:: INDY Special :: Jo-Noom ภาคพิเศษ IIIแผ่นหลังเดิมนั้นเดินออกจากบ้านไปหลายนาทีแล้ว..
และเสียงท่อมอเตอร์ไซค์ฮอนด้าเวฟที่คุ้นเคยก็จางหายไปกับสายลม
ผมกลับเข้ามาในห้องนอน ทรุดนั่งลงบนเตียงด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
ราวกับนานแสนนานที่ได้เพียงนั่งอยู่อย่างนั้น..
“จูบได้ไหม..?”เสียงหนักแน่นยังลอยวนอยู่รอบๆห้อง แล้วผมก็จำไม่ได้เสียด้วย..ว่าตัวเองปฏิเสธ
..เราเกือบจะจูบกันอีกแล้ว..
มือผมค่อยๆ เปิดลิ้นชักโต๊ะข้างเตียง หยิบเอารูปถ่ายกับสายข้อมือออกมาวางไว้บนโต๊ะเหมือนเดิม
โจหัวเราะลั่น แสดงว่ามันคงจะเห็นสิ่งเหล่านี้แล้ว..
แต่ก็นั่นแหละนะ ถึงมันไม่เห็นก็ใช่ว่ามันจะไม่รู้..ความรู้สึกผม..
สายลมยามดึกพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ผมสวดมนต์ไหว้พระ อธิษฐานให้โจมีความสุขเหมือนทุกคืนก่อนล้มตัวลงนอน แต่ในใจก็ภาวนาอย่าให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไอ้โจขอจูบอีกเลย..
...
….
“แฟนนายไม่ได้มาใช่ไหม..”
“อืม..เปล่า..”
“งั้นเรา..ไปด้านหลังกันดีกว่านะ”เด็กหนุ่มหน้าตาเหมือนผม..น้ำเสียงเหมือนผม..
ทว่า ดูมึนเมาและเยาว์วัยกว่าผม..พยักหน้าแทนคำตอบ
ผมพลิกตัวไปมา เหงื่อกาฬผุดเต็มใบหน้า
เปลือกตาปิดสนิทนั้นไม่สงบเอาเสียเลย
มือผมคว้าเปะปะ ราวกับพยายามยื้อยุดตัวเองออกมาจากอดีต
หยาดน้ำใสไหลซึมออกจากดวงตา ..ผมไม่เคยเสียใจกับอะไรมากเท่านี้เลยในชีวิต..
“จูบได้ไหม..?”เสียงอบอุ่น..คุ้นเคย..เอ่ยถาม ผมพยักหน้าในความมืดมน
แต่แล้วเสียงเดิมก็เปลี่ยนเป็นถ้อยคำเหยียดหยามประณาม..
“มึงคิดว่ากูจะจูบมึงเหรอ.. ถามจริงมึงง่ายกับทุกคนรึเปล่า?”เสียงเย้ยหยันบาดลึกนั้นตามมาด้วยพละกำลังมหาศาลที่ผมไม่อาจขัดขืนได้
เจ็บปวดทรมานจนเหมือนร่างกายจะปริแตกออก..
“อย่า!”ผมผุดลุกขึ้นในความมืด เปลือกตาเบิกโพรงเห็นเพียงความมัวหม่น ลมหายใจถี่กระชั้น..
“ฝันร้าย..” ผมพึมพำบอกตัวเอง ค่อยๆ ปรับลมหายใจให้เป็นปกติ
อย่างน้อย ผมก็ไม่ได้ฝันร้ายถี่เท่าเดิมแล้ว มันจะมาเยือนบ้างเป็นบางครั้งเท่านั้นเอง
ผมเข้าใจและยอมรับว่ามันอาจเกิดขึ้นได้บ้าง ..ไม่เป็นไร..
ฝ่ามือสองข้างผมยกขึ้นมาปิดหน้า ปลอบโยนหัวใจตนเอง..อย่างที่ทำมาตลอดสี่ปี
………………………………………………….
“ขอบคุณครับพ่อ”
ผมไหว้ขอบคุณบิดา เมื่อท่านจอดรถส่งหน้าบริษัทก่อนไปที่ทำงานของตนเอง
ผมสาวเท้ารีบเร่งผลักประตูเข้าออฟฟิตแล้วแจ้นไปแผนกคอมฯของตนเองอย่างไวว่อง วันนี้ตื่นสาย..
