มาแล้ววววววววววววววว
(29)
“นัท กูลืมกุญแจห้องกับคีย์การ์ดไว้ที่ห้องมึงอะ” ไอ้โจโทรหาผมขณะที่ผมกำลังยัดผ้าจากเครื่องซักผ้าลงในตะกร้าผ้าเพื่อเอาไปตาก
“แล้ว?” ผมถามมัน ไม่ได้ตั้งใจกวน เพราะทุลักทุเลเหลือเกิน สองมือโอบตะกร้าผ้าไว้ หูกับไหล่ก็หนีบโทรศัพท์ไว้ ขณะที่กำลังเดินเข้ามินิมาร์ทใต้หอที่อยู่ใกล้ๆกับห้องซักผ้า
“กูรออยู่หน้าตึกเนี่ย ลงมารับกูหน่อย” มันบอกเสียงร้อนรน...อะไรของมันนักหนาวะเนี่ย?
“กูก็อยู่ข้างล่างเนี่ย รอแปบ เดี๋ยวไปหา ขอซื้อหนมแปบนึง” ผมบอก วางตะกร้าผ้าลงแล้วกดตัดสายทิ้ง จากนั้นก็คว้าขนมสองสามห่อกับโค้กขวดลิตร วางแม่งบนตะกร้าผ้านี่แหละ พอจะคิดเงินพี่พนักงานก็ถามขำๆว่าจะใส่ตะกร้าผ้าหรือจะใส่ถุง ผมเลยกวนพี่แกคืนบอกให้ใส่ถุงแล้ววางบนตะกร้าผ้าให้หน่อย แกแม่งก็ทำให้...เออว่ะ! กวนตีนจริงๆ
สิ่งที่ผมเห็นทำเอาแทบช็อค ไอ้โจมาในลุคใหม่ ผมที่เริ่มยาวปลกใบหูกับหนวดครึ้มเป็นนายฮ้อยทมิฬตอนไปเชียงใหม่ด้วยกันถูกตัดออกไม่เหลือเค้าความเป็นเพื่อชีวิตเลยแม้แต่น้อย (ไอ้โจบอกผมว่าอยู่เชียงใหม่ต้องติดดินและเพื่อชีวิต ตอนผมไล่มันไปตัดผมโกนหนวด มันเลยไม่ยอมตัดไม่ทำอะไรทั้งสิ้น แถมบางวันยังใส่ชุดม่อฮ่อมของพ่อผมอีก)
สภาพตอนนี้ทำเอาผมอดจะหมั่นไส้มันนิดๆไม่ได้ ผมถูกตัดเป็นทรงสกินเฮด ด้านข้างทำแฮร์แท็คทูถ้าผมสายตายังดีอยู่ ผมว่ามันเป็นรูปตัวเอ็นเฉียงๆ หนวดเคราที่รกรุงรังถูกโกนทิ้งเกือบหมด เหลือไว้แค่ตรงปลายคางและบนริมฝีปากเล็กน้อย
มันยืนเหงื่อตกอยู่หน้าตึกสวมเสื้อเชิ้ตสีเขียวหม่นๆไม่ได้ตัวใหญ่เกินไปและไม่ได้เข้ารูป แล้วแม่งยิ่งโคตรเท่เมื่อใส่คู่กับกางเกงสีกากี และรองเท้าหนังกลับสีน้ำตาลอ่อน แม่งมองแว๊บแรกยังกับพวกนายแบบสตรีทเมืองนอกที่เดินกันให้ควักย่านแฟชั่น
มันดูเท่แต่ไม่เยอะ เพราะแม่งใส่แค่นั้นจริงๆ จะมีเครื่องประดับก็แค่นาฬิกาแค่เรือนเดียว(ที่ผมรู้ราคาก็บอกมันไปทันทีว่า กูขอเป็นมอไซด์แทนดีกว่าว่ะสำหรับของขวัญราคาเท่านี้)
“อ้าว” มันหันมาเห็นผมก็รีบดึงตะกร้าผ้าออกจากมือผมไปแย่งถือทันที แต่แม่งตะกร้าผ้ากับถุงขนมไม่ได้ทำให้ดีกรีความฮอตมันลดลงมาเลย ต่างจากผมที่ต่อให้ไม่มีตะกร้าผ้าหรือไม่มีสภาพก็ยังแย่เหมือนเดิม...กางเกงบอลสีกรมท่า ไม่ได้ใส่กางเกงในกับเสื้อยืดรด.ที่ใส่จนขึ้นขุย อย่าถามว่าอาบน้ำรึยัง เพราะหน้าก็ยังไม่ล้าง อ้อ!แต่ผมสะอาดพอจะแปรงฟันแล้วนะครับ
