:: คำเตือน ::
ทำใจก่อนอ่านค่ะ ไม่ใช่ NC หรอกนะคะบอกไว้ก่อน = ='
*********************************************************************************************
ผมเกลียดหน้าฝน...
เกลียดเวลาที่ฝนพรำ
เกลียดเวลาที่เห็นน้ำฝนไหลลงมาตามหน้าต่าง
เกลียดฟ้าที่ขมุกขมัว
เกลียดเวลาที่ฝนตกแล้วทำให้ความเหงาทวีอานุภาพมากขึ้น...
การที่ต้องอยู่คนเดียวในวันฝนตกแบบนี้ช่างเป็นอะไรที่ทรมานสุดๆ ซักผ้าก็แล้ว ทำกับข้าวก็แล้ว ทำความสะอาดบ้านก็แล้ว แต่ผมยังรู้สึกว่างเกินไปอยู่ดี...
คิดถึงณัฐจังเลย...
ฮึก...น้ำตามันจะเล็ด แต่ผมไม่ร้องไห้หรอก เพราะการคิดถึงจะต้องทำให้เรามีพลัง ไม่ใช่ทำให้เราเศร้า...
คุณเคยเป็นไหม บางครั้งที่สภาพดินฟ้าอากาศจะส่งผลกับสภาพจิตใจของคุณ อากาศดี คุณก็อารมณ์ดี อากาศหม่นหมอง คุณก็ซึมเศร้า การที่ฝนตกเหมือนฟ้ารั่วตลอดวันเสาร์อาทิตย์นี้ทำให้ผมหดหู่ขั้นติดลบ เมื่อวานวันเสาร์ วันนี้วันอาทิตย์ ผมไม่ได้ไปไหนเลย แถมณัฐก็ไม่ได้มาหาเพราะว่าติดเรียน ณ ตอนนี้ผมจึงมีเพื่อนอยู่เพียงหนึ่งเดียว...
ก็คือโลกไซเบอร์...
ขอบคุณมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กที่ทำให้ผมมีเฟซบุ๊คเอาไว้เล่นในยามที่ไม่มีอะไรจะทำ การได้เห็นเพื่อนอัพเดทสถานะก็ทำให้เราได้รู้ความเป็นไปของเพื่อนได้ไม่น้อย อ้อ! ลืมบอกไป ตอนนี้ผมกับณัฐใช้เฟซบุ๊คอันเดียวกันแล้วนะครับ เป็นความคิดของณัฐนั่นแหละ
แต่การเล่นเฟซบุ๊คมันก็เป็นเหมือนดาบสองคม และยิ่งเป็นคนที่มีนิสัยพื้นฐานอยู่บนความวิตกจริตแบบผมด้วยแล้ว... ก็มักจะชอบสอดรู้สอดเห็นจนทำให้ตัวเองเสียใจเล่นๆ...
ผมก็แค่เข้าไปเปิดดูเฟซบุ๊คของแฟนเก่าณัฐ... หรือคนที่เป็นแม่ของลูกเขาแหละครับ...
ไหนลองบอกผมสิว่ามีใครบ้างที่สนิทกับแฟนเก่าของแฟนเรา มันก็คงจะมีบ้างสินะ แต่ไม่ใช่ผมแน่นอน... บางทีผมก็รู้สึกรังเกียจความคิดของผมที่มีต่อผู้หญิงคนนั้น ดูเหมือนว่าเธอทำอะไรผมก็รู้สึกว่ามันไม่เข้าตาไปเสียหมด แต่ถ้าเราจะปล่อยให้ตัวเองตกเป็นทาสของอารมณ์...มันก็คงไม่ดีใช่ไหมครับ..เราต้องรักษาภาพพจน์เอาไว้...
ผมไม่ได้เป็น Friend list ของเธอคนนั้น แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ตั้งค่า Privacy เอาไว้แน่นหนานัก ผมจึงสามารถเข้าไปดู Wall และ Photo ของเธอได้ สถานะของเธอไม่ค่อยได้อัพเดทนัก เดือนหนึ่งอัพเดทสักสอง-สามครั้งเท่านั้นเอง ผมเกือบจะคลิกออกไปจากหน้าโพรไฟล์ของเธอแล้ว แต่เหมือนมีมือลึกลับดึงมือผมให้ไปคลิกดูอัลบั้มรูปของเธอซะอย่างนั้น...
สำหรับคนที่มีอัลบั้มรูปในเฟซบุ๊คไม่เยอะ มีการอัพเดทสถานะน้อย เพราะฉะนั้นเวลาที่มีอะไรเปลี่ยนไปหรือมีการอัพเดทก็จะสังเกตได้ง่ายๆ เหมือนกับที่ตอนนี้สายตาของผมไปสะดุดกับอัลบั้มรูปที่เธอเพิ่งอัพขึ้นไปใหม่...
ชื่ออัลบั้มคือ ดรีมเวิล์ด 3/7/2011
เหอะ...ขนาดคำว่าดรีมเวิลด์ยังสะกดผิดเลยแม่คุณ แต่ช่างเหอะ ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะมาใส่ใจ รูปโชว์เป็นหน้าอัลบั้มต่างหากที่ดึงดูดใจผมมากกว่า ในรูปที่ถ่ายเอียงๆมีคนสองคนอยู่ในรูปนั้น คนหนึ่งคือเธอ และอีกคนหนึ่งที่ตกขอบรูปไปครึ่งตัว คนที่ผมเห็นแค่เสี้ยวหน้าครึ่งเดียวก็จำได้ทันที คนที่เมื่อวันก่อนยังกอดผมและกระซิบคำว่ารักข้างหูผม...