แล้วก็ใช้เวลาทั้งวันอยู่ในแผนกเหมือนอย่างเคย หยุดทำงานแค่แว๊บออกมากินข้าวเที่ยงเท่านั้น
..จนเย็นย่ำแล้วนั่นแหละ ผมจึงสะพายกระเป๋าเดินโต๋เต๋ออกจากบริษัท นวดกระบอกตาเบาๆ ให้ผ่อนคลาย
สิ่งที่ทำเป็นประจำคือโบกรถแดงไปคิวรถเชียงใหม่-แม่ริมเพื่อโดยสารกลับบ้าน
แต่วันนี้ผมเลือกไปอีกทางหนึ่ง..
.
.
‘เฮ้ย ไอ้เห่ย!’ผมยืนอยู่หน้าร้านกาแฟที่ป้ายระบุชื่อไว้เช่นนั้น
ร้านไม่ได้เปลี่ยนไปมากเลย แต่ก็นั่นละ ถึงแม้จะไม่ได้เหยียบย่างเข้ามาเป็นปี ก็ไม่ใช่ว่าผมจะไม่เคยตั้งใจผ่านมาเห็นเสียหน่อย
ร้านนี้เป็นเสมือนที่รวมตัวของพวกเราในวันวาน กลิ่นอายความอบอุ่นยังกรุ่น..
เมื่อรู้สึกว่าชีวิตเคร่งเครียดเกินไป..ไม่ว่าจะจากงาน..หรือความรู้สึกส่วนตัว ผมก็จะผ่านมาที่นี่เสมอๆ..
ลูกค้านั่งอ่านหนังสือจิบกาแฟอยู่หลายโต๊ะ บรรยากาศค่อนข้างคึกคักเนื่องจากเป็นตอนเย็นพอดี
ผมเพ่งมองเข้าไปในร้าน จนเห็นร่างเกรียนๆที่คุ้นเคย นั่งเล่นกีต้าร์อินดี้อยู่บนโซฟาริมหน้าต่าง ไอดิลหลับปุ๋ยอยู่ข้างๆ
ผมยิ้มน้อยๆ ทัศน์คงจะกลับกรุงเทพฯไปแล้วและน้องเกรย์ก็คงคิดถึงน่าดู
ผมพยายามมองหาว่ามีคนอื่นที่รู้จักอีกหรือไม่..
ท่านแม่เกรียนอยู่หลังเคาท์เตอร์กำลังชงกาแฟ
ผมมองหาอีก.. แต่ก็ไม่เห็นใครอีกแล้ว
ขาขยับเข้าไปใกล้ประตูอีก ยั้งตัวเองไว้ไม่ให้เดินเข้าไปทันพอดีกับที่ร่างสูงโปร่งคุ้นตาเดินออกมาจากห้องที่มีมู่ลี่กั้น
“อ้าว มาเมื่อไหร่พี่?”
น้องเกรย์วางกีต้าร์ อุ้มไอดิลแนบกับอก
“นานแล้ว ทำวัตรอยู่น่ะสิ วันนี้วันพระ”
ท่านแม่เกรียนตอบให้พลางรับไอดิลมาจากเกรย์ ไอ้โจเพียงยิ้ม..
นี่มันทำวัตร..ทุกวันพระ..?ผมออกจะงุนงง
...
….
ร่างสูงเดินไปนั่งแทนที่เกรย์ หยิบกีต้าร์ตัวเดียวกันขึ้นมาดีดช้าๆ อย่างเผลอไผล
แววตาเหม่อมองเหมือนคิดถึงใคร..
นิ้วมือขวาสัมผัสเส้นลวดพริ้วไหวอย่างชำนาญ มือขวาที่บนข้อมือมีสายคาด J&N..
โจกำยำขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากนักและเมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน..
ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม่ง..เท่ระเบิดจริงๆ
ผมเห็นสาวๆ โต๊ะหนึ่งมองมันไม่วางตา
ผมละสายตาและลำตัวออกมายืนแนบผนังติดประตูทางเข้า ไม่อยากเดินไปใกล้กว่านี้และไม่อยากให้คนข้างในมองมาเห็น.. มือผมกระชับเป้
เท่านี้ก็พอแล้ว..ผมควรกลับบ้านเสียที
“..อยู่มาจนวันนี้เพื่อเจอเธอ..จะอยู่เพื่อเธอตลอดไป..”ขาผมชะงัก ยืนนิ่งสนิทอยู่ตรงนั้น
“จะเอาความรักที่มีเก็บไว้..เพื่อรอคอยวันที่เธอมองผ่านมา..”“โอ๊ย นี่ก็เล่นเพลงรออยู่ได้ จูบเขาก็ไม่จูบ ฮึ่ย”
เสียงน้องเกรย์ว้าก โจหัวเราะในลำคอ ไม่โต้เถียง..
ฝีเท้าหนุ่มเกรียนใกล้เข้ามา
แล้ว..โดยไม่ทันหลบเลี่ยง มือขาวที่ถือบัวรดน้ำออกมารดน้ำต้นไม้หน้าร้านก็ชะงักกึก
“พี่..”
ผมส่ายหัวอย่างเอาเป็นเอาตาย ยกนิ้วชี้ขึ้นมาจรดริมฝีปาก
เกรย์กัดปากเบาๆ หันเข้าไปมองในร้าน ก่อนวางบัวรดน้ำลงและเดินมาหาผม
“ทำไมไม่เข้าไปครับ?”
“เอ้อ..พี่ แค่ผ่านมาน่ะ”
น้องเกรย์มองผมอย่างพินิจพิจารณา
“จะผ่านไปไหนเหรอครับ?”
ผมจนด้วยคำพูด ใบหน้าเกรียนน้อยยกยิ้ม
“เอาเถอะ เข้าไปทานอะไรก่อนสิครับ”
“ไม่เป็นไร พี่จะกลับแล้ว ไว้..เจอกันวันหลังดีกว่า เดี๋ยวรถหมด”
ผมพยักหน้าให้เกรย์ หันหลังเพื่อเดินออกสู่หน้าถนน
..
“พี่หนุ่ม”
มือบางแตะไหล่ผมเบาๆ เงียบไปเหมือนใคร่ครวญคำพูด
“ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ผ่านมา แต่..เอ่อ.. สี่ปีนี่มันยังไม่สมควรแก่เวลาอีกเหรอครับ..”
ผมนิ่ง..
“เวลาน่ะมันสมควรอยู่แล้วล่ะ”
ผมหันกลับมามองเกรย์ “ที่ไม่สมควรน่ะ..ตัวพี่เองต่างหาก”
………………………………………………….
เวลา.. เป็นสิ่งที่น่าพิศวง พอๆกับเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้และตรงไปตรงมาที่สุดในโลก..
จากหลายวันกลายเป็นเดือนๆผ่านไปนับตั้งแต่วันนั้น ..เวลาไม่เคยหยุดเดิน ทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์เสมอมา
ผมยังคงดำเนินชีวิตตามปกติ ตื่นเช้า กินข้าว ทำงาน เย็นกลับบ้าน ปลูกต้นไม้บ้าง สวดมนต์นั่งสมาธิบ้าง
การทำสมาธิเป็นสิ่งเดียวที่เยียวยาผมจากความรู้สึกคิดถึง..ไม่ให้ทรมานผมได้มากเกินไป..
“พ่อ ต้นนี้ไว้ไหนดี?”
ผมเอ่ยถามบิดา หลังจากย้ายยี่เข่งจากกระถางดำลงกระถางดินใบใหญ่
“ตังหลังปู้น”
พ่อชี้ไม้ชี้มือ ผมยิ้มสดชื่น ยกกระถางไปวาง ก่อนจะได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่หน้าบ้าน
“เพื่อนพ่อมาก๋า?”
ผมชะโงกไปดู..
ทว่า ไม่ใช่เพื่อนพ่อ..
..เพื่อนผม..
“โก”
ผมเรียก ไม่อาจเอ่ยได้ว่าดีใจเพียงไร จนเมื่อคนขับลงจากมาสด้า2 ร่างสูงโปร่งเพื่อนซี๊อีกคนก็ส่งยิ้มข้ามรั้วไม้มา “ทัศน์!”
