อาทิตย์หน้าจะเปิดจองหนังสือนะคะ ตอนนี้กำลังจัดหน้าหนังสืออยู่ ใกล้เสร็จแว้ว อิอิ ตอนพิเศษสำหรับลงหนังสือกเรียบร้อย เดี๋ยวปกคงเอามาให้ชมตอนจบเรื่องเม่นจ๋ายค่ะ
มาอ่านกันเล้ย !!
ตอนที่ 2
วันนี้ข้างๆมหาลัยมีถนนคนเดินครับ เรียกว่าเป็นวันสงบศึกของทุกฝ่ายเพราะนานๆทีบ้านป่าเมืองดอยมหาลัยกลางทุ่งแบบมหาลัยเราจะได้มีโอกาสเปิดหูเปิดตาจึงเป็นที่สนใจของทุกๆคน ดังนั้นการมีเรื่องจึงเป็นอันพับเก็บไปในทันที ผมกับไอ้เม่นก็มาเดินเหมือนกัน มันมีของขายแปลกๆมากมายเลยครับทั้งงานแฮนเมดหลายอย่างที่ไอ้เม่นชอบ มันก็เลยระริกระรี้ดูนั่นดูนี่เป็นพิเศษ ผมก็เดินถือขนมที่มันอยากกินเดิมตามต้อยๆ
“หมอๆมึงว่าใบไหนสวยวะ” มันหยิบกระเป๋าแฮดเมดลวดลายอาร์ตๆหลากสีสรรค์ออกมา แต่ละใบนี่แสบทรวงจริงๆแฮะ
“สีชมพูดีเปล่า เพราะสีแดงเม่นมีสองใบแล้วนี่ครับ”
“อืม .. โอเค เอาใบนี้ก็ได้” ไอ้เม่นนี่ก็รีบควักกระเป๋าตังค์แต่ผมต้องแสดงมาดแฟนที่ดี จับแบงค์ห้าร้อยในมือที่เตรียมออกมาเผื่อไอ้เม่นซื้อของเรียบร้อยยื่นให้กับเจ้าของร้าน
“จ่ายให้กูทำไมเนี่ย จะจ่ายเอง”
“เอาน่า อย่าคิดมากเลย”
“กูไม่ชอบให้มึงซื้อของให้”
“ก็อยากซื้อให้ไม่ได้รึไง”
“แต่กูไม่อยากรบกวนมึง ยังไงพวกเราก็ยังขอตังพ่อตังแม่ใช้อยู่ มึงก็ต้องประหยัดๆ”
นี่แหละครับความน่ารักของมัน มันเป็นคนที่ชวนผมเก็บออมวันละสิบบาทใส่กระปุกจนสิ้นเดือนก็เอาไปฝากธนาคาร เวลาซื้อของใช้มันก็จะตรวจฉลากสินค้า คุณภาพส่วนผสมทั้งหลายทั้งแหล่ เรียกได้ว่าศรีภรรยาที่ดีตามที่ผมต้องการ เป๊ะ เป๊ะ เป๊ะ พวกขนมกรุบกรอบมันก็ไม่ค่อยให้กินครับมันบอกไร้ประโยชน์ น้ำอัดลมก็น้อยมากในตู้เย็นบ้านผมมีแต่น้ำผลไม้ ในหอมันก็มีแต่น้ำผลไม้ จนแม่ผมรักมันยิ่งกว่าผมแล้วนะเนี่ย แรกๆก็รับไม่ได้ที่ไอ้เม่นเป็นแฟนผม หลังๆนี่แทบจะถีบหัวส่งผมไปนอนนอกบ้าน ดังนั้นคู่ผมจึงหมดปัญหาแม่ผัวลูกสพใภ้แต่จะมีปัญหาแม่ผัวขับไล่ลูกชายแทน ย้อนกลับมาเรื่องกระเป๋าสุดท้ายไอ้เม่นก็ดึงดันจะซื้อเองผมก็เลยต้องยอม แต่พวกขนมเล็กๆน้อยๆผมก็เป็นคนซื้อให้ เอาเป็นว่าหายกัน แหมผมก็เป็นพวกไม่ชอบขัดใจเมียซะด้วยสิ
ช่วงนี้อาจารย์ก็ฝึกปีสามแบบพวกเราโดยให้คอยเทรนรุ่นน้องปีหนึ่งที่เข้ามาใหม่
“น้องๆลองดูนะครับ คนไข้มีอาการผื่นแพ้ขึ้นตามตัวเป็นตุ่มใสๆ … บลา บลา บลา ใครมีคำถามมั้ยครับ”
“พี่จ๋ายหิวข้าวยังคะ อธิบายแต่เช้าแล้วเนี่ยย” น้องสาวๆกลุ่มหนึ่งยกมือถามคนละเรื่อง ผมมันก็คนมนุษยสัมพันธ์ดีซะด้วยสิ
“หิวแล้วครับ”
“ไปทานข้าวกับพวกเรามั้ยคะพี่จ๋าย”
“ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ” กลางวันผมเลยมีเพื่อนร่วมโต๊ะเป็นสาวๆกลุ่มใหญ่ทีเดียว
“ทำไมพี่จ๋ายมาเรียนหมอละคะ”
“พี่ดันเอนท์ติดน่ะครับน้องเอิง”
“พี่จ๋ายอยากเป็นหมออะไรหรอคะ”
“หมอกระดูกครับน้องฟ้า”
“แหม น่าจะมาเป็นหมอหัวใจ หมิวจะได้รีบไปรักษาหัวใจเป็นคนแรกเลยค่ะ คิกๆ” เสียงกระเซ้าเย้าแหย่ของสาวๆก็ทำผมกระชุ่มกระชวยดีเหมือนกันนะ
“แล้วพี่หมอมีแฟนรึยังคะ เมย์ถามละลาบละล้วงไปหรือเปล่า”
“ก็ ….”
