันช่างปวดร้าวนัก...........

แม่ของมันบอกผมว่า มันกินเหล้าหนักมาก และเกิดรถคว่ำตอนกำลังจะกลับบ้านเมื่อคืนวานนี้เอง
มันที่ไม่เคยกินเหล้าเกินตัว กลับกินเหล้ามากขึ้นในช่วงตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาจนเป็นเหตุที่ทำให้มันต้องด่วนจากไป............

ผมเดินไปร้องไห้ที่โลงศพของมันจนแม่ของมันต้องเข้ามาปลอบ และชวนให้ผมนอนค้างที่นั่นก่อนหนึ่งคืน
ตลอดทั้งคืนผมเอาแต่เสียใจ ผมเอาแต่ร้องไห้ ร้องแล้วร้องอีก ร้องไห้ให้กับการสูญเสียที่เพิ่งเกิดขึ้นกับผมและรวมทั้งร้องไห้ให้กับการสูญเสียที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อนด้วย
คืนนั้นแม่มันให้ผมไปนอนบนห้องของมัน ผมร้องไห้จนหลับลงไปบนเตียงของมัน และรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของมันตลอดเวลา ผมรู้สึกว่ามันยังคงอยู่ข้างๆผมคอยปลอบโยนผมอยู่ตลอดทั้งคืนเหมือนกับที่ผ่านๆมา.......

หลังจากวันนั้น ก็ผ่านมาสามปีแล้ว

หกปีแห่งการสูญเสียของผม มันมากเกินพอ ที่จะทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวด และเกลียดกลัวเทศกาลแห่งความสุขนี้
ไม่ว่าผมจะหันไปทางไหน ผมก็จะเจอผู้คนกำลังหัวเราะ ยิ้มแย้ม มีความสุขกันไม่ว่าจะตามท้องถนนหรือในทีวี
แต่ผมกลับไม่สามารถสลัดความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวและความสูญเสียเหล่านั้นทิ้งไปได้
หลายคนเลือกที่จะไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะกับคนที่รักหรือกับใครๆก็ตาม
แต่ทุกปี ในวันที่สามสิบธันวา ผมจะไปทำบุญที่วัด และเลือกที่จะไปตามสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าให้บ่อยและมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ส่วนวันที่สามสิบเอ็ดผมจะขังตัวเองอยู่ในห้อง จมอยู่กับความเศร้าและความเจ็บปวดที่ผมต้องสูญเสียคนที่ผมรักและคนที่รักผม แต่หากผมไม่เคยเห็นคุณค่า ถึงสองครั้งสองครา

ผมไม่รู้ ว่าผมจะต้องทนเจ็บปวดแบบนี้ไปถึงอีกเมื่อไหร่ แต่ว่าวันรุ่งขึ้นผมก็จะพยายามลุกขึ้นยืน และก้าวเดินต่อไป ผมจะพยายามมีชีวิตอย่างเข้มแข็งและใช้ชีวิตส่วนที่เหลืออยู่ให้ดีที่สุดเพื่อชดเชยให้กับคนที่ผมรักทั้งสี่คน.................................

สุขสันต์วันปีใหม่แก่ทุกๆคนที่ได้เข้ามาอ่านนะครับ
และผมหวังว่า ปีใหม่นี้ คุณจะได้บอกคนที่คุณรัก และคนที่เค้ารักคุณ ว่า คุณรักเค้ามากแค่ไหน
และถ้าจะให้ดี ก็แสดงมันออกไปด้วย พูดออกไปว่าคุณรักเขามากแค่ไหน พยายามใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุดกับครอบครัว คนที่เค้ารักเราอย่างใจจริงและไม่หวังผลตอบแทน และมอบความรักให้กับคนรอบข้างทุกคน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาเสียใจในทีหลังเหมือนคนโง่ๆอย่างผม............

ในทุกๆสิ้นปีคนหลายล้านคนมีความสุข แต่คนหลายแสนคนต้องตาย และหลายหมื่นคน ต้องสูญเสียและโศกเศร้า

รักคนรอบข้างให้มากๆนะครับ นี่คือพรที่ดีที่สุด ที่คุณจะขอและทำให้มันเกิดขึ้นได้จริงในปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง

ขอให้สุขสวัสดิ์จงเกิดแก่ทุกคน และ ขอให้ทุกคนมีความสุข มีความรัก และความสมบูรณ์ในชีวิตนะครับ


...................................

ส่งตอความรักนะครับทุกคน ขอให้มีความสุขรับปี 2008 กันถ้วนหน้า
ใครยังไม่มีแฟนก็ขอให้มี ใครมีแล้วก็ขอให้มีอีก (เอ๊ะ ยังไง  :oni1: )
ใครยังไม่มีตังก็ขอให้มี ใครมีแล้วก็ขอให้แบ่งกันอีก (เอ๊ะ ยังไง  :oni2: )
และใครยังไม่มีความสุขในชีวิตก็ขอให้มีนะครับ แต่ถ้าใครมีอยู่แล้ว ก็ขอให้มีอีกเยอะๆแล้วแบ่งให้คนรอบข้างด้วยน้าา

จุ๊บๆทุกคนที่อุตส่าห์คลิกเข้ามาอ่านครับ

เจอกันปีหน้านะ  :mc3:

หัวข้อ: Re: จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........ |[ เรื่องพิเศษ อวยพรรับปีใหม่ ]|
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 22-12-2007 22:54:05
 :sad2:   :sad2:  :sad2:  :sad2:
ความสูญเสียที่ไม่อาจเรียกกลับคืน ความรักที่ค้นพบเมื่อสาย
สุดท้ายเหลือเพียงเรา กับความว่างเปล่าที่อยู่ข้างกาย

หัวข้อ: Re: จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........ |[ เรื่องพิเศษ อวยพรรับปีใหม่ ]|
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 23-12-2007 02:02:06
พี่ชาย . . .
เอามาให้ผมอ่านทำม๊ายยย  :serius2:

อ่านรอบสอง ก้อยัง ...
รู้สึกเหมือนกับว่า เป็นตัวเอง .....  :o12:

ป๋มอยากตาย  :sad2:
หัวข้อ: Re: จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........ |[ เรื่องพิเศษ อวยพรรับปีใหม่ ]|
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 27-12-2007 20:13:48
เรื่องนี้เศร้าจัง สงสารเพื่อนคนนั้นนะ
ไม่น่าตายเลยด้วย :m15:
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 14-01-2008 20:16:12
ความทรงจำครั้งสุดท้าย


ลมหนาวพัดผ่านช่องเขามาปะทะเข้ากับใบหน้าของผมเบาๆ ถึงลมจะไม่แรง แต่อากาศยามเย็นของฤดูหนาวบนภูเขานี้ก็ทำให้ผมต้องตัวสั่นสะท้านได้เลยเหมือนกัน ผมกระชับเสื้อกันหนาวของตัวเองเข้ากับตัวพร้อมกับห่อไหล่ของตัวเองมากขึ้นเพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกายของตัวเองเพิ่มขึ้นอีกสักเล็กน้อยก็ยังดี

ใครหลายๆคนบอกว่า ฤดูหนาวคือฤดูแห่งความเหงา....... ผมเองก็ไม่คิดจะปฏิเสธมันหรอก โดยเฉพาะบรรยากาศหนาวๆที่มาพร้อมกับภาพเหงาๆของดวงอาทิตย์สีส้มที่กำลังทอแสงครั้งสุดท้ายลาลับขอบฟ้าไปนี้ ต่อให้เป็นคนใจแข็งมากเท่าใด ก็ย่อมจะอดยอมรับไม่ได้ว่า ความหนาวเย็นทางกายที่ได้สัมผัสนี้มันแทรกซึมผ่านทุกอณูผิวหนัง ลึกเข้าไปถึงจิตใจของใครหลายๆคนได้เป็นอย่างดี

และผมเองก็ไม่ใช่คนใจแข็งเสียด้วยสิ

บรรยากาศเหงาๆ ลมหนาวๆ กับรอยยิ้มจางๆ ให้กับความอบอุ่นในความทรงจำที่หยั่งลึกอยู่ภายในใจของผม............

เรื่องทั้งหมดมันเริ่มต้นเมื่อกว่าสี่ปีก่อน ในตอนนั้นผมยังเรียนอยู่ชั้นมอหนึ่งอยู่เลย และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้พบกับเขา พี่ชายที่แสนดีของผม.........

พี่โต้งอายุมากกว่าผมเก้าปี และเป็นลูกของเพื่อนแม่ของผมที่นานๆเราจะได้เจอกันสักที ครั้งแรกที่ผมได้เจอพี่เขานั้นก็เป็นเพราะครอบครัวของพี่เขาต้องมาทำธุระกับที่บ้านของผม แม่ของผมกับแม่ของพี่โต้งเองก็เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่เนื่องจากทั้งสองคนสนิทสนมกันไวมาก และทังคู่ก็คิดจะจับมือกันทำธุรกิจเล็กๆร่วมกัน จึงทำให้ครอบครัวของเราสองคนคุ้นเคยกันได้อย่างรวดเร็ว

แรกๆผมกับพี่โต้งก็ได้เจอกันแค่เพียงเดือนละไม่กี่ครั้ง ตอนนั้นพี่โต้งเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายพอดี จึงทำให้เขาไม่ค่อยมีเวลาตามแม่มาที่จังหวัดของเราบ่อยนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้ราวๆสามสี่เดือน พี่เขาก็สามารถมาที่นี่ได้บ่อยมากขึ้น จนกระทั่งถึงช่วงปิดเทอมต้นฤดูหนาว พี่โต้งก็สามารถมาอยู่กับเราได้ตลอดทั้งสัปดาห์ โดยที่เขาก็นอนที่บ้านของเขา ผมก็มีบ้านของผม แต่ว่าช่วงเวลากลางวันเราก็จะได้เจอกันทุกวันเนื่องจากเรื่องงานของแม่ของเรา และสำหรับคนที่ไม่เคยมีพี่ชายอย่างผม พี่โต้งจึงเป็นทั้งพี่และเพื่อนเล่นที่ผมรู้สึกรักและสบายใจเวลาที่อยู่ด้วยมาก

พี่โต้งเป็นคนที่ค่อนข้างจะหน้าเด็กกว่าวัยและตัวไม่สูงมากนัก ที่จริงหุ่นของขาค่อนข้างจะออกไปทางผอมเสียด้วยซ้ำ แต่ว่าเนื่องจากตอนนั้นผมยังเป็นเพียงเด็กมอหนึ่งที่สูงแค่ร้อยห้าสิบนิดๆ แถมเสียงยังไม่ทันจะแตกเลยด้วยซ้ำ ทำให้ในสายตาของผมแล้ว พี่โต้งเป็นคนที่ดูเป็นผู้ใหญ่มาก เพราะนอกไปจากอายุที่ต่างกันถึงเก้าปีแล้ว พี่เขายังมีบุคลิกที่ดูอบอุ่นและยังดูพึ่งพาได้อีกมากด้วย และที่ยิ่งไปมากกว่านั้น ความอารมณ์ดีของพี่เขาก็ทำให้ผมรู้สึกเป็นกันเองและสนิทสนมด้วยได้ไวมากๆ พี่โต้งไม่เคยมีท่าทีวางตัวหรือวางท่าอะไรกับผมเลย ถึงแม้ว่าเขาจะอายุมากกว่าผมเยอะและผมเองก็ยังคงเป็นเพียงเด็กซนๆคนหนึ่งเท่านั้นเอง

เนื่องจากตอนนั้นผมยังเด็กมาก แถมยังเรียกได้ว่าค่อนข้างจะโตช้ากว่าคนอื่นด้วยซ้ำ ผมจึงไม่เคยคิดและสนใจในเรื่องแบบว่าเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความรู้สึกทางเพศกับผู้ชายหรือกับพี่โต้งเลย ตอนนั้นผมแทบไม่เคยสนใจเรื่องพวกนั้นเลยสักนิดด้วยซ้ำ และแน่นอนว่าตอนนั้นผมเองก็ไม่เคยคิดแม้แต่นิดเดียวว่าผมจะชอบผู้ชาย เพราะผมเองก็เหมือนเด็กผู้ชายทั่วไปที่ชอบเล่นบอลกับเพื่อน ฟังเพลง เล่นดนตรี เล่นการ์ดเกม และติดการ์ตูน ตอนนั้นในหัวของผมก็มีเพียงแต่เรื่องพวกนี้เท่านั้นเอง แต่หากเมื่อเวลาผ่านไป ผมจึงเริ่มรู้สึกถึงความรู้สึกแปลกๆในใจที่ผมไม่เคยรู้สึกและไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะเกิดขึ้นกับผมมากขึ้นเรื่อย..........

ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผมได้คลุกคลีอยู่กับพี่โต้งนั้น ผมก็รู้สึกผูกพันกับพี่เขามากขึ้นตามกาลเวลา ถึงมันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ผมก็รู้สึกเศร้าใจทุกครั้งที่ต้องกลับบ้านหรือรู้ว่าวันไหนผมจะไม่ได้เจอกับพี่เขา มันเป็นความรู้สึกเหงาๆ ความรู้สึกคิดถึงเพื่อนที่เล่นและพูดคุยกันได้ถูกคอก็เท่านั้น

แต่หลังจากที่มหาวิทยาลัยของพี่โต้งเปิดเทอม ผมกับพี่เขาก็แทบจะไม่ได้เจอกันอีกเลย จนกระทั่งเกือบสองเดือนผ่านไป ครอบครัวของเราสองครอบครัวพร้อมกับเพื่อนของแม่คนอื่นๆก็ตัดสินใจจะไปเที่ยวตั้งแคมป์ที่เขาค้อด้วยกัน และแน่นอนว่าคราวนี้พี่โต้งก็ไปด้วย แต่ตอนนั้นผมเองก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นดีใจหรือรู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับเรื่องนี้เท่าไหร่นัก อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นผมไม่ได้เจอพี่โต้งมาพักใหญ่ๆแล้ว และผมก็ยังเด็กอยู่ แถมมีเพื่อนที่โรงเรียนและเพื่อนแถวบ้านหลายคนด้วย ทำให้ผมไม่ได้คิดถึงพี่เขามากเหมือนเมื่อก่อนตอนที่เจอพี่เขาทุกวันเท่าใดนัก แต่ทว่าเมื่อเราอยู่กันบนเขาค้อแล้ว อะไรหลายๆอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป พี่โต้งก็ยังคงเป็นพี่โต้งคนเดิมที่สนิทสนม คอยดูแล และเป็นที่พึ่งพาของผมได้ตลอดเวลา และนั่นก็เริ่มทำให้ผมหวนกลับมารู้ตัวอีกครั้งว่าแท้จริงแล้ว พี่ชายคนนี้เป็นคนที่พิเศษสำหรับผมมากขนาดไหน

คืนแรกที่เราต้องนอนในเต็นท์ด้วยกันเพียงสองคน พี่โต้งได้พูดบางอย่างกับผมที่ทำให้ผมยิ่งรู้สึกผูกพันกับพี่ชายคนนี้มากขึ้นไปอีก

“เดียร์รู้มั๊ย ว่าจริงๆแล้วพี่ก็เคยมีน้องชายด้วยนะ” พี่โต้งพูดขึ้นขณะที่เราสองคนกำลังนอนคุยเรื่องสัพเพเหระด้วยกันอยู่

“อ้าว จริงเหรอ” ผมตอบกลับไปอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก

“ใช่ แต่ว่าเค้าตายไปตั้งแต่อายุยังไม่ถึงห้าขวบดีเลย” พี่โต้งพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยที่เจือไปด้วยความเศร้าเล็กๆ

“พี่โต้งพูดจริงรึเปล่าเนี่ย” ผมถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจตัวเองเท่าไหร่นักว่าควรจะพูดอย่างไรออกไปดี

“จริงสิ พี่จะโกหกทำไม” พี่โต้งหันมายิ้มให้ผม “พี่เคยโกหกเดียร์ซักครั้งเรอะไง”

“เคยดิ่” ผมตอบ

“ไอ้นี้นี่” พี่โต้งหัวเราะพร้อมกับเอื้อมแขนมารัดตอผมเข้าไปรัดแล้วเอากำปั้นมาถูกระหม่อมผมแรงๆ ผมทั้งร้อง ทั้งดิ้น ทั้งหัวเราะขอร้องให้พี่เขาปล่อย และเมื่อพี่โต้งยอมปล่อยผม พี่เขาก็กลับเงียบลงอีกครั้ง “........ถ้าตอนนี้เค้ายังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ เค้าก็จะอายุประมาณเดียวกับเดียร์นี่แหละ”

ผมเงียบเสียงลง เริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นเล็กน้อย คงเพราะว่าตอนนั้นผมยังเด็กมากอยู่เลย มันจึงทำให้ผมรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ด้วยความเป็นเด็กซนๆและอารมณ์ดีแทบจะตลอดเวลา ผมจึงมักจะรู้สึกอึดอัดกับเรื่องเครียดๆอยู่เสมอๆ

“พี่น่ะอยากมีน้องชายมาตลอดเลย เพราะพี่ว่าการโตมาเป็นลูกคนเดียวอ่ะ มันเหงานะ แต่เดียร์เองก็มีน้องสาวนี่ เราคงไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่หรอกมั๊ง” พี่โต้งหันมามองหน้าผมอีกครั้ง จากนั้นก็หันกลับไปลืมตามองเพดานเต็นท์อีกหน “แต่ว่านะ....... การที่ได้มีน้องชายอย่างที่เคยฝันอยากมีแล้วจริงๆ แต่สุดท้ายก็ต้องมาเสียเค้าไปเนี่ย มันกลับเป็นอะไรที่เหี้ยยิ่งกว่าเดิมซะอีก”

“แต่น้องเดียร์ยังเด็กอยู่เลยนะ เดียร์ว่าน่ารำคาญจะตาย ชอบร้องไห้เรื่อยเลย”

“พี่ก็ว่าแล้ว.......” พี่โต้งหัวเราะเบาๆ “ก็ดิวเค้าเพิ่งจะสี่ขวบเองนี่ ก็เป็นธรรมดาแหละ รักเค้าให้มากๆก็แล้วกัน ทำหน้าที่พี่ชายดีๆ ฟังเรื่องของพี่ไว้ แล้วจะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง เข้าใจรึเปล่า........”

ผมพยักหน้ารับ และนี่ก็นับเป็นเรื่องหนึ่งที่ผมรู้สึกแปลกใจตัวเองเหมือนกัน เพราะปกติถ้าเป็นใครมาสอนมาพูดอะไรกับผมแนวๆนี้ ผมจะเบื่อมากและไม่ยอมรับฟังเลย แต่ว่าพอเป็นพี่โต้งแล้ว ทุกๆคำที่พี่เขาพูด ผมกลับพร้อมที่จะเชื่อฟังและทำตามอย่างที่รับปากจริงๆ

“.......นอนเถอะครับ เดี๋ยวพ่อกับแม่จะมาดุเอา” พี่โต้งขยับตัวและดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ผมด้วย “ห้ามกรน ห้ามนอนดิ้น แล้วก็ฝันดีนะครับ น้องชายของพี่.......” พี่โต้งพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะหลับตาลง

ผมเองก็รู้ตัวมาตลอดว่าพี่โต้งเป็นคนที่น่าจะชอบการถูกเนื้อต้องตัวมากกว่าคนอื่นๆที่ผมเคยรู้จัก ผมหมายถึง ตลอดเวลาตั้งแต่เรารู้จักกันมา พี่โต้งจะเล่นหัวกับผมบ่อยมาก และไม่ใช่เพียงแค่นั้น แต่ยังรวมไปถึงการโอบบ่า โอบเอว ลูบหัว จับแขน จับพุง และอีกหลายๆอย่าง แต่ทุกสิ่งที่พี่โต้งทำก็ไม่ได้เป็นการแสดงออกที่ส่อไปในทางเพศหรือทำอะไรทะลึ่งๆกับผมเลยแม้แต่น้อย กลับกัน มันกลับเป็นการแสดงออกถึงความรัก ความเอ็นดู และความอบอุ่นอย่างจริงใจจริงๆ เป็นอะไรที่ผมไม่เคยได้รับจากคนอื่นๆ หรือแม้แต่ถ้ามีคนอื่นๆมาทำกับผมแบบนี้ มันก็คงจะไม่เหมือนกัน หรือผมเองนั่นแหละจะเป็นฝ่ายถอยหนีเอาเสียก่อน

และตลอดเวลาที่เราเที่ยวอยู่บนเขาค้อด้วยกันนั้น พี่โต้งก็ยิ่งแสดงออกถึงสิ่งเหล่านั้นมากขึ้นไปอีก พี่เขาจะคอยดูแลเทคแคร์ผมดีมาก แต่ก็ไม่มากเกินไปจนทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับเป็นเด็กตัวเล็กๆที่พึ่งพาตัวเองไม่ได้เลย ไม่ว่าจะตอนที่เราเดินป่า ขึ้นเขา หรือไปเล่นน้ำตก ทุกครั้งที่พี่โต้งอยู่ใกล้ๆกับผม ผมก็จะรู้สึกอุ่นใจได้เสมอๆ เพราะพี่โต้งจะคอยระวัง และคอยเป็นกำลังใจ ช่วยเหลือผมอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะตอนที่ผมรู้สึกเหนื่อยหรือซนมากจนเกินไป พี่โต้งก็จะคอยยืนยิ้ม หัวเราะ ตักเตือน และคอยดูแลอยู่ข้างๆตัวผมแทบตลอด

และแล้วในคืนที่สาม และเป็นคืนสุดท้ายที่เราต้องนอนด้วยกัน ก่อนที่จะเข้านอน เราสองคนที่กำลังจะเดินไปอาบน้ำก็ต้องเห็นว่าคนกำลังรอคิวต่อห้องอาบน้ำมีเยอะมาก เรา...... ไม่สิ ผมจึงถูกผู้ใหญ่คนอื่นๆสั่งให้เข้าไปอาบพร้อมกับพี่โต้งเพื่อเป็นการประหยัดเวลา ตอนนั้นถึงเสียงของผมจะยังไม่แตก และคนอื่นๆอาจจะเห็นว่าผมยังคงเป็นแค่เด็กคนหนึ่งอยู่ แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าจริงๆแล้วอวัยวะบางส่วนของผมมันก็เริ่มพัฒนาไปบ้างแล้ว ไม่ว่าจะขนในที่ลับหรือขนจั๊กแร้ และแน่นอนว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ผมกำลังเริ่มรู้สึกอายเกี่ยวกับร่างกายของตัวเองมากด้วย

“เอาน่า มาเร็วๆเข้า” พี่โต้งดึงผมเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับพี่เขา และเมื่อเราสองคนอยู่ด้วยกันตามลำพังแล้ว พี่เค้าคงจะมองเห็นความกังวลในสายตาของผม หรือไม่ก็คงรำคาญที่ผมเอาแต่บอกว่าผมอาบคนเดียวดีกว่าไม่รู้กี่หนต่อกี่หน พี่เขาจึงถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกหมดตรงหน้าของผมนั่นเลย และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นร่างเปลือยเปล่าของผู้ชายที่โตเต็มวัยแล้วต่อหน้าด้วย “เอ้า แค่นี้ก็ไม่อายแล้วใช่มั๊ย มีเหมือนๆกันน่า ไม่ต้องอายหรอก พี่ยังไม่อายเลย เร็ว แก้ผ้า เดี๋ยวจะยิ่งหนาวเข้าไปใหญ่หรอก” พี่โต้งยิ้ม

ผมคงต้องขอถอนคำพูดที่ว่าพี่โต้งเป็นคนตัวเล็กที่ค่อนข้างผอมทิ้งไป ณ ตอนนั้นเลย เพราะถึงพี่โต้งจะไม่สูงล่ำเหมือนคนอื่นๆหลายๆคน แต่ว่ากล้ามท้องที่เรียบเป็นลอน กับกล้ามอกเป็นแผ่นกำลังดีนั้นก็บอกได้อย่างชัดเจนว่าพี่เขาดูแลตัวเองมากแค่ไหน และที่สำคัญ......... ไอ้น้องชายของพี่โต้งที่ห้องอยู่หว่างขาของพี่เขานั้นมันก็ทำให้ผมต้องเบือนหน้าหนีด้วยความอายจนไม่รู้จะเอาสายตาไปมองที่ไหนดีเลยจริงๆ

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมก็เริ่มรู้สึกอายกับการที่ต้องแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นน้อยลงอีกนิดหน่อย เพราะพี่โต้งไม่ได้วิจารณ์หรือพูดถึงร่างกายของผมให้ผมต้องรู้สึกกระดากเลยแม้แต่น้อย และตอนที่เราสองคนนอนอยู่ด้วยกันนั้น พี่โต้งก็เขยิบเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น พร้อมกับสวมกอดผมจากทางด้านหลัง ทำเอาผมรู้สึกตัวเองเกร็งไปชั่วครู่หนึ่งเลยทีเดียว

“ขอกอดที มันหนาวว่ะ วันนี้แม่งหนาวกว่าเมื่อวานอีก ว่าป่ะ”

“อือ ครับ” ผมตอบ เริ่มรู้สึกถึงความรู้สึกแปลกๆที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อนเล็กน้อย ทั้งๆที่ผมเองก็ถูกพี่เขากอดออกบ่อยไป แต่ว่าการกอดครั้งไหนๆที่ผ่านมาก็ไม่เหมือนกับการกอดในครั้งนี้เลยจริงๆ