ผมถอดถุงมือยาง รีบวิ่งไปเปิดประตู
“มาได้ไงวะ?”
ผมเอ่ย กอดทักเพื่อนทั้งสองอย่างคิดถึง
“ขับรถมาไง”
ไอ้ทัศน์กวนตีน ขณะสายตาผมมองหาบุคคลอื่นอย่างช่วยไม่ได้
“ไม่ได้มาหรอก” ไอ้ทัศน์ทำหน้ารู้ทัน “เกรย์น่ะ”
ผมพยักหน้า “เออ เข้ามาก่อน”
หลังจากสวัสดีพ่อกับแม่ ผมกับพวกมันก็นั่งลงที่โต๊ะไม้หน้าบ้าน
“หายหัวไปอย่างเคยนะมึง” ไอ้ทัศน์จิก
“เออ..” ผมไม่อาจเถียงอะไรได้ “แล้วนี่มึง ขึ้นมาเยี่ยมเกรย์เหรอ?”
“กูย้ายมานี่แล้ว”
“เฮ้ย ดีใจด้วย มาซะที” ผมตบไหล่มัน “แล้วนี่มีอะไรให้กูช่วยไหม”
“มี” ไอ้โกตอบแทน “ช่วยโผล่ไปให้พวกกูเห็นหน้าหน่อยเถอะวะ”
ก้าก! แล้วพวกเราก็หัวเราะกัน
“ไปฉลองด้วยกันหน่อย” ไอ้ทัศน์ชวน ผมพยักหน้ารับ
“ได้สิ ที่ไหน เมื่อไหร่ ว่ามา แต่บอกมาก็เท่านั้นแหละ มารับกูเองละกัน ฮ่ะๆ”
ผมยังขัน เพราะอยู่อย่างคนไม่มีรถมาตลอด
“ถ้ามึงว่าง ก็ไปช่วยกูจัดของก็ได้ ส่งมาทางไปรษณีย์ ถึงแล้วคงต้องไปรับเอง ไปเจอหน้ากัน ทำอะไรด้วยกันบ้าง”
“อะไรที่เป็นประโยชน์สำหรับมึงใช่ไหม?” ผมจิก
“ถูก” ไอ้ทัศน์ยอมรับหน้าตาเฉย ผมพยักหน้ายิ้มๆ
“ยินดีเสมอ”
“เออ มีอีกเรื่องนึงด้วย..”
ไอ้ทัศน์มองหน้าไอ้โก ลังเลนิดหนึ่งก่อนหยิบซองสีครีมมาวางให้ผม
“มึงไปด้วยกันนะ”
ผมเลิกคิ้ว..
ไอ้โกกับไอ้ทัศน์ถอนใจหันมองไปคนละทาง
ผมหยิบซองนั้นมาเปิดดู..
ตัวหนังสือสีทองเด่นออกมาจากกระดาษสีมุก..
เจตนา&นรินทร์ วัฒนา และ กฤษณ์&อรอนงค์ พรพินิจสุข
ขอเชิญร่วมพิธีมงคลสมรสระหว่าง
นายจักรินทร์ วัฒนา(โจ) และ นางสาวอรดา พรพินิจสุข(อร)
ในวันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม
ณ บ้านเลขที่ 12 ม.2 ต.บ้านแหวน อ.หางดง จ.เชียงใหม่
ขออภัยหากมิได้มาเชิญด้วยตนเอง
..…
ผมอ่านไม่ออก
สายตาพร่ามัวไปชั่วขณะอย่างไม่มีสาเหตุ..
นี่ระยะเวลามันผ่านไปขนาดนั้นแล้วหรือ..?
นานเท่าไรไม่รู้ที่ผมได้แต่จับกระดาษใบนั้นไว้ พยายามอ่านทวนแต่ก็ไม่อาจเข้าใจความหมาย..
…………………………………………………….
“นุ่ม เสร็จแล้วลูก..”
ผมนั่งอยู่ในห้องแม่ มองร่างเจ้าเนื้อบรรจงรีดเสื้อเชิ้ตสีครีมและกางเกงสแลคสีเทาให้อย่างอ่อนโยน
ปกติผมรีดเสื้อผ้าด้วยตัวเองนั่นแหละครับ แต่เมื่อผมแจ้งข่าวแก่แม่ว่า กำลังหาชุดใส่ไปงานแต่งไอ้โจ แม่ก็หาชุดที่ดูดีที่สุดให้ผมและลงมือรีดด้วยตัวเอง..
