Chapter 38 :: ความในใจของนาย..อินดี้ประกาศ !
เกรย์ หรือ นายกรกฎ ศิริรัตน์ ได้ทำการ ”ยึด” สมุดบันทึกเล่มนี้แล้วเมื่อเวลาสิบหกนาฬิกา เก้านาที ตามเวลาประเทศไทย ทำการครอบครอง ณ อ่างแก้ว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อใช้สอยให้เป็นประโยชน์ต่อไป เนื่องจากสมุดบันทึกเล่มเก่าของนายกรกฎหมดที่เขียนแล้ว และนายทิวทัศน์มิได้ใช้ประโยชน์อันใดจากสมุดบันทึกเล่มนี้เลย จึงเป็นสิทธิ์อันชอบธรรม(?) ของนายกรกฎ โดยที่นายทิวทัศน์จะคัดค้านมิได้
ออกประกาศ ณ วันที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก
GraY.. (คนงาม)เอ่อ..
ผมเอ๋อไปหลังจากเปิดสมุดบันทึกที่ไอ้เกรียนถือติดตัวมา ด้วยความจำได้ว่าหน้าตามันคล้ายๆสมุดกูเลยนี่หว่า
เปิดมาเจอหน้าแรกก็..ผ่างงงงง
ผมส่ายหน้าน้อยๆ อย่างชาชินกับความเกรียนที่ไม่จืดจางลงเลยเสมือนเกลือรักษาความเค็ม น้ำตาลรักษาความหวาน และขี้รักษาความเหม็น(หือ?) ของเกรย์..
ส่วนเจ้าตัวน่ะเหรอครับ? วิ่งเล่นกับไอ้นนอยู่ที่สันเขื่อนอ่างแก้วโน่น..
บรรยากาศวันแรกของการเปิดเทอมก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นระคนประหม่าของเด็กปีหนึ่ง และความชราภาพของปีสี่อย่างผม..ฮา
“เฮ๊ย ไอ้ทัศน์ มาเล่นกันๆ”
เสียงเรียกดังมาแต่ไกล ผมถอนหายใจเล็กน้อย แล้วแสร้งทำหน้าเครียดๆใส่ไอ้คนชวน
“กูปีสี่แล้วนะเกรย์!”
“อ้อ..”
มันพยักหน้าเข้าใจ
“แก่แล้วนี่เอง อือๆ.. งั้นนั่งพักเถอะลุง เจียมกระดูกกระเดี้ยวไว้ก็ดี”
เฮ้ย! ไอ้เด็กเปรตนี่!!
ผมจะรอช้าอยู่ทำไมละครับ ลุกขึ้นสิ ขายาวๆของผมวิ่งไล่ขาสั้นๆป้อมๆของไอ้เกรียนที่บังอาจลบหลู่ดูหมิ่นเกียรติ ศักดิ์ศรี และสังขารของนายอินดี้อย่างผม..
ซึ่งก็ไม่ยากหรอกนะ ที่จะเดาว่าสุดท้ายแล้วผมสามารถดึงคนวิ่งนำเข้ามาสู่อกอุ่นอันคุ้นเคยได้อย่างง่ายดายเพียงใด
..ในวินาทีที่รวบร่างนั้นไว้ได้ ใจผมก็ประหวัดไปถึงครั้งแรกที่วิ่งไล่มันและกักขังไว้ในอ้อมแขนได้สำเร็จเป็นครั้งแรก
วันที่มันคุยกับไอ้แอร์หน้าหอสามชายนั่นไงครับ วันแรกที่ผมรู้ว่า..ไอ้เด็กเกรียนคนนี้ชื่อ..เกรย์
ภาพนั้นยังคงชัดเจน.. ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เหมือนกับเสียงที่มันท่องสูตรคูณใส่ผมในวันนั้น
เฮ้อ..ไม่ไหวจะเกรียนจริงๆ
“ทัศน์?”
เสียงมันเรียกผมจากห้วงคำนึง
“มึงหลับกลางอากาศเหรอ?”