“พี่อยากอาบน้ำกับนอนกอดน้องชายพี่มานานแล้วรู้เปล่า คือ อยากทำอะไรแบบที่พี่น้องเขาทำกันน่ะนะ แต่จะว่าไปพี่ก็ไม่รู้หรอกว่าปกติแล้วพี่น้องกันเค้าทำกันแบบนี้รึเปล่าน่ะ” พี่โต้งหัวเราะเบาๆและเงียบลงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงขี้เล่น “นี่ถ้าแฟนพี่รู้นะว่าพี่นอนกอดคนอื่นนอกจากเค้า แถมคนๆนั้นยังเป็นผู้ชายด้วยเนี่ย เค้าคงกรี๊ดจนบ้านแตกแน่เลย”

ผมรู้อยู่แล้วว่าพี่โต้งมีแฟนที่คบกันมากว่าสองปีแล้ว และพี่เขาก็พูดถึงแฟนพี่เขาให้ผมฟังบ่อยๆด้วย ก็ไม่เชิงว่าพูดถึงบ่อยหรือเล่าเรื่องราวของเขาให้ผมฟังหรอก แต่มันก็พอทำให้ผมรู้บ้างแหละว่าพี่เขาคบกันมานานเท่าไหร่แล้ว ปกติคบกันแล้วเป็นยังไง และ...... เขาสองคนยังรักกันดีอยู่รึเปล่าก็เท่านั้น

“เดียร์ครับ........” พี่โต้งพูดเบาๆหลังจากเราสองคนเงียบกันไปพักใหญ่ๆ “พี่ขอเดียร์เป็นน้องชายพี่อีกคนจะได้มั๊ย”

“อื้อ ก็ได้นี่” ผมพยักหน้าตอบ

“หึหึ ขอบคุณครับ ไอ้น้องชาย” พี่โต้งหัวเราะเบาๆพร้อมกับกระชับกอดให้แน่นขึ้นอีกเล็กน้อย “พี่รักเดียร์นะครับ” เมื่อพูดจบ พี่โต้งก็เขยิบตัวมาหอมแก้มผมเบาๆหนึ่งครั้ง ทำเอาผมรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นอีกไม่รู้กี่เท่า แถมที่สำคัญผมยังไม่รู้ด้วยว่าปกติแล้วผู้ชายเค้าควรจะหอมกันแบบนี้หรือเปล่า ไม่ว่าจะในฐานะเพื่อน หรือพี่ชายน้องชายแบบที่พี่เขาเพิ่งพูดกับผม แต่ว่ามันก็เกิดขึ้นแล้ว และสิ่งที่ตอกย้ำอยู่ในหัวของผมตลอดเวลาก็คือ พี่เขาเป็นผู้ชายแท้ๆ เขามีแฟนแล้ว และผมเองก็เป็นผู้ชายแท้ๆเช่นกัน และที่สำคัญคือในขณะที่ผมกำลังรู้สึกว่าตัวเองทั้งหน้าแดงและสับสนมากๆอยู่ในขณะนั้น พี่ต้นที่เป็นคนหอมแก้มผมกลับนอนกอดผมเฉยไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งทำลงไปทั้งสิ้น แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้ผมสงบจิตใจของตัวเองลงได้ด้วยล่ะนะ ก็ถ้าในเมื่อพี่เขายังไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องแค่นี้ ก็แล้วทำไมผมจะต้องคิดด้วยล่ะ ที่สำคัญกว่าก็คือผมเพิ่งจะมีพี่ชายเป็นคนแรกและครั้งแรก และพี่เขาก็รักผมมาก ไม่ต่างกับที่ผมรักเขามากเช่นกัน เพราะฉะนั้น เท่านี้มันก็น่าจะเพียงพอแล้ว.........

เมื่อถึงวันสุดท้ายที่เราจะต้องแยกจากกัน ผมยิ่งรู้สึกเหงาและเศร้าใจมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นเสียอีก ช่วงเวลาเพียงแค่สี่วันสามคืน มันกลับยิ่งทำให้ผมรู้สึกผูกพันกับพี่โต้งมากขึ้นไปอีกแบบที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลย โดยเฉพาะยิ่งครั้งนี้ หลังจากที่พี่เขากลับกรุงเทพไปแล้ว ผมก็ไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่เราถึงจะได้เจอกันอีกครั้ง และพี่เขาเองก็ตอบคำถามนี้ไม่ได้ด้วยเช่นกัน

ในสองชั่วโมงสุดท้ายก่อนที่เราจะต้องแยกจากกัน หลังจากลงจากเขาค้อ พี่โต้งกับครอบครัวมานั่งพักนอนพักที่บ้านของผมก่อนจะต้องขับรถกลับกรุงเทพกัน ผมรู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆระหว่างเราสองคนขึ้นมาได้อย่างชัดเจน มันเป็นความหนักหน่วงและความเหงาอย่างบอกไม่ถูก และเป็นอะไรที่ผมไม่เคยสัมผัสมาก่อนเลยด้วย ในตอนนั้นทั้งพี่โต้งและผมต่างก็แทบไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย ส่วนมากแล้วเราก็จะมีเพียงแต่สายตาที่มองมายังกันและกัน กับบทสนทนาที่ว่า เราต่างคนจะทำอะไรกันอีกต่อไป และเมื่อไหร่เราจะได้เจอกันอีกครั้งก็เท่านั้น

“เดียร์อาจจะต้องย้ายไปสระบุรีนะครับ เพราะถ้าพ่อเดียร์ต้องย้ายไป เดียร์ก็ต้องตามไปด้วยน่ะ” ผมพูด ขณะที่เราสองคนกำลังเดินคุยกันอยู่ระหว่างทางไปเซเว่น

“อ้าว ทำไมล่ะ แล้วเมื่อไหร่ แล้วถ้าไปนี่ไปนานรึเปล่า” พี่โต้งถามกลับ

“ก็คงอีกราวๆปีสองปีมั๊ง ดูว่าพ่อจะย้ายไปเมื่อไหร่น่ะ เดียร์ว่าอยู่ที่เจ้านายพ่อมากกว่าตัวพ่อเดียร์เองนะ ไม่รู้สิ แต่ถ้าไปก็คงต้องไปกันทั้งครอบครัวนั่นแหละครับ”

“แล้ว....... ถ้าพี่มาที่นี่อีก พี่จะได้เจอเดียร์เหรอ” พี่โต้งถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเศร้าเอาไว้ แต่ผมก็ยังอุตส่าห์รู้สึกถึงมันได้ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะปกติแล้วผมจะไม่ค่อยได้ยินพี่โต้งพูดแบบนี้เท่าไหร่นักก็ได้

“เดียร์ก็ไม่รู้เหมือนกัน........”

“เดียร์ไปเรียนต่อมอปลายที่กรุงเทพมั๊ยล่ะ ไปนอนกับพี่ที่บ้านก็ได้นี่ ดีกว่าไปเรียนที่สระบุรีอีก” พี่โต้งเสนอ

“เดียร์ว่าสงสัยจะยากนะ........”

“ก็นั่นสินะ พี่ก็พูดไปอย่างงั้นเอง”

เราสองคนจบบทสนทนาครั้งนั้นลงที่ตรงนั้นเมื่อพี่โต้งจับมือของผมเพื่อที่จะข้ามถนน และเมื่อกลับมาถึงบ้าน เราก็ไม่ได้คุยถึงเรื่องนี้กันอีก

หลังจากกลับมาจากออกไปซื้อของกัน อีกไม่ถึงชั่วโมงก็ได้เวลาที่พี่โต้งจะต้องกลับบ้านแล้ว แต่อาจจะเป็นเพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทางและกิจกรรมหลายๆอย่างตอนที่เราอยู่บนเขา ขณะที่เรากำลังนั่งดูหนังอยู่ด้วยกันพี่โต้งก็ผล็อยหลับไปเสียก่อน ผมหันไปมองใบหน้าของพี่โต้งตอนหลับแล้วก็รู้สึกตัวเองใจหายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย ถึงครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน แต่ไม่รู้ทำไมทั้งบรรยากาศและความรู้สึกหลายๆอย่างมันช่างชวนให้รู้สึกเหงาใจมากขนาดนี้ ผมก้มลงมองไปที่มือของพี่ต้นที่วางอยู่บนหน้าขา มันเป็นมืออันแข็งแรงและอบอุ่นที่คอยดูแลและทำหน้าที่ปลอบโยนมอบความอบอุ่นให้แก่ผมมาตลอดระยะเวลาหลายวัน และบัดนี้ก็ถึงเวลาที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ที่ผมถึงจะได้รู้สึกถึงความอบอุ่นนั้นอีกครั้ง ผมถอนหายใจให้กับตัวเองเบาๆ พลันสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นเป้ากางเกงของพี่โต้งที่โป่งนูนเป็นลำขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังหน้าแดง และอะไรบางในกางเกงของผมก็เริ่มจะตื่นตัว ภาพของพี่โต้งในตอนที่เราอาบน้ำด้วยกันมันย้อนกลับเข้ามาในหัวของผมอีกครั้ง ผมจึงรีบสลัดมันออกจากหัวไปแทบจะทันที

ก่อนที่พี่โต้งจะต้องกลับ ในขณะที่บรรดาพ่อๆแม่ๆของเรากำลังร่ำรากันอยู่นั้น พี่โต้งได้เรียกผมให้เข้าไปหาในห้องครัว และก่อนที่ผมจะได้เอ่ยปากถามว่ามีเรื่องอะไร พี่โต้งก็ดึงตัวผมเข้าไปกอดพร้อมกับลูบหัวผมเบาๆเหมือนกับทุกครั้งที่พี่เขาทำ

“ขอบคุณมากนะครับ ดูแลตัวเองดีๆล่ะ แล้วเอาไว้พี่จะมาหาใหม่นะ” เมื่อพูดจบ พี่โต้งก็ดันตัวผมออกเล็กน้อย พร้อมกับจูบลงบนหน้าผากของผมเบาๆ และเมื่อผมไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป พี่เขาก็จูบลงบนแก้มของผมอีกครั้ง “พี่รักเดียร์นะครับ” พี่โต้งกระซิบใส่หูของผมเบาๆเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองผมอีกเลย ทิ้งให้ผมยืนมองแผ่นหลังของเขาที่เดินขึ้นรถไป จนกระทั่งรถคันนั้นลับสายตาไป............

หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 14-01-2008 20:20:03

หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้เจอพี่โต้งอีกเลยเกือบจะครึ่งปีเต็ม และเมื่อผมได้เจอกับพี่เขาอีกครั้ง เราสองคนก็ยังคงเป็นปกติต่อกันเหมือนเดิมทุกอย่าง ต่างไปแค่ผมที่โตมากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเสียง หรือส่วนสูง ทำให้พี่โต้งไม่ได้ปฏิบัติกับผมเหมือนเป็นเด็กๆอีกต่อไปแล้ว แต่กลับให้ความเคารพกับผมเหมือนผมเป็นผู้ใหญ่ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ เป็นวัยรุ่นที่มีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น แต่ทว่าความอบอุ่นจากพี่โต้งนั้นก็ยังไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย และในตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่า แท้จริงแล้ว ผมแอบมีความรู้สึกให้กับพี่ชายของตัวเองคนนี้มากแค่ไหน ถึงแม้มันจะเป็นความรักที่เป็นไปไม่ได้ แต่ผมก็ยินดีที่จะเก็บมันเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ให้มันเป็นความอบอุ่นที่คอยหล่อเลี้ยงตัวผมยามที่จะไม่ได้เจอหน้าพี่เขาอีกไม่ว่าจะนานเพียงใดก็ตาม..........