“เดี๋ยววันนี้ไปหาไรกินกัน” มันบอกตอนเราขึ้นลิฟท์มาด้วยกัน
“ง่ะ ขี้เกียจอะ” ผมบอกมันตรงๆ
“ไอ้ขี้ลืม! เมื่อวานซืนนัดกับกูไว้เองว่าจะให้กูพาไป” มันบอกผมขำๆ
“จริงดิ ขอตากผ้า อาบน้ำก่อนนะ” ผมบอกมันเหนื่อยๆ ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกัน มันขี้เกียจขึ้นมาดื้อๆ แต่ไหนๆก็นัดมันไว้แล้วก็คงต้องไปซักหน่อย
“งั้นนัทไปอาบน้ำไป เดี๋ยวพี่ตากผ้าให้” มันบอกผมเสียงหล่อ...นั่นแน่!ต้องมีอะไรแน่ๆ
“แล้วนี่ไปตัดผมทรงอะไรมาเนี่ย มึงรักรองเท้านิวบาลานซ์มากเลยเหรอ ถึงขั้นเอามาทำเป็นลายแฮร์แท็คทูเนี่ย” ผมแซวมันขำๆ มันเลยเดินมาขยี้หัวผมซะยุ่ง
“นัทว้อย ไม่ใช่นิวบาลานซ์ แหมมมมมมมมมมมมมมมมมม คิดได้นะ!” ไอโจทำเสียงเข้ม
“อ้อเหรอ” ผมเขิน
“วันนี้เดี๋ยวมีเพื่อนอีกสองคนมากินข้าวด้วย พี่อาร์ทกับไอ้ตั้มที่เคยเล่าให้ฟังไง” มันบอก
“พี่ตั้ม? เจอกันทุกวันเหอะ”
“ไม่ใช่ พี่อาร์ทกับไอ้ตั้มเพื่อนตอนที่กูไปอยู่นอกไง” มันบอกแล้วคว้าตะกร้าผ้าไปตากให้หลังห้อง ผมยังมีความสงสัยอยู่เลยเดินตามหลังมันไปด้วย
“อ้อ กูต้องใส่ชุดราชประแตนไปป่าววะ” ผมถามมันขำๆ มันส่ายหน้าเซงๆแล้วไล่ผมไปอาบน้ำ แต่แม่งตอนจะถอดกางเกงเสือกเดินตามมาด้วย
“เดี๋ยวๆ ทำไมต้องใส่ผ้าเช็ดตัวทับไว้อะ ถอดไปดิ อายไรว้า?” ไอ้โจกวนตีน...แต่วันนี้ผมไม่เห็นหน้ากวนตีนๆเซอร์ๆ ที่อยู่แล้วสบายใจเหมือนตอนอยู่เชียงใหม่ โจที่ยืนอยู่ตอนนี้เหมือนใครไม่รู้ที่ทำผมอาย เขิน ....มึงหล่ออะ! กูเคลิ้ม
“อาย กกน.ก็ไม่ได้ใส่” ผมบอกมันก้มหน้างุด
“เออกล้าเน๊อะ เดินไข่โตงเตงไปทั่วหอ” มันส่ายหน้าเอือมๆ แล้วเดินไปตากผ้าต่อไม่สนใจผม
มันพาผมมาร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อร้านอิซาโอะแถวๆพร้อมพงศ์ เดินตรงเข้ามาที่โต๊ะซึ่งมีหนุ่มหล่อตี๋สองคนนั่งยิ้มมาให้ไอ้โจอย่างเป็นมิตรแล้วยังเผื่อแผ่รอยยิ้มมาให้ผมอีก ผมเลยได้แต่ยิ้มเขินๆตอบไป
“พี่อาร์ท ไอ้ช้าง นี่นัท” ถึงปุ๊บมันก็แนะนำให้พี่เค้ารู้จักกับผมทันที ไอ้นี่มาแปลก จริงๆมึงควรแนะนำให้กูรู้จักเค้าก่อนสิวะ
“อ้อ หวัดดีครับๆ พี่ชื่ออาร์ทนะครับ แล้วนี่ช้าง” พี่เค้าบอกยิ้มๆ ผมจึงยกมือไหว้พี่เค้าทั้งสองคนงามๆ
“น้องนัทไม่ต้องเกร็งนะครับ พวกพี่สายเฮฮาครับ” พี่ช้างบอกผมเสียงหล่อ ซึ่งจากที่ดูพวกพี่เค้าก็ดูชิวๆจริงๆนะแหละ พี่อาร์ทสวมเสื้อยืดลายการ์ตูนดีซี พี่ช้างก็สวมเสื้อยืดสีขาวพื้นๆธรรมดา แต่ออร่าคนรวยพวกพี่แกนี่กระจายโคตร