ทำไมณัฐถึงไปถ่ายรูปกับหล่อนได้...
ผมเลื่อนไปดูรูปอื่นๆ บางรูปก็เป็นรูปณัฐกับลูก บางรูปก็เป็นรูปหล่อนกับลูก บางรูปก็เป็นของทั้งสามคน มือผมเริ่มสั่นเทาขึ้นทีละน้อย อย่างนี้สินะที่เขาเรียกว่าหาเรื่องใส่ตัว สมองผมอื้ออึงคิดอะไรไม่ออก ไปเที่ยวดรีมเวิลด์กันสามคนพ่อแม่ลูกงั้นเหรอ? พ่อแม่ลูกเนี่ยนะ... มันดีมากใช่ไหม? มันดูเป็นครอบครัวมากเลยสินะ... ผมกลับไปที่รูปแรกอีกครั้ง มีสองรูปที่ทิ่มแทงใจผมที่สุด คือรูปที่ณัฐถ่ายคู่กับหล่อน และรูปที่ถ่ายกันสามคน ผมรู้ได้ทันทีว่ารูปที่ณัฐคู่กับหล่อนคงเป็นฝีมือลูกชาย ถ้าไม่ติดว่านั่นคือเด็กที่อายุเพียงห้าขวบ ผมคงจะตบกะโหลกให้ทิ่ม (ณ จุดนี้ผมจะไม่ขอรักษาภาพพจน์อีกแล้วนะครับ...)
ผมเริ่มคิดทบทวน บางทีมันอาจเป็นรูปที่ถ่ายมานานแล้วแต่หล่อนคงเพิ่งจะอัพรูป วันที่ในชื่ออัลบั้มก็บอกว่า 3/7/2011 ถ้าหากเป็นการเขียนวันที่แบบอังกฤษ ก็จะเรียงแบบ วัน/เดือน/ปี ซึ่งก็จะหมายความว่ามันคือวันที่ 3 เดือน 7 ปี 2554 แต่ถ้าหากว่าเป็นการเขียนวันที่แบบอเมริกัน คือ เดือน/วัน/ปี ก็จะหมายถึง วันที่ 7 เดือน 3 ปี 2554 แต่ผมคิดว่าอย่างหล่อนคงไม่รู้จักการเรียงวันที่แบบอังกฤษหรืออเมริกันหรอก เพราะงั้นมันน่าจะเป็นแบบ วัน/เดือน/ปี ตามที่คนไทยคุ้นเคยแน่นอน(ต้องขอโทษไว้ตรงนี้ด้วยนะครับถ้าวาจาของผมจะเหมือนกับการดูถูกเธอ...)
ในขณะที่ผมกำลังหาข้อสรุปให้ตัวเองเรื่องวันที่นั้น ผมก็เหลือบเห็นกางเกงตัวที่ณัฐใส่ในรูป ผมจำได้ว่าณัฐซื้อกางเกงตัวนั้นเมื่อเดือนห้าหรือเดือนหกนี่เอง เพราะฉะนั้น กางเกงตัวที่ซื้อในเดือนห้าหรือเดือนหก ไม่มีทางไปอยู่ในรูปภาพที่ถ่ายในเดือนสามแน่นอน มันคือวันที่ 3 เดือน 7 ปี 2554 แน่นอนครับ...
ตอนนี้เดือนแปด...เหตุการณ์นั้นผ่านมาได้เดือนนึง ซึ่งผมไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้ยังไงและเมื่อไร ผมคิดหัวแทบแตกว่าวันนั้นคือวันอะไร ปฏิทินถูกผมเปิดแรงจนแทบจะขาด วันที่ 3/7/2011 คือวันอาทิตย์... วันที่ณัฐต้องมีเรียน แต่วันนั้น...มันเป็นวันอะไรนะ...วัน...ผมนึกออกแล้ว...มันคือวันเลือกตั้ง ณัฐไม่มีเรียน และเป็นวันหยุดที่ผมรอคอยตั้งนานที่จะได้ใช้เวลาด้วยกันทั้งวัน...
ผมนึกย้อนไปถึงวันที่ 1/7/2011 วันนั้นคือวันศุกร์ วันที่ณัฐมาบอกผมหน้าเศร้าว่าแม่เขาให้ไปช่วยอาย้ายบ้าน ผมใจหายไปแว่บหนึ่งแล้วเขาก็พูดต่อ
“แม่มาถามว่าวันอาทิตย์ณัฐว่างไหม ณัฐก็ไม่ได้คิดอะไรเลยตอบไปว่าว่าง” พอฟังแล้วผมก็จี๊ด... วันที่เราวางแผนว่าจะไปเที่ยวกัน เขากลับบอกแม่เขาว่า ‘ว่าง’ ทั้งที่ผมรอคอยวันนี้มานาน เขากลับทำเหมือนว่ามันไม่สำคัญ...
“ทำไมณัฐถึงพูดแบบนั้น” ผมถามเขาแบบนั้น แล้วผมก็โมโห เราทะเลาะกัน... หรือจะบอกให้ถูกว่าผมโวยวายใส่เขา ณัฐเองก็ขอโทษและอธิบายผมสารพัด จนสุดท้ายผมก็ยอม...ยอมทั้งที่เสียความรู้สึกเหลือเกิน แต่ยังไงก็เป็นเพราะแม่เขาขอร้องนี่นะ...