“แฟนไม่มีครับ ไอ้จ๋ายมันมีแต่เมีย” เสียงหาเรื่องสุดคุ้นเคย พร้อมเน้นกระแทกหนักๆในคำว่าเมีย เรียกสายตาทุกคนไปมองหัวโต๊ะที่มีน้องเม่นของผมยืนอยู่ สายตามันหงุดหงิดเต็มที่
“เอ๋ .. นี่เพื่อนพี่จ๋ายหรอคะ ทานข้าวด้วยกันมั้ยคะ” น้องเมย์ผู้ไม่รู้อะไรเลยก็ถามซื่อๆ
“ไม่ล่ะครับ พอดี ‘เมีย’ ไอ้จ๋ายมันฝากพี่มาบอกไอ้จ๋ายว่า ‘ถ้ามึงยังมีสาวๆล้อมหน้าล้อมหลังแบบนี้กูจะได้มีมั่ง’ แค่นี้ล่ะครับ เชิญทานต่อตามอัธยาศัย ‘เพื่อน’ แบบผมไม่อยากอยู่ขัดความสำราญ” แล้วเฮียเม่นก็สะบัดหน้าเดินจากไปทันที เอาแล้วไงกูงานเข้าละ
“แฟนพี่จ๋ายดุ๊ดุนะคะขนาดส่งเพื่อนมาเตือนเลย อะ อ้าวพี่จ๋ายจะไปไหนคะ” ผมรีบลุกวิ่งตามไอ้เม่นไปทันที
“เม่น ๆ รอพี่ก่อน เม่น” ผมดึงแขนมันเข้าหาตัว
“ตามกูมาทำไม ไปอยู่ในฮาเร็มมึงนู้น”
“รุ่นน้องที่อาจารย์ให้ช่วยสอนเฉยๆนะครับ”
“เหรอ อาจารย์ให้มึงช่วยแดกข้าวกับน้องๆเค้าด้วยมั้ยล่ะ ให้ช่วยป้อนข้าวด้วยมั้ย ต่อไปเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้ด้วยมั้ย”
“ทำไมพูดไม่เพราะเลยครับ”
“กูมันปากแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร เสือกมาด่ากูตอนนี้ อ้ออ ชอบหวานๆแบบนั้นใช่มะ พี่จ๋ายคะ พี่จ๋ายขา อ่ะ” มันมองผมสายตาตัดพ้อ จนผมรู้สึกผิด
“เม่น ไม่ใช่แบบนั้น”
“ไม่ต้องมาแก้ตัว ปล่อยกูได้ละ จะไปตายที่ไหนก็ไป” มันสะบัดแขนผมออกแรงๆ เดินหนีผมไป ใจหนึ่งอยากวิ่งตามไป แต่ต้องไปสอนพวกรุ่นน้องต่อไม่งั้นก็ไม่ผ่าน แล้วคงมีเวลาให้เม่นน้อยกว่านี้ ทั้งๆที่ทุกวันนี้ก็น้อยแล้ว .. เดี๋ยวค่อยง้อแล้วกัน
สัสเอ้ย ทีเมื่อก่อนละวิ่งมาง้อตอนนี้ล่ะไม่มี มันหมดโปรโมชั่นแล้วใช่มั้ย ผมบดกรามกรอดๆ เดินออกมาจากโรงบาล สาวๆรุมล้อมหน้าบานเป็นจานยูบีซีเลยนะมึง โว้ยยยย ใครโทรมาวะตอนนี้เนี่ย ผมควักโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงเซ็งๆ
“โหล มีเหิ้ยไรโทรมาตอนกูอารมณ์เสีย อะไรนะ ? โยธากระทืบพวกมึงหน้าร้านเกมส์ กล้ามากมาทำเพื่อนกู รอกูแปปกูไปคิดบัญชีให้” เอาวะได้กระทืบคนแก้อารมณ์เสียไปก่อนก็คงดี ผมโทรตามพรรคพวกยกพวกไปกระทืบพวกมันตามปกติ แต่วันนี้แม่งมีเด็กอาชีวะมาร่วมด้วย สัสเอาแล้วไง สุดท้ายพวกผมเลยโดนกระทืบกันเละ