ตอนที่ผมขึ้นมอสาม ในที่สุดผมก็ต้องย้ายตามพ่อของผมไปยังจังหวัดสระบุรีอย่างที่คาดเอาไว้ และตอนนั้นเองที่ผมกับพี่โต้งขาดการติดต่อจากกันโดยสิ้นเชิง กว่าที่ผมจะได้ยินเสียงของเขาอีกครั้งก็เป็นช่วงที่ผมขึ้นชั้นมอห้าแล้ว วันนั้นเป็นวันที่ผมจำได้ไม่มีวันลืม เพราะมันเป็นช่วงที่ผมกำลังทะเลาะกับแฟนและกำลังอยู่ในช่วงที่จะตัดสินใจว่าจะเลิกดีหรือไม่อยู่พอดี และคืนนั้นที่ผมกำลังนอนคิดมากอยู่คนเดียวนั้นเอง เบอร์ที่ผมไม่รู้จักเบอร์หนึ่งก็โทรเข้ามาที่มือถือของผม

“ใครครับ” ผมรับด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ คิดว่าคงเป็นเพื่อนของแฟนผมโทรมาต่อว่าผมอีกตามเคย

“นั่นเดียร์รึเปล่าครับ” อีกฝั่งตอบกลับมาด้วยคำถาม

“ก็คงใช่อ่ะ นั่นใครครับ มีธุระอะไร” ผมตอบกลับไปอย่างหงุดหงิด

“เสียงดุจังนะ น้องชาย ทะเลาะกับแฟนรึไง” อีกฝั่งหัวเราะเบาๆกลับมาอย่างอารมณ์ดี และคำว่า “น้องชาย” นั้นก็ทำให้ผมต้องสะดุ้งลุกขึ้นมานั่งบนเตียงในแทบจะทันที

“นั่นใครอ่ะ พี่โต้งเหรอครับ”

“ครับ พี่เอง” พี่โต้งตอบกลับมาอย่าง........ ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้ แต่ตอนนั้นผมรู้สึกจริงๆว่ามันเป็นคำพูดสั้นๆที่อบอุ่นมาก “สบายดีรึเปล่า กำลังหงุดหงิดอะไรอยู่รึเปล่าเนี่ย จะให้พี่วางก่อนมั๊ย”

“ไม่ๆครับ ไม่มีอะไร พี่โต้งเอาเบอร์เดียร์มาจากไหน แล้วทำไมหายไปไหนมาตั้งนาน”

“พี่ก็เสาะหามาจนได้แหละครับ พี่จะทิ้งน้องชายพี่ลงคอได้ยังไงกัน........” พี่โต้งเว้นช่วงไปสักพัก “ไง ตกลงทะเลาะกับแฟนจริงๆเหรอ ฮึ มีแฟนแล้วเหรอเนี่ยเรา”

“ก็...... ครับ ผู้หญิงแม่งงี่เง่าอ่ะพี่ เดียร์เบื่อจะแย่แล้วเนี่ย” ผมถอนหายใจเพราะ ทั้งรู้สึกเซ็งกับเรื่องของแฟน และรู้สึกอบอุ่นแบบสุดๆ ที่ได้ยินเสียงของคนในความทรงจำของผมที่ผมไม่เคยลืมเลือน

“เอาน่า อย่าคิดมากนะครับ ถึงไงก็อย่าลืมนะว่าพี่ยังรักเดียร์อยู่เสมอ”

ผมยิ้มกว้างออกมาให้กับตัวเอง “อื้อ เดียร์รู้”

หลังจากคืนนั้น ผมกับพี่โต้งก็คุยกันบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าผมจะเป็นฝ่ายโทรไปหรือพี่เขาโทรมาเอง จนผมรู้สึกสบายใจและหายจากอาการเจ็บเรื่องของแฟนไปได้เร็วมาก ที่จริงเร็วและดีขึ้นมากจนมีแต่คนแปลกใจด้วยซ้ำ

เรื่องทั้งหมดดำเนินแบบนี้ต่อไปราวๆเกือบสองเดือน ผมก็ได้รู้ข่าวสำคัญจากพี่โต้ง ซึ่งมาคิดๆดูแล้ว มันก็คงไม่พ้นเป็นเหตุผลเดียวที่พี่เขากลับมาติดต่อหาผมอีกครั้งก็เป็นได้

“พี่จะแต่งงานแล้วนะ เดียร์”

“..........จริงเหรอครับ” ผมรู้สึกตกใจมากกับข่าวที่ได้รับมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ก็ยังคงต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้

“อื้อ ตอนนี้กำลังหาฤกษ์กันอยู่ แต่ก็คงอีกไม่นานล่ะมั๊ง”

“อ้าว งั้นก็ยินดีด้วยนะครับพี่ โธ่ นี่ก็แปลว่าที่อุตส่าห์ตามหาเบอร์เดียร์จนเจอเนี่ย ก็แค่จะบอกข่าวดีแค่นี้ล่ะสิ แหม ไอ้เราก็นึกว่าคิดถึงน้องชายจริงๆเลยโทรมาหาซะอีก” ผมพูดออกไปอย่างไม่ทันได้คิดเพราะเพื่อจะกลบเกลื่อนความตกใจและ........ ความสะเทือนใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินจนลืมคิดไปถึงความหมายของสิ่งที่ผมเพิ่งพูดออกไป

“ทำไมเดียร์ถึงพูดแบบนั้น” พี่โต้งสวนกลับมาแทบจะทันทีที่ผมพูดจบ “นี่เดียร์คิดว่าพี่คิดกับเดียร์แค่ไหนกัน เดียร์ถึงได้มองพี่แบบนั้น พี่จะบอกเอาไว้เลยนะว่าถ้าพี่ไม่รักไม่คิดถึงเดียร์ พี่ไม่อุตส่าห์ดั้นด้นไปหาเบอร์ของเดียร์มาหรอกและก็คงไม่โทรคุยกับเดียร์บ่อยแบบนี้ด้วย แต่มันเพราะอะไร เดียร์ก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจนี่ ว่ามันเพราะอะไร ว่าทำไม........ ทำไมพี่ถึงได้........ โธ่เอ๊ยย” พี่โต้งเว้นไปครู่หนึ่ง “พี่รู้สึกเสียใจนะครับเนี่ยที่เดียร์คิดแบบนั้น”

“พี่โต้ง เดียร์ขอโทษ” ผมรีบเอ่ยคำขอโทษและโทษตัวเองอย่างที่สุด “เดียร์ไม่ได้ตั้งใจจะหมายความว่าแบบนั้น เดียร์ก็แค่....... ไม่รู้อ่ะครับ เดียร์พลั้งปากออกไปเอง เดียร์เองก็รักพี่โต้งนะครับ พี่โต้งอย่าโกรธเดียร์นะ”

เราสองคนเงียบกันลงไปอีกครั้ง และผมเองก็รู้สึกแปลกใจตัวเองมากเหมือนกันที่ได้ยินตัวเองพูดแบบนั้นออกไป....... ที่ได้ยินตัวเองพูด “คำๆนั้น” ออกไป เพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมพูดคำนี้ออกไปกับพี่โต้ง และยังเป็นครั้งแรกที่ผมพูดกับคนอื่นที่ไม่ใช่แฟนผม โดยเฉพาะกับผู้ชายด้วย

“อืม ไม่เป็นไรครับ แค่ได้ยินคำนั้นพี่ก็ดีใจแล้ว ในที่สุดพี่ก็ได้รู้สักทีว่าน้องคนนี้ก็รักพี่ชายคนนี้เหมือนกัน เพราะเราไม่ใช่พี่น้องแท้ๆนี่นะ แถมพี่ยังหายหัวไปตั้งนานอีก ก็นึกว่าเดียร์จะลืมพี่ไปซะแล้ว” น้ำเสียงของพี่โต้งกลับมาเป็นแบบเดิมอีกครั้ง เป็นพี่โต้งที่รักและให้อภัยผมอยู่เสมอ

“เดียร์จะลืมพี่ได้ไงล่ะครับ ผู้ชายคนแรกที่บอกว่ารักเดียร์ แถมยังหอมแก้มเดียร์อีกต่างหาก อ้อ แถมได้เห็นเดียร์แก้ผ้าด้วย”

พี่โต้งหัวเราะชอบใจ “เอาเถอะๆ นี่แปลว่าจำได้หมดเลยจริงๆนะเนี่ย เชื่อแล้วว่าไม่ลืมจริงๆ แต่ว่าพี่มีอะไรอยากจะบอกเดียร์อย่างนึง ไม่รู้ว่าเดียร์จะสนใจรึเปล่านะ”

“อะไรครับ”

“พี่อยากชวนเดียร์ไปเขาค้อน่ะครับ พี่ไม่ได้ไปมาหลายปีมากแล้ว ตั้งแต่ครั้งนั้นพี่ก็ไม่ได้กลับไปอีกเลย เดียร์ไปกับพี่หน่อยนะ”

ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะให้คำตอบ “พี่โต้ง........ ขอเวลาเดียร์หน่อยก็แล้วกันนะครับ เดียร์ติดทั้งเรื่องเรียนอีก เรื่องที่บ้านด้วย ไม่รู้ว่าจะได้ไปเมื่อไหร่อ่ะ เอาไว้เดียร์ค่อยโทรไปบอกได้มั๊ยครับ” ที่จริงแล้วพ่อกับแม่ผมนี่ไม่ต้องเป็นห่วงเลยอยู่แล้ว เพราะถึงเราจะย้ายมาจากบ้านเก่าและผมจะไม่ได้คุยกับพี่โต้งเลยมานานมาก แต่ผมรู้ว่าพ่อแม่ของเราสองคนก็ยังคงติดต่อกันอยู่บ้างเป็นระยะๆ ซึ่งถ้าพ่อแม่ผมรู้ว่าผมจะไปกับพี่โต้ง นั่นก็ยิ่งไม่ใช่ปัญหาเข้าไปใหญ่ ส่วนเรื่องเรียนก็ยิ่งแล้วกันเลย แต่ทว่าที่ผมขอเลื่อนเวลาออกไปโดยอ้างเรื่องเหล่านั้น มันก็เป็นเพราะผมอยากจะให้เวลา........ กับตัวเองมากกว่า

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา แล้วพี่จะรอนะ” พี่โต้งตอบกลับมา และผมก็สามารถมองเห็นรอยยิ้มของพี่เขาได้เลยทีเดียว ถึงแม้มันจะเป็นรอยยิ้มของพี่โต้งคนเมื่อหลายปีก่อนก็ตาม

“อ๊ะ เดี๋ยว พี่โต้งครับ เดียร์ขอถามอะไรอย่างนึงหน่อยได้มั๊ย” ผมรีบพูดห้ามก่อนที่พี่เขาจะวางสายไป

“อะไรครับ”

“ทำไมพี่โต้งถึง........... ทำไมเราถึงไม่ได้คุยกันมาตั้งนานล่ะครับ” ผมถามออกไปด้วยใจที่สั่นไหว และพี่โต้งเองก็เงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกับกำลังใช้ความคิดเช่นกัน

“ถ้าถามตัวพี่ พี่ก็คงตอบว่า พี่รอ........ ล่ะมั๊งครับ”

“รอ...... รออะไรครับ” ผมสงสัย

“แล้วเดียร์จะได้คำตอบที่เขาค้อครับ แต่ถ้าไม่ไปก็อด” พี่โต้งตอบ ก่อนจะวางสายไป

และนั่น ก็เป็นเหตุผลที่ตอนนี้ผมมาอยู่ที่นี่ เดือนเดียวกับเมื่อสี่ปีก่อน และเป็นช่วงที่อากาศบนนี้กำลังหนาวได้ที่พอดี

หลังจากเวลาผ่านไปหลายวันหลายสัปดาห์กว่าที่ผมจะสามารถต่อสู้กับความขัดแย้งในตัวของตัวเอง ต่อสู้กับความสับสน และหัดเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้าได้ ผมก็ให้คำตอบกับพี่โต้ง และเราสองคนก็ขับรถตรงมายังที่นี่ด้วยกัน สถานที่เดียวกับที่เราเคยนอนอยู่ในเต็นท์เดียวกันเมื่อครั้งนั้น

ครั้งแรกที่ผมได้เจอหน้าพี่โต้ง ผมไม่ได้รู้สึกตกใจ แปลกใจ หรือรู้สึกอะไรแปลกๆอย่างที่ผมคาดว่าผมน่าจะเป็นนักหรอก มันไม่เหมือนในหนังหรือในนิยายที่ผมจะต้องอึ้งและรู้สึกหวั่นไหวในใจสุดๆอะไรแบบนั้น เพราะพี่โต้งนั้นแทบไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อสี่ปีก่อนเลยแม้แต่น้อย มีแต่ผมนั่นแหละที่เป็นฝ่ายทำให้พี่โต้งต้องประหลาดใจกับความเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่าง

ผมห่อตัวในเสื้อกันหนาวของตัวเองมากขึ้น พยายามต่อสู้กับลมหนาวที่กำลังพัดมาปะทะอย่างไม่ขาดสาย อาทิตย์ยามอัสดงกำลังลาลับขอบฟ้าและภูผาไปอย่างช้าๆพร้อมๆกับภาพในความทรงจำหลายอย่างที่วิ่งแล่นผ่านเข้ามาในหัวของผม และนั่นก็ทำให้ผมเกิดรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง

“ยืนยิ้มอยู่คนเดียวแบบนี้นี่น่าขนลุกนะ” พี่โต้งเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างๆผมพร้อมถ้วยใส่กาแฟร้อนๆ

“พี่ก็มายืนยิ้มกับเดียร์ดิ่ เผื่อจะดีขึ้น”

พี่โต้งยิ้มแล้วเอามือมาขยี้หัวผมเบาๆ “แล้วคิดอะไรอยู่ล่ะ ฮึ”

“อดีตครับ”

“แฟนรึ”

ผมส่ายหน้า “โห ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่เลย”

“แล้วพอคิดแล้วมีความสุขมั๊ย”

ผมพยักหน้า “มากเลย”

“งั้นทำไมเมื่อกี๊ถึงทำหน้าเศร้าๆล่ะ”

“ก็เพราะมันแฝงไปด้วยความเจ็บปวดเล็กๆน่ะครับ” ผมตอบ จากนั้นก็หันไปสบตากับพี่โต้งที่กำลังมองผมรออยู่แล้ว “เฮ้ย งี้ก็แปลว่าแอบดูเดียร์มานานแล้วดิ่ แล้วที่สำคัญจะถามทำไมนัก เขินนะเนี่ย”