ผมมะเหงกมันเบาๆอย่างหมั่นไส้แกมเอ็นดู
“คิดอะไรที่สร้างสรรค์หน่อยไม่ได้หรือไงมึงน่ะ อย่างวันแรกที่เราเจอกันในมอ หรืออะไรแบบนั้น”
“อ๋อ”
เกรย์ทำท่านึกได้
“วันที่กูออมตีนให้มึงวิ่งทันน่ะเหรอ”
พอเลยครับ
ผมแกล้งปล่อยมันออกจากวงแขน
ร่างเล็กกว่าทิ้งน้ำหนักไว้ที่ตัวผมเต็มที่ เมื่อผมปล่อยมันจึงร่วงอย่างไม่ต้องสงสัย
“โอ๊ย! มึง! แม่ง! เหี้ย! สารเลว!”
มันด่าไฟแลบ เจ็บรึก็เปล่า หญ้าทั้งนั้น -*-
“เอา มาๆ”
ผมจึงยื่นมือลงไปให้มันจับ แต่ไอ้เกรียนทำหน้าอย่างกับผมไปลอบฆ่าพ่อมัน แล้วตีฝ่ามือผมอย่างแรง
“โอ๊ย มึง”
ผมทำหน้าคาดโทษ ชักมือกลับ
“ถ้าไม่เห็นแก่ว่าเป็นเมีย กูปล้ำโชว์ไปละ”
เกรย์ลุกขึ้น ปัดเศษหญ้าออกจากตูด
“โห นี่ขนาดว่ามึงเห็นแก่กูนะ ..ยังทุกวันเลย”
คำหลังทำเอาคนพูดขวยเขินจนผมอดเอ็นดูไม่ได้ จึงจับมือมัน พาเดินไปนั่งริมน้ำด้วยกัน..
จู่ๆเกรย์ก็พูดขึ้นมา
“มึงเรียนปีสุดท้ายแล้ว เดี๋ยวก็ไปทำงาน กูยังเรียนอีกตั้งสามปีแน่ะ”
“ไม่เป็นไรสักหน่อย”
ผมโอบไหล่ปลอบใจ
“สามปี แป๊ปเดียวเอง”
มันเบ้หน้า
“ชีวิตคนเรามันสั้นนัก แต่ถ้าอยู่โดยไร้คนรักก็นานเกินไป”
โอ้โห..นี่มัน..
“มึงคารมคมคายถึงเพียงนี้..”
ผมมองอย่างชื่นชม
“อ๋อ เปล่า กูดูสามทหารเสือมาเมื่อวาน เห็นพระเอกมันพูดงี้อะ”
อ้าว โด่เอ้ย!
ผมหัวเราะเบาๆ ยีหัวมันอย่างหยอกล้อ
“คบกันมาแค่ปีเดียว เสือกขาดกูไม่ได้ซะแล้วรึนี่?”
“ไอ้สัด”
แล้วมันก็สรรเสริญผมเป็นคำตอบ
แต่ก็คงรู้ดีว่าผมแซวเล่น จึงถามต่อ
“มึงคิดเรื่องงานไว้รึยังน่ะ?”
“อืม..”
ผมพยักหน้าน้อยๆ
“บริษัทที่กูไปฝึกงานมาสามเดือน เขาพอใจกูมาก เขาแจ้งมานะว่าถ้ากูเรียนจบและส่งใบสมัครไป เขาจะพิจารณาเป็นพิเศษ”
“เฮ้ย ก็ดีดิ”
ไอ้เกรียนฉีกยิ้ม
ผมยิ้มตอบ..บางๆ
“แต่กูอาจจะต้องไปอบรมตามโครงการพัฒนาประสิทธิภาพฮาร์ดแวร์ที่ต่างประเทศ แล้วอาจต้องทำงานที่นั่นอีกปีนึง”
เกรย์หุบยิ้มลง ที่เอาสองมือมาจับไหล่ผม
“งั้นก็ตั้งใจเรียนให้จบ แล้วทำตามที่มุ่งหวังไว้นะมึงนะ”
ผมมองตามัน..
ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามนั้น.. ผมกับมันจะต้องอยู่กันคนละซีกโลก
“เกรย์ รอกูนะ”
..ผมขอวอนจริงๆครับ
บอกจากใจลูกผู้ชาย.. ชีวิตของผมที่ผ่านมาไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะโชคดีมีอีกคนที่ผมรักเท่าชีวิต..
วันนี้..มีคนคนนั้น คนที่กลายมาเป็นหัวใจของผม ถ้าขาดมันไป ทุกอย่างก็..ไร้ความหมาย
แต่เกรย์ส่ายหน้า..
“ไม่ทัศน์”
ผมใจหล่นวูบ
“ไม่ใช่กู”
ผมขมวดคิ้ว?
เกรย์ยิ้ม
“มึงต่างหาก รอกูด้วยนะ ”
แล้วมันก็ทำหน้าหนักแน่น
“จะมีสาวสวยแค่ไหนก็ห้ามมอง มีเกย์ควีนมาสนใจก็ให้ทำเฉยๆ ใครมาชอบก็ให้บอกว่ามีเมียแล้วเข้าใจไหม บอกไปว่าเมียดุ บอกไปว่าเมียเป็นเจ้าพ่อ บอกว่าเมีย..”
..ผมคว้ามันมากอดไว้แน่นเลยครับ..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“อ้าว น้องทัศน์ มารับของใช่ไหม?”
เสียงทักทายดังขึ้นเมื่อผมก้าวเข้ามาในร้าน
“เสร็จแล้วนะ ตามออเดอร์แป๊ะ พี่ไปเอามาให้”
ผมพยักหน้า พี่เจ้าของร้านหายไปหลังเคาท์เตอร์ สักครู่หนึ่งจึงเอากล่องใบกะทัดรัดมาวางตรงหน้าผม
“แหวนเงินเกลี้ยงสองวง วงหนึ่งสลักว่า Indy อีกวงสลักว่า Krian เรียบร้อยจ้า”
ผมเปิดกล่องออกมาดู.. อมยิ้มน้อยๆ..
ผมสั่งทำแหวนสองวงนี้ไว้เองครับ เงินที่จ่ายไปนั้นคือเงินพิเศษที่ได้มาตอนฝึกงาน
ผมทุ่มหมดตัว เหมือนที่..
‘รักหมดใจ’
ผมเก็บกล่องใส่กระเป๋าไว้..
เฝ้าแต่คิดกลับไปกลับมาว่าจะให้ไอ้เกรียนอย่างไรดีให้น่าประทับใจที่สุด
เพราะรู้น่ะสิครับ.. ว่าตั้งแต่คบกันมายังไม่ได้ทำอะไรให้น่าประทับใจเป็นชิ้นเป็นเลยสักอย่างเดียว
อย่ากระนั้นเลย..พรุ่งนี้ผมจะนำความไปถามไอ้..
.
.
.
.
“นี่โก..”
ผมเรียกเพื่อนซี้ ขณะเรานั่งกินข้าวกันยามเที่ยงวัน
“วาสซ๊าบ แม๋น?”
ไอ้โกหันมาเลิกคิ้ว
ผมกัดริมฝีปากเบาๆอย่างพยายามนึกหาคำพูด
“อืม..”
ผมมองไอ้โก แล้วตัดสินใจถามไป
“ตั้งแต่คบกันมา พี่กรีนทำอะไรที่มึงรู้สึกประทับใจบ้างวะไอ้โก”
นายโกศลดูจังงังไปอึดใจหนึ่ง
“เออ.. อืม..”
ผมผึ่งหูตั้งใจฟัง
“ก็เยอะอยู่นา”
ไอ้โกว่า
“ห๊ะ หลายอย่างเลยเชียว”
ไม่คิดเลยครับว่าพี่เมียจะเป็นคนโรแมนติกขนาดนั้น
“มึงยกตัวอย่างมาหน่อยซิ กูจะได้เอาไปทำบ้าง”
“อืม ก็อย่างพี่กรีนพากูไปเลี้ยงข้าวตอนครบยี่สิบสี่ชั่วโมงที่คบกัน”
“ครบเท่าไหร่นะ”
“วันนึงเว้ย”
“เลี้ยงร้านไหนวะ?”
“อีสานบ้านเฮา หลังมอเนี่ย”
เอ่อ..
“เอาอย่างอื่นดีกว่า มีอีกไหม”
“อืม พี่แกก็เอาดอกไม้มาฝากกูช่อนึงอะ”
โห..ผมพลอยตื่นเต้น เพื่อนได้ช่อดอกไม้ ผมยังไม่เคยให้เกรย์เลย!
“เหรอๆ โอกาสอะไรวะ วาเลนไทน์เหรอ”
“เปล่า ไหว้พระจันทร์น่ะ”
ไอ้โกแก้
“ดอกอะไรวะ”
“ดาวเรือง พี่แกบอกแอบเด็ดมาจากแถวไซต์งาน ดอกโตเชียวล่ะมึง”
เย้ย..
“ผ่านๆ อย่างอื่นเถอะโก”
ไอ้โกเกาคางนึก
“อ้อ ก็มีวันเกิดกู”
“โอเคๆ ท่าจะเวิร์ค เป็นยังไงเหรอ”
ไอ้โกฉีกยิ้ม
“พี่กรีนพากูไปเล่นม้าหมุนตรงประเสริฐแลนด์!”
ผ่างงงงงงงง….
ไม่ต้องถามหาผมนะครับ คือตกเก้าอี้ไปแล้วน่ะ
เมื่อตระหนักได้ว่าระดับความเกรียนของพี่กรีนซึมเข้าเส้นเลือดใหญ่ตลอดจนเส้นเลือดฝอยทั้งมวล ผมจึงไม่ถามจากไอ้โกอีกต่อไป
ผมกับพี่เมียนี่ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่เล้ย..
คิดได้ดังนั้นผมก็ตัดสินใจว่า เดินโทงๆไปให้มันซื่อๆตอนเย็นนี่เลยดีกว่า
ผมอาจจะเอาใจไม่เก่ง โรแมนติกไม่เข้าขั้น แต่เกรย์ก็คงรู้ดีกว่าใครว่าผมรักมันที่สุด..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“เอ้าๆ วิ่งเข้าเว้ยวิ่งเข้า อืดอาดยืดยาดอย่างนี้ถึงโค้งสปิริตเอ็งตายแน่”
เสียงนั่น.. เป็นเสียงที่เราๆท่านๆคุ้นเคยกันดีครับ
ไอ้เกรียนขึ้นปีสองแล้ว มันกำลังซ้อมน้องวิ่งอยู่ปริเวณหลังตึก HB5 หรือก็คือถนนสายข้างอ่างแก้วนั่นแหละครับ
อย่างเกรียน แม่งวิ่งกันเต็มถนน
ผมอมยิ้มให้กับ ‘พี่เกรย์’ ในขณะที่เจ้าตัวยังไม่ทันสังเกตเห็นผม
มือขวาผมถือกล่องแหวนไว้มั่น.. อยากจะให้ไอ้เกรียนใส่ติดนิ้วไว้.. อยากให้มันรู้ว่าผมฝากหัวใจ..
“เราปรัชญาฮาเฮ เสเพลเกินใคร เกรียนเหนือเกรียนใดๆ ….”
-*-
เพลงที่ไอพวกนั้นมันร้อง ผมสงสัยว่าคงโดนไอ้เกรียนเรานี่แหละครับบังคับ
ผมเดินตามแถวเด็กมนุษยฯที่วิ่งเยาะๆนั้นไป พยายามยืดตัวให้เจ้าหัวทุยมองเห็น
“เกรย์ เฮ้ เกรย์”
ผมตะโกนเรียก แต่เสียงเพลงเกรียนเหนือใครอะไรของมันดังกลบหมด
“เราปรัชญาเฮฮา ใครว่าบ้าช่างมัน เราไม่ชอบแปรงฟัน…”
ห๊ะ?
ยิ่งฟังยิ่งเสื่อมวุ้ย
ผมส่ายหน้าน้อยๆ แล้วลองเรียกใหม่
“เกรย์เว้ย!”
แต่เจ้าตัวไม่รับรู้ ไม่ได้ยิน ไม่ยอมหันหลังมา
“เฮ้น้อง”
ผมสะกิดเด็กปีหนึ่งมนุษยฯและทำการแหวกแถว
“โทษทีๆ เรื่องด่วน นี่แอลเอพีดี”
เมื่อรู้สึกถึงความวุ่นวายของแถวหลังไอ้เกรียนจึงหยุดวิ่งและหันมาสนใจ
“เกิดอะไรขึ้นวะน่ะ”
เพื่อนๆมันก็หันมามอง..
ผมโผล่หัวออกมา
“เฮ้”
“เย้ย”
เกรย์ตกใจ
“มึงมาทำบ้าอะไรวะทัศน์”
“กูเรียกแล้วมึงไม่ได้ยิน โทรไปก็ไม่รับ วันนี้เดี๋ยวกูต้องรีบกลับบ้าน แต่กูอยากให้มึง..”
ผมอธิบาย ท่ามกลางเด็กปีหนึ่งปรัชญาราวสามสิบกว่าคน รวมเพื่อนปีสองของไอ้เกรียนอีกประมาณสิบกว่าคน
“ให้อะไร ค่อยให้ไม่ได้รึไง”
มันขมวดคิ้ว มองน้องๆที มองเพื่อนๆทีอย่างประหม่าน้อยๆ
“ไม่ได้”
ผมตอบเข้มๆ เดินเข้าไปหามัน เอาแหวนวางที่สลักว่า Indy อันหมายถึงตัวเองออกจากกล่อง..
เกรย์มองอย่างงงๆ
ผมคว้ามือขวามันมาจับไว้ และแบออก ..วางกล่องลงบนมือนั้น
“นี่..เมื่อมึงพร้อม”
แล้วผมก็ปล่อยมือขวาเปลี่ยนมาจับมือซ้าย..
ไอ้เกรียนทำหน้าอย่างกับโลกจะแตก กระซิบกระซาบกับผม
“สาด ปล่อยกูนะ ปล่อยกูเถอะ มึงจะปล้ำกูตรงนี้เลยเหรอ มึงไม่เห็นแก่อนาคต..”
ผมส่ายหน้าน้อยๆ ไม่หลงกลเกรียน ..กลับค่อยๆเอาแหวนสวมไว้ที่นิ้วนางของมัน
“หมั้นไว้ก่อนนะเกรย์นะ”
แล้วผมก็จุ๊บหน้าผากของใบหน้าที่อ้าปากค้างทีนึง แล้วหันหลังจากมาเพื่อรีบกลับไปทำธุระที่บ้าน
เอาเถอะครับ.. ขอหมั้นตรงนี้แหละ พยานเยอะดี !!
“อะไร วิ่งต่อไปดิ”
ผมได้ยินเสียงไอ้เกรียนว๊าก
“ไม่รู้ไม่เห็นอะไรใช่ไหมพวกเอ็งน่ะ!!”
“ไม่เห็นอะไรเลยครับ/ค่ะ”
เด็กปีหนึ่งตอบอย่างพร้อมเพรียง แล้วเสียงวิ่งกุบกับ กุบกับ (?) ก็ดำเนินต่อไป
ผมกลั้นขำ แล้วเดินช้าๆไปขึ้นรถ รอเวลาที่ไอ้เกรียนจะพร้อมนำแหวนอีกวงมาสวมให้ผม
พร้อมกับหวังอย่างจริงใจว่าจะมีสักวัน..ที่โลกนี้ไม่มีคำว่าผู้ชายรักผู้หญิง หรือผู้ชายรักผู้ชาย หรือแม้แต่ผู้หญิงรักผู้หญิง
มีแต่คนคนหนึ่งที่รักคนอีกคน….
ผมขออธิษฐานในวันนี้ ..วันที่สีปีมีครั้งเดียว
..วันที่เป็นที่รวมของเวลาที่ขาดหายไป
ครับ.. นั่นคือความในใจของผมเอง
นายทิวทัศน์ ทัศนศุภกฤษณ์
บันทึก ณ วันที่ดวงอาทิตย์ตกทางทิศตะวันตก
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ตอนนี้สั้นนิดนะครับ รู้สึกว่าอารมณ์มันคือตรงนี้่แหละ..แค่นี้..
เฮ้อ//ถอนหายใจแบบแก่ๆ ฮ่า..
รู้สึกว่าตรูแต่งมาจนแก่ นี่ถ้าแต่งไอดิลไม่รู้สึกเป็นป้าเหรอฟระเนี่ย//ถือโอกาสดองต่อไป 
รักเกรียนคนอ่าน อะให้
ขอได้รับความขอบคุณจาก..เกรียนน้อย