“สัสเม่น มึงจำไว้ ว่ามึงไม่ได้เก่งคนเดียวหรอกโว้ย” ไอ้สัสนั่นมันกระทืบใส่ผมแรงๆ แล้วเดินจากไป ฝากรอยตีนและความแค้นไว้เต็มอก สุดท้ายก็ต้องพากันยกโขยงมาทำแผลที่โรงบาลไอ้หมออยู่ดี
“เม่นไปทำไรมา ทำไมเละแบบนี้” ไอ้หมอวิ่งหน้าตื่นเข้ามา แต่ผมมองมันด้วยหางตาแล้วเมินหนี
“อย่ามายุ่งกับกู”
“เม่น มาทำแผลก่อนเดี๋ยวค่อยโกรธต่อ” ไอ้หมอทำสีหน้าซีเรียสมากเหมือนเดิม เวลาผมได้แผล แม้จะเล็กเท่าขี้มด มันก็เดือดร้อนเหมือนผมจะตายนั่นแหละ
“ไม่ต้องกูรังเกียจ”
“รังเกียจก็ต้องหันมา อย่าดื้อ” มันจับหน้าผมทำนั่นทำนี่ แล้วก็ไปทำแผลตามตัว
“โอมหายเจ็บๆ เป่าเพี้ยงๆ”
“ปัญญาอ่อนชิบหาย”
“แล้วยิ้มทำไมครับน้องเม่น”
“ยิ้มก็เรื่องของกู เสือกเหื้ยไร ทำแผลเสร็จยังกูจะกลับหอ” ผมรีบเก๊กหน้าขรึม หงุดหงิดว่ะอยู่กับมันแล้วหลุดทุกทีเลยว่ะ เหิ้ยจริง
“เดี๋ยวกลับด้วยกันนะครับ”
“ไม่กลับกับมึงหรอก ไปส่งสาวๆมึงนู่นไป”
“น้องเม่นหึงพี่หรอครับ”
“หึงอะไร อย่ามามั่วไอ้สาส ใครจะไปหึงมึงไอ้หลงตัวเอง หน้าหนากี่เซ็นละ”
“หนากี่เซ็นไม่รู้แต่ถ้าเมียหอมรับรองนุ่มนิ่มเสมอ”
“สัส ทุเรศว่ะ ไปหาเมียใหม่เลยไปกูลาออก”
“ไม่เป็นไรครับ ลาออกก็สมัครใหม่ได้ เดี๋ยวพี่ยัดเยียดความเป็นผัวให้เอง” ไอ้หมอยักคิ้วกวนๆ แล้วหอมแก้มผมฟอดใหญ่
“สันดาน ลวนลามกู มึงจะเหิ้ยไปไหนวะ”
“คำก็เหิ้ยสองคำก็สัส เมื่อไหร่จะเป็นคำว่า ที่รัก บ้างล่ะครับ หืม ?”
“ชาติหน้าเหอะมึง”
“ดุเหมือนหมาเลยนะครับ เป็นเม่นหรือเป็นหมากันล่ะเนี่ย”
“เสือกเหิ้ยไร อยากได้คนก็ไปหาที่อื่นไปสัส”
“ไม่ล่ะครับ เม่นหมาๆนี่แหละ ได้ใจ” ผมรู้สึกหน้าร้อนผ่าวจนต้องก้มลงหลบสายตามัน แล้วอ้อมแอ้มตอบ
“มึงก็เป็นหมอหมาๆของกูเหมือนนั่นแหละ”
ตกเย็นวันนี้ผมเลยเปรมดิ์เลยครับได้จูงมือน้องเม่นไปกินข้าวข้างหอมันเอง ที่แม้จะเป็นผัดไทยกุ้งธรรมดาๆ กับน้ำเปล่าแก้วน้อยๆ แต่ก็รู้สึกดีเป็นที่สุด