พี่โต้งยิ้มอีกครั้ง “อยากรู้ไง อยากรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเดียร์ น้องชายคนเดียวของพี่”

“เดียร์รู้ครับ.......” ผมหันกลับมามองดวงอาทิตย์ที่กำลังลาลับไปอีกครั้ง “เดียร์รู้อยู่แล้วว่าเดียร์เป็นน้องชายของพี่ พี่เองก็เป็นพี่ชายเดียร์เหมือนกัน”

“เดียร์.........” พี่โต้งเรียกผมโดยไม่ได้หันมามองหน้าผม ใบหน้าด้านข้างของพี่โต้งนั้นดูเศร้ามากจริงๆ หรืออาจจะเป็นเพราะแสงอาทิตย์ยามเย็นนี้ก็ได้ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน “เคยนึกเสียใจมั๊ย ที่ตอบตกลงเป็นน้องชายพี่ในคืนนั้นน่ะ”

“พี่โต้ง ทำไมถามงั้นล่ะ”

“ก็พี่ไม่ได้ทำหน้าที่พี่ชายที่ดีเลยเนอะ ปากบอกอยากมีน้องชาย แต่ก็กลับทิ้งเค้าไปตั้งหลายปีซะอย่างนั้นเนี่ย ถ้าพี่จะเป็นพี่ใคร ก็คงเป็นพี่ที่เหี้ยมากๆแน่ๆเลยว่ะ”

“พี่โต้งเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดของเดียร์ครับ ไม่ว่าจะตอนนั้น ตอนนี้ ตอนไหน หรือตลอดไป” ผมตอบ “พี่โต้งให้อะไรๆเดียร์มากกว่าที่พี่โต้งคิดเยอะนะ”

เราสองคนยืนชมวิวจิบกาแฟเงียบๆกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่พี่ต้นจะหันมายิ้มให้กับผมแล้วยื่นมือมารับถ้วยกาแฟในมือของผมไป “เสียดายครั้งนี้ไม่ได้นอนเต็นท์เนอะ แต่คิดอีกทีก็ดีเหมือนกัน เพราะพี่ว่ามันหนาวมากเลยว่ะ เราเข้าห้องกันเถอะ”

ผมพยักหน้า แล้วก็เดินตามพี่โต้งเข้าไปในบ้านพัก จากนั้นก็นั่งลงบนเตียงของตัวเอง “แล้วแฟนพี่ล่ะ ไม่ว่าเหรอที่หนีมาเที่ยวแบบนี้น่ะ” ผมถามขึ้นหลังจากพยายามเลี่ยงที่จะพูดถึงเขาคนนั้นมาตลอด

“เค้ากลับบ้านที่ต่างจังหวัดน่ะ ไปไหว้พ่อแม่เค้า”

“อ้อ ครับ” ผมพยักหน้ารับ

“และพี่ก็อยากมากับเดียร์สองคนแบบนี้มากกว่าด้วย อยากมาตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสสักที”

ผมรู้สึกภายในของตัวเองกำลังปั่นป่วนอีกครั้ง ทำไมหลายๆครั้งพี่โต้งเค้าถึงต้องพูดจาหรือทำอะไรที่มันไม่ชัดเจนแบบนี้ด้วยนะ หรือมันผิดที่ผมเองรู้สึกหวั่นไหว ทำให้คิดอะไรๆไปเรื่อยเปื่อยในทุกอย่างที่คนๆนี้ทำหรือว่าแม้แต่พูดจา

“จะว่าไป ตกลงเดียร์จะขอคำตอบพี่ได้ยัง ว่าทำไมเราสองคนถึงได้.........” ผมหยุดไป ไม่รู้จะหาคำพูดอะไรมาต่อประโยคได้จึงจะเหมาะสม

พี่โต้งหันมายิ้มให้ผม “พี่เคยบอกเดียร์ไปหลายหนแล้วนี่”

“บอกเดียร์เนี่ยนะ เมื่อไหร่” ผมนิ่วหน้า

“ครั้งแรกก็เมื่อสี่ปีก่อน........” พี่โต้งตอบ “ส่วนล่าสุดก็เมื่อไม่กี่วันมานี้ไง”

ผมนั่งนิ่ง รู้สึกว่าตัวเองกำลังช็อก ไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือตอบอะไรออกไปดี

“ตอนนั้นเดียร์อายุเท่าไหร่นะ สิบสอง...... สิบสามได้มั๊ง ใช่มั๊ย แล้วจะให้พี่ทำยังไง ตอนนั้นพี่ก็ปาเข้าไปยี่สิบสองแล้ว มันเหมาะซะที่ไหนล่ะที่พี่จะคิดอะไรแบบนั้นน่ะ และพี่ก็ไม่อยากให้เดียร์คิดมากเกินไปด้วย มันไม่ใช่ในช่วงอายุในวัยที่เหมาะสมเลย พี่รู้ว่าเด็กอายุขนาดนั้นน่ะมันเป็นช่วงกำลังสับสน กำลังโต และกำลังถามตัวเองหลายๆอย่าง พี่ไม่อยากจะเป็นปัจจัยอะไรที่ไม่ดีๆให้แก่เดียร์ เพราะฉะนั้นพี่ถึงได้รอไง........ รอจนกว่ามันจะถึงเวลาที่เหมาะสม” พี่โต้งถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะยักไหล่ “จริงๆมันก็คงไม่ต้องนานขนาดนี้หรอกนะ แต่พี่มัวแต่กลัวเองนั่นแหละ จะไปโทษใครได้”

“พี่โต้งหมายความว่าไง” ผมถามออกไปทั้งๆที่คิดว่าตัวเองรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่แท้จริงๆแล้วผมอาจจะถึงขั้น “กลัว” คำตอบเลยก็เป็นได้

“พี่บอกแล้วไง ว่าพี่รักเดียร์ มันยังไม่ชัดเจนอีกเหรอครับ” พี่โต้งลุกขึ้นยืนและหันหลังให้แก่ผม “พี่รู้ว่าพี่พูดไปแล้วว่าเดียร์เป็นน้องชายพี่ แต่ก็นั่นแหละ พี่จำเป็นต้องเลือกนี่หว่า จะให้ทำไงได้ล่ะ อย่างน้อยๆพี่ก็ไม่ได้พูดไปนี่ว่า ‘พี่รักเดียร์แบบน้องชาย’ เข้าใจรึยัง”

ผมเงียบไปพักหนึ่ง และพี่โต้งก็ยังคงยืนหันหลังให้แก่ผมอยู่ “เดียร์ไม่เข้าใจ แล้วแฟนพี่ล่ะ พี่ก็คบกันมาตั้งนานแล้ว และกำลังจะแต่งงานกันแล้วด้วย แล้วทำไม..... แถมตอนนั้นพี่สองคนก็ยัง.......”

“พี่เองยังไม่เข้าใจเลย เพราะงั้นไงล่ะ พี่ถึงได้ยอมหายไปจากชีวิตเดียร์นานขนาดนั้น” พี่โต้งหันกลับมามองหน้าผมด้วยน้ำตาที่คลออยู่ทั้งสองข้าง “พี่ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นกับใครเลย ตอนแรกพี่ก็คิดว่าพี่คงแค่เอ็นดูเดียร์ แต่ว่ามันไม่ใช่ มันไม่ใช่เลยว่ะ หลายๆอย่างมันเปลี่ยนไปหมด ความรักที่พี่คิดจะหยุดอยู่แค่คำว่า ‘น้องชาย’ มันกลับเพิ่มมากขึ้นทุกวันๆ และยิ่งถึงวันที่เดียร์ต้องย้ายบ้านไป สำหรับพี่มันก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นอีก”

“พี่โต้ง........ เดียร์.........”

“พี่รู้ๆ ไม่ต้องพูดอะไรหรอก” พี่โต้งโบกมือและหันกลับไปอีกครั้ง “พี่รักแฟนพี่นะ อย่าเข้าใจพี่ผิดล่ะ และที่พี่พูดกับเดียร์นี่มันไม่ใช่ว่าพี่ต้องการอะไรจากเดียร์หรอก พี่ก็แค่อยากจะทำทุกอย่างให้มันชัดเจนไปเท่านั้นเอง พี่ไม่อยากให้มันค้างคาจนกระทั่งพี่เข้าเรือนหอ และที่สำคัญที่สุด พี่เห็นเดียร์มีความสุขดีแบบนี้พี่ก็พอใจแล้ว หลังจากนี้ไปเราก็จะเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถ้าเพียงแต่เดียร์ไม่ได้รังเกียจหรือโกรธพี่ไปแล้วน่ะนะ...... แต่พี่จะบอกอีกครั้งนะว่าพี่ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นกับผู้ชายคนไหนมาก่อนเลยจริงๆ ไม่ว่าเดียร์จะเชื่อพี่หรือไม่ก็ตาม”

ผมรู้สึกว่าน้ำตาของตัวเองที่กลั้นมาตลอดหลายเดือนกำลังไหลออกมาช้าๆ และบัดนี้ผมก็ได้รู้แล้วว่าผมไม่ได้คิดไปเองอยู่ฝ่ายเดียว ความสับสนและความคิดถึงที่ผมมีให้แก่ผู้ชายคนนี้มาตลอดหลายปีนั้นเป็นของจริง มันไม่ใช่แค่ความฝันหรือการคิดไปเอง แต่มันคือความจริง......... และมันคือ “ความรัก”

ผมลุกขึ้นยืนและเดินตรงเข้าไปสวมกอดพี่ชายของผมเอาไว้จากทางด้านหลัง ในตอนนี้ผมตัวสูงกว่าพี่โต้งเสียอีก และพี่ชายผู้แข็งแกร่งของผมก็กำลังใช้แขนทั้งสองข้างโอบรัดแขนของผมเบาๆอย่างอ่อนโยนอีกทีเช่นกัน

“เดียร์ก็รักพี่โต้งครับ และจะรักตลอดไป ไม่ว่าอนาคตจะเป็นยังไงก็ตาม ถึงมันจะเป็นไปไม่ได้และไม่ควรจะเป็น แต่ว่าเดียร์รับได้ และจะเป็นน้องชายที่ดีของพี่ตลอดไปครับ เดียร์สัญญา”

พี่โต้งคลายวงแขนออกพร้อมกับหันกลับมาหาผม เมื่อสายตาของเราประสานกันอีกครั้ง ผมก็เห็นความหมายทุกอย่างที่เก็บเอาไว้ในใจของพี่โต้งตลอดเวลาหลายปีกำลังถูกถ่ายทอดออกมาอย่างชัดเจนและสวยงาม และผมเชื่อว่าพี่โต้งเองก็คงเห็นสิ่งนั้นจากแววตาของผมเช่นเดียวกัน

“อะไรหลายๆอย่างในช่วงที่หายไปมันผิดเพี้ยนไปหมด และนั่นมันก็เป็นเพราะพี่เอง แต่พี่ไม่เสียใจนะที่มันเป็นแบบนี้ ถึงแม้มันจะไม่ดีและถูกต้องกับเดียร์ก็ตาม.........” พี่โต้งพูด

ผมส่ายหน้า “แบบนี้แหละ ดีแล้วครับ เดียร์รู้ว่าพี่โต้งเองก็ต้องรู้สึกว่าเดียร์คิดอะไรกับพี่บ้าง ตอนนั้นพี่ถึงได้เป็นฝ่ายยอมจากไปด้วย เดียร์รู้ว่าพี่โต้งเองก็ลำบากใจและทำเพื่อเดียร์” พี่โต้งมองหน้าผมพร้อมกับรอยยิ้มเศร้าๆ และเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้นแล้วผมก็ตัดสินใจพูดต่อ “และที่สำคัญคือเดียร์ไม่อยากเสียพี่ชายของเดียร์ไปหรอกครับ พี่ชายคนที่รักและดูแลเดียร์ดีมากๆมาตลอด ถึงมันจะเป็นช่วงเวลาไม่นาน แต่เดียร์ก็ไม่คิดว่าจะมีพี่แท้ๆคนไหนทำให้กับน้องชายมาเท่าที่พี่โต้งเคยทำให้เดียร์หรอกครับ และเพื่อสิ่งนั้นแล้ว เดียร์ยอมแลกทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างเลยจริงๆ........”

“พี่รักเดียร์นะครับ” พี่โต้งยิ้ม พร้อมกับเอามือลูบหัวผมเบาๆ “ขอบคุณที่เข้าใจพี่นะ แล้วก็ขอโทษด้วยสำหรับทุกอย่าง”

“ไม่อ่ะ เดียร์รู้อยู่แล้วล่ะว่ามันต้องเป็นแบบนี้ แบบนี้แหละ คงดีกว่าเดียร์เห็นพี่โต้งเดินเข้าวิวาห์ไปแบบค้างๆคาๆ หรือไม่ก็ไม่ได้คุยกับพี่โต้งอีกเลย แต่ว่า ตอนนี้เดียร์ขอแค่อย่างเดียว จะได้มั๊ยครับ........”