“มึงอย่าหว่านเสน่ห์ แฟนกูๆ” ไอ้โจบอกนิ่งๆ พวกพี่สองคนก็ดูไม่ตกใจไรมากเหมือนรู้กันมาก่อนแล้ว ผมหันไปมองไอ้โจมันก็ขยิบตาให้ผมแบบเก็กๆ...เออ!ไอ้หล่อ เก็กเข้าไป
อาหารเริ่มทะยอยมาเรื่อยๆ สามหนุ่มก็ยังย้อนความหลังกันไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่ ผมนี่หมดความสนใจในเรื่องที่เค้าคุยกันตั้งแต่จานแรกที่เป็นหอยเชลล์อบราดซอสอะไรซักอย่างมาเสิร์ฟแล้ว ถัดมาก็เป็น’แจ็คกี้’ เป็นข้าวปั้นหน้ากุ้งที่จัดวางไว้เหมือนตัวหนอนดูน่ารักน่ากินดี
อีกจานเป็นหนอนเหมือนกันแต่หนอนเขียวเพราะถูกห่อด้วยอโวคาโดใส้ข้างในมีปลาไหลของโปรดผมอีก ยังมีชีสชุบแป้งทอด แล้วก็ปลาอาจิย่างเกลืออีก แค่นั้นยังไม่พอไอ้โจเสือกสั่งเทมปุระเพิ่มไปอีกเพราะของโปรดผมแต่พวกพี่เค้าไม่ได้สั่งไว้ (พี่เค้าสั่งอาหารรอเราสองคนไว้แล้ว)
ผมพยายามภาวนาว่าเริ่มกินกันซักทีๆผมจะได้ตาม แล้วสิ่งที่ภาวนาก็เป็นจริงเมื่อตอนที่พี่อาร์ทเริ่มเปิดคนแรก แล้วคนอื่นๆก็จัดการกินต่อ ถ้าใครมาเห็นนี่คงตะลึงแต่ละคนกินกันไม่ลืมหูลืมตา ไม่มีการวางมาดใดๆทั้งสิ้น ค่อยทำให้ผมหายเกร็งไปเยอะเหมือนกัน
“เดี๋ยวไปต่ออีกที่” ไอ้โจบอก ทำเอาผมตาโต...นี่มึงยังแดกได้อีกเหรอวะ
“เออไปๆ” พี่อาร์ทบอก พี่ช้างพยักหน้าเห็นด้วย พี่แกสมกับชื่อช้างจริงๆหล่อตี๋เข้มแบบพี่ช้างไลท์(นายแบบ) ที่มีโปสเตอร์แปะบนทางด่วนทำเอาสาวๆหลายๆคนเกือบขับรถชนมาแล้ว
“เจอกันสามคนทีไร เจอเรื่องแดกทุกที” ช้างสบทขำๆ
“เพื่อนกูเป็นไง” ไอ้โจถามทันทีที่ขึ้นรถ คือกะไม่ให้กูหายใจเลยใช่มั้ย
“ดี น่ารักดี” ผมบอกตามจริง
“อย่าหลงพวกมันล่ะ ไอ้พวกนี้เนียนตัวพ่อ” มันดุเสียงเข้ม...หล่อตายชักล่ะไอ้ห่า ขนาดล่อมาเต็มยศยังสู้พี่ช้างไลท์ไม่ได้เลย
“กูก็เนียนตัวพ่อมึงไม่รู้เหรอ” ผมยักคิ้วบอกมันกวนๆ
“ดอกทอง” มันว่าลอยๆ แต่กวนตีนจริงๆ
“สองผัว” ผมต่อให้ มันถึงกับกระชากเบรครถอย่างแรง ทำเอาผมหัวทิ่มเลย
“เจ็บนะ!! กูแค่แซวเล่นเฉยๆ มึงก็เป็นจริงเป็นจังไปได้” ผมโวยวาย
“ใครจะรู้ล่ะว่าล้อเล่นเฉยๆ มันอาจจะเจ็บจริงได้...” มันพูดลอยๆเรียบๆ แต่แม่งฟังแล้วปวดใจแทนจริงๆ
“ขอโทษ” ผมบอกมันเสียงอ่อย
“อืม กูก็ขอโทษ” มันยิ้มให้แล้วขับรถไปต่อ
เรื่องโดย SweetSacrifice (ป้าปุ๋ย)
....................................................................