“เผลอแป๊ปเดียว จะออกเรือนแล้วนะ”
แม่ส่งเสื้อกางเกงที่รีดอย่างดีให้ ผมพยักหน้ารับทั้งที่ยังก้มมองพื้นไม้
“ครับ”
มือขาวนิ่มนวลยกขึ้นมาลูบแก้ม ผมจึงเงยหน้าขึ้นนิดหนึ่ง
แม่ไม่ได้พูดอะไรต่อ.. เพียงลูบแก้มเบาๆและมองตาอย่างเอ็นดู
ผมก็ไม่ได้พูดอะไร ..เมื่อแม่ค่อยๆ ตระกองกอดผมไว้..
………………………………………………………………
ยังรู้สึกว่ามันเร็วเกินไป.. เมื่อ Mazda2 สีขาวมาจอดรอหน้าบ้านในคืนนี้
เวลาไม่กี่วัน ไม่ได้นานพอ..ให้ทำใจ
ไม่ได้นานพอ..ให้แต่งคำอวยพรเพื่อนรักในวันแต่งงานได้สวยหรู
ทำไมมันไม่ส่งการ์ดเชิญล่วงหน้าสักปีหนึ่งนะ..
..
….
ผมนิ่งเงียบ..พยายามทำสมาธิ
ภาวนา.. ขออย่าให้ตัวเองทำอะไรโง่ๆ ลงไป
ผมพยายามยิ้มน้อยๆ ท่ามกลางความสลัวภายในรถ ทบทวนถ้อยคำที่จะอวยพรโจอยู่ในหัว เพื่อไม่ให้พูดอะไรผิดไป..แม้แต่คำเดียว
ผมเอนหัวพิงกระจก
วันนี้เป็นวันมงคล แล้วเพื่อนผมก็กำลังจะเข้าพิธีสมรส ผมหวังให้มันมีชีวิตคู่ที่มีความสุข
นี่อาจจะเป็นรักแท้ก็ได้ เราไม่ทางรู้หรอก จนกว่าจะอยู่ด้วยกัน
ขอให้หญิงคนนั้นเป็นคนดีและรักเพียงโจ..
ผมใช้หลังมือปาดอะไรเปียกๆ ออกจากดวงตาอย่างรำคาญ มาสด้าไอ้ทัศน์ฝนรั่วรึยังไงนะ?
ตลอดทาง มีเพียงความเงียบ เราไม่ได้พูดอะไรกันเลย จนกระทั่งรถมาจอดหน้าบ้านที่ผมจำได้
ผมเคยมาบ้านโจเพียงไม่กี่ครั้ง ส่วนใหญ่โจเป็นคนไปที่บ้านผม เพราะมันเป็นคนขี่รถไปรับไปส่ง..
“คนเยอะเหมือนกันนะเนี่ย กูต้องวนหาที่จอดก่อน พวกมึงจะลงเลยไหม?”
ไอ้ทัศน์เอี้ยวหน้ามาถาม เปิดล็อคประตูรถ แต่ผมชิงตอบเสียก่อน
“เออ.. ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยเดินมาด้วยกันก็ได้”
ครับ..ผมปอดแหก
………………………………………………………………..
ผมเดินตามหลังไอ้ทัศน์และไอ้โกช้าๆ
ซุ้มประตูเข้างานอยู่ในระยะไม่กี่ก้าว
จู่ๆ..แข้งขาผมก็อ่อนปวกเปียก
สมองว่างเปล่าหลงลืมถ้อยคำที่ท่องมาอย่างดี..
“หนุ่ม”
ไอ้ทัศน์หยุดเดินเมื่อรู้สึกว่าผมไม่ได้ตามไป
“พวกมึงเข้าไปก่อนนะ เดี๋ยวกู เออ..”