“อะไรล่ะครับ”

“นอนกอดเดียร์อีกสักครั้ง เป็นครั้งสุดท้าย......... จะได้มั๊ยครับ”

พี่โต้งยิ้มแล้วชะโงกหน้ามาหอมแก้มผมเบาๆ “งั้นพี่เองก็ขอบ้างได้มั๊ย พี่ขอกอดเดียร์แบบเมื่อกี๊นี้ และนอนกอดเดียร์ทุกคืน จนกว่าจะถึงนาทีที่เราจะต้องขึ้นรถกลับบ้านกัน จะได้รึเปล่าครับ........”

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำตอบของผมคืออะไร และก็ไม่ต้องสงสัยด้วยว่าผมกับพี่โต้งมีอะไรกันเกินเลยมากไปกว่าการกอดกันรึเปล่า เพราะผมตอบได้เลยว่าไม่ ผมเคยบอกไปแล้วว่าเมื่อสี่ปีก่อน และไม่ว่าจะตอนไหน ทุกครั้งที่พี่โต้งสัมผัสตัวผม มันคือสัมผัสที่เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใย และความอบอุ่นเสมอๆ ไม่ใช่สัมผัสที่ต้องการในสิ่งอื่นที่มากไปกว่านั้น และแม้แต่การหอมแก้มของพี่โต้งในครั้งนี้ มันก็เป็นการหอมแก้มที่ส่งต่อความรักอันเป็นนิรันดร์จากพี่ชายมาสู่น้องชาย เป็นสัญลักษณ์ของความรักที่เราต่างมีให้แก่กันและกันว่าเราจะรักกันแบบนี้ตลอดไป ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่เราก็จะเป็นพี่น้องที่รักและห่วงใยกัน ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น และจะเก็บสิ่งๆนั้นเอาไว้ในใจ ไม่ให้มีวันลบเลือน.............


หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 14-01-2008 21:03:28
เวลาไม่เคยพอ  :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 10-02-2008 12:47:35

เดี๋ยวจะหาว่าไม่รักกันจริง

แม้เรื่องล่าสุดที่อ่านจะเป็นเรื่องที่สาม  :m23:

แต่ก็ตามมาอ่านจนทันแล้วนะ   :m4:

หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: angsumalin ที่ 12-02-2008 00:21:07
เหนือคำบรรยาย  :m15:
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 29-02-2008 13:00:18
เศร้า

แต่ ...
อ้างถึง
“ไม่อ่ะ เดียร์รู้อยู่แล้วล่ะว่ามันต้องเป็นแบบนี้ แบบนี้แหละ คงดีกว่าเดียร์เห็นพี่โต้งเดินเข้าวิวาห์ไปแบบค้างๆคาๆ หรือไม่ก็ไม่ได้คุยกับพี่โต้งอีกเลย แต่ว่า ตอนนี้เดียร์ขอแค่อย่างเดียว จะได้มั๊ยครับ........”

อ่านแล้วมันแปลก ๆ ...ไม่น่าใช้วิวาห์ในคำพูด น่าจะใช้แต่งงานดีกว่า

ปล. เค้ารู้สึกแบบนั้นนะ
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 12-03-2008 14:40:42
นิทาน ปาฏิหาริย์กาลครั้งหนึ่งของความรัก " จากก้อนดินสู่ปลายฟ้า "   ชื่อเรื่องโดยอาจารย์สีฟ้าและลักยิ้ม


ถ้าพี่เป็นดั่งท้องฟ้า ผมก็คงเป็นแค่ก้อนดิน
แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าทุกวันและก็รู้สึกชอบขึ้นในทันที
และเมื่อเวลาผันผ่าน จากความชอบก็เปลี่ยนเป็นความหลงใหล และท้ายที่สุดก็งอกเงยจนกลายเป็นความรัก

แต่ถ้าพี่คือท้องฟ้าที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น
ผมก็คงเป็นได้แค่ก้อนดินที่มีความรักอยู่เต็มเปี่ยม แต่ก็ไม่สามารถยื่นมือออกไปสัมผัสกับความงดงามนั้นได้เลย…….

เมื่อท้องฟ้าสดใส ผมก็แอบอมยิ้มอยู่ในใจ แต่ท้องฟ้าก็คงไม่เคยแลมอง
เมื่อท้องฟ้ามืดครึ้ม ผมก็เป็นกังวล อยากจะช่วยปัดเป่าเมฆดำเหล่านั้นให้จางหาย แต่ท้องฟ้าก็ไม่เคยสนใจ
เมื่อท้องฟ้าร่ำไห้ ความเสียใจกลายเป็นสายฝน ชะล้างทุกสิ่งบนพื้นโลก ก้อนดินก้อนเล็กๆก้อนนี้ ก็แอบร่ำไห้ไปกับท้องฟ้า น้ำตาไหลรวมไปกับสายฝน ผิวกายหนาวเหน็บจนเจียนตาย

แต่ท้องฟ้าก็ยังคงไม่เคยรับรู้เลย.........

จนวันหนึ่งเสียงของผม ก็ถูกส่งขึ้นไปถึงยังเบื้องบน ท้องฟ้าได้รับรู้ความในใจของก้อนดินก้อนนี้แล้ว
แต่ทว่าความเป็นจริงนั้นมันก็น่าเจ็บปวดนัก
เมื่อก้อนดินด้อยค่าก้อนนี้ ไม่มีค่าแม้แต่ท้องฟ้าจะยอมเห็นใจ ไม่มีค่าแม้แต่ท้องฟ้าจะชายตามอง
ซ้ำยังส่งสายฟ้าฟาดลงมา ทำลายก้อนดินจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ครั้งแล้วครั้งเล่า
ซ้ำแล้วซ้ำอีก

สายฝนที่หนาวเหน็บ พัดพาเอาเศษเสี้ยวของหัวใจดวงน้อยๆของก้อนดินลอยหายไปอย่างซ้ำๆ
แต่ก็ไม่เคยที่จะพัดพาความรักของมันจากไปได้ด้วยเลย

ถึงจะเจ็บปวด แต่ก้อนดินก็เชื่อมั่นในความรักของมัน
และเหนือสิ่งอื่นใด คือมันรับรู้...........
รับรู้ถึงความเหงา และความเจ็บปวดของท้องฟ้าที่อ้างว้างและโดดเดี่ยว
รับรู้ได้ผ่านทางสายฝน สายฟ้า และทั้งสายตาที่คอยหลบหนีมันอยู่ร่ำไป
และมันยังรับรู้ ถึงความรักและความอบอุ่นลึกๆให้ดวงใจที่ถูกเก็บเอาไว้ของท้องฟ้าผู้ยิ่งใหญ่และน่าหวั่นเกรง

ก้อนดินก้อนนี้จึงยังคงตั้งหน้าตาตั้งตามอบความรัก ความห่วงใย และความหวังดีให้แก่ท้องฟ้าของมันต่อไปอย่างไม่เคยหวาดหวั่นและย่อท้อ

เพราะต่อให้มันต้องเจ็บปวด แต่ทุกๆวินาทีที่มันได้ส่งผ่านความรัก นั่นก็คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของมันแล้ว.......

จนในที่สุด ความรักของก้อนดินก็เอาชนะใจของท้องฟ้าที่ยิ่งใหญ่และมั่นคงนั้นได้

ผมได้รับโอกาสที่ยิ่งใหญ่ และได้รับความรักที่อบอุ่น
ผมได้รับสิ่งที่ผมรู้มาตลอดว่ามันมีอยู่จริง
ผมได้รับสิ่งที่ผมรอคอยมานานแสนนาน.........

รอคอยวันที่ท้องฟ้าของผมจะยอมเปิดหัวใจและเปิดประตูรับผมไปอยู่เคียงข้างเขาสักครั้ง

และตอนนี้ผมก็ไม่ใช่เพียงก้อนดินที่แอบหลงรัก และแหงนหน้ามองท้องฟ้าอันสวยงามผืนนี้อยู่เพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป

แต่ผมคือสายลมที่พัดพาอยู่เคียงข้างท้องฟ้าสีครามของผมไปชั่วนิรันคร์

ถ้าพี่เป็นท้องฟ้าที่โอบอุ้มความสุขและความหวังดีเอาไว้ เพื่อที่จะให้ทุกคนที่แหงนหน้ามองท้องฟ้ามีความสุขแล้วล่ะก็.......
ผมก็จะเป็นสายลม ที่ช่วยพัดพาเอาความทุกข์ทุกอย่างของพี่ให้จางหายไป
ผมจะโอบอุ้มความรักที่ไม่มีวันหมดนี้ลอยอยู่เคียงข้างพี่ และจะแบกรับความเหนื่อยล้าที่ท้องฟ้าไม่อยากให้ใครเห็นไว้กับตัวไปตราบนานเท่านาน

และถ้าเมื่อใดที่ยามกลางวันเปลี่ยนเป็นยามกลางคืน ท้องฟ้าต้องมืดมิด จนไม่สามารถมองเห็นแสงใดๆ
ผมก็จะเป็นดวงดาวที่ส่องสว่างนำทางให้แก่พี่
ผมจะเป็นดาวประดับฟ้า ที่ทำให้คนสามารถชื่นชมความงามของท้องฟ้าได้ทั้งยามกลางวันและกลางคืน
ดวงดาวที่จะลอยอยู่เคียงคู่กับท้องฟ้าไปตลอดชั่วชีวิตจนกว่ามันจะดับแสงลง

และไม่ว่าพี่จะเป็นอย่างไร และผมจะเป็นใครในสายตาของพี่หรือคนอื่นๆ
แต่ผมก็จะยังคงเป็นผม ที่มีความรักอันยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์ พร้อมจะมอบและยืนอยู่เคียงข้างพี่ไปตลอดกาล

ความรักของก้อนดิน ที่ถูกความอบอุ่นและความงดงามของท้องฟ้าช่วยเจียระไน จะไม่มีวันจางหายไปกับกาลเวลา


.
.
.

dedicated to "ลักยิ้มสีฟ้า" เนื่องในวันเกิดของไอ้ลักยิ้มคับ ^_^
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 15-03-2008 01:43:23

^

^

^

จิ้มเจ๋ยๆ  :laugh: :laugh: :laugh:

หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 25-03-2008 01:37:39
^

^

^

จิ้มเจ๋ยๆ(เช่นกัน)  :laugh:  :laugh:  :laugh:
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 08-05-2008 20:21:35
 o13 ชอบมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :m4:


 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 12-05-2008 11:09:01
แต่งนิทานออกมาอีกและ เมฆกะซันยังไม่ไปถึงไหนเยยย  :a6:




มีนกนางแอ่นอยู่ตัวหนึ่ง บินอยู่เดียวดายท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำ

มันไม่ได้บินหลงฝูง

มันไม่ได้บินหลงทิศ

แต่มันมีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่อยู่ในใจของมัน

มันบินอย่างเดียวดาย ฝ่าสายลม ฝ่าสายฝน ท้าลมพายุ เพราะมันบิน...... เพื่อที่จะตามหารักแท้


ครอบครัวของมัน ต่างมองว่ามันแปลกแยก

เพื่อนฝูง ต่างก็ไม่ใส่ใจ

และสัตว์ป่าอื่นๆที่รู้เรื่องของมัน ก็มองว่าเป็นบ้า

มันอยากจะพูดว่ามันไม่ใส่ใจกับคำครหา....... แต่มีหลายคืนหลายเกินที่มันได้แต่นั่งก้มหน้า และหลั่งน้ำตาเพราะความเดียวดาย


หลายครั้งที่สัตว์อื่นที่หวังดี ต่างเข้ามาพูดคุยกับนกนางแอ่น

บ้างก็ให้กำลังใจ บ้างก็ปลอบโยน และบ้างก็เข้ามาเพื่อพูดเตือนสติ

“รักแท้ ไม่จำเป็นต้องตามหา เพราะว่าสักวัน มันจะมาเอง” นกฮูกชราผู้รอบรู้พูด

“แต่ถ้าเราไม่ไขว่คว้า สิ่งใดเล่าจะมาถึงเราอย่างง่ายดาย” นกนางแอ่นตอบกลับ

“ไขว่คว้ามากเกินไป ไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างหรือ ห่างบ้านและครอบครัวมาไกล ไม่เหงาบ้างหรือไร” กระรอกน้อยถาม

“ความสุขความทุกข์ก็เป็นดั่งรอยเท้าบนผืนทราย ถึงสายลมหรือทะเลจะกลืนมันหายไป แต่เราก็ไม่เคยลืมว่าเราเคยมีมันอยู่เบื้องหลัง”

“ฉันเชื่อว่าเธอจะต้องทำได้ เพราะฉันเองก็เคยทำสำเร็จมาแล้วครั้งหนึ่ง” นกเงือกผัวเมียบอก

“ขอบใจเธอทั้งสองจริงๆ แต่ความรักของเธอมันถูกลิขิตมาอยู่แล้วว่าจะต้องครองคู่กันจนวันตาย ทวาเธอแน่ใจแล้วหรือ ว่าเธอทั้งสองเป็นคนกำหนดมันด้วยตัวเอง”

และสัตว์ทั้งหลายต่างก็จากไป.......