พอวันอาทิตย์ที่ 3/7/2011 ผมก็นอนตื่นสายๆ เพราะว่าไม่อยากจะใช้เวลาอยู่คนเดียวในวันหยุดแบบนี้ จนผมตื่นมาตอนเที่ยง เขาก็โทรมาหาผม บอกว่ายังไม่ได้ออกไปเลย รอแม่อยู่ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้โทรหาเขาสักครั้งเพราะคิดว่าเขาต้องกำลังยุ่ง ไม่อยากโทรไปรบกวน บ่ายสองก็แล้ว บ่ายสามก็แล้ว จนบ่ายสี่โมงเย็นเขาก็โผล่หน้ามาหาผมและกอดผมพร้อมกับบ่นว่าคิดถึงไม่ขาดปาก ผมเองก็ดีใจที่เขามาจนลืมเรื่องความโกรธไปจนหมด...
จนวันนี้...
ตอนที่ผมนั่งตัวชาบนเก้าอี้คนเดียว มือเลื่อนดูรูปซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมดูรูปหนึ่ง ก็เหมือนเอาตะปูตอกบนหัวใจผมอันหนึ่ง ใจของผมคงจะพรุนไปหมดแล้ว ทำไมกันนะ นี่ผมโดนหลอกงั้นเหรอ? ผมถูกผู้ชายคนที่ผมแสนเชื่อใจโกหกงั้นเหรอ วันเวลาที่ผ่านมาหลังจากวันนั้นเขาอยู่มาได้ยังไงโดยที่มีเรื่องปิดผมอยู่แบบนี้ ผมเองไม่เคยจะมีอะไรปิดบังเขา แต่เขากลับบอกรักผม กอดผม จูบผม ทั้งๆที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
ผมเคยไว้ใจณัฐที่สุด
ผมเคยมั่นใจที่สุดว่าณัฐไม่มีทางนอกใจผม
ผมเคยภูมิใจว่าณัฐไม่มีทางโกหกผมแน่นอน
ผมคิดว่าเขารักผมที่สุด...
แต่นี่...เขากำลังเลือกที่จะไปจากผมงั้นเหรอ...
“ฮึก... ทำไมถึงทำแบบนี้กับฟี่...” ผมนั่งยกขึ้นมาและซุกหน้ากับเข่าตัวเอง น้ำตาไหลออกมาแบบห้ามไม่อยู่ ผมอยากจะถามเขาเสียตอนนี้ อยากจะขอคำอธิบาย แต่เพราะผมไม่อยากรบกวนเขา ผมทำทุกอย่างก็คิดถึงเขาเสมอ ไม่เคยอยากให้เขามาลำบากเพราะผม ผมรักเขาจนสุดหัวใจ แต่นี่คือสิ่งที่เขาตอบแทนกับผมใช่ไหม?
โดยที่สติผมขาดๆเกินๆ ผมก็โพสสเตตัสบนเฟซบุ๊คของเราว่า ‘ดรีมเวิลด์ 3/7/2011 สนุกไหม?’ ถ้าณัฐเห็นแบบนี้แล้ว จะทำยังไงนะ...
ผมลุกจากเก้าอี้และไปซุกอยู่ที่โซฟา ผมพยายามจะหยุดร้องไห้ พยายามจะไม่สะอื้น แต่มันก็ยากเหมือนกับห้ามไม่ให้ฝนตก ความเสียใจของผมมันคงมากเกินไป หากผมไม่เคยคาดหวัง หากผมเผื่อใจไว้ ผมก็คงจะไม่ต้องเสียใจแบบนี้ หากผมไม่โง่ หากผมหัดโทรตามจิกเขา มันคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้... แล้วจะให้ผมทำยังไงได้ ผมรักเขาจนเชื่อใจเขาเสียขนาดนี้...
ผมน่าจะขาดใจตายไปเลย จะได้ไม่ต้องมารับรู้เรื่องอะไรอีก...
TRrrr… TRrrr…
เสียงโทรศัพท์ปลุกผมจากฝันร้าย ผมลืมตาขึ้นและรับรู้ได้ว่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องจริง ผมยังอยู่ ยังไม่ตาย และเบอร์ที่โทรเข้ามาก็คือเบอร์ของคนที่ทำผมเจ็บสุดหัวใจ...
“ฮัลโหล”
/ฟี่ ทำอะไรอยู่ กินข้าวหรือยังครับ/ เสียงณัฐสดใส... ผมรับรู้ทันทีว่าเขาคงยังไม่เห็นสเตตัสของผม...
“กินแล้วสิ” ผมพยายามทำเสียงให้เหมือนปรกติ หากเขาจะหลอกผม ผมก็จะให้ความร่วมมือกับเขาให้ถึงที่สุด อยากทำอะไรกับผมก็เอาเถอะ...ที่รัก...
/ฮื้อ...ทำไมเสียงเหนื่อยๆ ไม่สบายหรือเปล่าฟี่/
“เปล่า...” ไม่ใช่หรอกณัฐ ฟี่ไม่ได้ป่วย แต่กำลังจะขาดใจตายอยู่แล้ว..
/ไม่จริงหรอก ปรกติฟี่ไม่มีน้ำเสียงแบบนี้/
“...งือ...ฟี่ปวดหัวนิดหน่อย...แต่เดี๋ยวก็หาย”
/ไม่สบายมากหรือเปล่า ทำไมไม่โทรหาณัฐละ/
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก จะต้องโทรไปกวนณัฐทำไมละ”
/อย่าพูดแบบนั้นสิฟี่ ณัฐไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะ/
ในใจผมตอนนี้มันมีแต่คำว่า ‘ไม่อยากฟัง’ ผมไม่อยากฟังอะไรจากปากเขาอีก อะไรจริง อะไรไม่จริง ผมหมดสติสัมปชัญญะที่จะมาทบทวนแล้ว
“ณัฐ ฟี่อยากนอน ขอวางสายก่อนนะ ตั้งใจเรียนด้วยละ...” ผมคิดว่าผมควรจะวางก่อนที่ผมจะกลั้นร้องไห้ไม่ไหว ผมไม่รอณัฐพูดตอบกลับแล้วชิงวางสายทันที น้ำตาผมไหลอีกแล้ว สิ่งเดียวที่จะทำให้ผมหยุดคิด หยุดเศร้า วิธีที่ผมใช้เสมอก็คือการหลับ... เพราะผมจะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรอีก...
TRrrr… TRrrr…
โทรศัพท์ผมดังอีกครั้ง ผมดูนาฬิกา บ่ายสามโมง ณัฐโทรมาอีกแล้ว เพิ่งจะวางสายได้แค่ชั่วโมงกว่าๆ... สัญชาตญาณของผมรับรู้ได้ว่าการที่ณัฐโทรมาคราวนี้ บางที... เขาอาจจะเห็นสเตตัสที่ผมโพสแล้วก็เป็นได้...
“...” ผมรับสาย แต่ไม่ได้พูดอะไร
/...ฮัลโหล...ฟี่../
“อือ...”
/เป็นอะไร... มีอะไรหรือเปล่า/ ชัวร์เลยครับ ณัฐเห็นแล้วแน่ๆ และก็คงรู้ด้วยว่าผมหมายถึงอะไร แต่ทำไมเขาถึงไม่พูดออกมาตรงๆ เพราะเขาเองก็ยังไม่แน่ใจงั้นเหรอ เผื่อว่าถ้าผมไม่ได้คิดเรื่องเดียวกับเขา เขาก็คงจะไม่ยอมให้เรื่องนั้นเปิดเผยออกมาสินะ..
“ไม่เป็นอะไรหรอก แค่เหนื่อยๆ เพลียๆ”
/...แล้วที่โพสในเฟซบุ๊คน่ะ หมายความว่ายังไง/ เหอะ ผมรู้สึกจี๊ดเลยครับ ยังกล้ามาถามผมกลับใช่ไหม ไม่คิดจะบอกออกมาเองเลยใช่ไหม
“ณัฐลองถามตัวเองเถอะ น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจนะ” ผมไม่สามารถที่จะคุมน้ำเสียงตัวเองให้คงที่ได้แล้วครับ จริงๆแล้วผมเป็นคนที่อารมณ์ร้อนค่อนข้างมาก แต่เพราะตามปรกติไม่ค่อยที่จะมีใครมาทำให้ผมโมโห ผมจึงไม่ค่อยได้ระเบิดอารมณ์สักเท่าไร
/ฟี่ไปเห็นอะไรมา ไปเจออะไรมาใช่มั้ย/ น้ำเสียงของณัฐเริ่มร้อนรนขึ้นทุกทีครับ แต่ผมกลับรู้สึกสะใจที่ทำให้เขาเป็นแบบนั้นได้
“ก็แล้วณัฐไปทำอะไรมาล่ะ บอกแล้วไงให้ถามตัวเองดู ทำอะไรมาอย่าคิดว่าฟี่ไม่รู้นะ!” ผมคิดว่าตั้งแต่ที่เราคบกันมาเกือบปี นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมตวาดและขึ้นเสียงใส่ณัฐ ก็ดีแล้ว ผมอยากจะให้เขารับรู้ได้เหมือนกันว่าการยอมของผมมันมีลิมิต
/ฟี่... ฟังณัฐก่อนได้ไหม ให้ณัฐอธิบายก่อนนะ/ ผมหูอื้อไปหมดแล้วครับ คำอธิบง-อธิบายอะไรผมไม่อยากฟังทั้งนั้น
“ไม่ต้องอธิบายอะไรหรอกณัฐ ณัฐอยากจะทำอะไรก็ทำไป อยากจะไปไหนกับใครก็ไป ไม่ต้องมานึกถึงความรู้สึกฟี่หรอก!”
/ฟี่..จะให้ณัฐไม่แคร์ฟี่ได้ยังไง ขอร้องเถอะ ฟังณัฐหน่อยนะ/
“ถ้าณัฐแคร์ฟี่จริง ห่วงความรู้สึกฟี่จริง ทำไมณัฐไม่คิดก่อนทำ ทำไมณัฐไม่คิดก่อนที่จะปิดบังอะไรฟี่ ไม่ต้องแล้วแหละณัฐ ไม่ต้องมายุ่งกับฟี่! ถ้าณัฐอยากจะไปนักก็ไปเถอะ ปล่อยฟี่ไว้อย่างนี้แหละ” ฮึก... ผมกลั้นน้ำตาไม่อยู่แล้ว บุญเท่าไรแล้วที่ผมไม่ฟูมฟายออกมา...
/ฟี่ เดี๋ยวณัฐไปหานะ รอณัฐก่อนนะ/ สุดท้ายเขาก็ตัดบทผมเอาดื้อๆ ไม่เอาด้วยหรอก ผมไม่อยากเจอเขา ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากฟังคำที่เขาจะพูดกับผม ไม่อยากรู้ว่าเขาจะบอกอะไร
ผมกลัวว่าสิ่งที่เขาจะบอกกับผมคือขอเลิก
กลัวเขาจะมาบอกผมว่าเขาจะกลับไปหาครอบครัว
กลัวว่าผมจะต้องทนอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีณัฐ...
ผมไม่มีทางทนได้แน่นอน..
“ถ้าณัฐมา ฟี่ก็จะไป...”
/โธ่ฟี่..ขอร้องละ ณัฐกำลังไป รอนะฟี่ รอนะ/ ผมเจ็บปวดมากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงณัฐเหมือนสะอื้น ผมทำณัฐร้องไห้ ทำณัฐเสียใจ แล้วยังทำให้เขาต้องทิ้งการเรียนมาหาผม ทำไมผมถึงได้เฮงซวยแบบนี้นะ ตัวเองเสียใจคนเดียวก็พอแล้วจะต้องดึงคนอื่นมาอีกทำไม
/ฟี่ ตอบณัฐสิ รอณัฐนะ รอก่อน อย่าไปไหนนะ/
ผมไม่ได้ตอบณัฐไปหรอกครับ ผมกดสายทิ้งแล้วก็นั่งน้ำตาไหลอยู่คนเดียว สมองผมมันย้ำอยู่แต่เรื่องแย่ๆทำนองว่า...
ณัฐจะต้องมาบอกเลิกผม
เขาจะต้องทิ้งผมไป
ทำไมเขาถึงโกหกผม
ทำไมเขาถึงใช้ชีวิตต่อมาจากวันนั้นได้หน้าตาเฉยทั้งที่มีเรื่องปิดบังผม
ทำไม ’เธอคนนั้น’ ถึงต้องอัพรูปเซ็ตนั้นขึ้น อัพเพื่ออะไร เพื่อจะป่าวประกาศว่าหล่อนไปเที่ยวกับลูกและสามีงั้นเหรอ ถ้าหากมีคนอื่นถามถึงณัฐ หล่อนคงจะบอกว่าเขาเป็นพ่อของลูกสินะ คงจะอ้างได้หน้าตาเฉยสินะ
ทำไม... ผมถึงต้องถูกทำแบบนี้ด้วย... ผมรักณัฐขนาดนี้ แต่ทำไมณัฐถึงเลือกทำสิ่งที่จะทำให้ผมเสียใจ...
ผมลุกจากโซฟาแล้วเดินขึ้นไปบนห้องนอน ผมขนเสื้อผ้าของณัฐออกมาจากตู้ หากว่าเขามาจะได้ไม่ต้องเสียเวลา เขาจะได้เอาเสื้อผ้าไปได้เลย
ผมเก็บรูปของเขาออกจากทุกๆที่ในบ้าน ผมเก็บหนังสือการ์ตูนของเขา ข้าวของๆเขาใส่ถุงให้
ผมเก็บรูปที่เราถ่ายคู่กันมาแล้วฉีกทิ้ง รูปคู่กันที่ณัฐบอกว่าอยากได้ใบเล็กมาใส่ไว้ในกระเป๋าเงิน ผมก็ไปอัดมาให้ แต่ตอนนี้เขาคงไม่ต้องการอีกแล้ว โน้ตลายมือณัฐที่แปะไว้หน้าตู้เย็นคงจะทำให้ผมแสลงใจในภายหลัง แต่เขาอุตส่าห์เขียนให้ผม เพราะงั้นผมก็จะเอามันคืนให้ณัฐไป
อย่าได้เหลืออะไรให้นึกถึงกันอีกเลย...
ผ่านไปเกือบชั่วโมงผมก็ได้ยินเสียงคนไขประตูบ้านผมแล้วปิดเสียงดังมาก เสียงณัฐเรียกชื่อผมมาจากชั้นล่าง ผมหิ้วของของเขาแล้วเดินออกมาจากห้องนอน ณัฐเปียกซ่กเพราะฝนตก หากเป็นเมื่อก่อน ผมคงรีบเอาผ้าขนหนูแห้งๆมาเช็ดผมให้เขา แต่แค่มองหน้าเขาผมก็จะสติแตกอยู่แล้ว ครั้งนี้มันเจ็บยิ่งกว่าครั้งไหน ผมรู้แล้วว่าทำไมเวลาคนที่เรารักทำให้เราเสียใจ มันถึงเจ็บเจียนตาย...
ก็เพราะว่าเรารักเขามากน่ะสิ การที่เรารักใครมาก คาดหวังมาก เวลาผิดหวังมันก็จะมากทวีคูณไปด้วย
ณัฐโยนกระเป๋าลงบนโซฟาแล้วเดินดิ่งมาหาผม เพียงชั่วแวบเดียวผมก็เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดเขาแล้วถูกอุ้มลงมาจากบันไดเรียบร้อย ผมดิ้นรนออกจากอ้อมกอดของเขา ความรู้สึกของผมคือไม่อยากให้เขามาถูกตัวผมสักนิด แต่ณัฐก็กอดผมเอาไว้แน่นจนแทบหายใจไม่ออก
“ฟี่ ฟังณัฐก่อน ให้ณัฐพูดก่อนเถอะนะ”
“ไม่ต้องหรอกณัฐ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”
“ทำไมละฟี่ จะให้โอกาสณัฐสักครั้งได้ไหม ขอให้ณัฐได้อธิบายสักนิดได้ไหม” ณัฐพูดไปตาก็แดงก่ำ ผมที่เจ็บปวดใจอยู่แล้ว พอมาเห็นเขาร้องไห้ก็ยิ่งปวดร้าวมากขึ้น... ทำไมผมถึงมีจิตใจอ่อนแอแบบนี้นะ...
“ไม่...” ผมส่ายหัวและดันเขาออก น้ำตาผมก็ไหล น้ำตาเขาก็ไหล ณัฐสะอื้นเบาๆ ผมรับรู้ได้เพราะเขากอดผมไว้แน่นและซุกหน้ากับซอกคอของผม ณัฐจูบที่ซอกคอของผมเหมือนพยายามที่จะปลอบประโลม แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการสักนิด
“ณัฐ...อยากจะไปจากฟี่ก็ไปเถอะนะ ฟี่อยู่ได้ ไม่ต้องเป็นห่วงฟี่หรอก”
“ไม่ใช่นะฟี่ ไม่ใช่เลย ณัฐมีเหตุผล ณัฐมีคำอธิบาย ได้โปรดเถอะฟี่ อย่าผลักไสณัฐไปจากฟี่เลย”
“แล้วทำไมณัฐถึงทำแบบนั้น ถ้าไม่อยากไปจากฟี่แล้วโกหกฟี่ทำไม ณัฐรู้ไหมว่าฟี่ยังจำวันนั้นได้ดี ณัฐบอกฟี่ว่าจะไปไหน ณัฐใส่ชุดอะไร ณัฐกลับมาแล้วมากอดฟี่ทันทีที่เห็นหน้าฟี่ก็จำได้ ณัฐหลอกฟี่ไปแล้วยังกลับมาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ยังไง!!”
“ฟี่..ณัฐก็เจ็บปวดเหมือนกันนะ ณัฐเจ็บเหมือนกันที่มีเรื่องปิดบังฟี่ ไม่ใช่ว่าณัฐไม่คิดจะบอก ณัฐอยากจะบอกฟี่ทุกครั้งที่มีโอกาส แต่เพราะว่าเวลาที่อยู่ด้วยกันมันมีความสุขมาก และณัฐก็รู้ว่าฟี่จะเจ็บปวดแค่ไหนถ้าได้รู้ ณัฐถึงได้พูดไม่ออกสักที”
“แล้วฟี่มารู้ทีหลังแบบนี้มันเจ็บน้อยกว่ากันมั้ยยยย!!” ผมตะโกนจนแสบคอไปหมดแล้ว แต่นั่นมันก็ยังไม่สาแก่ใจในการระบายอารมณ์ ถ้าผมไม่ตะโกน และนั่งทำท่านิ่งๆ ผมคงอกแตกตาย
“ไม่...” ณัฐพูดเสียงเศร้าแล้วก้มหน้าไป ผมก็เริ่มรู้สึกปวดหัวจี๊ดจนอยากจะเอาหัวโขกกำแพงให้ตายซะ เครียดจะเป็นบ้าแล้วร่างกายยังจะมาป่วยอีก
“ฟี่จะกลับบ้าน” พอผมพูดแบบนั้น ณัฐก็เงยหน้ามามองผมเขม็งแล้วส่ายหัว
“บ้านฟี่อยู่นี่ไง”
“จะกลับบ้านอาผึ้ง ไม่อยากอยู่ที่นี่”
“ไม่ต้องไป อยู่ที่นี่แหละ”
“บอกว่าไม่อยากอยู่ เข้าใจไหมว่าไม่อยากอยู่เลยสักวินาทีเดียว!” ผมตวาดใส่ณัฐ เขาทำหน้าตกใจจนผมรู้สึกผิด แต่อารมณ์โกรธที่เข้ามาครอบงำก็ทำให้ผมไม่สนอะไรทั้งสิ้น
“งั้นฟี่ก็ไปเถอะ... ณัฐคงรั้งฟี่ไว้ไม่ได้หรอก ณัฐคงไม่มีสิทธิ์จะรั้งฟี่แล้วสินะ...แต่ขอให้ฟี่จำไว้อย่างหนึ่ง ต่อให้ณัฐไม่มีฟี่ ไม่มีใครเลย... ณัฐก็ไม่มีทางกลับไปหาเขาอีก” พอณัฐพูดแบบนั้นก็ทำให้ผมที่กำลังจะหันหลังกลับไปเก็บเสื้อผ้าต้องชะงักไปแวบหนึ่ง เพียงแวบเดียวเท่านั้นผมก็เดินต่อไป ผมเดินขึ้นบันไดไปได้แค่ครึ่งทางก็...
“ฟี่...” น้ำเสียงเศร้าสร้อยพร้อมกับแรงกอดจากด้านหลัง นี่มันกะจะให้ตกบันไดตายทั้งคู่เลยใช่ไหม...
“...”
“ฟังณัฐก่อนนะ ขอแค่ฟังณัฐก่อน ถ้าฟี่คิดว่าคำอธิบายของณัฐมันยังไม่ดีพอแล้วฟี่ยืนยันที่จะไป ณัฐก็จะไม่รั้งไว้” ผมหันไปมองหน้าณัฐ สมองประมวลผลว่าควรจะทำอย่างไรดี ผมคิดว่าตอนนี้ผมรู้สึกใจเย็นขึ้นมาก เหมือนว่าพอได้ตะโกนแล้วมันก็โล่งขึ้นมากกว่าตอนแรกที่รู้เรื่องใหม่ๆ สมองผมเองก็พร้อมที่จะรับฟังมากขึ้น บวกกับพอเห็นหน้าณัฐ... ผมเชื่อใจเขามาตลอด รู้จักเขามาก็นาน ณัฐเองก็บอกว่าเขามีคำอธิบาย แล้วทำไมผมถึงได้ปล่อยให้อารมณ์โมโหมาครอบงำขนาดนี้นะ ผมถามตัวเองว่าต้องการแน่เหรอที่จะเลิกกัน ผมยอมแน่เหรอที่จะอยู่โดยไม่มีณัฐ ที่ผมไม่อยากฟังณัฐพูด ก็เพราะกลัวว่าเขาจะมาขอเลิกนี่นา แต่ตามจริงแล้วมันก็ไม่ใช่อย่างที่ผมคิด เขาแสดงออกว่าเขารักผมมาก...ขนาดนั้น...
“ก็พูดมาสิ...” ผมหันหลังกลับแล้วเดินไปนั่งที่โซฟา ณัฐเองก็แทบจะดึงผมไปนั่งตักอยู่แล้ว ผมจึงต้องถลึงตาใส่เขาเพื่อจะได้รู้ว่าผมรับฟังแต่ไม่ได้หมายความว่าจะยกโทษให้หรอกนะ...
“แม่ของเขาโทรมาหาแม่ณัฐ” จู่ๆพ่อคุณก็เปิดประเด็นมาแบบไม่ให้ตั้งตัวเลยครับ
“โทรหาแม่ณัฐ โทรมาทำไม?” ผมขมวดคิ้ว แต่ไหนแต่ไรที่ได้ยินเรื่องแม่ของผู้หญิงคนนั้น ช่างเป็นแม่ที่ยุ่มย่ามวุ่นวายไม่สิ้นสุดเลยแหละครับ
“โทรมาถาม ว่าทำไมณัฐไม่ไปหาลูกบ้าง” จี๊ดดดดดดดดดดดดด.....พุ่งปรี๊ดเลยครับ ผมหงุดหงิดกับคุณแม่ท่านนี้มานานแล้ว ใจคอนี่จะปิดหูปิดตาไม่รับรู้บ้างหรือไรว่าลูกเขาเลิกกันนานแล้ว
“พอแม่เขาโทรมาอย่างนั้น แม่ณัฐก็เลยตกปากรับคำไป ณัฐเองก็ปฏิเสธไม่ออก เพราะว่าแม่ณัฐสัญญาไปแล้ว” ถึงตรงนี้ผมก็นึกถึงรูปเซ็ตนั้นครับ อารมณ์ผมเริ่มมาคุอีก ผมเลยสะบัดหัวแรงๆเพื่อไล่ภาพพวกนั้นออกไปก่อนที่ผมจะสติแตกอีกรอบ
“ณัฐไปแค่สองชั่วโมงเองนะฟี่... รีบไปแล้วก็รีบกลับ”
“วันนั้นคุยอะไรกันบ้าง” ผมถามเสียงต่ำ ไม่ได้จะหาเรื่องหรืออะไร แต่ก็แค่อยากรู้...
“ก็แค่ถามเรื่องยายเขา เห็นว่ายายเขาไม่สบาย ส่วนมากไม่ค่อยได้คุยกันหรอก”
ผมฟังแล้วก็เงียบ คุณคิดว่าในเวลาแค่สองชั่วโมงนั้นมันนานไหม? สำหรับคนรักกัน เวลาสองชั่วโมงเหมือนจะแสนสั้น แต่หากต้องอยู่กับคนที่เราไม่ได้รัก สองชั่วโมงนั้นก็ดูเหมือนจะยาวนาน... ผมยังมีสิ่งที่อยากถามเต็มไปหมด...
“อยากกลับไปอยู่กับลูกไหม” คำถามที่ผมถามเองเรียกน้ำตาให้มาคลอได้เป็นอย่างดี สักพักมันก็ไหลเอ่อออกมา ณัฐแตะปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้ผมแล้วพูดเสียงเบา
“ฟี่จะให้ณัฐกลับไปเพื่ออะไร ทุกอย่างมันไม่มีทางที่จะเหมือนเดิม ตรงนั้นมันไม่มีที่สำหรับณัฐอีกแล้ว ที่ของณัฐอยู่ตรงนี้” เขาเอานิ้วจิ้มมาที่อกข้างซ้ายของผม ผมหลับตาลงแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ
“ณัฐไม่มีเรื่องอะไรที่ปิดบังฟี่แล้วใช่ไหม? ”
“ไม่มีแล้ว แต่ถ้าฟี่จะไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร”
ณัฐพูดอย่างนั้น.. แต่..
ผมเชื่อ...
ผมยังคงเชื่อมั่นว่าณัฐไม่ใช่คนชอบโกหก แต่ถึงแม้คำโกหกของณัฐจะเป็น White lies มันก็สร้างความเจ็บปวดได้ไม่น้อยเมื่อรู้ความจริง แม้ตอนนี้ผมจะไม่โวยวาย ไม่อาละวาด ไม่ฉุนเฉียว แต่ความรู้สึกของผมมันก็ไม่ได้จะกลับมาดีเหมือนเดิม ผมยังจำความเจ็บปวดตอนที่เห็นรูปพวกนั้นได้ไม่ลืม และคนที่สร้างปัญหานี้ขึ้นก็สมควรที่จะต้องชดใช้
“ณัฐรู้ใช่ไหมว่าความรู้สึกของฟี่จะไม่มีทางเหมือนเดิม ไม่ว่าผ่านไปนานเท่าไรฟี่ก็จะยังจำได้ว่าณัฐเคยโกหกฟี่ไว้ ฟี่ไม่โกรธที่ณัฐไป แต่ฟี่โกรธที่ณัฐปิดบัง ฟี่รู้สึกเหมือนว่าเป็นไอ้โง่ให้ณัฐหลอก เพราะฉะนั้นฟี่คงไม่สามารถที่จะปรับความรู้สึกกลับมาได้เหมือนเดิมทันที ทีนี้ก็จะเป็นปัญหาของณัฐที่จะต้องเยียวยาความรู้สึกของฟี่ด้วยตัวณัฐเอง”
“อืม” เขาพยักหน้าแล้วก็สวมกอดผม
“ฟี่กอดณัฐหน่อยได้ไหม”
ผมลังเลใจเมื่อได้ยินคำขอนั้น ผมยังรู้สึกตึงๆ ความเสียใจมันมีมากเหลือเกิน แต่บางสิ่งที่เรียกว่าโหยหาก็มากไม่แพ้กัน ความเคยชินที่ได้สัมผัสกันมันยังฝังแน่นในสมองของผม ผมยกแขนขึ้นแล้วโอบรอบแผ่นหลังของณัฐ
“จำไว้นะณัฐ จำความเสียใจของฟี่เอาไว้ จำไว้ว่าฟี่เคยเสียใจกับการตัดสินใจของณัฐแค่ไหน ความไม่มั่นใจของณัฐ ความลังเลของณัฐมันทำให้ฟี่เจ็บ มันทำให้คนที่ณัฐบอกว่ารักมากต้องเสียใจ หากว่ามันต้องมีครั้งต่อไป เราจะไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิมได้อีก” ผมขอภาวนาว่าอย่าให้มีเหตุการณ์แบบนี้อีกเลย...
“ถ้าสถานการณ์ของเราสองคนสลับกัน ถ้าณัฐต้องตกอยู่ในสถานการณ์ของฟี่ ณัฐก็คงเสียใจไม่แพ้กัน ถ้าเป็นณัฐก็คงไม่อยากเจอเรื่องแบบนี้ ณัฐขอโทษนะ ณัฐขอร้องฟี่ว่าอย่าจำเรื่องนี้ได้ไหม ลืมมันไปได้ไหม ขอโอกาสให้ณัฐ...”
“ฟี่ไม่ลืมหรอกณัฐ ไม่มีทางลืม แต่ฟี่จะไม่ยอมปล่อยให้มันมาทำร้ายจิตใจฟี่อีก”
“แค่นั้นก็ยังดี” ณัฐยิ้มเศร้า มันยังคงต้องใช้เวลาที่จะปรับความรู้สึกให้คงที่ ผมคิดว่าผมยังคงต้องเศร้าสร้อยไปพักหนึ่ง แต่ผมก็เชื่อว่าสักวันมันจะต้องดีขึ้น เพราะว่าการที่ผมได้กอดเขาแบบนี้ การที่เราสองคนได้ใกล้ชิดกัน มันเป็นเหมือนยาที่ค่อยสมานแผลใจ และต้องไม่ลืมสิ่งสำคัญว่าเรารักกันมากแค่ไหน อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบมาทำลายความรักลงไป...เรื่องความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ถ้าเราเชื่อใจกัน ก็จะต้องผ่านปัญหาไปได้แน่นอน...
ปล.ตอนนี้ผมเกลียดมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กที่สุดเลยครับ...
------------------------ The End ------------------------
แจ้งค่ะ :: เหตุการณ์ในตอนนี้เป็นเหตุการณ์ตอนที่เขาคบกันใหม่ๆนะคะ ไม่ได้เกิดหลังจากแต่งงานแล้ว ปล.เชื่อไหมคะ ว่านั่งพิมพ์ตอนนี้ไป บีก็เหมือนใจจะขาดไปด้วย ตอนพิเศษตอนนี้เป็นตอนเดียวที่กินพลังใจบีมากที่สุด ยิ่งเขียนก็ยิ่งหดหู่ สงสารฟี่ค่ะ สงสารมาก แต่เพราะความที่อยากจะให้ทุกคนได้รับรู้ว่าโลกนี้ไม่ได้สวยงามเสมอไป หากคุณเป็นคนที่มีความสุขมาก มันก็ต้องมีคนที่เจอแต่เรื่องให้ช้ำใจเสมอ ณัฐอาจจะทำผิด แต่ทุกคนย่อมมีเหตุผลของตัวเอง ฟี่อาจจะอ่อนแอ แต่ในความอ่อนแอนั้นก็แฝงไปด้วยความเข้มแข็ง
ทั้งนี้ทั้งนั้น บีแค่อยากจะนำเสนอความรักในแง่มุมที่หลากหลายค่ะ เพื่อที่จะได้เป็นภูมิต้านทานให้หัวใจของเรามากขึ้น