ผมหยุดอยู่ใต้ต้นมะม่วงหน้าบ้าน ไอ้โกมีสีหน้าเห็นใจ
“เออ สักพักเดี๋ยวกูมาพาไปนะ”
ผมยิ้มอย่างซึ้งในน้ำใจ.. พยักหน้าให้เพื่อนน้อยๆ
เสียงเพลงบรรเลงรื่นเริงดังมาให้ได้ยิน
ผมเอนหลังพิงต้นมะม่วง รู้สึกผิดหวังในตัวเองอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานาน
หลายปีที่ผ่านมา ผมว่าผมก็ดำเนินชีวิตอย่างถูกทำนองครองธรรม สภาพจิตใจโดยรวมนั้นก็บริสุทธิ์ดี
ทว่า บัดนี้ ดูเอาเถอะ ทำไมมันตื้อตัน ทั้งที่ควรแช่มชื่นไปกับชีวิตใหม่ที่กำลังจะมาถึงของคนหนึ่งที่มีความหมายที่สุดในชีวิต
เราเดินทางมาด้วยกันนานหลายปี..
นานเหลือเกิน..
“เฮ้ย หล่อว่ะ เจ้าสาวก็สวย ดีใจด้วย และเออ..”
ผมพึมพำ “โชคดี และ..”
ผมกลืนน้ำลายลงไปในลำคอที่ฝืดเคือง “ขอให้..”
.
.
“เฮ้..”
ผมสะดุ้งโหยงเมื่อมีเสียงเรียกขัดคำพูดเพ้อเจ้อเหล่านั้น
หน้าเอี้ยวหันมาสบดวงตาสีดำสนิทนั้นเต็มๆ..
หล่อ..
ดูดีในชุดสูท
ไม่ผิดจากที่ผมคิด
“ทำไมไม่เข้าไปในงาน กูเจอไอ้ทัศน์กับไอ้โกแล้ว”
ขายาวก้าวมาหา มันยิ้มน้อยๆ เลิกคิ้วขึ้น
“เอ่อ..กู” ผมพยายามหาคำพูด
“โชคดีนะ”
เฮ้ย ไม่ใช่สิ.. ยินดีด้วยต้องมาก่อน
ไม่น่ะ.. ก่อนอื่นต้องชมว่ามันหล่อ..
ไอ้โจหรี่ตาลง ราวกับไม่เข้าใจ
เอาใหม่..ระหว่างที่มันกำลังงง..
ผมรวบรวมลมปราณ ยกริมฝีปากยิ้ม เดินเข้าไปตบไหล่มัน
“พอดีกู เออ.. ปวดท้อง แล้วก็เลยยืนตรงนี้ก่อน มึงเข้าใจนะ กลัวไปปู้ดป้าดเสียบรรยากาศไง”
ไอ้โจหัวเราะลั่น “เออ กูเข้าใจละ”
มันพยักหน้า “แล้วเรียบร้อยรึยัง เข้าไปข้างในไหม?”
“โจ” ผมสูดลมหายใจ “ยินดีด้วย”
ใบหน้าหล่อเหลานั้นยิ้มรับ “กูนึกว่ามึงจะไม่มาซะอีก”
มันคิดได้ยังไง?
ผมต้องมาสิ ผมต้องบอกมัน..
“โจ ฟังนะ” ผมมองตา..ให้รู้ว่าหมายความตามที่พูด
“เริ่มต้นชีวิตคู่ให้มีความสุข กูยินดีด้วย กูยินดีกับมึงจริงๆ”
หน้ายิ้มนั้นเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้ว เดินเข้ามาใกล้เพื่อให้ได้ยินชัดๆ ท่ามกลางเสียงเพลง “มึงว่าอะไรนะ?”
“กู” ผมถอยหลัง ระวังความใกล้ชิด แล้วย้ำกับมันอีกครั้ง “ยินดีด้วย มีความสุขมากๆนะ”
“มึงเมาปุ๋ยคอกรึเปล่าเนี่ย?” มันสอดแขนโอบเอวรั้งร่างผมเข้ามาใกล้เพื่อสำรวจ
“อย่านะ” ผมขืนตัว “มึงต้องไม่..”
ผมพยายามแงะมือมันออก “กูจะไม่ยอมเป็นเหมือนในหนังหรอกนะเว้ย จะไม่ยอมทำอะไรผิดอีก มึงปล่อยเดี๋ยวนี้เลย เกรงใจผู้หญิงบ้าง กูมาแสดงความยินดีจริงๆ”
แม้เสียงจะสั่น แต่ผมก็ว้ากมันยาวๆ
โจยังคงขมวดคิ้ว ผมขมวดใส่บ้างก่อนสายตาจะมองเลยไหล่มันไปยังซุ้มประตูเข้างาน
และผ่านซุ้มประตูนั้นมีเวทีเล็กๆ ซึ่งตกแต่งด้วยตัวอักษรว่า..
สมรส สมรัก
เจษฎา & วิยะดา
“ห๊ะ? เจษฎา”
ผมทวนคำ หันมาจ้องหน้ามัน “นี่งานแต่งพี่เจษเหรอ?”
เจษฎาคือพี่ชายคนโตของไอ้โจ..
“ก็เออน่ะสิ นี่มึงคิดว่ามางานแต่งใครล่ะ?”
ไอ้โจทำหน้าประหลาดใจ
ผมค่อยๆ หยิบการ์ดสีมุกนั้นออกมาจากเป้..
แม้ไม่ได้ยื่นให้.. แต่มือแกร่งก็ค่อยๆ เอื้อมมาดึงไปอ่าน
.
.
“เฮ้ย!”เสียงเข้มอุทานลั่น
“นี่มึงไปเอามาจากไหน?”
ไม่พักต้องเอ่ยชื่อ ไอ้สองตัวนั้นยืนด้อมๆ มองๆ อยู่แถวซุ้มประตูนั่นแหละ
ไอ้โจหันไปมองตามสายตาผม
“ไอ้ทัศน์ สัด เล่นแรงเกินไปนะมึง!” มันเดินไปว้าก คนถูกว่าแสร้งทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม
“ทำไมต้องทัศน์วะ ทำไมไม่โก”
“เพราะไอ้โกมันนิสัยดีกว่ามึง แถมมันก็ไม่มีเมียเกรียนด้วยไง”
ไอ้โจส่ายหน้า ท่าทางมันโมโหเอาจริงๆ “เล่นอะไรบ้าๆ”
“บ้าไม่บ้า กูก็พามันมาถึงนี่ได้ก็แล้วกัน”
ผมถลึงตาใส่ไอ้ทัศน์ แม่ง!
“กูแค่อยากรู้ว่ามันจะว่ายังไง ถ้ามันตัดใจจากมึงขาดแล้ว กูจะได้เลิกเชียร์ เพราะกูเหนื่อยมากกก”
ไอ้ทัศน์ลากเสียงยาว ขณะใบหน้าผมร้อนวูบวาบ
“ไอ้หนุ่มมันแสดงความยินดีกับมึงใช่ไหม?” ไอ้โกถามบ้าง
ไอ้โจหรี่ตา แต่ก็พยักหน้า
“นั่นแสดงว่ามันมีน้ำใจมาก” แฟนพี่กรีนยักไหล่
“เพราะมันร้องไห้.. ตลอดทางที่นั่งรถมาที่นี่”
มึงจำเป็นต้องบอกมันไหม!
“สัด!”ไอ้โจสบถหนักๆ ไม่รู้มันด่าใคร
มือใหญ่พับการ์ด ยัดส่งๆไว้ในกระเป๋ากางเกง โบกไม้โบกมือไล่ไอ้ทัศน์ไอ้โก แล้วเดินมาหาผม สีหน้าห่วงใย
“เป็นอะไรมากไหม?”
อะไร กูต้องเป็นอะไร?
ผมกัดริมฝีปาก..
มันยกมือขึ้นแตะไหล่ผมทั้งสองข้าง
“กูอยากไล่เตะมันจริงๆ”
ผมรู้ว่า ‘มัน’ นั้นหมายถึงไอ้ทัศน์
มือสากเลื่อนจากไหล่มาเชยคางผมขึ้นข้างหนึ่ง อีกข้างใช้นิ้วโป้งไล้รอบดวงตาราวกับสำรวจความเสียหาย
“ถ้ากูจะแต่งงาน กูไม่ฝากการ์ดเชิญไปให้มึงหรอก มึงน่าจะรู้..”
ผมพยายามเบี่ยงหน้าหนี แต่ทำไม่ได้เสียอย่างนั้น
“กูต้องบอกมึงคนแรกอยู่แล้ว” โจขยับใบหน้าเข้ามาใกล้
“เพราะกูจะขอมึงนั่นแหละ
แต่ง มึงเข้าใจนะ”
“สัด!”
ผมสบถบ้าง ก่อนที่อ้อมแขนแข็งแรงจะรวบร่างผมเข้าปะทะอก
ไม่ทันได้ตั้งตัว..ไม่ทันได้ปฏิเสธ..ไม่อาจขัดขืน..
ความหมายของการโอบกอดเป็นเช่นไร..ผมเกือบจะลืมไปแล้ว
กอดด้วยหัวใจ..ส่งผ่านความอบอุ่นปลอบประโลมจากคนหนึ่งถึงอีกคน..
..มันเป็นเช่นนี้เอง..
สายลมยามค่ำโชยแผ่วล้อกับใบมะม่วง เสียงเบาๆ นั้นปลุกผมจากภวังค์
เตือนให้ตัวเองรับรู้ว่ากำลังทำอะไรไม่เหมาะไม่ควร ถึงอย่างไร..
“โจ..” ผมเรียก ขยับตัวดิ้นน้อยๆ
“หืม” มันครางตอบ
“ปล่อยก่อน..” ผมพยายามใช้สองมือดันอกหนานั่นออก “เดี๋ยวใครมาเห็น”
ทว่า..ช่างยากเย็น บอกแล้ว..มันกำยำขึ้นกว่าเมื่อก่อนเสียอีก
“โจ” ผมเรียกซ้ำ มันถอนหายใจเบาๆ
“อืม” สิ้นเสียงครางรับ แขนคู่นั้นก็ค่อยๆ ปล่อย
ผมผละออกมาทำหน้าไม่ถูก ทว่า สายตาคู่นั้นมองผมนิ่ง
เอาล่ะ ผมสูดลมหายใจ..
“กู..กูไม่อยากให้มึงพูดเหมือนกับ..”
“เหมือนกับ?” มันเลิกคิ้ว
“เหมือนกับเราจะกลับไปคบกัน” ผมต่อประโยคอย่างเด็ดเดี่ยว “เพราะกูคงไม่อาจ-”
“คิดไปเอง” โจขัดขึ้น
“กูก็ไม่ได้ขอมึงคบ” มันเอ่ยสบายๆ ผมอ้าปากเหวอ หน้าเริ่มปริๆ ร้าวๆ เหมือนจะแตก
“กูแค่บอกว่าถ้ากูจะแต่งงาน กูจะขอมึ-”
สัด!
ผมเอามืออุดปากมันไว้ฉับพลัน
พอเว้ย ไม่อยากฟัง!..
เสียงหัวเราะหึหึในลำคอแว่วมาให้ได้ยิน..
มือแกร่งเอื้อมมาจับมือที่ปิดปากตัวเอง ค่อยๆ เลื่อนลง
ฝ่ามือที่เคลื่อนผ่านริมฝีปากสากทำให้ผมหวั่นไหวจนต้องกลั้นหายใจ
โจเอามือข้างเดิมของผมทาบไว้ที่อกข้างซ้ายของมัน..
ตึก ตึก..เสียงหัวใจเต้นอยู่ภายใน..
ผมมือสั่นและคงห้อยตกลงมาแล้วถ้าฝ่ามือที่ใหญ่กว่าไม่ทาบทับไว้
“ได้ยินหรือยัง?”
เสียงเข้มถาม..
..ได้ยินอะไรของมึงเถอะ..ไม่กี่อึดใจ มันก็เลื่อนมือผมออกจากอกมัน ประกบมือผมเข้าหาตัวผมเอง
ผ่ามือผมทาบอยู่บนอกซ้ายของผมแทน..
“คราวนี้.. มึงฟังเสียงหัวใจตัวเองเอาแล้วกัน”
…………………………………………………
TBC
ขอได้รับความขอบคุณจาก..
,เกรียน(มิใช่)น้อย
สั่งหนังสือ-ติดต่อ-สอบถาม-โบกเกรียน Allianz-Bayern(at)hotmail.com
edit: แก้คำผิดครับ ขอบคุณ Money11 มา ณ ที่นี้เน้อ