บ้างมา บ้างอยู่ บ้างวนเวียน แต่สุดท้ายแล้ว ก็เหลือเพียงนางแอ่นหนุ่มอยู่เพียงตัวเดียว ไม่เคยเปลี่ยนแปลง......


วันหนึ่งนกนางแอ่นหนุ่มเกาะพักอยู่บนกิ่งไม้ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นนางแอ่นสาวตัวหนึ่งบินอยู่ตามลำพัง

มันดีใจมาก จึงรีบบินเข้าไปไต่ถามทันที

“ทำไมเธอถึงมาบินอยู่ตัวเดียวแบบนี้ล่ะ”

นางแอ่นสาวตอบกลับมาว่ามันหลงฝูง และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

นางแอ่นหนุ่ม จึงอาสาบินไปกับเธอเพื่อตามหาฝูงของนางด้วยกัน

ทั้งสองบินเคียงคู่กันเป็นระยะทางหลายร้อยกิโล และได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวของกันและกันไปตลอดทาง

“ช่างโรแมนติกจริงๆ” นกนางแอ่นสาวพูดเมื่อนางแอ่นหนุ่มเล่าถึงเส้นทางแห่งชีวิตรักของเขา

เขารู้สึกมีความสุขจริงๆ

จนกระทั่งเมื่อนางแอ่นสาวบินตามมาจนพบกับครอบครัวและเพื่อนฝูง

นางก็เอ่ยลานางแอ่นหนุ่มอย่างงายดาย

“เดี๋ยว นี่เธอไม่รู้สึกอะไรระหว่างเราบ้างเลยรึ”

“รู้สึกสิ” นางตอบ “เธออาจเป็นคนที่ใช่ แต่ก็ไม่ใช่คนที่ฉันชอบ”

คืนนั้น นางแอ่นหนุ่มยืนเกาะกิ่งไม้ และก้มหน้าร้องไห้อยู่ตามลำพังอีกเช่นเคย.......


หลายวันถัดมา หลังจากการบินอย่างเหนื่อยล้า นกนางแอ่นเกาะที่พักอยู่บนกิ่งไม้ก็เผลอเป็นลมและล้มลง ตกลงมานอนขาหักไม่ได้สติอยู่บนพื้น

นกพิราบสาวบินผ่านมาเห็น จึงช่วยดูแลจนนางแอ่นหนุ่มฟื้น

“ขอบใจเธอมากนะ” นางแอ่นหนุ่มพูดด้วยความซาบซึ้ง “ถ้าไม่ได้เธอ ฉันคงถูกสัตว์อื่นกินไปแล้ว”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันทำก็เพราะอยากจะทำ ไม่ใช่ต้องการคำขอบคุณสรรเสริญใดๆ เธอมาพักอยู่ที่รังของฉันจนกว่าจะหายดีเถอะ”

นกพิราบสาวมีลูกเล็กอยู่อีกสามตัว เมื่อเดือนก่อน นางเพิ่งเสียสามีไปเพราะมนุษย์ที่ออกมายิงนกเล่นในป่า

นางแอ่นหนุ่มรู้สึกขอบคุณ และชื่นชมพิราบสาวตัวนี้ขึ้นมาอย่างล้นท้น

“เธอช่างแข็งแกร่ง อ่อนโยน และเพียบพร้อมจริงๆ” นางแอ่นหนุ่มพูดกับพิราบสาว ในวันที่ขาของมันหายดีแล้ว

“ถ้าเธอจากไปฉันคงจะเหงาน่าดู เด็กๆก็คงคิดถึงเธอมาก”

“แล้วถ้าฉันไม่ไปจากที่นี่ล่ะ” นางแอ่นหนุ่มตอบ “ฉันรักเธอนะ เธอไม่รู้สึกอะไรกับฉันบ้างเลยหรือ”

นางพิราบสาวยิ้ม “คนที่ชอบ ก็อาจจะไม่ใช่คนที่ใช่เสมอไป”

คืนนั้น นางแอ่นหนุ่มยืนเกาะกิ่งไม้ และก้มหน้าร้องไห้อยู่ตามลำพังอีกเช่นเคย.......


หลายเดือนถัดมา นกนางแอ่นหนุ่มก็ยังไม่ย่อท้อ มันยังคงบินไปตามเส้นทางของมันเพื่อตามหาปลายทางที่มันค้นหา

ท่ามกลาพายุหิมะที่หนาวเหน็บในยามค่ำคืน มันนั่งห่อตัวพองขนอยู่ตามลำพังในโพรงไม้เก่า

จนกระทั่งกลางดึก มันตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงของความเคลื่อนไหวใกล้ๆตัว

“ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะปลุกเธอหรอก” เสียงของผู้มาเยือนดังขึ้นที่ปากโพรง

“เธอเป็นใครกัน”

“ฉันก็คือนกนางแอ่นเหมือนเธอนี่แหละ และก็เป็นเจ้าของโพรงแห่งนี้ด้วย”

“อ้าว ฉันไม่รู้มาก่อนว่าที่แห่งนี้มีคนจองอยู่ก่อนแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันจะรีบไป.......”

“ไม่ต้องหรอก พักอยู่ที่นี่ก่อนเถอะ ข้างนอกนั้นหนาวจะตาย เธออาจจะแข็งตายได้นะ”

นกนางแอ่นหนุ่มรับคำเชิญ และทั้งสองก็นอนหลับลงไปโดยไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก

เช้าวันต่อมา พายุยังคงพัดโหมกระหน่ำ ทั้งสองตัวเริ่มพูดคุยกัน และตกลงกันว่าจะผลัดกันบินออกไปหาาอาหาร ในขณะที่อีกตัวหนึ่งคอยเฝ้ารัง

ตอนแรกนกนางแอ่นหนุ่มรู้สึกเหนื่อยล้าและท้อใจมากจนไม่อยากจะพูดคุยหรือพบปะกับใครอีกแล้ว

แต่เมื่อพายุหิมะยังคงพัดโหมกระหน่ำ มันจึงเริ่มพูดคุย และเล่าเรื่องของมันให้นกนางแอ่นเจ้าถิ่นฟังทีลละน้อยๆ

“น่าแปลกจริงเชียว”

“อะไรรึ” นางแอ่นหนุ่มสงสัย

“เพราะฉันเองก็แยกออกจากฝูงมาเพื่อตามหาคนรักของฉันเหมือนกันน่ะสิ”

หัวใจของนางแอ่นหนุ่มพองโตขึ้นมาอีกครั้งทันที

สามวันผ่านไป พายุยังคงโหมกระหน่ำ ภายนอกนั้นช่างหนาวเหน็บ แต่ภายในโพรงของทั้งคู่นั้นกลับอบอุ่นกว่าสิ่งไหน

จนเมื่อถึงวันที่ห้า พายุยังคงโหมกระหน่ำ  และดูเหมือนว่าจะเลวร้ายกว่าทุกๆวัน

คราวนี้ถึงคิวของนกนางแอ่นเจ้าถิ่น คนรักของนางแอ่นหนุ่ม ที่จะต้องออกไปหาอาหารบ้างแล้ว

แต่ทว่า.....  แม้พระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้าไปแล้ว คนรักของมันก็ยังคงไม่กลับมา

จากวันเป็นคืน จากคืนเป็นวัน สามวันแล้วที่มันยังคงเฝ้ารอแต่ก็ไร้ซึ่งวี่แว่ว.......

ความเป็นจริงอันโหดร้ายที่ถูกเก็บไว้ในใจของนางแอ่นหนุ่มเริ่มชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง

ความจริงที่ว่าคนรักของมันจากไปแล้ว และคงจะไม่มีวันหวนกลับคืนมาอีกไม่ว่าอย่างไรก็ตาม

“คนที่ใช่ และเป็นคนที่ชอบ แต่ก็ไร้ซึ่งวาสนา ที่จะได้อยู่เคียงกัน”

คืนนั้น นางแอ่นหนุ่มยืนเกาะกิ่งไม้ และก้มหน้าร้องไห้อยู่ตามลำพังอีกเช่นเคย.......


หลายปีผ่านไป เรื่องราวของนกนางแอ่นหนุ่มยังคงถูกเล่าขาน

ไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องราวของมันเป็นอย่างไร

บ้างว่ามันตายเพราะความหนาวเหน็บ

บ้างว่ามันออกบินเพื่อตามหารักแท้ต่อ

บ้างว่ามันตรอมใจตายอย่างลำพัง

บ้างว่ามันบินขึ้นสู่ดวงจันทร์ เพื่อตามหารักนิรันดร์ของมัน ณ บนฟากฟ้า

เรื่องราวของนกนางแอ่นหนุ่มกลายเป็นนิทานที่ถูกเล่าต่อ และเป็นอุทธาหรณ์ สู่ชนรุ่นหลังมากมาย

บ้างสอนลูกหลานว่า ให้รักเดียวใจเดียว อย่าได้รักง่ายหน่ายเร็ว

บ้างสอนว่า จงรักครอบครัวให้มากกว่าหญิงใดหรือชายใด

บ้างสอนให้รู้จักพอ อย่าได้ไขว่คว้าเกินตัว

แต่สุดท้ายแล้วทุกสิ่งในทุกๆตอนจบ ก็เป็นเพียงสิ่งที่ถูกเสริมเติมแต่ง หาได้มีใครรู้ความเป็นจริงไม่

นกฮูกชราผู้รอบรู้ เงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ รำพึงรำพันกับตัวเอง พร้อมน้ำตาหนึ่งหยดที่ไหลริน

“คนที่รักยิ่ง อาจไม่ใช่คนที่ครองคู่ด้วยกันได้ แต่คนที่ครองคู่ด้วยกันตราบจนวันตาย ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่รักมากที่สุดเสมอไป.......”



หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 12-05-2008 19:05:53
 :o12: :o12: อ่านแล้ว สุข เศร้า ปนกันยังไงไม่รู้  o7 o7 o7
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 12-05-2008 20:43:07
เมฆกะซันไม่ได้อ่าน กลับต้องมาอ่านเรื่องเศร้า สงสารนกนางแอ่นหนุ่มเหลือเกิน
 :o12: :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 13-05-2008 08:28:04
น้องต้นใจร้าย :o12:
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: HiRuMa ที่ 14-10-2008 23:45:27
ชอบมากมายอ่าครับ

ทุกเรื่องเลย

ทำให้ร้องไห้และอมยิ้มได้^^
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 03-04-2009 12:09:41
หลากรส หลากอารมณ์จริงๆครับ ชอบมากๆเลย

 :L2:
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 19-03-2010 13:47:51
Thankssss krub.
อ่านแล้วได้ใจทุกเรื่องเลยครับ
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 19-07-2010 16:55:40
ประทับใจมากเลยครับ
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: rainy_naja ที่ 25-12-2010 07:36:16
merry★ 。 • ˚ ˚ ˛ ˚ ˛ •
•。★Christmas★ 。* 。
° 。 ° ˚* _Π_____*。*˚
˚ ˛ •˛•*/______/~\。˚ ˚ ˛
˚ ˛ •˛• | 田田|門| ˚★ 。 • ˚ ˚ ˛ ˚ ˛ •
Jaaaaaaaa \\(^^)//
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: mo-no ที่ 20-01-2011 20:19:16
อ่านแล้วเหนื่อย
เดี๋ยวเศร้า เดี๋ยวยิ้ม
เดี๋ยวร้องไห้ ครบทุกอารมณ์
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: dragonnine ที่ 20-02-2011 16:10:55
อ่านจบแล้วครับเรื่องสั้น ของคุณต้น มีทั้งเศร้า เหงา และสุข

เสียดายที่ผมมาอ่านช้า และไม่ได้ครอบครองหนังสือเรื่องสั้นเล่มนี้
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: fayala ที่ 21-02-2011 22:41:23
เรื่องมีแง่คิดดีค่ะ แต่ส่วนใหญ่จะเศร้าน้า. .T___T
+1 ให้นะคะ
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: LittlePrince ที่ 14-03-2011 10:32:46
เพิ่งเห็น เพิ่งได้อ่าน และเพิ่งมีความสุขไป ขอบคุณอีกครั้งสำหรับเรื่องดีๆครับ
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: kut ที่ 18-04-2011 18:38:36
สั่งจองหนังสือ
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: DeJavu~ ★ ที่ 18-04-2011 20:10:24
ในที่สุดก้ออ่านจบแล้ว

เรียกว่า ครบรสจริงๆๆ สำหรับเรื่องสั้น หลายเรื่อง ยิ่งกว่าช่องเจ็ดสีซะอีก

 ทั้งสุข  ทั้งเศร้า ทั้งเหงา ทั้งหวาน

ครบทุกอรรถรสจริงๆๆ

คุณแต่งได้เก่งมากๆๆ  ไม่ว่าจะการใช้เป็นภาษา คำพูด ความรู้สึกนึกคิดของตัวละครนั้นๆๆ

คุณทำให้ผมเคลิบเคลิ้มและรู้สึกได้ว่ามันมีอยู่จริงๆๆ

ชอบคู่ แจ็ค กับ หน้าหวาานมากๆๆ

น่ารักแบบเถื่อน ส่วนคู่อื่นมันเศร้าเกินอ่า

ขอบคุนมากๆๆครับ





หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: Saint De Jupiter ที่ 20-06-2011 21:46:46
กด + ให้พี่ต้น


^___^
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: gumrai3 ที่ 08-07-2011 20:04:45
 :pig4: ขอบคุณค่ะ มีหลายรส ทุกรส สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: แดดร่มลมตกก็ได้เวลาตื่น ที่ 09-07-2011 20:27:44
อ่านไปหลายเรื่องแล้ว ล้วนแล้วแต่เป็นความรักที่ไม่สมหวังและต้องพลัดพราก

ด้วยความไม่เข้าใจของคนรอบข้างทำให้หนึ่งชีวิตต้องจากอีกหนึ่งชีวิตไปอย่างไม่มีวันกลับ ส่วนชีวิตที่เหลือก็ต้องจมอยู่กับความทรงจำที่ไม่อาจลบเลือน ความทรงจำที่มีทั้งความสุขและความเจ็บปวดที่ฝังอยู่ในเมมโมรี่ที่เรียกว่าหัวใจ

ไม่กล้าบอกรักเพราะเค้าเป็นเพื่อนสนิท กลัวว่าแม้แต่ความเป็นเพื่อนจะหายไปหากบอกเค้าคนนั้น ก็ต้องเก็บและต้องเจ็บไปจนวันตาย เพราะไม่ว่ายังงัยมันก็เจ็บไม่ชินซักที ไม่ว่าจะกี่ปีก็ตาม

คู่นึงที่เป็นน้ำทิพย์ยาใจได้บ้าง ไม่งั้นหัวใจคงแหลกเหลวไปซะก่อน เพราะโดนทำร้ายจิตใจดวงน้อย ๆ ดวงนี้เหลือเกิน กำลังคิดอยู่ว่าหากรักแล้วไม่สมหวังแบบเรื่องที่อ่าน ๆ มาก็คงไม่คิดจะมีความรักอีกต่อไป เพราะไม่อยากสูญเสียและเจ็บปวด พออ่านเรื่องนี้ทำให้รู้สึกว่าความรักนี่ก็มีดีเหมือนกัน

พอได้อ่านอีกคู่ก็ลุ้นสุดใจขาดดิ้น เพราะถ้าเราเป็นไวท์เราคงไม่ทนขนาดนี้ เราคงไม่ยอมเจ็บขนาดนั้น แต่เพราะไวท์อดทนและรักจริงจึงได้สมหวังในความรัก ก็ได้แต่เสียดายเวลาที่ต้องเสียไป เพราะกว่าที่นุจะเข้าใจก็เสียเวลาไปนานพอสมควร แต่ก็ยังดีที่ยังได้รักตอบแทน

คนสองคนหัวใจตรงกันแต่ส่งถึงกันช้าไปหน่อย ทำให้อีกคนต้องไปรอความรักในอีกภพ เห้อ ตอนอยู่ด้วยกันมันก็มีความสุขดี แต่พอไม่มีกันมันเจ็บ มันเหงา มันเศร้า มันวังเวง มันว้าเหว่ กว่าจะเรียกหัวใจกลับมาได้อีกครั้ง ไม่รู้จะนานแค่ไหน เพราะมันวิ่งตามคนอีกภพไปแล้ว จนกว่าจะถึงวันนั้น วันที่เราได้เจอกันอีกครั้ง

ตอนเราเด็ก ๆ ผู้ใหญ่มักบอกว่าเรายังเด็ก ไม่เข้าใจเรื่องของผู้ใหญ่ แต่พอเราโตขึ้น เราก็ยังไม่เข้าใจผู้ใหญ่อยู่ดี (เพราะเราเป็นกำนัน อ๊ะ เป๊กเหรอ คิดว่าฮาแล้วเชียวมุกนี้) เมื่อเวลาเปลี่ยน ความรัก ความจำ ความเจ็บปวด ความรู้สึก ฯลฯ ก็เปลี่ยนไป มีทั้งที่มันน้อยลง มากขึ้น หรือหมดไป แต่ไม่เคยที่มันจะคงที่เท่าเดิม เพราะเราไม่รู้ว่าเดิมตอนแรกมันมีเท่าไหร่ เพราะมันวัด ชั่ง ตวง ไม่ได้ แต่พออยู่ ๆ ไป รู้จักสิ่งเหล่านั้นมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะพบว่ามีบางอย่างมากขึ้น บางอย่างน้อยลง และบางอย่างที่หายไป เหมือนความรักเมื่อเกิดขึ้นได้ ก็ย่อมมีดับได้เป็นธรรมดา เหมือนกับความรักของผู้ชายกับผู้หญิง หรือความรักของพ่อกับแม่ แต่ความรักของเราเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ความรักของไอ้หน้าหวานและอันธพาลหน้าเป็นอย่างผม

แค่นี้ก่อนนะที่เหลือค่อยว่ากันเพราะฟ้าจะผ่าเราแล้วล่ะ คำรามสะเทือนเลื่อนลั่นเลย กะลังอ่านอยู่ดีดีเชียว
ฟ้าฝนไม่เป็นใจ ขอบคุณนะที่แต่งเรื่องเศร้า เศร้ามาก เศร้ามากถึงมากที่สุดให้เราอ่าน
ปูลงรู แต่ก็ยังมีเรื่องเบา ๆ ให้เราได้ผ่อนคลายหัวใจและดวงตาบ้าง ขอบคุณจริง ๆ ที่ไม่บีบคั้นและกระทืบ ๆ หัวใจจนเกินไป
ขอบคุณจริง ๆ/
:pig4:
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 08-09-2011 20:02:55
ชอบเรื่อง ขอบฟ้าที่ใกล้เกินสายตา ที่สุดอะ
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ljk_sj_lovelove ที่ 21-09-2011 15:32:26
กว่าจะอ่านจบ

 ทั้งเศร้า  :sad4:

ทั้งยิ้ม  :o8:

 ทั้งกรี้ด  :-[

 ทั้งน้องไห้   :o12:

ทั้งหัวเราะ  :laugh: เลยค่ะ

ชอบจริงๆนะ ประทับใจมากเลย   o13

 ขอบคุณมากนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: pedgampong ที่ 25-04-2012 22:14:06
“คนที่รักยิ่ง อาจไม่ใช่คนที่ครองคู่ด้วยกันได้ แต่คนที่ครองคู่ด้วยกันตราบจนวันตาย ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่รักมากที่สุดเสมอไป.......” o13
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 10-07-2012 19:28:43
นิยายเรื่องนี้ สอนให้เราได้รู้ว่า...

แม้เธอจะบินอยู่บนฟ้า จะเป็นสปีชีส์ใดก็ตาม เราก็พร้อมที่จะเอาเธอมาเป็นเกย์นะเออ~



ปล ชอบทุกเรื่องเลย สำนวนดีมากๆ  พล็อตก็น่าติดตาม
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: witchhound ที่ 13-07-2012 03:21:24
คนเขียนเขียนได้ดีทุกเรื่องเลย
มีทั้ง สุข เศร้า เหงา ซึ้ง จริงๆ
ขอบคุณมากนะคะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 26-09-2012 04:59:13
เรื่องแรก เอกลืมคิดไปหรือเปล่าว่าเอกยังมีพ่อแม่ด้วยถึงจะเป็นพ่อแม่บุญธรรมก็เถอะ ทำไมเอกถึงไม่เปิดใจให้พวกเขาบ้าง และที่สำคัญเอกยังมีอาร์ม ทำไมเอกถึงทำแบบนั้น แต่เอกคงจะอัดอั้นตันใจมาก ๆ พยายามเก็บทุกอย่างไว้กับตัว และคงอยากจะปกป้องอาร์มด้วยไม่อยากให้อาร์มต้องเผชิญเหตุการณ์แบบตัวเอง สงสารเอก และก็สงสารอาร์มนะ
เรื่องที่สอง สงสารเอกมาก ๆ
เรื่องที่สาม น่ารักมาก ๆ แผนการเลิศเลอจริง ๆ แต่ฮาตรงแกล้งขู่ว่าจะเอาน้ำยาล้างจานสระผมเนี่ย เขาจะยอมทำตามจริงหรือ
เรื่องที่สี่ นุใจร้ายนะนั่น พูดแบบนั้นกับไวท์ได้ลงคอ สงสารไวท์ ไวท์รักนุมากจริง ๆ เลยนะนั่น
เรื่องที่ห้า สงสารภู และก็สงสารพีมาก ๆ พีต้องใช้ชีวิตต่อไปอย่างเข้มแข็งและมีความสุขนะ เพราะความสุขของพีคือความสุขของภู ภูคงไม่อยากเห็นพีเศร้าเสียใจและทุกข์หรอก เพราะภูชอบรอยยิ้มของพีนี่นา
เรื่องที่หก แจ๊กคงชอบเก่งตั้งแต่แรกแล้วหรือเปล่าเนี่ย ไม่งั้นไม่น่าจะเข้ามายุ่งตั้งแต่แรก แล้วยังตอนที่เข้ามาคุยที่ร้านปาท่องโก๋อีก พอรู้ว่าเก่งอายุมากกว่าก็คงงอนหรือเปล่าที่เอกไม่บอกแต่แรก แล้วไม่ยอมไปเจอเก่งที่ร้านวันที่เอกจะไปกรุงเทพคงเพราะกลัวเก็บอาการไม่ได้หรือเปล่า เก่งตัดสินใจได้สักทีเพราะแจ๊คใช่ไหมนั่น และแจ๊คก็ได้เรียนตามที่ตั้งใจก็เพราะเก่งหรือเปล่า น่ารักดี
เรื่องที่เจ็ด เศร้ามาก ยังดีที่ทั้งสองคนเจอกัน และเปลี่ยนแปลงความเศร้าให้เป็นแรงใจที่จะสู้กับชีวิตต่อไป
เรื่องที่้แปด เศร้ามาก ๆ ทำไมถึงทำแบบนั้น
เรื่องที่เก้า อึ้ง ๆ หน่อย ๆ โต้งก็รักเดียร์ เดียร์ก็รักโต้ง แล้วทำไม
เรื่องที่สิบ ภาษาสวยดี
เรื่องที่สิบเอ็ด เรื่องราวน่าสนใจดี

หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: ช็อคโกแลตสีม่วง ที่ 28-03-2013 21:36:06



สองเรื่องแรกทำเอาผมนึกถึงรักแรกของผม(ที่อกหักตามระเบียบ)
แหงครับผมกับเขาก็เพศเดียวกันนั่นล่ะ แอบน้ำตาซึม :m15:
เรื่อง3ทำเอาฮาน้ำตาหด   :laugh:
ไล่อ่านมาจนถึงเรื่องสุดท้าย ได้อะไรมาเยอะแยะ(ฮา)
ตัวอักษรที่เรียบเรียงมาอย่างสวยงามเต็มไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้งมากๆเลยครับ บางประโยคก็ทำให้นึกถึงอดีต บางประโยคก็ทำให้นึกถึงปัจจุบัน

ผมค่อยๆรู้สึกว่าตัวเองมีหัวใจขึ้นมาก็ตอนอ่านเรื่องนกนางแอ่นเนี่ยล่ะ เหมือนได้ยินเสียงหัวใจมันเต้นทั้งๆที่ไม่ได้ยินมานาน
สงสัยคงเป็นเพราะได้ใช้เวลาทบทวนเรื่องบางเรื่องจากบทความของคุณต้นก็เป็นได้ (เอ๊ะ ผมพูดอะไรอยู่เนี่ย)


ขอบคุณครับที่มาแบ่งปันสิ่งดีๆ และผมก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับสิ่งดีๆจากคุณต้น 


คนึงหาคำพูดนี้ทันที>>>>>>หายใจต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น : นิ้วกลม


หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 19-04-2013 18:57:36
ความรัก เจ็บปวด และสวยงาม
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 19-08-2015 22:10:13
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: Cloudnine ที่ 18-05-2016 19:00:07
ชอบเรื่อง "30วัน" มากๆเลยยย น่ารักอ้ะ ฟินนนนน
แต่เรื่องอื่นเศร้าจัง
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: BlueWizard ที่ 08-07-2016 18:07:51
หลากรส​ หลายสไตล์​การเขียน​  สนุกไปคนละแบบ

อ่านไปก็คิดไปว่า​ คุณต้นต้องนั่งคิดเรื่อง​ ต้องทดลองเขียนมากขนาดไหนนะ​ กว่าจะได้เรื่องเหล่านี้มา​ให้อ่านกัน​ ....  รู้สึกเป็นแรงบันดาลใจ​ให้อยากเขียนบ้างจัง​  555

ขอบคุณ​มากนะครับกับเรื่องราวดีๆเหล่านี้​  :กอด1:
หัวข้อ: Re: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 02-03-2021 03:16:02
 :hao5: