อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน  (อ่าน 132374 ครั้ง)

anop2521

  • บุคคลทั่วไป
Re: ตอนที่ 22 อยากให้&
«ตอบ #270 เมื่อ01-06-2011 11:32:40 »

------------
   เช้าในคืนฟ้าฉ่ำฝน แม้เมฆครึ้มยังไม่จางหายไปทั้งหมด แต่สุริยาก็เริ่มเห็นทิศทางของความพ้นทุกข์และสุขทุกฝ่ายตามที่ตนตริตรองไว้   

   ให้เขาและเรารู้และทำใจที่จะไม่มีกันดั่งที่คิดฝัน

   “ลุกไปใส่บาตรกัน” รุ่งโรจน์เป็นฝ่ายปลุกให้ตื่นนอน สุริยางัวเงียตื่นขึ้นมาด้วยความแปลกใจ

   “เผื่อวันพรุ่งนี้ผมไม่มีคุณ อย่างน้อยผมจะได้มีเรื่องจดจำไว้มากมาย ว่าผมเคยรัก และมอบความรักให้คุณมากมายขนาดไหน”

   “แล้วคนต่อไปควรจะได้จากคุณมากแค่ไหนถึงจะดี”

   พูดจบสุริยาก็คว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำร้องไห้ ร้องไห้ให้กับความไม่เด็ดขาดแห่งตน..ทุกครั้งที่เห็นสีหน้า แววตา ความสงสารก็ก่อตัวเริ่มถักทอสายใยร้อยรัดพันใจขึ้นอีกครั้ง

   “สายแล้วนะ เดี๋ยวพระออกบิณฑบาตหมด”

   “แสงทองตื่นหรือยังคุณเดินไปดูหน่อยเถอะ” สุริยาตะโกนออกมาจากห้องน้ำ พอออกมาใส่เสื้อผ้า รุ่งโรจน์เดินหน้าตาตื่นกลับมา

   “แสงทองตัวร้อนจี๋เลย สงสัยพิษฝนเมื่อวาน” สุริยารีบเดินตามรุ่งโรจน์ไปที่เรือนพักหลังเล็กเคียงกัน เมื่อไปถึงพบแสงทองนอนปากแดงหน้าซีดตัวสั่นเทา ชายหนุ่มรีบเข้าไปนั่งบนเตียงแล้วใช้หลังมืออังไปที่หน้าผากซอกคอ

   “คงต้องพาไปหาหมอ เช้า ๆ อย่างนี้คลินิกเปิดหรือยังก็ไม่รู้”

   “งั้นเดี๋ยวผมขับรถไปดู คุณอยู่ทางนี้เช็ดตัวให้แล้วกัน”

   ว่าแล้วรุ่งโรจน์ก็รีบไปที่รถแล้วสตาร์ทเครื่องออกไปสำรวจหาร้านหมอ..สุริยาอยู่ทางนี้ก็รีบปรี่ไปหาผ้าขนหนูผืนเล็กในกระเป๋าแสงทอง แต่สิ่งที่พบเห็นสะดุดตาสะดุดใจ เป็นสมุดบันทึกเล่มใหญ่ ในนั้นมีเรื่องราวมากมายที่เขาคิดว่าต้องอ่าน ขณะที่เขากำลังพลิก ๆ ไปก็ได้เจอะกับรูปถ่ายที่มีเพียงเขาและเธอ..ใต้ภาพที่แปะติดกับสมุด เขียนไว้ว่า..

   ..เธอคือดวงตา เธอคือหัวใจ
   เธอคือความฝัน..เธอทำให้ฉันอบอุ่นใจ
   รักนะจะรักเธอตลอดไปคนดี..(เด็กโง่)...

   “เด็กโง่เอ๋ย..” สุริยาสบถด้วยความสะเทือนใจเหลือกำลัง

   สุริยาตัดสินใจไม่สนใจกับบันทึก ความลับควรจะเป็นความลับ บางเรื่องรู้แล้วเศร้าหมอง อย่าไปรู้เลย คิดได้แล้วก็มาสนใจที่ผ้าขนหนูผืนเล็กชุบจนหมาดเช็ดตามใบหน้าซอกคอ แขน ขาเพื่อดับพิษไข้..

   “พี่ยา..” น้ำเสียงของแสงทองแตกพร่า..

   “หนูไม่มีใครจริง ๆ นะ พี่ยาอย่าทิ้งหนูนะ..หนูหนาว..หนูคิดถึงแม่” คำพูดของแสงทองเหมือนเพ้อ

   “พี่จะไม่ทิ้งหนูไปไหนทั้งนั้น ...แสงทอง หนูลืมตาดูพี่”

   “พี่ยา..พี่ยา” แสงทองค่อย ๆ ลืมตา แต่ยังเพ้ออยู่อย่างนั้น จนกระทั่งรุ่งโรจน์ขับรถยนต์กลับมา.. เมื่อรู้ว่ามีคลินิก สุริยาจึงรีบอุ้มแสงทองลงจากบ้านพักไปที่รถยนต์
   

   ในเวลาเกือบเที่ยง สุริยาค่อย ๆ ป้อนข้าวต้มเครื่องร้อน ๆ ให้แสงทอง หญิงสาวค่อย ๆ อ้าปากกินข้าวอย่างทุลักทุเล

   “ไข้สูงมากเลยรู้ไหม เมื่อวานตากลมตากฝน เมื่อคืนนอนดึกด้วย ร่างกายอ่อนเพลียจากการเดินทางด้วย มันเลยทรุด”

   “วันนี้เราเลยไม่ได้ไปเชียงแสน แม่สาย เชียงรายอย่างที่ตั้งใจไว้” คนเจ็บมีสีหน้ากังวล

   “ที่เหล่านั้นไม่หนีเราไปไหนหรอกแสงทอง เราไปช้าไปเร็ว สถานที่ก็รอเรา สุขภาพสำคัญกว่า..” พูดจบ สุริยาก็จัดยาแก้ไข้ส่งใส่มือให้

   “กินข้าวแล้วก็กินยา จะได้พักผ่อน นอนให้เต็มอิ่ม” สุริยาพูดจบ แสงทองกรอกยาใส่ปากดื่มน้ำตาม สักพักหญิงสาวก็หลับตาพริ้ม

   สุริยายืนมองหญิงสาวที่จัดว่าสวยน่ารักคนหนึ่ง..แต่ก็มีคำถามขึ้นมาว่า แล้วทำไมเขาถึงไม่ได้นึกรัก....รักตอบอย่างที่เธอรักเขา..

   สุริยาครุ่นคิด กรรมสลับซับซ้อน ยากเกินจะคาดเดา ลิขิตให้คนเป็นเช่นนี้เช่นนั้นแตกต่างกันทั้งที่เป็นคนมีเลือดเนื้อจิตใจเหมือนกัน..หนีกรรม เขาจะไม่สานไม่สืบสร้างกรรมแบบเดิมให้ชีวิตในสังสารวัฏต้องเป็นอย่างนี้อีก..ซ้าย ขวา ไม่ไป..ชีวิตไม่สมบูรณ์ ไร้รู้สึกรู้รสเสน่หาอย่างถูกทำนองคลองธรรม

   ไม่ผิดทางโลกก็จริงสังคมยอมรับ แต่ทางธรรมไม่ได้..ไม่ใช่..

   นั่งดูแม่น้ำโขงที่ไหลเอื่อยแล้วเลี้ยวลับหายไป..

   มองแม่น้ำมองฝั่งลาวแล้วคิดได้หลายแง่มุม

   เกิดเพียงคนละฝั่งน้ำ ชีวิตมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน

   กว่าจะถึงจุดหมายปลายทางทะเล หรือนิพพาน ชีวิตจะผ่านพบอะไรบ้าง..

   มารไม่มีบารมีไม่แก่กล้า..

   “กลับมาแล้วครับ” ในมือรุ่งโรจน์มีถุงพลาสติกใส่ของพะรุงพะรัง..

   “ส้มสีทอง..แอปเปิ้ล สาลี่ ไก่ย่าง ข้าวเหนียว แล้วก็ขนมหวาน ข้าวผัด น้ำผลไม้รวม หมากฝรั่ง แล้วก็หนังสือพิมพ์”

   “ทำไมขนซื้อมาเยอะแยะ” สุริยารับของมาเปิดดู รุ่งโรจน์ไม่ตอบแต่กลับเดินไปที่เตียงคนป่วย พบว่าแสงทองนอนหลับตาพริ้ม..เขาถอนหายใจออกมา แล้วหันมามองหน้าสุริยา..

   “ป้าเขาจะว่าอย่างไรบ้างนะ ถ้ารู้หลานสาวมานอนป่วยอยู่กับสองหนุ่ม”

   สุริยาสั่นหัวเป็นคำตอบ และคนที่บ่นถึงก็อายุยืนเหลือเกิน..เสียงโทรศัพท์ของแสงทองดังขึ้น ด้วยเกรงว่าแสงทองจะสะดุ้งตื่นสุริยาจึงรีบคว้าและกดรับสายทันที แต่เมื่อได้ยินเสียง สุริยาต้องสะดุ้งโหยง..

   “ฉันป้าแสงทอง แล้วนายเป็นใครมารับโทรศัพท์หลานสาวฉัน..”

   สุริยาอึกอัก..มองหน้ารุ่งโรจน์ขอความช่วยเหลือ เพียงเห็นสีหน้าลำบากใจของสุริยารุ่งโรจน์ก็รีบเดินมาแนบหูฟังด้วยใกล้ ๆ ..

   “คือแสงทอง ..หล..” จะพูดว่าหลับ..แต่รุ่งโรจน์รีบปิดปากไว้..แล้วกระซิบบอกว่า ออกไปข้างนอก

   “คือแสงทองออกไปข้างนอกครับทิ้งโทรศัพท์ไว้บนรถ..”

   “นายสองคนทำอะไรหลานสาวฉันหรือเปล่า ฉันขอบอกไว้เลยนะ หากมีอะไรผิดพลาดกับแสงทอง หนึ่งในสองคนจะต้องรับผิดชอบ และที่สำคัญอย่าให้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเป็นดี เพราะฉันกำลังจะหาผู้ชายดี ๆ มีฐานะเหมาะสมให้กับหลานของฉัน และบอกแสงทองด้วยว่า ให้รีบกลับมาด่วนไม่ต้องไปสำรวจ ไปไหนแล้วทั้งนั้น เพราะถึงอย่างไร หลังจากแต่งลูกสาวฉันแล้ว แสงทองต้องแต่งงานกับคนที่ฉันหาไว้อยู่ดีนายได้ยินหรือเปล่า..”

   “ดะ.. ดะ.. ได้ ..ยินครับ..ครับ ๆ สวัสดีครับ”

   กดปิดโทรศัพท์ด้วยสีหน้าลำบากใจ ..

   “เอาไงดีหว่าคุณรุ่ง คุณป้าแสงทองสั่งให้เอาหลานสาวเขากลับโดยเร็วที่สุด..จะให้ออกจากงานของเราแล้วก็จะให้แต่งงานด้วย..”

   “ทั้งหมดมันน่าจะขึ้นอยู่กับแสงทองและ..คุณ” รุ่งโรจน์พูดจบก็ออกไปยืนมองฟ้ามองน้ำมองหาดทรายของลำน้ำโขงที่ระเบียง

   สุริยาถือถุงส้มเดินตามมา พร้อมกับแกะเปลือกส้มส่งเนื้อในให้รุ่งโรจน์..รุ่งโรจน์ไม่รับแต่กลับอ้าปากกว้างเพื่อให้ สุริยาป้อน..

   “ถ้าแสงทองค้านป้าไม่ได้”

   “ได้ แต่ต้องมีคนสมอ้าง..ว่าจะเป็นเจ้าบ่าวตัวจริงของแสงทอง”

   “หมายความว่า”

   “ใช่ คุณนั่นแหละ คุณต้องรับปากหรือเล่นละครกับคุณป้าของแสงทองว่าคุณรักอยู่กับเธอ และจะแต่งงานกันในเร็ววัน”

   “ผมคนมีแต่ตัว”

   “คุณจะได้ทุกอย่างถ้าคุณเลือกเธอ เพราะเธอรักคุณ” น้ำเสียงของรุ่งโรจน์จริงจัง..สุริยาเบือนหน้าหนี..รู้ว่านี่ไม่ใช่วิธีแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง

   “คุณรุ่ง ถ้าต้องเลือกระหว่างอยู่กับคนที่เรารักเขาข้างเดียว กับ อยู่กับคนที่รักเราข้างเดียวคุณจะเลือกแบบไหน”

   “ป้อนส้มผมอีกลูกแล้วผมจะตอบ” รุ่งโรจน์ถ่วงเวลา เมื่อสุริยาปฏิบัติตาม เขาก็บอกหน้าตาเฉย ๆ ว่า

   “ผมจะทำทุกทางให้รักเราเท่ากัน คุณเข้าใจไหม?”
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:


สั่งจองหนังสือพร้อมโอนเงิน สอบถามเพิ่มเติมที่ f_nakhon(แอท)hotmail.com นะครับ หนังสือจะคลอดราว ๆ ปลายเดือนมิถุยายน 54 นี้ครับ..ขอบคุณสำหรับกำลังใจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-06-2011 10:54:06 โดย anop2521 »

anop2521

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่
24.
   
   ในวันรุ่งขึ้น หลังจากที่อาการคนป่วยพอทุเลา รถเก๋งคันนั้นออกจากอำเภอเชียงของวิ่งไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1129 เลาะเลียบกับแม่น้ำโขง มุ่งสู่อำเภอเชียงแสน..สามเหลี่ยมทองคำ ..ตลอดสองข้างทางเป็นทิวเขาสลับซับซ้อน..ด้านขวาเป็นแม่น้ำโขงที่เต็มไปด้วยเกาะแก่งน้อยใหญ่กั้นชายแดนระหว่างไทยลาว เรือสินค้าลำยาวเหยียดแล่นไปบนผืนน้ำผ่านแก่งหินสร้างความอัศจรรย์ใจ..

   วิถีชีวิต..การทำมาหากิน บนเนินสูงต่ำ และในผืนน้ำที่มีอุปสรรค

   มนุษย์ส่วนใหญ่ต้องการเอาชนะธรรมชาติ

   แต่จะมีสักกี่คนที่คิดเอาชนะใจตนเอง ชนะต่ออำนาจฝ่ายต่ำ..ดลให้จิตใจเศร้าหมองสุขทุกข์ แต่ก็อีกนั่นแหละน้อยคนนักที่จะรู้ว่าสิ่งใดถูก ผิด ทางธรรมอย่างแท้จริง..แม้แต่ตนขึ้นชื่อว่า ‘ทิด’ บวชแล้วเรียนแล้วก็ยัง ปล่อยให้ กาย วาจา ใจ ทำถูกบ้าง ผิดบ้าง ไปตามเหตุปัจจัยที่แวดล้อม แล้วใยผู้อื่นจะมีชีวิตคดเคี้ยวเลี้ยวลัดวุ่นวายอย่างกับถนนหนทางในภาคเหนือนี่ไม่ได้..

   ตามโปรแกรมที่ตั้งไว้ในวันนี้ ..คือขับรถชมเมือง.ไม่เน้นลงไปทำกิจกรรมในวัดใดทั้งนั้น ดูให้รู้ว่าทางจากตรงนี้ไปนี่มีลักษณะอย่างไร..ด้วยทางป้าแสงทองโทรมาเร่งแล้วเร่งเล่าให้รีบกลับไปปางจันทร์ แต่ถึงอย่างไร รถก็บ่ายหน้ามาถึงตรงนี้แล้ว เรื่องอะไรที่จะวกกลับไปให้ขาดทุนน้ำมันที่ขึ้นราคาเกือบทุกวี่วัน ..รถต้องวิ่งเป็นวงกลม ให้ได้รู้ว่าอย่างน้อย...เส้นทางที่ไม่เคยพานพบมันมีสภาพเช่นนี้ ..

   เชียงของ ประตูสู่การล่องเรือตามแม่น้ำโขงเข้าหลวงพระบาง..ลาวเหนือ
   เชียงแสน..ขึ้นเรือสินค้าไปเชียงรุ่ง..สิบสองปันนา..เมืองจีน
   หรือแม่สาย ที่มีเส้นทางบ่ายหน้าไปเชียงตุง..พม่า ดินแดนที่คุณกีรติ ชนา เขียนเรื่องบ่วงบรรจถรณ์ เรื่องที่ย้อนยุคไปสู่เมืองเชียงตุงในอดีต..ทำให้นึกอยากไปเห็น..

   เก็บไว้ในใจสักวันจะไปให้ได้..ชีวิตคือการเดินทาง..เพื่อรู้เห็น บางทีมันอาจจะไม่คุ้มกับเงินที่เสียไป แต่มันก็คือความสุขในแบบที่ตนต้องการ.. ทรัพย์สินเงินทองของคนเรามีเท่าไหร่ก็หมด หามาเพื่อใช้..ไม่หมดไปกับเรื่องแบบหนึ่งก็หมดไปกับเรื่องแบบหนึ่ง..

   ดีที่สุดคือ..ทำบุญฝังไว้ในพระศาสนา แต่คนก็ยังรักตัวเองที่สุดอยู่ดี..

   รถคันโก้โดยสารถีรูปหล่อ พ่อแม่รวยทรัพย์สมบัติ มากด้วยเกียรติยศ ติดทำเนียบหนุ่มไฮโซเนื้อหอม ขับมาถึงตลาดชายแดนแม่สาย ท่าขี้เหล็ก คนที่นอนป่วยอยู่ด้านหลัง นั่งสะลึมสะลือด้วยฤทธิ์ยา หายใจ   ฟุด ๆ ฟิด ๆ เพราะน้ำมูกขอตัวอยู่เฝ้ารถ..

   สองหนุ่มเมื่อลงจากรถก็เดินชมสินค้าแบบผ่าน ๆ ตา ไม่ได้คิดซื้อหา ดูเพื่อให้รู้ให้เห็นว่า มีอะไร ๆ แปลก ๆ ตาบ้าง จนกระทั่งทำเรื่องข้ามไปฝั่งพม่า..เทปผี ซีดีเถื่อนเต็มไปหมด รู้ว่าผิดต่อประเทศชาติ ผิดต่อคนที่ตั้งใจสร้างสรรค์ผลงาน แต่..มันอดใจไม่ได้..เพราะราคาแตกต่างกันอย่างลิบลับ    

   แถมบางแผ่นหายากมากในแบบที่ถูกต้อง..เลือกหาบางแผ่นคิดว่าน่าจะเอามาใช้ในงานได้..ประเภทเพลงอภิอมตะนิรันดร์กาล..ด้วยลูกทัวร์ส่วนใหญ่อยู่วัยเกิดเพลง การเอาอกเอาใจด้วยสิ่งที่เคยชื่นชอบ ย่อมได้ใจ

   “เคยฟังรึ” รุ่งโรจน์ถามขณะเดินกลับมา

   “เคย..ป้าผมเปิดอยู่บ่อย ๆ บางเพลงก็เพราะติดหูแม้ฟังเพียงครั้งเดียว อย่าง พะวงรัก และนี่ เดี๋ยวคุณฟังคุณอาจจะชอบก็ได้นะเพลงที่บรรยายถึงถิ่นที่เรามาเที่ยวเช่น .. เชียงรายรำลึก. หรือ เพลงแม่สาย...ขึ้นต้นที่ว่า.. ‘ใบไม้ร่วงควงพลิ้วปลิวผล็อย ฝันเคลิ้มคล้อยล่องลอยตามลม ฝันถึงคืนถึงวันรื่นรมย์ โอ้ละหนาอารมณ์ ต้องหวานอมขมกลืน...โอ้อดีตหวีดวอนมา เรียกให้ข้าพาไปคืน คืนใจรักเศร้าสุดฝืนสะอื้นอกตรม ...ฯ..โอ้อนาถทาสชีวา อยากบากหน้ามาเชียงราย คืนใจรักให้แม่สาย บ่มทรายฝากเธอ ’ หรือจะเอาเพลง เอาความขมขื่นไปทิ้งแม่โขง..เมื่อวานตอนอยู่เชียงของเปิดเพลงนี้คงเข้าบรรยากาศนะ..หรือตอนอยู่พะเยา เปิดเพลงมนต์รักดอกคำใต้..กุหลาบเวียงพิงค์ที่เชียงใหม่ ตอนนั้นคนแต่งเพลงพวกนี้อาจจะอารมณ์นักท่องเที่ยวอย่างพวกเรานี่ก็ได้..”

   “อาจจะจริง..พ่อแม่ผมก็ยังเปิดฟังนะแต่ผมไม่ได้สนใจที่จะฟัง..แต่คุณร้องเพลงเก่า ๆ เสียงคุณดีนะ” รุ่งโรจน์ชม..

   “ก็พอได้ บางทีมีอารมณ์อยู่บนรถทัวร์ก็ร้องเพลงพวกนี้บ้าง..ถูกใจคนแก่..คุณก็ฝึกไว้ซิ..”

   “ไม่เอาหรอก..เอาไว้ให้คุณหากินเถอะ..”

   เดินกลับออกมา รุ่งโรจน์ซื้อขนมขบเคี้ยว เลือกเสื้อและกางเกง รวมถึงถุงเท้าให้สุริยาและแสงทอง..

   “ไม่แพงหรอก สวยด้วย เอาไปเถอะ”

   “คุณดีกับพวกผมจังเลย”

   “คุณสองคนเป็นมากกว่าเพื่อนผมนะคุณยะ..ถึงผมจะไม่ได้รักคุณในแบบที่ผมเป็นอยู่ คุณและแสงทองก็คือคนสำคัญของผมอยู่ดี..” น้ำเสียงของรุ่งโรจน์จริงจังจนสุริยารู้สึกสะเทือนใจ

   “กลับไปปางจันทร์คราวนี้ เห็นทีผมต้องกลับไปที่ ..ที่เราได้พบกัน..ไปคืนรักไว้ที่นั่น”

   สุริยายิ้ม ๆ ไม่ต่อปากต่อคำ จนกระทั่งกลับมาถึงรถ ยัดแผ่นซีดีเข้าเครื่อง แล้วเพลงที่ยังไม่ได้เลือกก็เล่นขึ้นมาเอง....เพลงสาวเจียงฮาย..

   “ไป..ไป เต๊อะไปแอ่ว.. ไปเต๊อะไปแอ่ว จังวัดเจียงฮาย..ไป.. ไป เต๊อะไปแอ่ว.. ไปเต๊อะไปแอ่ว จังวัดเจียงฮาย..ข้าเจ้าเป็นสาวเจียงฮาย บ่เคยใจฮ้ายกับใครจักเตื้อ ข้าเจ้าเป็นสาวเหนือ เหนือสุ๋ดของประเทศไทย บ่าเดียวเจียงฮายนี้ มีลิ้นจี่ มีลำไย ถ้าหากปี้น้องไป เจ้าจะเลี้ยงลำไยสีชมพูฯ”

anop2521

  • บุคคลทั่วไป
Re: ตอนที่ 23 อยากให้&
«ตอบ #272 เมื่อ01-06-2011 11:51:09 »

แสงทองพอได้ยินเพลงนี้ ก็ลืมตาลุกขึ้นมานั่งร้องคลอด้วยความสนุกสนาน..

   “ดีขึ้นหรือยัง” สุริยาหันไปถาม..พลางปอกส้มเตรียมส่งให้

   “ดีขึ้นแล้วล่ะ..เสียดายจังเลย..ถ้าดี ๆ กว่านี้ อยากจะกินลำไยสีชมพู กับลิ้นจี่จัง มีขายไหมนะ..”

   “เห็นมีแต่แอปเปิ้ลจากเมืองจีน..ก็อย่างว่าเพลงแต่งไว้นานแล้ว..ถ้าแต่งตอนปัจจุบัน คงจะบอกว่า จะพาไปซื้อเอ็มพีสามเถื่อน กับเสื้อจากเมืองจีน ..” รุ่งโรจน์สนับสนุนอย่างอารมณ์ดี..

   “เห็นไหมเพลงมีผลต่อความรู้สึกของคน ถ้าเรามาทัวร์เชียงรายก็หาเพลงทำนองนี้มาเปิด จินตนาการจะได้บรรเจิดและที่สำคัญจะได้มีประเด็นมาเม้าท์”

   พอถึงวัดพระธาตุดอยตุง ..แสงทองรีบลงจากรถเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา แล้วเร่งเดินตามสองหนุ่มไปที่บริเวณสักการะองค์พระธาตุคู่รูปทรงล้านนา

   “จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ไม่ขอพลาดเจ้าค่ะ..คนเรานี่จะตายวันตายพรุ่งไม่รู้จริง ๆ เมื่อวานดี ๆ อยู่แท้ ๆ เชียว ..ดูซิ วันนี้ต้องประคองกัน....”

   เมื่อได้ยิน สุริยารู้ว่านั่นคือ ‘สัมมาทิฐิ’

   เมื่อเสร็จกิจแห่งใจตรงนั้น รุ่งโรจน์ก็เดินฮัมเพลง “ผิดทางรัก” เบา ๆ ..กลับมาที่รถ

   “ความรักประจักษ์ใจฉัน ตั้งแต่วันพบเธอวันแรก..ความรักดู ๆ ก็แปลก ไม่เอาพระเจ้าก็แจก ให้ลองรักฯ..ถ้ารู้ตัวเสียนาทีแรก พระเจ้าเอารักมาแจก ก็คงไม่รับมาครอง คงจะเมินหนีหน้าไม่มอง...หนีนาทีทองที่เคลือบด้วยความระทม มีรักก็ต้องมีหวัง เมื่อหมดหวัง หัวใจก็พาลระบม มีแผลมีรอยระทม คิดไปน้อยใจเหลือข่ม ขมอารมณ์ไม่วาย”

   แค่ได้ฟังสุริยาก็รู้แล้วว่าใจของรุ่งโรจน์กำลังจดจ่ออยู่กับสิ่งใด

   “อารมณ์ไหนเนี่ยพี่รุ่ง” แสงทองร้องถาม..และรุ่งโรจน์ก็ตอบให้แสงทองต้องอึ้งไปด้วย
   “อารมณ์เดียวกับเธอนั่นแหละ”

   “หนูไม่อยู่ในอารมณ์นั้น หนูอยู่ในอารมณ์..สงสัยว่า เขามาไหว้พระธาตุกันแล้วเอารูปปั้นหมูมาวางไว้ที่ฐานพระธาตุทำไม ทั้งที่ทางวัดก็เขียนไว้แล้วว่า อย่าเอามา..”

   “ความเชื่อผิด ๆ คิดว่าเอาหมูมาสะเดาะเคราะห์แทนตนละมั้ง อะไรก็ไม่รู้ไม่เคยอ่านเจอะในหนังสือวัดวาหรอก ก็มั่ว ๆ กันไป..” สุริยาเสนอความคิดเห็น

   “แล้วทำไมไม่ถามเขาล่ะเมื่อครู่”

   “ถามแล้ว เขาบอกว่าไม่รู้ เห็นคนอื่นทำก็ทำตาม” แสงทองคนหายป่วยทำสีหน้าสงสัย

   “ได้บุญไหมนั่น”

   “มาไหว้ก็ได้บุญแล้วล่ะ แล้วก็ได้ความสบายใจกับหมูสะเดาะเคราะห์ เสียเงินแล้วสบายใจไง แล้วก็สร้างความลำบากใจให้วัดเขาอีก ไม่รู้จะเอาหมูไปไว้ที่ไหนแล้วมั้ง”

   “ไม่รู้ล่ะอย่างไร หนูต้องหาซื้อไก่ย่างไปสะเดาะเคราะห์ที่หริภุญไชยสักตัว แล้วก็เสสังมังคลายาจามิมากิน..น่าจะมีประโยชน์กว่า.. ของพี่รุ่งมะเส็งก็งูเล็กเอาอะไรดี”

   “งูใหญ่”

   “เล็ก”

   “ของพี่งูใหญ่” ทั้งสองยังเถียงกันด้วยคนละความเข้าใจ..จนกระทั่งสุริยาต้องเหลือบลูกตาไปปรามรุ่งโรจน์

   “เออ ใหญ่ก็ใหญ่” แสงทองยอมแพ้..
   

   แล้วมติวันนั้นคือยังไม่ไปพระตำหนักดอยตุงกับดอยแม่สลองและดอยวาวี ไม่ไปทางท่าตอน ฝาง เชียงดาว แม่แตง แม่ริม แต่จะเข้าเชียงรายไปสักการะพ่อขุนเม็งราย

   ไป..ขอพรหื้อทุกคนทุกผู้ มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายใจ..

    ขับรถวนดูเส้นทางในเมือง ดูวัดสำคัญ ๆ ที่หนังสือท่องเที่ยวแนะนำ..แล้วก็รีบตีรถเข้าเชียงใหม่ภายในคืนนี้..

   “จะเชียงรายรำลึกสักหน่อยอดเลย..นี่หนูกะจะ... ณ ราตรีหนึ่ง ซึ่งยังฝังจำ เชียงรายฟ้าแจ่ม ..คืนฟ้าวาวแวม ด้วยแสงจันทรา นภาสดใส... ริมน้ำกกเย็น ด้วยลมพลิ้วผ่าน ซ่านซึมผิวกาย คืนนั้นเชียงราย มีเธอและฉันร่วมสัมพันธ์ไม่คลาย หนาวลมเย็นยิ่ง เราอิงซบกัน ดวงจันทร์คล้อยต่ำ คืนนั้นยังจำ ฟากฟ้าราตรี ที่มีจันทร์ฉาย ไฉนมาลืม รักเราเคยสร้าง ริมฝั่งเชียงราย เมื่อคืนเดือนหงาย..นิยายสวาท บาดหัวใจไม่ลืม เพลงเก่า ๆ นี่มันเพราะเนอะ ฟังแล้วรัญจวนใจ..เค-ลิบ เค-ลิ้ม.เลย.”

   “แล้วหนูจะ เค-ลิบ เค-ลิ้มกับใครหรือคะ” รุ่งโรจน์ร้องถาม

   “คนเดียวก็ได้สวย ๆ อย่างหนู ออกไปเดินอ่อย คงมีคนอยากมาร่วมเคลิ้มด้วยอยู่หรอก..”

   “ทำไมหนูไม่ลองโทรตามตำรวจหนุ่มรูปหล่อออกมาเคลิ้มด้วยกันล่ะ”

   “ไม่มีทางหรอก..เกลียดพวกหลงรูป ไร้สติ”

   “อาจจะเป็นบุพเพสันนิวาสก็ได้นะแสงทอง น้อยคนนักนะที่จะเห็นเพียงรูปแล้วหลง”

   รุ่งโรจน์ยังชวนคุยด้วยคงรู้ว่า ถ้าคุยกันเรื่องหัวใจ สุริยาไม่มีวันจะร่วมออกความคิดเห็นอย่างแน่นอน..

   “เขาผิดด้วยรึที่มีความรัก” คำถามคล้ายจะถามคนที่นั่งหน้าตรงมองทางอยู่ด้านข้าง

   “ไม่ผิด หากเขาจีบหนูโดยไม่ผ่านทางผู้ใหญ่” แสงทองเปิดเผย

   “คุณป้าหนูอาจจะรวบรัดสรุปเองก็ได้ เขาอาจจะแค่ยืนมองรูปเธอนานหน่อย ป้าเธอก็เป็นตุเป็นตะว่าเขาขอแต่งงาน”

   “ไม่รู้เกลียด ไปแล้ว แล้วก็จะเกลียดต่อไป..”

   “ข้างหน้าวัดร่องขุน..กรุณาแวะสักนิดเถอะ” สุริยาขอร้องแม้พระอาทิตย์จะคล้อยเคลื่อน..

   “ดีเหมือนกันอยากได้รูปพระอาทิตย์ตกที่วัดร่องขุน..” แสงทองรีบสนับสนุน

    ด้วยความงดงามตระการตาของพระอุโบสถที่แล้วเสร็จไปบางส่วน โดยผลงานคุณเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ทำให้แสงทองกดชัตเตอร์แทบไม่ยั้งมือ

   หลังจากที่ร่วมทำบุญสมทบทุนก่อสร้างให้เสร็จสมความตั้งใจของผู้สำนึกรักบ้านเกิด..พระอาทิตย์ก็โรยแสง..ทิ้งไว้เพียงความทรงจำดี ๆ ให้ระลึกถึงผู้ชายคนหนึ่งที่เสียสละความสุขของตนเพื่อพระพุทธศาสนา

   “ตอนเด็ก ๆ หนูเคยดูรายการอะไรสักอย่าง ทำเป็นประวัติคุณเฉลิมชัยแล้วก็ทำเป็นละครย้อนเหตุการณ์ จากคนธรรมดา ยากจน ผสมความเพียร จนมีวันนี้ได้ เขาคงปลื้มนะคะ..” แสงทองบอกเล่า

   “ด้วยความรักและความศรัทธาในพระพุทธศาสนา..จึงมีวัดร่องขุนที่สวยสดตระการตาแปลกจากยุคสมัย ไม่ซ้ำซากจำเจกับรูปแบบเดิมแถมคนยังยอมรับชื่นชม เป็นบารมีเขานะ บารมีคือความตั้งอกตั้งใจ ที่จะทำให้มันเต็ม เหนื่อยยากแค่ไหนก็จะทำให้ได้..”

   “เพื่ออะไร..”

   “วัดคือสมบัติของแผ่นดิน..ลำพังที่เราเห็นยิ่งใหญ่สวยงามก็ด้วยบารมีกษัตริย์ผู้ทรงธรรม กับพระภิกษุผู้ทรงศีล..อย่างภาคเหนือ ส่วนใหญ่เราไปทางไหนก็จะได้ยินกิติศัพท์ของตุ๊เจ้า..ครูบาศรีวิชัย..ท่านคงเดินทางไปทั่วภาคเหนือเลยละมั้ง ..ไปตรงไหนก็ท่านนำ ท่านสร้าง..การที่คนคนหนึ่งจะลุกมาทำแบบนี้..ย่อมมีข้อครหานินทา คนปากปีจอมันก็มี ก็คงคิดว่าอยากเด่นอยากดัง..จำวัดที่สีคิ้ว โคราชได้ไหม คุณสรพงษ์ ชาตรี สร้างหลวงพ่อโตองค์ใหญ่ที่สุด พร้อมวิหาร พระอุโบสถให้ยิ่งใหญ่พร้อมจัดสวนสวยประดับไว้ด้วย..คนเราบางทีมันถึงที่สุดของความมั่งมี ชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทองแล้ว ทีนี้ อยากได้อะไรอีก กินมื้อละหมื่นนอนคืนละแสนมันก็ไม่ใช่ คนที่เป็นสัมมาทิฐิ พอรู้จุดหมายที่แท้จริงของชีวิตก็อยากได้บุญ อยากมีบารมีที่จะตามติดไปภพภูมิเบื้องหน้า บางคนเขาก็รู้ว่าที่สุดคือพระนิพพานต้องละวางทุกอย่าง แต่เมื่อใจที่ยังไม่ปรารถนาตรงนั้นเต็มที่ ก็สร้างบารมีด้านอื่นเป็นฐานรองไว้ภพหนึ่งข้างหน้าโน่น ..วัดเป็นสมบัติของแผ่นดิน ..ไม่สามารถโอนถ่ายเทให้ลูกเมียได้...เขาคงสร้างวัดเพื่อยืนยันความเลื่อมใสศรัทธาแห่งตน..ต่อพระพุทธเจ้า..”

   “ขนลุก” แสงทองลูบแขนตนเอง

   “เราไม่ทำกันบ้างล่ะ”

   “ผมก็ทำกันอยู่เรื่อย ๆ ปีหนึ่งก็จะมีกองผ้าป่ากลับไปวัดที่บ้าน ชาวโรงงานเขาก็ทำกัน อยากทำบุญอยากสร้างวัดที่บ้านให้เจริญรุ่งเรือง แต่ก็ทำกันแบบแค่อยากเห็นวัดที่บ้านเจริญทางวัตถุ แข่งกัน ไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้น ปีหนึ่ง ๆ ผมเป็นกรรมการผ้าป่าหลายวัดนะ แต่อย่างว่า ทำกันสะเปะสะปะเรื่อยเปื่อยไม่มีจุดหมาย ใจไม่ยิ่งใหญ่อย่างเขาจึงทำได้แค่นี้ ทำอย่างนี้มันต้องตั้งใจจริง ๆ ส่วนใหญ่ บรรดาพระระดับเจ้าอาวาสเท่านั้นที่จะสู้ไม่ถอย อย่างวัดคีรีวงศ์ที่เราไป ท่านสร้างของท่านมายุคเดียว นี่คือความตั้งใจ..เอาชีวิตเป็นเดิมพัน”

   “หากเราตั้งใจ” รุ่งโรจน์เปรย ๆ ขึ้น

   “หากคุณตั้งใจคุณก็ทำสำเร็จได้..”

   “ถ้าเราทั้งสามคนตั้งใจ” แสงทองสอบถาม..เมื่อเห็นว่าทั้งคู่คล้อยตามสุริยาจึงรีบสรุป..

   “ปางจันทร์ไหม..ที่ ๆ เราพบกัน..”

   “ทำอะไรดี..” รุ่งโรจน์ยังถามซ้ำ

   “สร้างพระธาตุปางจันทร์ไหม..”
   ดูเหมือนจะมีจิตใจที่คิดตรงกัน..ดวงตาทั้งสามจึงเป็นประกายระยับ..

   “เอารูปแบบล้านนา หรือจะเอาแบบมอญ หรือไทยใหญ่..หรือแบบภาคกลาง..”

   และระยะทางตั้งแต่วัดร่องขุนจนถึงเชียงใหม่ ทั้งสามก็ถกเถียงกันเรื่องสร้างพระธาตุแบบไหนจึงจะดีที่สุด ณ ปางจันทร์ โดยหารู้ไม่ว่า เรื่องที่คุยกันเล่น ๆ นั้นเกิดขึ้นจริง ๆ แต่ว่ามีเพียงคนสองคนเท่านั้นที่เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง!!
((แถมครึ่งตอนพรุ่งนี้เจอะกัน)) o13 o13 o13 o13 o13
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-06-2011 11:02:18 โดย anop2521 »

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
สถานที่ บรรยากาศ ตลอดจนแนวคิดมุมมอง-ความเชื่อ ที่ปรากฎในเรื่อง ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย สบาย สงบ และทำใจให้ปลง
แต่สงสัยกิเลสในใจของดิฉันยังหนาอยู่กระมัง ที่ทำให้ดิฉันกลับมีความรู้สึกเศร้า และหน่วงๆในใจผสมผสานไปด้วยขณะอ่านเรื่องนี้

ออฟไลน์ SACK

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 319
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
เพิ่งได้อ่านต่อครับ หลังจากหายไปนาน

อ่านแล้วมันบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูกอ่ะครับ
รู้สึกมันอึมครึม
คนนึงกล้าที่จะบอกรัก แต่อีกคนนึงก็รู้สึกดีด้วยแต่ไม่กล้าเผยความรู้สึกออกไป กลัวว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่

แต่ยังไม่ได้อ่านตอนล่าสุดเลย เดี๋ยวขอไปอ่านก่อนนะครับ
เป็นกำลังใจให้ท่านนักเขียนเสมอนะครับ

ป.ล.อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่าในเมืองไทย มันยังมีที่ที่เรายังไม่ได้ไปอีกเยอะเลยครับ แหะๆๆ

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15

ออฟไลน์ JJHJJH

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +293/-2
สองคนที่สร้างนั้น คือ "ใคร" >"< เศร้าใจจัง
ไป "คืนรัก" ช่างเจ็บปวด
ทำมคนสองคนถึงรักกัน แต่ต้องไม่รักกัน โหดร้ายยยย

Badmiffy

  • บุคคลทั่วไป
อืม~ ตอนนี้มันอึมครึม หมองมัว ดราม่าหน่อยๆ เฮ้อ~

ก็ถ้าความรักมันจะแลดูลำบากขนาดนี้ ความรักมีทั้งสุขและทุกข์

เรื่องนี้สอนให้มองโลกในแง่ความจริงเสมอ อยากอ่านต่อจังเลย~

bow55

  • บุคคลทั่วไป
ไม่อยากอ่านต่อเลยค่ะพี่

หนูปวดใจ หนูเครียด

หนูอยากให้ยาเลิกหลอกตัวเอง

หนูอยากให้เขารักกัน แต่ก็เข้าใจ ในชีวิตคนเรามันไม่ง่าย

พี่ทำหนูดราม่าอ่ะ

anop2521

  • บุคคลทั่วไป
Re: ตอนที่ 23 อยากให้&
«ตอบ #279 เมื่อ02-06-2011 10:52:18 »

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
ตอนที่ 24 (ต่อ)



เมื่อลงจากรถเข้าที่พักเป็นเวลาดึกมากโข สุริยามองไปที่บนดอยสุเทพ ยกมือพนม..ส่งใจระลึกนึกถึง บารมีของพระพุทธเจ้าช่วยดลบันดาลให้เขาและคณะมีบุญบารมีที่จะสร้างพระธาตุสักองค์ทิ้งไว้บนผืนแผ่นดินนี้ด้วยเถิด

   ..ค่ำคืนนั้นในหัวสมองของสุริยานึกถึงแต่วัดและวัดในเมืองเชียงใหม่ที่จะต้องรีบเร่งไปให้หมด ให้สมกับความเลื่อมใสศรัทธา...และดูเหมือนรุ่งโรจน์ก็เป็นเช่นนั้น พอเข้าห้องพัก เจ้าตัวรีบอาบน้ำ ใส่กางเกงและเสื้อกล้ามหยิบหนังสือพระธาตุมานั่งดูด้วยความสนใจ

   “ยังไม่นอนอีกรึ” สุริยาถามเมื่อออกจากห้องน้ำแล้วพบสายตาของรุ่งโรจน์จดจ่ออยู่กับหนังสือ

   “ไม่ง่วงเลยคุณยะ อยากให้เช้าเร็ว ๆ จัง อยากไปวัด อยากถือดอกไม้ไปไหว้พระธาตุ อยากไปสวดมนต์..ใจมันเป็นสุขอย่างไรก็ไม่รู้..”

   “บุญหล่อเลี้ยงมั้ง แค่คิด ใจเป็นกุศล บุญก็เกิดแล้วคุณรุ่งโรจน์ คุณจำความรู้สึกนี้ไว้นะ ความปีติสุขที่ผุดขึ้นในดวงจิตแบบไม่อิงอามิสแห่งราคะ มันเป็นสุขอันเกิดจากการบริสุทธิ์ใจ วันใดที่คุณทุกข์คุณต้องระลึกและทำอารมณ์ให้กลับมาตรงนี้ให้ได้ นั่นแหละคุณก็ทุกข์ไม่นาน แล้วชีวิตคุณก็เหมือนมีแสงสว่างส่องเข้ามาให้คุณได้อุ่นใจ วันใดที่คุณเดินทางผิดจากแสงสว่างที่รอคุณอยู่ คุณก็จะรู้ได้ด้วยตัวคุณเอง”

   “อย่างนั้นหรือ” รุ่งโรจน์ทำหน้าสงสัย

   “สุขกว่าตอนคุณคิดครอบครองใครสักคนอีกใช่ไหม การได้เป็นผู้ให้ ให้อย่างไม่หวังสิ่งใดเลยสักนิด นั่นคือสุขที่แท้จริง..ผมรู้ว่าคุณมีเงิน คุณพร้อมที่จะสร้างพระธาตุหรืออะไรก็ได้ทิ้งไว้บนแผ่นดิน แต่ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นจากการชักชวนของผมหรือใคร ๆ.. อยากให้มันเกิดจากความเลื่อมใสศรัทธาของคุณเอง เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น คุณก็จะเฟ้นปัญญาและทำทุกวิถีทางที่จะสร้างองค์พระธาตุขึ้นมาเป็นพุทธบูชา..รึ ..ไม่ว่าจะเหนื่อยยากลำบากแค่ไหน ใครจะครหาว่าร้าย คุณก็จะผ่านมันไปได้ด้วยความสุขและรอยยิ้ม”

   “คืนนี้พาผมสวดมนต์สักบทซิ”


   “ได้ ในกระเป๋าผมมีหนังสือสวดมนต์เล่มเล็ก ๆ สวดมนต์ถ้าได้ทำนองมันก็เหมือนร้องเพลง”

   ว่าแล้วสุริยาก็ส่งหนังสือสวดมนต์ให้

   “ต้องนั่งคุกเข่าอย่างคุณเคยทำไหม..”

   “นั่งบนเก้าอี้นี่ก็ได้ แล้วเราก็ส่งใจไปที่ดอยสุเทพ ส่งใจไปถึงพระธาตุสีทองที่เราจะดั้นด้น
เดินทางไปในวันพรุ่งนี้ หลับตาก่อนสักนิดแล้วตรึกระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่ท่านจะตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง ท่านผ่านความยากลำบากแสนเข็ญ การออกค้นหาอมตะธรรม ท่านเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง ทรัพย์สมบัติ พ่อแม่ ลูกเมีย รวมถึงบริวาร ความสุขทั้งหลาย ก็เพื่อหวังทำให้หมู่สัตว์ร่วมเกิดแก่เจ็บตายหลุดพ้นจากความทุกข์ตรมอันไม่จบไม่สิ้น..เมื่อตรัสรู้ชอบได้แล้ว ยังจำแนกธรรมสั่งสอนหมู่สัตว์ตามภาวะกำลังแห่งบุญบารมี ..พระคุณของท่านไม่มีประมาณ น้อมใจ..สวดมนต์เป็นพุทธบูชา..ลืมตาแล้วดูหนังสือ แล้วว่าตามผมนะ”

   รุ่งโรจน์ปฏิบัติตาม..

   “โยโส ภะคะวะ อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ,สวากขาโต เยนะ ภะคะวะตาธัมโม, สุปะฏิปันโน ยัสสะ ภะคะวะโต สะวะกะ สังโฆ, ตัมมะยัง ภะคะวันตัง สะธัมมัง สะสังฆัง , อิเมหิ สักกาเรหิ ยะถาระหัง อาโรปิเตหิอะภิปูชะยามะ สาธุโน ภันเต ภะคะวา สุจิระปะรินิพพุโตปิ ปัจฉิมา ชะนะตานุกัมปะมานะสา อิเมสักกาเร ทุคคะตะปันนาการะภูเต ปะฏิคันหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะฯ”

   สุริยายังนำสวดมนต์ทำวัตรเย็นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงบทอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล แล้วก็แผ่เมตตาอธิษฐานจิต..

   “ขอบคุณครับ” รุ่งโรจน์พนมมือไหว้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นครูในทางธรรมคนแรก

   สุริยาไหว้ตอบ

   “อนุโมทนาบุญกับคุณ ความสุขและความสว่างทางธรรมเป็นเรื่องเฉพาะตัวเฉพาะตนของแต่ละคน ใครไม่ทำก็ไม่ได้ ไม่รู้ ไม่เห็น..บางอย่างเราก็บอกกล่าวกันไม่ได้ คุณเข้าใจนะ”

   รุ่งโรจน์พยักหน้า

   “จริง ๆ แล้ว ถ้าจะให้ดี ควรนั่งสมาธิกำกับสักหน่อย ..แต่ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไปเถอะ ..หรือเอาไว้วันหลัง เราไปหาคอร์สปฏิบัติธรรมกันสักเจ็ดวันสิบวัน..ไปกันให้หมดนี่แหละ..เมื่อนั้นคุณก็จะค้นพบวิธีการสร้างความสุขทางธรรมด้วยตัวคุณเอง..”
   
รุ่งโรจน์หลับไปแล้ว โดยที่ไม่มีมือเอื้อมมากอดที่รอบอกของสุริยาดั่งวันเก่า..

   สุริยาไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจดั่งเคยเป็น ด้วยรู้ว่าอารมณ์ที่หลับในอู่ทะเลบุญเป็นเช่นไร ตัวเขาเองเริ่มเห็นทางออกของปัญหาระหว่างเขากับรุ่งโรจน์และแสงทอง ถ้าจากกันฉันท์ชู้สาวจะเป็นตราบาป หากจากกันด้วยภาวะแห่งธรรม นั่นคือ สิ่งดี ๆ ที่ได้บังเอิญพานพบกัน
   

   อรุณรุ่งหลังหลับใหลพร้อมใจที่เปี่ยมไปด้วยพระรัตนตรัย รุ่งโรจน์ก็ตื่นแต่เช้าแต่งตัว เก็บ
สมบัติออกจากที่พัก ขับรถพาเพื่อนดีไปรอใส่บาตรพระที่เชิงดอยสุเทพหน้าวัดศรีโสดา..หลังจากนั้นก็พาขึ้นดอยไปสักการะพระธาตุดอยสุเทพ ประจำราศีปีเกิดของสุริยาซึ่งเป็นปีมะแม..พอลิฟท์ขึ้นไปถึงสุริยาก็ซื้อดอกไม้ธูปเทียนพาทั้งสองขึ้นบันไดไปสู่ลานพระเจดีย์..ตรึกระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ สวดมนต์ทำวัตรเช้าอยู่ในใจเพียงลำพังแล้วก็อธิษฐานจิตวางผังชีวิตในเชิงสัมมาทิฐิ ก่อนจะถอยออกมาถือดอกไม้เดินเวียนประทักษิณด้วยจิตที่ผ่องแผ้ว..

   หลังจากนั้นก็หามุมถ่ายรูปเป็นที่ระลึกตามธรรมเนียมตั้งใจ..

   ลงบันไดพญานาคเก่าแก่มาได้ เสียงโทรศัพท์ของแสงทองก็ดังขึ้น..พอวางสาย แสงทองมีสีหน้าลำบากใจ..

   “ป้าบอกว่า น่าจะถึงปางจันทร์วันนี้เพราะต้องช่วยทำอย่างอื่นด้วย..หนูว่า ถ้าจะขัดใจแกก็น่าจะขัดใจเสียทีละเรื่องนะคะ”

   “โอเค ไม่ต้องไปดอยปุยแล้ว รีบไปวัดเจ็ดยอด ปีมะเส็งของคุณรุ่ง แล้วก็เกตุการามปีจอ..กับวัดพระสิงห์ปีมะโรง..วัดเจดีย์หลวงด้วยไหม สัญลักษณ์ของเมืองเชียงใหม่”

   “ไหน ๆ ก็เข้าเมืองไปแล้ว..ไปพระบรมราชาอนุสาวรีย์สามกษัตริย์หน่อยเถอะ..แล้วก็จะตัดที่ไหนก็ตัดไปแต่ห้ามตัดหริภุญไชยของหนูละกันไม่งั้นไม่ยอมจริง ๆ ด้วย..”

   “เวียงกุมกามก็น่าแวะนะ ไปดูวัดกานโถมสักหน่อย อยากเห็นฝีมือช่างกานโถมจากหงสาวดีจะมีฝีมือเพียงใด”

   “นั่นซินะ..”

   “ก็ดูเวลาแล้วกัน ถ้าได้ก็ไป”

   แล้วเวลาที่คิดว่าน่าจะได้ก็ไม่ได้ เพราะระยะทางตั้งแต่ลำพูนไป จอมทอง ฮอด อมก๋อย ปางจันทร์นั้นไม่ใช่ใกล้ ๆ การเดินทางขึ้นเขาสูงชันถนนคับแคบหักศอก ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุก..ไม่ควรประมาทที่จะเดินทางยามค่ำคืน

   หลังจากที่สักการะพระธาตุเจ็ดยอด และหน่อพระศรีมหาโพธิ์ แล้วถ่ายรูปคู่กับซากโบราณสถาน รถซีอาร์วี ก็มุ่งสู่วัดเกตการามพระธาตุราศีปีจอ ซึ่งจริง ๆ อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่นี่เป็นคติความเชื่อของชาวล้านนามีหลักฐานจารึกไว้ว่าต้องมาที่นี่แทน ถึงแม้วัดคีรีวงศ์ นครสวรรค์ จะสร้างพระเจดีย์จำลองของจริง ๆ ในนาม พระจุฬามณีเจดีย์ไปแล้ว แต่บางคนก็รู้สึกว่ายังไม่ใช่ ดังนั้นจึงต้องไปตามแบบแผนเก่าแต่โบราณ..พอออกจากพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านภายในวัด สารถีหนุ่มก็ขับรถเข้ามาในคูเมือง ตั้งใจไปวัดพระสิงห์สักการะพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปปางมารวิชัยขัดสมาธิเพชร พระพุทธรูปที่เกี่ยวพันกับการเมืองโดยที่มนุษย์สมมุติให้ท่านควรที่จะอยู่ที่นั่นที่นี่ตามอำนาจกิเลสแห่งตน..

ก้มลงไปกราบอดคิดนิดนึงไม่ได้ว่า ต่อไปท่านจะต้องไปที่ไหนอีกไหม?

   เดินออกมาจากวิหารลายคำสีหน้าของสุริยาหม่นลง แล้วก็อดที่จะบอกเล่าความในใจให้ทั้งสองคนร่วมรับรู้ไม่ได้..

   “ก็เหมือนพระแก้วมรกตที่กรุงเทพฯ ลากกันไปลากกันมา..เป็นกุศโลบายทางการเมือง หัวใจของเมืองอยู่ที่ไหน หยิบมาซะ นั่นก็คือชัยชนะเหนือที่นั่น ของมีค่า พระพุทธรูป และสตรี..อ่านประวัติศาสตร์ มาก ๆ ก็ไม่ดี..เที่ยวสนุก ๆ แบบแปลก ๆ ปลง ๆ ”

   “ไหนบอกว่าไม่ให้ยึดติดกับอดีตไง” แสงทองขัดขึ้น

   “ก็นิดนึงล่ะ มันอดไม่ได้..มาเชียงใหม่ทั้งที เราน่าจะอยู่สักสองคืนนะ ไปมันให้ทั่วถิ่นที่นี่เลย...วัดเยอะมากทั้งเก่าทั้งใหม่ ในเมือง ต่างอำเภอ ..ที่เที่ยวอื่น ๆ ก็มีอีก”

   แสงทองชี้ให้ดูฝรั่งนอนอาบแดดที่เกาะกลางถนน..

   “แค่นี้มันก็เอาเนอะ..”

   “ของมีค่า บางทีมันก็ไม่มีค่า..รึเราเอาค่าของของไปไว้ในที่คิดว่ามีค่าบางทีค่าของมันก็หายไป..” สุริยาเปรยออกมา

   “หมายถึงอะไร..” รุ่งโรจน์ขับรถไปเกาหัวไป ตั้งแต่เข้าช่วงภูเขาและเขตเมืองเขาจะไม่ให้ใครเปลี่ยนขับด้วยเกรงอุบัติเหตุ

   “แสงแดด กับ เครื่องเพชรทองหยองตามองค์พระนะซิ แต่นั่นก็คือคติความเชื่อว่าการบูชาด้วยนั่นด้วยนี่จะเป็นสิ่ง ๆ ดีติดตัวก็ทำกันไป..”

   “คิดมากไปหรือเปล่า..” แสงทองถาม

   “พี่ยังเบื่อตัวเองเลยแสงทอง บางทีก็อยากจะบวชเข้าป่าเข้าดงอีกสักรอบให้มันรู้แล้วรู้รอด..”

   “ทำไมต้องเข้าป่าเข้าดงด้วย บวชอยู่วัดในบ้านในเมืองที่เราไปเที่ยวไม่ได้รึ..”

   “บวชเมื่อครั้งที่แล้วตั้งแต่เด็ก ยังมีความทะยานอยาก อยากนั่นอยากนี่ สึกออกมาคราวนี้ได้รู้ได้เห็น..บางทีมันก็รู้สึกเบื่อ ๆ ..เบื่อโลก เบื่อคน แม้จัดเที่ยววัดอะร้าอะร่ามเรืองรองตระการตา..แต่ใจมันมิได้ปรารถนามีสุขกับสมบัติเหล่านั้นอีกแล้ว..อยากในตอนนี้ มันลึกเข้าไปอีกนิด..อ่านประวัติหลวงพ่อดัง ๆ มากเท่าไหร่ก็อยากจะลองธุดงค์ดูสักตั้ง”

   “อยู่อย่างนี้ธุดงค์ไม่ได้รึ” รุ่งโรจน์ถามขึ้น ดูสีหน้าแล้วสงสัยจริง ๆ

   “มันก็ขึ้นอยู่กับครั้งแรกที่คุณเข้าไปบวช..ขึ้นอยู่กับสำนักและครูบาอาจารย์ บวชอยู่วัดอย่างนี้ได้ ..มันก็ดี..แต่ถ้าบวชแล้วปฏิบัติขั้นอุกฤษฏ์ให้เห็นดำเห็นแดงได้ก็จะดี ๆ ..ถ้ายิ่งมีครูบาอาจารย์ด้วยดีใหญ่ แต่พระเก่ง ก็ไม่ค่อยสนใจคนขี้เหม็นเรื่องมากหรอก ก็ต้องพยายามฟังข่าวคราวว่าตอนนี้มีเนื้อนาบุญศีลหอมอยู่ตรงไหน...ก็ไปตามนั้น”

   “งง” แสงทองเกาหัว..ด้วยภูมิธรรมของตนยังไม่ถึงขนาดนั้นจะแยกแยะในสิ่งที่สุริยาพูด..และสุริยาเองก็มิได้ปรารถนาบอกเล่าทุกสิ่ง ขาวและดำภายในวัดได้

   โลกมีสองด้านฉันท์ใด แม้ในวัดก็ยังมีสองด้านฉันท์นั้น

   “จริง ๆ แล้วผมว่าไม่ได้เหมาว่าวัดอย่างนี้ไม่ดี แต่ภารกิจที่ต้องเกื้อกูลกับทางโลก บางทีมันก็ทำให้ว้าวุ่นยากที่จะเอาใจจดจ่อ ค้นหาต้นตอของกิเลส และผมก็เคยผ่านการเป็นอยู่อย่างนี้มาแล้ว ถ้ามีครั้งที่สองนะ ผมจะ..มุ่งแล้ว เอาให้รู้ให้เห็นในธรรมที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไปให้ได้..”

   “แค่นี้หนูยังฟังพี่ไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว ถ้ายิ่งกว่านี้”

   “อาจจะฟังง่ายขึ้นก็ได้..นี่พูดแบบคนที่งู ๆ ปลา ๆ นะเนี่ย อะไรที่เราไม่รู้ เราก็ยังไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร..เอาเถอะ แสงทอง ผู้หญิงก็ประพฤติปฏิบัติธรรมได้นะ...บวชใจอยู่ที่เรือนก็ได้..”

   แสงทองถอนหายใจออกมา มีสีหน้าหม่นลง

   สุริยาหันไปมอง..รู้ว่านี่คืออีกภารกิจหนึ่งที่เขาต้องปลดออกจากหัวใจแสงทองให้ได้..

   เงียบ..ความเงียบปกคลุมอยู่ในรถ ต่างคนต่างคงคิดอะไร ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีเสียงพูดคุยจนกระทั่งรถแล่นไปถึงวัดพระธาตุหริภุญไชย อย่างที่แสงทองตั้งใจ..พอไปถึงหญิงสาวก็เดินไปหาซื้อดอกไม้ธูปเทียนบูชาและเทียนสะเดาะเคราะห์ตามกำลังวัน..จุดประทีปสักการะแล้วก็อธิษฐาน เวียนประทักษิณแล้วก็เดินไปในวิหารด้านหลัง เช่าพระธาตุหริภุญไชยจำลองมาด้วยหนึ่งองค์..ออกมาแล้วก็มาถ่ายรูปพนมมือยิ้มแย้มโดยมีพระธาตุเจดีย์อยู่ด้านหลัง..

   “สุดท้ายหนูก็ทำตามที่เขาบอก ๆ มาอยู่ดี..” แสงทองหมายถึงเทียนสะเดาะเคราะห์ตามกำลังวัน..

   “ทำแล้วสบายใจก็ทำ ไหน ๆ ก็เสียเงินมาตั้งมากมายแล้วอีกนิดหนึ่งจะเป็นอะไรไป..ความเชื่อเรื่องบุญ เรื่องสิริมงคลจะติดตามตัวมันแตกต่างกัน บางคนก็คล้องพระ แต่ออกไปปล้นจี้ คิดดูเถอะมันจะเป็นอย่างไร บางคนก็แขวนพระไว้หน้ารถ แต่ขับรถไวอย่างกับไม่เคยตาย”

   “บ่นผมหรือเปล่า” รุ่งโรจน์ร้อนตัว

   “เปล่า..เปรียบเปรยเอา ผมไม่ชอบกัดใครหรอก จะพูดจะเตือนกันก็เอาซึ่ง ๆ หน้า..ไปเถอะ อย่าโอ้เอ้...เดี๋ยวพระอาทิตย์ตกดินเสียก่อนถึงปางจันทร์เมื่อนั้นเราจะลำบาก..”

   “ไปไหนอีก”

   “วัดพระบาทตากผ้า..ไหน ๆ ก็ต้องผ่านแล้วแวะสักนิดเถอะนะ” สุริยาพูดยิ้ม ๆ ..แต่คนขับส่ายหน้าระอากับคนใจบุญ

   ลงจากเขาวัดพระพุทธบาทตากผ้า รถก็มุ่งหน้าลงใต้โดยทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 106 จนกระทั่งมาเลี้ยวขวาเข้าอำเภอฮอด..จากฮอดมาอมก๋อยและปางจันทร์

   “ผมไม่เคยคิดนะว่าจะกลับไปปางจันทร์อีกรอบ” สุริยาบอกความจริง

   “ผมคิดว่าผ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-06-2011 10:54:28 โดย anop2521 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ตอนที่ 23 อยากให้&
« ตอบ #279 เมื่อ: 02-06-2011 10:52:18 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






anop2521

  • บุคคลทั่วไป
Re: ตอนที่ 23 อยากให้&
«ตอบ #280 เมื่อ02-06-2011 10:57:25 »

“ผมไม่เคยคิดนะว่าจะกลับไปปางจันทร์อีกรอบ” สุริยาบอกความจริง

   “ผมคิดว่าผมน่าจะได้กลับไปอีกรอบ ตั้งแต่วันที่ผมนั่งรถออกมาจากปางจันทร์กับคุณ แถมก่อนที่รถออกจากปางจันทร์ยังมีเด็กผู้หญิงตัวน้อย ๆ ยืนทำตาละห้อยโบกมืออำลา..” รุ่งโรจน์ล้อคนที่อยู่ด้านหลัง

   แสงทองไม่ต่อปากต่อคำ

   “แต่กลับมาคราวนี้ไม่เหมือนเมื่อครั้งที่แล้ว เพราะสาวเจ้าของเรา กำลังจะไปเป็นเจ้าสาว..”

   “ไม่..” แสงทองเน้นถ้อยเน้นคำมั่นใจ

   “อธิษฐานว่าไง ไปมาหลายวัด คงอธิษฐานว่าขอให้ได้แต่งงานกับ..เอ่อ.”

   “ไม่มีหรอก เรื่องนั้น” เสียงแสงทองเริ่มดังขึ้น

   “คุณก็หยุดล้อสักทีเถอะ” สุริยาปราม แต่รุ่งโรจน์ไม่หยุดแถมยังร้องเพลงพรหมลิขิตล้อเสียอีก

   “พรหมลิขิตบันดาลชักพา ดลให้มาพบกันทันใด ก่อนนี้อยู่กันแสนไกล พรหมลิขิตดลจิตใจ ฉันจึงได้มาใกล้กับเธอ เออชะรอยจะเป็นเนื้อคู่ ควรอุ้มชูเลี้ยงดูบำเรอ แปลกครั้งแรกเมื่อพบเธอ ใจนึกเชื่อเมื่อแรกเจอ ฉันและเธอคือคู่สร้างมา....เนื้อคู่ถึงอยู่แสนไกล ก็ไม่คลาดคลา มุ่งหวัง สมดั่งอุราไม่ว่าใคร ๆ ...หากไม่ใช่คู่ครองแท้จริง..จะแอบอิงรักยิ่งปานใด ยากนักที่จะสมใจ คงต้องเกิดอาเพศภัย รักกันไปทำให้คลาดคลา”

   และแสงทองก็แก้เขินด้วยการหยิกเบา ๆ ที่ต้นแขนด้านซ้ายคนขับ จนกระทั่งรุ่งโรจน์ร้องเอ้ย..เอ้ย..ห้าม..พลางประคองพวงมาลัยแน่นเพราะรถเสียหลัก..

   แสงทองหน้าเสียทันทีเมื่อคนขับชลอรถที่ส่ายไปมา แล้วหยุดที่ตรงข้างทาง..

   “เป็นอะไร หนูขอโทษ” คนผิดรีบยกมือไหว้ปะหลก ๆ

   “อะไร ขอโทษอะไร..” รุ่งโรจน์ยังอำก่อนจะหัวเราะก๊าก ๆ ..กับสีหน้าสำนึกผิดของคนสวยประจำรถ

   “หนูไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นอย่างนั้น..แค่ ก็พี่ล้อหนูทำไมเล่า..”

   “ไม่นึกชอบเขาบ้างแล้วจะหยิกพี่ทำไม..ตกลงเราเชื่อเรื่องพรหมลิขิตหรือเปล่า” รุ่งโรจน์ยังมีอารมณ์หันมาถาม..

   “เชื่อซิ ..เชื่อ..ไปเถอะ..เดี๋ยวพระอาทิตย์ตกดิน จะขับลำบากขึ้น..”

   รุ่งโรจน์เปิดประตูรถลงจากรถไป สุริยาคิดว่าเขาคงพักเหนื่อยหรือไม่ก็ไปยิงกระต่าย..

   “ลงไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดินที่ปางจันทร์สักหน่อยก็ดีนะ..ประกอบคำบรรยายเพลงพรหมลิขิต” พอเปิดประตูรถลงไปพบว่ารุ่งโรจน์ใช้เท้าแตะไปที่ล้อหน้าด้านคนขับ..

   “ยางรั่ว” รุ่งโรจน์ร้องบอก พอสุริยาได้ยินรีบลงจากรถไปยืนดูบ้าง..

   “โชคดีนะ ที่อยู่ในช่วงไม่ลาดชันมาก ไม่งั้นมีหวังพุ่งลงเหว..”

   “บุญรักษาปะ” แสงทองถาม..

   “ไม่รุ..แต่ตอนนี้เราต้องเปลี่ยนยางล้อรถกันแล้ว...ใครทำเป็นบ้าง..” รุ่งโรจน์ถามคล้ายกับว่าตนเองทำไม่เป็น แสงทองรีบส่ายหน้า สำหรับสุริยา..

   “ไม่เป็น มันก็ต้องลองดู..ต้องมีแม่แรงซิ รถคุณมีหรือเปล่า”

   “เอาลงไปแล้ว...ก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นอย่างนี้ ดีนะที่เอายางอะไหล่ติดมาด้วย..โทรศัพท์ก็ใช้ไม่ได้ด้วยซิ..แย่แล้วแสงทองกินข้าวลิงเสียละมั้ง..”

   “กล้วยก็ไม่ได้ซื้อมาจะมีอาถรรพ์ได้อย่างไร”

   “กล้วยเกี่ยวอะไรด้วย” รุ่งโรจน์ยังหันรีหันขวาง มองดูทางไปและทางมา เงียบเชียบทีเดียว..

   “เดี๋ยวก็มีรถผ่าน รออีกนิด” แสงทองว่าพลางกดชัดเตอร์กล้องดิจิตอลไปด้วย..ถ่ายรูปพระอาทิตย์กำลังจะลับเหลี่ยมเขา ถ่ายรูปรถยางแบน และก็รูปสองหนุ่มพิงรถทำตาขวาง ๆ ให้ตน..

   “ทุกข์ไปใย อาหารบนรถก็มี..ถ้าคืนนี้ไม่มีรถใครผ่านมา พรุ่งนี้ก็ต้องมี ปลอดภัยกว่าตอน
อยู่บนยอดปางจันทร์เสียอีก..”

   “มาถึงถิ่นแล้วลายออกเชียว มันน่าให้กลับมาอยู่ถิ่นเดิมนัก”

   “กลับมาก็เป็นคุณนายย่ะ..” แสงทองต่อคำ แบบนึกขำ ๆ และแล้ว..

   “เย้..เห็นแล้ว มาแล้วหนึ่งคัน..เอ๊ะ..เอ๊ะ..ใครหว่า..” ว่าพลางก็กดชัดเตอร์ไปด้วย ..แล้วรถคันนั้นที่หมายว่าต้องช่วยได้ก็เข้ามาจอดตรงด้านหน้า

   สีหน้าแสงทองเผือดลงทันที ด้วยเป็นรถตำรวจ..

   “มีอะไรให้ผมรับใช้ไหมครับ..”

   “คือรถเรายางรั่ว ไม่มีแม่แรงครับ..”

   “นี่พวกคุณกำลังจะไปไหนกัน..” หนึ่งในสองนายถามด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม..คนที่รู้ว่าคู่หมายของตนเป็นตำรวจใน สภอ.ปางจันทร์ ค่อย ๆ เดินเตร่ไปอีกฝั่งของรถ..สุริยาค่อย ๆ เลาะไปหาแล้วกระซิบถามว่า

   “ไม่รู้จักรึ อยู่สถานีเดียวกับคุณลุงหรือเปล่า..”

   “คุณลุงย้ายไปนานแล้ว ไม่ค่อยมีตำรวจมาที่บ้านนานแล้ว”

   “ก็อ้างไปซิว่ามาหาคุณป้าเธอ”

   “ไม่หรอก..เกลียดตำรวจไม่อยากคุยด้วย”

 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

ตอนที่ 25.

 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

   “พ้มร้อยตำรวจตรี..รุ่งโรจน์ ศิริรัตนวงศ์..ครับ”
   
“พ้มร้อยตำรวจโท..สุริยา ณ กำแพงเพชร..ครับ” สุริยาทำตลกไปด้วย

   “พ้มร้อยตำรวจเอก..ว่าที่สามีคุณแสงทองครับ..”

   “อ๊าย..ไม่จริง ไม่ใช่..”

   “หน้าตาดีนะคุณยะ..พวกเราเทียบไม่ติดเลย..สงสัยจะใช่แน่ ๆ เลย ถอดล้อแบบใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ผมเห็นนะเขาพยายามเงยหน้าไปมองแสงทอง แต่รถมันบังไว้..แสงทองก็ใจร้าย ทีนี้เขามองอะไรรู้ไหม..เขามองขาคนสวยของเรา ซึ่งยืนให้ยุงกัดอยู่ได้”

   “พี่รุ่งอ่ะ ไม่นะ”

   “แล้วเธอรู้ได้อย่างไรว่า เป็นตำรวจคนที่หมายเธออยู่..” รู้ว่าแสงทองอายแต่รุ่งโรจน์ไม่ยอมเลิก

   “ไม่รู้อะไรหรอก แค่ไม่อยากโผล่หน้าออกมาดูก็เท่านั้น”

   “เซ้นส์มันบอกใช่ไหม ว่าต้องใช่..คุณว่าใช่ไหมคุณยะ..”

   “ดูอายุแล้วน่าจะใช่นะ..” พอได้ยินว่าสุริยาช่วยเสริม สีหน้าแสงทองสลดวูบทันที

   “พนันกันไหมแสงทอง ว่าใช่คนที่คุณป้าบอกหรือไม่..”

   “ไม่..” แสงทองตอบทันควัน แถมดูพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด

   “แสงทองเอ๊ย ชีวิตคนเรามันเอาแน่ไม่ได้ร้อก..ผมน่ะ มองแว้บเดียวผมก็รู้แล้วว่าเป็นเขานะ ผมถึงไม่ช่วยเขาเปลี่ยนล้อไง จริง ๆ ผมก็ทำไม่ได้หรอก ไม่เคย..และถ้าเขาไม่หมายตาคุณไว้ เขาเคยเห็นหน้าคุณนี่เขาถึงยอมช่วยเรา ทั้งที่จริง ๆ เขาไม่จำเป็นต้องช่วยก็ได้ ..อยากโชว์ออฟให้สาวเห็น ผมก็เลยสนอง..อยากให้ได้คะแนนไปสักนิด..เผื่อสาวเจ้าจะเปลี่ยนใจรับรักโดยเร็วพลัน..”

   “พี่รุ่ง ถ้าพี่ยังไม่เลิกพูดนะ เจอดีแน่ ๆ เดี๋ยวหาว่าหนูไม่เตือน”..แสงทองเม้มริมฝีแน่น..หน้าตาบ่งบอกว่ากำลังน้อยใจ

   “เจอดีอย่างไง..”

   “เหอะ เลิกพูดเถอะ หนูยิ่งกลุ้ม ๆ อยู่ด้วย..จะดี จะร้าย จะหล่ออย่างไรก็ยังไม่อยากแต่งหรอก ยังใช้ชีวิตไม่คุ้มเลย..”

   “ไม่อยากแต่งก็คุยกับเขาดี ๆ บอกว่าขอดูใจไปสักพัก..ทีนี้คบกันแล้ว ค่อยมาพิจารณาอีกที หนทางไกลมันพิสูจน์คนได้นะ..ถ้าเขารักเธอ มั่นคงกับเธอ เขาก็รอเธอได้ แต่ถ้าเขาไม่รักเธอจริง หรือว่าเห็นคนอื่นดีกว่า เหมาะสมกว่า..เธอก็เป็นอิสระ”

   “อย่างนั้นรึ แล้วเรื่องโมเมให้ใครสักคนหนึ่งในสองเป็นแฟนหนูนี่ไม่ต้องรึ” แสงทองปรายตาไปทางสุริยา หวังว่าคงจะเห็นอะไรในนั้นบ้าง แต่เปล่าเลย..สุริยาทำเหมือนไม่รับรู้ความรู้สึกของหญิงสาวเลยสักนิด รุ่งโรจน์ก็พูดทำนองเชียร์ให้เห็นดีเห็นงาม..

   “อย่าเลยแสงทอง..สงสาร คนมีความรักเสียแล้ว ไม่อยากมีเวรกรรม ถึงคราวที่เราไปรักใครเขาบ้างจะได้ไม่ถูกขัดขวาง..ใช่ไหมคุณยะ..”

   คนถูกถามหันมาแยกเขี้ยวเข้าใส่ บอกให้รู้ว่าไม่เกี่ยวนะโว้ย คุยกันเองเถอะ..

   เมื่อรถเข้าสู่เขตเมืองปางจันทร์ แสงทองก็ทำท่าประหนึ่งสะบัดร้อนสะบัดหนาวขึ้นมาทันที..

   “กลัวอ่ะ”

   “กลัวอะไร เมื่อกี้ เขาเข้าเมืองไปแล้ว...กว่าจะกลับมา ก็พรุ่งนี้...คืนนี้ทั้งคืน เธอก็ใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ไปแล้วกัน”

   รถซีอาร์วีจอดที่ใต้ต้นมะขามใหญ่ ต่อท้ายกับรถคันโก้อีกสามคัน หนึ่งในนั้นเป็นรถของคุณป้าที่สุริยาพอจำได้ แต่อีกสองนั้นอาจจะเป็นของแขกที่มาพักหรือไม่ก็ ‘ว่าที่ลูกเขย’ ของป้าแสงทอง..พอลงจากรถ ผู้เป็นป้าและคนงานก็กรูออกมาต้อนรับคล้ายจะขับไล่คนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่วงศาคณาญาติให้ออกไปด้วย..

แสงทองแนะนำสองหนุ่มให้ยกมือไหว้คุณป้าและคุณลุง..พร้อมกับชะแง้เข้าไปในตัวบ้าน..คนเป็นป้ามีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก..แล้วหันไปร้องบอกคนงานให้พาสองหนุ่มไปที่ห้องพักหมายเลขสี่..แล้วก็ดึงตัวแสงทองเข้าบ้านไป..

   “ไหนว่าจะแต่งลูกสาว ดูท่าแล้วไม่น่าจะใช่นะ ไม่เห็นมีอะไรเลย ทำสีหน้าไม่ค่อยดีด้วยเมื่อเห็นเรา” รุ่งโรจน์ตั้งประเด็นเมื่อเดินเข้ามาในห้องที่เคยพักด้วยกันในเดือนกุมภาพันธ์..

   สุริยานั่งลงบนเตียงที่รุ่งโรจน์เคยนอนแล้ว ดึงโทรศัพท์มือถือมาดูเวลา..

   “สามทุ่มครึ่งแล้ว”

   “สงสัยแสงทองไม่มาวุ่นวายกับเราแล้ว..ออกไปหาอะไรกินกันเถอะ” รุ่งโรจน์ส่งมือให้สุริยาดึงตัวเองขึ้นมาจากเตียง..

   “เป็นไง..ห้องเก่าของเราสองคน” รุ่งโรจน์ทำท่าจะรวบกอด แต่สุริยาเบี่ยงตัวหลบ พร้อมกับเปิดประตูห้อง..ทำเป็นไม่สนใจ..

   “ไปเถอะ หิวแล้ว..”

   รุ่งโรจน์เดินตามออกมาอย่างว่าง่าย

   “จะเดินไปหรือว่าเอารถไป..” รุ่งโรจน์ถาม..

   “ตลาดแค่นี้เองเดินไปก็ได้..” รุ่งโรจน์เดินนำหน้าออกประตูรั้ว สุริยาขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ..ยืนรอสักพัก..หันกลับมาพบว่ารุ่งโรจน์กำลังยืนสนทนาอยู่กับใครบางคน ใบหน้ายิ้มแย้ม อย่างกับได้เจอะคนคุ้นเคย..สุริยาหันกลับเดินเข้าไปในตลาดโดยไม่สนใจว่า รุ่งโรจน์จะเดินตามมาด้วยหรือไม่.. สุริยาเดินไปถึงหน้าโรงพยาบาล เจอร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าที่แสงทองพามาในครั้งนั้น ออกปากสั่งต้มยำเส้นใหญ่ด้วยความรู้สึก แปลก ๆ ..รู้ใจตัวเองว่าหึงหวง..แต่ก็พยายามระงับดับมันให้ได้..เมื่อก๋วยเตี๋ยวตามที่สั่งมาวาง..เจ้าของร้านก็ถามว่า..

   “คนที่เคยมากับแสงทองใช่ไหม..นานแล้วซิหลายเดือนแล้ว”

   “ครับ” สุริยาตอบสั้น ๆ ต้องการตัดปัญหา ไม่มีอารมณ์จะสนทนา

   “นี่กลับมางานแต่งหนูทิพย์อาภาหรือ..”

   “ครับ” ตอบรับไปอย่างนั้น

   “ได้ข่าวว่าท้องก่อนแต่งนะ นี่ก็แต่งเงียบ ๆ คงมีญาติเจ้าบ่าวมาไม่กี่คน ทางนี้ก็ไม่มีญาติอยู่ที่นี่นอกจากคนงาน กับพวกข้าราชการ อีกอย่างทางผู้ชายเขาก็ยังไม่พร้อมจะมีครอบครัวด้วย แต่ดันมาท้องซะก่อน แล้วแสงทองเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ท้องหรือยัง”

   สุริยาแทบสำลักก๋วยเตี๋ยว

   “ยัง...”

   คนถามตาโต...

   “คือยังไม่มี ไม่ได้เป็นอะไรกันครับ  เราเป็นแค่เพื่อนกัน ” สุริยาช่วยแสงทองแก้ตัว และก็รู้ว่าแสงทองเริ่มไม่พอใจที่เห็นตนพยายามช่วยรุ่งโรจน์ผลักใสให้ไปเสียอีกทาง ยังไม่ทันก๋วยเตี๋ยวจะหมดชาม รุ่งโรจน์ก็เดินจ้ำพรวด ๆ ตามมาด้วยสีหน้าตึง ๆ พอหย่อนก้นลงตรงเก้าอี้ตัวตรงข้าม ก็ถามว่า..

   “ทำไมไม่ยืนรอผมก่อน รีบออกมาทำไม ผมเดินหาซะทั่วเลย”

   “คือ..ผมคิดว่าคุณคงอยากคุยกันตามลำพังกับคนรู้จัก ก็เลย” สุริยาหยุดพูดไปเสียดื้อ ๆ

   “หึงซิ” รุ่งโรจน์ดักคอ สุริยาวางช้อนและตะเกียบยกน้ำขึ้นดื่มทำเป็นไม่ได้ยินประโยคนั้น

   “กินอะไรสั่งเลย” สุริยารีบเปลี่ยนเรื่องคุย รุ่งโรจน์หันไปสั่งเส้นเล็กหมูสองชาม ..แล้วก็หันมาจ้องหน้าสุริยา..ถอนหายใจออกมา..ไม่เปิดปากเล่าเรื่องอะไร จนกระทั่งแม่ค้าปากดี เอาก๋วยเตี๋ยวมาวางแล้วก็เมาท์เรื่องนั้นเรื่องนี้ เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง จนรุ่งโรจน์ต้องหาข่าว

   “ป้า บน สภอ. มีผู้หมวดเป็นโสดกี่คน”

   คนตอบไม่ต้องคิดเลย

“มีคนเดียว ..หมวดก้อง หมวดเกียรติก้อง..โสดอยู่คนเดียวนอกนั้นก็จ่าแก่ ๆ กับจ่าหนุ่ม ๆ ..มีอะไรรึ” ดูจะมีเชื้อพวกปาปารัชซี่เหมือนกัน
   
“เปล่า ..แล้วหน้าตาเป็นอย่างไรป้า..”

   “อู๊ย..หล่อ..หล่อที่สุด..สาว ๆ ในปางจันทร์กรี๊ดสล๊บ เพิ้นหล่อมาก หุ่นก็สม๊าท” ท้ายประโยคเป็นสำเนียงเหนือ

   “โสดเฉพาะที่ปางจันทร์หรือเปล่า มีเมียอยู่ที่อื่นรึเปล่าป้า ส่วนใหญ่พวกตำรวจเวลามาอยู่ไกลบ้านไกลช่อง มักจะอ้างว่าตัวยังโสด เอาไว้หลอกสาว ๆ พอเสียตัวให้ ปรากฏว่าเมียหลวงตามมาด่าก็เยอะแยะ”

   “ไม่หรอก เพิ้นไม่สนใจสาวคนใด๋หรอก สาว ๆ ที่นี่อกหักกันระนาว..”

   สุริยาถอนหายใจออกมา ส่วนรุ่งโรจน์ทำหน้ายิ้ม ๆ กินก๋วยเตี๋ยวเสร็จ สุริยาจ่ายเงิน แล้วก็ลุกขึ้นเดินนำกลับไปที่เกสเฮ้าส์ คืนนั้นพระจันทร์มีเพียงครึ่งดวง ท้องฟ้าไร้เมฆ จึงกระจ่างด้วยหมู่ดาว กับลมเย็นรำเพยพัดจนต้องเดินกอดอก รุ่งโรจน์เดินมาทันแล้วก็เกาะบ่าเดินไปเคียงกัน

   “เป็นอะไร”

   “ง่วงนอน” สุริยาตอบไม่ตรงกับความเป็นจริง

   รุ่งโรจน์ปล่อยมือ หยุดยืนอยู่กับที่ ปล่อยให้สุริยาเดินกลับบ้านไปเพียงลำพัง พอถึงที่พักสุริยาก็เปลี่ยนเสื้อผ้า ออกจากห้องมาเข้าห้องน้ำด้านนอก อาบน้ำเสร็จกลับออกมาพบว่ารุ่งโรจน์กำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่กับผู้ชายคนที่คุยกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มยิ่งกว่าตอนสามทุ่มครึ่ง สุริยาไม่สนใจจะเข้าไปร่วมวง พอถึงห้องสวมเสื้อผ้า กินยาแก้แพ้อากาศ นั่งคุกเข่าสวดมนต์ดับอารมณ์พลุ่งพล่านก่อนจะล้มตัวดึงผ้าห่มคลุมกาย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-06-2011 11:06:22 โดย anop2521 »

anop2521

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 25 (ต่อ) :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

อากาศที่ปางจันทร์เย็นสบายตลอดปี ยิ่งกลางฤดูฝนอย่างนี้ รอบ ๆ บริเวณ น้ำคงเจิ่งนอง พรุ่งนี้เขาจะรีบตื่นแต่เช้าไปหาซื้อของใส่บาตร แล้วก็จะมาเอาจักรยานปั่นออกไปที่น้ำพุร้อน ไปยืนดูจุดเริ่มต้นของชีวิต จะไปดูท้องนาขั้นบันไดสีเขียวซับซ้อน ไปดูวิถีชีวิตชาวบ้านชนเผ่าต่าง ๆ ให้เต็มตา นั่งรถผ่านป่าเขามา รู้สึกประหลาดผิดวันที่นั่งมาและนั่งกลับในครั้งนั้น..รู้สึกเบื่อหน่ายอยากปลีกวิเวกพักกาย..และที่สำคัญพรุ่งนี้เขาจะกลับไปที่ตรงนั้น ที่พบกับคนดี จะเอาใจของตนที่ทำหล่นไว้กลับคืนมา..คิดอะไรเพลิน ๆ เพลีย ๆ แล้วก็ม่อยหลับไป

   มาสะดุ้งตื่นอีกทีเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู พร้อมกับเสียงพูดคุยกันระหว่างผู้ชายสองคน..

   “วิชช์..โอเค เราไหว นายไม่ต้องห่วง กลับห้องเมียนายไปเถอะ..กลับไปเลย..เราดูแลตัวเองได้ ..”

   น้ำเสียงคล้ายประชดประชัน

   “แต่นายเมามากนะรุ่ง” น้ำเสียงของคนชื่อวิชช์ฟังอบอุ่นเอื้ออาทรกว่ารุ่งโรจน์เสียอีก..สุริยาไม่กล้าลืมตา ด้วยเกรงว่าจะเห็นภาพอันไม่พึงใจ

   “ไม่เปิดไฟหน่อยรึ”

   “ไม่ต้อง..เพื่อนรักของเราหลับไปแล้ว เกรงใจ..ไป นายกลับไปห้องนายเถอะ ..เมียนายรออยู่..ไปซิ” และท้ายประโยคทำนองกระซิบถามว่า..

   “เฮ้ย..วิชช์นายทำเป็นหรือวะ ลูกนายจริง ๆ หรือวะ เราไม่เชื่อว่ะ เราไม่เชื่อ”

   แล้วเสียงประตูก็ปิดดังปึง..พร้อมกับที่รุ่งโรจน์กระโจนมาบนเตียงนอนกอดรัดคนที่แกล้งนอนหลับพร้อมกับระดมจูบไปทั่วใบหน้า

   “คุณรุ่ง..” สุริยาผงะ พร้อมกับผลักใสให้พ้นตัว

   “คุณรังเกียจผมอีกคนหนึ่งเหรอ คุณจะทิ้งผมไปอีกคนใช่ไหม จะทิ้งผมเหมือนมันใช่ไหม..” เสียงคนเมาดังกว่าปกติ..สุริยาเริ่มประติดประต่อเรื่องราว

   “วิชช์ วิชช์” คำละเมอในคืนนั้นที่กำแพงเพชร..ไอ้หมอนี่เอง..กำลังจะแต่งงานกับทิพย์อาภาพี่สาวแสงทอง..ทำได้รึ เป็นไปได้รึ..

   “คุณรุ่ง คุณร้องเพลงให้ผมฟังสักเพลงซิ ประมาณว่าเพลง อกหัก หรือว่ารักต้องเลือกทำนองนั้น ผมอยากฟังจัง..เพลงเก่า ๆ ก็ได้ หรือจะเอาเพลงพี่เบิร์ดก็ได้ เพลงถ่านไฟเก่าก็ได้นะ..ผมชอบ เพราะว่าเธอและเขา ถ่านไฟเก่ามันร้อนรอวันรื้อฟื้น แล้วคนมาทีหลังต้องทนต้องฝืน อย่างฉันคนนี้..เธอช่วยบอกวิธีให้ทำใจ”

   เสียงของรุ่งโรจน์อ้อแอ้อย่างที่สุริยาไม่เคยเห็น แต่เพลงที่รุ่งโรจน์ร้องมานั้นเนื้อหามันเหมาะกับคนอย่างเขามากกว่า..

   ‘เธอช่วยบอกวิธีให้ทำใจ ..เพราะถ่านไฟเก่าของเธอยังมีไฟ ..อย่าให้ฉันต้องตายในกองไฟ’

   ไม่มีทางที่คนอย่างสุริยาจะตายในกองไฟเด็ดขาด..ไฟคือราคะ ต้องใช้สติช่วย รักมันเกิดขึ้นที่ใจก็ดับมันที่ใจ..ต้องทำให้ได้..ตั้งใจว่าจะหลับโดยไม่เหลียวหลังไม่สนใจคนเมาแล้วเพ้อเจ้อ ..แต่

   “คุณยะ ผมปวดห้องน้ำ ประคองผมไปหน่อยได้ปะ ผมเดินไม่ไหว ห้องน้ำที่นี่มันไกลจังเลย ถ้ามีทางเลือกผมไม่พักนะที่นี่ แต่นี่มันมีที่เดียว จำใจครับจำใจ..”

-----------------------   
   สุริยาจำต้องประคับประคองคนเมาไปที่ห้องน้ำ ..ประคองให้ยืนถ่ายเบาแล้วก็ตักน้ำให้ล้างหน้าล้างปาก ล้างแขนและเท้า

   “ผมเคยรักมันมากคุณรู้ไหม..”
   
คนได้ฟัง กลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก ใจที่คิดว่าฝึกไว้ดีแล้วเริ่มพลุ่งพล่าน..เจ็บแปลบประหนึ่งถูกหนามตำหัวอก

   “แต่ตอนนี้ผมรักคุณมากกว่ามันอีกตั้งร้อยเท่า ..คุณเชื่อผมไหม...” ว่าพลางคนเมาทำท่า
จะจูบ แต่สุริยาบ่ายเบี่ยงแล้วรีบพารุ่งโรจน์กลับเข้าห้อง ด้วยความหวั่นใจ ..กลัว..กลั๊ว..กลัว ว่าจะมีใครสักคนมาได้ยินเรื่องทั้งหมด

   เอาไงดี อยู่ต่อหากรุ่งโรจน์ยังมีเมามาย คงได้คายทุกอย่างให้แสงทองและพี่สาวได้รับรู้ แล้วจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แล้วนายวิชช์นั่น ก็ดูยังอาลัยอาวรณ์ต่อกัน

   ‘บางคนเขาได้ทุกอย่าง หญิงก็ได้ชายก็ได้ พวกเห็นแก่ตัว ต้องการมีแต่สุข แต่ไม่คิดถึงทุกข์ของผู้หญิง’ ต้องขอบคุณนายต้องที่แสดงความคิดเห็นไว้ดังนี้

   คืนนั้นเป็นอีกคืนที่สุริยานอนไม่หลับ พลิกซ้ายขวาคิดสะระตะ จนกระทั่งม่อยหลับในตอนใกล้สว่าง

   พอสว่าง..คนที่ปลุกให้ตื่น ดึงให้ลุกนั่งก็คือรุ่งโรจน์คนที่เมามายจนเพ้อพบ

   “ไหนคุณว่าจะไปใส่บาตรไง..สายแล้วนะ”

   “ไม่ไปหรอก ไม่ไหว..ง่วง” สุริยาล้มตัวลงนอนต่อ รุ่งโรจน์ลุกออกจากเตียงเปิดประตูออกไปห้องน้ำ สักพักคงกลับมาเอากระเป๋าสตางค์แล้วก็หายออกไปพักใหญ่ กลับมาอีกทีเกือบสองโมงเช้า

   “ตื่นได้แล้วคุณยะ สายแล้วนะ วันนี้คุณเป็นอะไรเนี่ย ไม่เคยอย่างนี้นี่นา” ว่าแล้วก็เอามือตรวจสอบอุณหภูมิบนร่างกาย..เห็นว่าปกติ..

   “อยากเป็นคนขี้เกียจดูบ้างก็เท่านั้น..”

   รุ่งโรจน์ถือวิสาสะนอนกอดซบอยู่ที่ยอดอก ถ้าสัมผัสลักษณะนี้สุริยาจะไม่กล่าวว่าอะไร

   “ตกลง เราจะอย่างไรกับเรื่องที่นี่..”

   “กลับ กทม. วันนี้เลย ไม่อยู่แล้วงานแต่ง เพราะเขาคงไม่ต้องการแขกผู้มีเกียรติเช่นเรา”

   “แสลงใจหรือเปล่า” สุริยาถาม รุ่งโรจน์สั่นศีรษะ

   “รู้ตัวหรือเปล่าคุณรุ่ง เมื่อคืนคุณพูดอะไรออกมาบ้าง”

   “รู้ ผมแกล้งเมา และก็รู้ด้วยว่าคุณหึงผมมาก” ว่าแล้วก็จูบตรงหัวใจของสุริยา

   “ไปอยู่เมืองนอกกันไหม” รุ่งโรจน์เปรยเบา ๆ สุริยาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ด้วยไม่เคยมีความคิดเหล่านี้คิดอยู่ในหัวสมอง

   “ที่นั่นจะมีแค่เราเพียงสองคนกับคนที่เขายอมรับเรื่องแบบนี้ได้”

   “ฟุ้งซ่านใหญ่แล้วคุณรุ่ง..ไปกินอะไรมาเนี่ย..” สุริยาหาทางออก ไม่ให้รุ่งโรจน์รู้สึกขายหน้า

   “คุณพูดคำเดียวว่าคุณรักผม ผมพร้อมจะทำตามใจคุณทุกอย่าง ผมจะทำให้คุณมีความสุขที่สุด”

   “ประชดใครหรือเปล่า” สุริยาแกล้งถามด้วยเห็นว่าวันนี้เขาเพ้อผิดปกติ

   “เราขาดกันนานแล้วคุณรุ่ง นานหลายปีแล้ว เขาอยากเป็นผู้ชายปกติคนหนึ่ง เขาอยากมีครอบครัว มีเมีย มีลูก ก็หาจนได้นะ แถมมาจุดไต้ตำตอเสียด้วย” รุ่งโรจน์เปิดเผย

   “แล้วคุณล่ะ ไม่อยากมีชีวิตที่สมบูรณ์เพียบพร้อมอย่างนั้นบ้างหรือ”

   “แล้วคุณล่ะ คุณคิดหรือเปล่า ผมก็เคยคิด เคยที่จะฝืนความรู้สึกของตัวเอง แต่มันไม่มีความสุข...”

   “คุณเคยคิดที่จะอยู่อย่างไม่มีใครไหม? อยู่คนเดียว ตามลำพัง”

   “ผมดิ้นรนแสวงหาความรักมาตลอด..ผมอยากรักใครสักคนด้วยหัวใจรัก มีใครสักคนรักผมด้วยหัวใจรักเช่นกัน ไม่ได้หวังในสมบัติพัสถานของผม เข้าใจในแบบที่ผมเป็น”

   สุริยาหลับตา รุ่งโรจน์จึงค่อย ๆ โน้มจมูกค่อย ๆ เคลียคลอที่หน้าผากไล่เรื่อยมาถึงพวงแก้มและซอกคอ “จะให้ผมพูดอีกกี่รอบผมก็พูดเหมือนเดิม ผมรักคุณนะครับ ..รักแบบไม่มีเหตุผล รักที่เกิดขึ้นมาเอง..และก็ไม่เคยคิดเบื่อที่จะต้องออกไปลำบากกับคุณสักครั้ง”

   “คุณรุ่ง” สุริยาเบือนหน้าหนีการสัมผัส เอามือมาปิดบังใบหน้าเป็นเชิงห้ามปรามไว้

   “ขอเวลาผมสักพักนะครับ คือผม..ผม..” สุริยาอยากจะบอกว่า

   ‘ผมไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเข้าใจ’ แต่ก็รู้ว่านั่นคือการโกหก..ตัวเองเป็น แต่ไม่ได้ต้องการสุขจากการร่วมเสพสม สุริยาต้องการเท่าที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้เท่านั้น แต่ก็รู้ว่า ขืนยังอยู่ใกล้ชิดกันอยู่เรื่อย ๆ มันต้องมีการเลยเถิด เพราะอำนาจแห่งกาม ยามที่มันกำเริบขึ้นมาก็ยากที่จะระงับ

   “ผมแค่อยากรู้ว่าในหัวใจของคุณมีผมบ้างไหมก็เท่านั้น”

   ยังไม่ทันที่สุริยาจะตอบว่าอะไร เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น..ไม่เปิดก็รู้ว่าเป็นแสงทอง เพราะจำท่วงจังหวะเว้นเคาะได้ รุ่งโรจน์จูบแรง ๆ ที่หน้าผากสุริยาอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจและลุกขึ้นสำรวจดูเสื้อผ้าของตนแล้วไปเปิดประตูรับสาวสวยหลานสาวเจ้าของบ้านพัก

   “พี่ไปกินข้าวกันเถอะ” สีหน้าคนมาชวนไม่ค่อยสู้ดีนัก แสงทองไม่ก้าวเข้ามาในห้องอย่างวันก่อน เมื่ออยู่ในสายตาผู้ใหญ่ดูหญิงสาวรู้จักกาลเทศะ

   “ดีหรือ” รุ่งโรจน์ยังกังวล หันไปหาสุริยาใช้สายตาถามความคิดเห็น

   “พี่สองคนจะกลับ กทม. กันตอนสาย ๆ ..พอดีแม่พี่โทรมาตามว่ามีธุระสำคัญ..เสร็จงานแต่งพี่สาวเธอแล้ว จะพักอยู่กับคุณป้าก่อนก็ได้นะ” รุ่งโรจน์โกหกนำทาง สุริยาจึงคล้อยตาม

   “ไม่ต้องรีบกลับ ไม่ต้องห่วงทางโน้นหรอก สุพรรณบุรี แค่คันเดียวพี่ไปคนเดียวได้” สุริยาช่วยเสริม

   สีหน้าแสงทองหม่นลงทันที

   “ทิ้งกันเลยเหรอ..อยู่ก่อนได้ไหม..”

   “ไม่ได้หรอกแสงทอง บอกตามตรงนะ นายวิชช์ว่าที่เจ้าบ่าวพี่สาวเธอ ผมรู้จัก ผมไม่ค่อยชอบขี้หน้ามันนักหรอก..ไม่อยากอยู่เจอะพ่อแม่มันหรอก น้องเข้าใจนะ” โกหกเพิ่มเติมจะได้สมจริงสมจัง

   “เมื่อคืนเห็นนั่งดื่มด้วยกัน” แสงทองยังค้าน

   “ดื่ม ทั้งที่ไม่ชอบกันนี่แหละ..มันชวน ก็เอากับมันสักหน่อย เห็นมันมาต่างบ้านต่างเมือง..แต่ไม่ชอบหน้ามันหรอก” รุ่งโรจน์ยังยืนกรานคำเดิม

   เมื่ออยู่ในวงข้าว รุ่งโรจน์กับวิชช์แทบไม่มองหน้ากันจริง ๆ สุริยาเองก็พลอยก้มหน้าก้มตาตักอาหารเข้าปากเงียบ ๆ มีแต่พี่ทิพย์อาภาคนเดียวเท่านั้นที่ซักถามคนนั้นคนนี้ ตลอดการรับประทานอาหาร

โดยเฉพาะรุ่งโรจน์หนุ่มไฮโซ ที่บังเอิญ ๆ มาตกระกำลำบาก ณ ปางจันทร์ จนได้รู้จักกับแสงทองและสุริยา จนกลาย เป็นที่มาของรุ่งแสงสุริยาทัวร์
   
ทิพย์อาภาพยายามคะยั้นคะยอให้ทั้งสองหนุ่มอยู่ร่วมงานแต่งของตน แต่รุ่งโรจน์ก็อ้างว่าติดธุระในเช้าวันอาทิตย์ ต้องเดินทางไปต่างประเทศกับคุณแม่ ทิพย์อาภาก็เฝ้าเพียรพยายาม จนกระทั่งว่าที่สามีต้องเอ่ยขึ้นว่า

   “เหตุผลเขามี อย่าไปรั้งเขาไว้เลยครับคุณทิพย์”

   “ครับคนจะไป รั้งอย่างไรมันก็ต้องไป ปล่อยให้มันไปเถอะครับ ถ้ามันไปแล้วมีความสุขกว่าอยู่”

   สุริยาแทบไม่เชื่อหูตัวเองว่ารุ่งโรจน์จะพูดเช่นนั้นออกไปได้

anop2521

  • บุคคลทั่วไป

   25 (ต่อ)


   รถสองหนุ่มแล่นออกจากรั้วบ้านของป้าแสงทองพร้อมกับข้าวเหนียวหมูทอดและถุงส้มที่แสงทองนำมามอบให้ไว้เป็นเสบียงเลี้ยงตัว

   รถมุ่งหน้าไปทางวัดปางจันทร์ ต้นทางสู่รอยพระบาทบนยอดเขาปางจันทร์

   “เมื่อเช้าผมมาเดินเล่นในวัด..”

   “มาทำไม..”

   “มาดูทำเลก่อสร้างพระธาตุปางจันทร์” รุ่งโรจน์พูดจบ สุริยาขนลุกเกรียวจนต้องยกมือขึ้นลูบที่ต้นแขน แล้วรถก็หยุดตรงทางขึ้นเขาลูกเตี้ย ๆ ซึ่งอยู่ท้ายวัด

   “ตรงนั้นเหมาะนะ ไม่สูงมากนัก แต่ก็เด่นเชียว ผมถามหลวงพ่อแล้ว ท่านว่าเป็นที่ดินของวัด ข้างบนเป็นลานกว้าง ถางไว้แล้ว เราจะขึ้นไปดูสักหน่อยไหม”

   ทั้งสองค่อย ๆ ไต่ดินและหินลาดชันขึ้นไปเรื่อย ๆ ระยะทางสักร้อยกว่าเมตร..ทำให้เหนื่อยหอบ..แต่พอขึ้นไปถึงได้เห็นปางจันทร์ในอีกมุม รู้สึกทันทีว่าใช่เลยตรงนี้..สุริยากวาดสายตามองเนื้อที่..พบศาลาหลังเล็ก กับพระพุทธรูปปูนปั้น จึงชวนรุ่งโรจน์ไปจุดธูปตั้งจิตอธิษฐาน อ้างสัจจะความตั้งใจที่จะกระทำการสร้างพระธาตุเจดีย์ขึ้น

   “หากแม้นกระผมมีบุญบารมีที่จะสร้างพระธาตุเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุองค์ใดองค์หนึ่ง ณ ที่แห่งนี้ ขอให้พระสารีริกธาตุองค์ที่ผมมีบุญวาสนาร่วมด้วยนั้น จงเสด็จมาสู่กระผมและเราทั้งสอง คนใดคนหนึ่งด้วยเถิด” ว่าจบสุริยาก็ปักธูป สำรวมใจส่งถึงองค์พระพุทธเจ้าที่ปรินิพพานนานแล้ว..พอลืมตาพบรุ่งโรจน์มีสีหน้างุนงง

   “เสี่ยงสัตย์อธิษฐานไปก่อนคุณรุ่ง..ถ้าเรามีบุญมีวาสนา คงจะมีสื่อมาเพิ่มกำลังใจให้กับเรา ขืนเราคิดแต่ว่าจะสร้าง ๆ แต่มันไม่ใช่ที่ของเรา ไม่ใช่วาสนาของเรา อุปสรรคมันก็จะเยอะแยะมากมายจนอาจจะสร้างไม่เสร็จก็ได้..ดังนั้นจึงต้องเสี่ยงทายไปก่อน ถ้าเราได้มาจริง ๆ มีมาจริง ๆ เมื่อนั้น ..เราก็ค่อย ๆ ดำเนินการได้เลย ..คุณว่าดีไหม”

   “อะไรที่คุณว่าดี ผมก็ดีตามไปด้วยแหละ คุณก็รู้นี่”

   “ผมบอกแล้วไง ผมอยากให้คุณคิดจะสร้างด้วยความเลื่อมใสศรัทธาของตัวคุณเอง เพราะถ้าไม่มีผมคุณก็สร้างเสร็จ แต่ถ้าคุณคิดอย่างนี้ ..ไม่มีผม คุณเลิก ก็เหลือเป็นตอหม้อให้ชาวบ้านเขาด่าเอา”

   
   แล้วรถคันนั้นก็มาหยุดตรงที่รุ่งโรจน์ประสบอุบัติเหตุ..

   “อ้าวใครมาตัดต้นพุทราออกไปเสียแล้ว” คนที่เคยลิ้มรสหนามแหลมดูจะผิดหวังที่ไม่ได้เห็นคู่กรณี

   “อาลัยอาวรณ์อะไรมันรึ อยากจะชนกับมันอีกสักรอบหรือไง”

   “เปล่า ผมจะขอบคุณมันที่ทำให้เจอะกับคุณต่างหาก” รุ่งโรจน์ไปเสียอีกทาง

   “ถ้าย้อนเวลากลับไปได้นะคุณรุ่ง ผมอยากจะขับรถออกจากน้ำพุร้อนให้เร็วกว่านี้นิดนึง ถ้าเป็นอย่างนั้นผมคงไม่ได้พบคุณอย่างแน่นอน”

   “แต่เราก็แก้ไขอดีตไม่ได้แล้วคุณยะ..เราพบกันแล้วและผมก็รักคุณไปแล้ว”

   “วาจาคุณนี่..ถ้าผมเป็นผู้หญิง ผมคงอ่อนปวกเปียกหมดแรงเดิน..”

   “คุณคิดว่าผมพูดเล่นซิ ผมพูดจริง ๆ ตั้งใจฟังให้ดีนะ”

   ว่าแล้วรุ่งโรจน์ก็เอามือป้องปากตน แล้วก็ตะโกนจนก้องท้องทุ่งและหุบเขากับประโยคที่ว่า

   “คุณยะ คุณยะ ผมรักคุณ รักคุณที่สุด คุณได้ยินไหม?”

   สำหรับท่านที่สนใจ “อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง” ฉบับรูปเล่มนิยายขนาด A5 ราคาเล่ม 350 บาท พร้อมค่าจัดส่ง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ f_nakhon(แอท)hotmail.com คาดว่าหนังสือจะเสร็จพร้อมส่งประมาณปลายเดือนมิถุนายน ที่จะถึงนี้ครับ.. :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:


ขอบคุณจากทุก ๆ กำลังใจที่มีมาให้กันแล้วนะครับ..

:pig2: :pig2: :pig2: :pig2:

         
และหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้พิมพ์ตามจำนวนที่สั่งจะมีสต๊อกไว้ที่บ้านด้วย..เผื่อมีท่านใดที่สะดวกและพร้อมโอนเงินเมื่อไหร่ก็ได้เรื่อย ๆ ครับ หรือไม่ก็จะมีวางขายที่ร้านหนังสือบางร้านในสวนจตุจักร (จะแจ้งให้ทราบอีกที) ราคาหนังสือไม่ต่างกันครับ..เพราะราคาปกที่ตั้งไว้ ก็เพื่อจะลดราคาแล้วได้ประมาณนี้เหมือนกัน. :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:..


yayee2

  • บุคคลทั่วไป
หรือว่าชีวิตของแต่ละคน รุ่งโรจน์ สุริยา แสงทอง เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนแล้ว

bow55

  • บุคคลทั่วไป

koraorni

  • บุคคลทั่วไป
ยังคงมองไม่เห็นทางออกของปัญหา แต่คิดว่าคงจะอีกไม่นาน

ออฟไลน์ JJHJJH

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +293/-2
พี่ยะ ถ้าหลุดจากบ่วงไม่ได้ ก็ลองให้มันรัดไปเลยสักตั้งเถอะ เป็นไงเป็นกัน

บวกให้ค่า เดาไม่เคยได้เลยเรื่องนี้ ยิ่งอ่านยิ่งลุ้น ^^

Panny

  • บุคคลทั่วไป

Namtarn

  • บุคคลทั่วไป
บางทีรุ่งโรจน์ก็โง่เขลาเบาปัญญาเพราะฤทธิ์ของความรักแท้ๆ เลย :sleep2:

anop2521

  • บุคคลทั่วไป
 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

 ตอนที่ 26.
   
   ถ้าเป็นคนอื่น โลกทั้งใบคงกลายเป็นสีชมพู แต่สำหรับนายสุริยาคนนี้ พอได้ยินประโยคนั้น โลกที่เป็นสีฟ้าสดใส ไร้แรงลม กลับคล้ายจะมีเมฆครึ้มและพายุตามกระหน่ำ

   คำว่า “รัก” เมื่อได้ยิน สุขและทุกข์มันวิ่งมาพร้อม ๆ กัน..เป็นไปได้ มีด้วยรึ ชายรักชายมั่น..ไม่ทิ้งกัน..ไม่สนคำคน..ไม่จนมุมพ่อแม่..บุญแล้วที่มีสติยับยั้งชั่งใจ วันหนึ่งข้างหน้า ถ้าต้องเจ็บ จะได้ไม่เจ็บมาก..

   พอรถเคลื่อนออกจากตรงนั้นมุ่งหน้าไปน้ำพุร้อน และวกกลับมาสู่ทางหลวงมุ่งไปอำเภออมก๋อย..และสุริยาก็เพิ่งจะสังเกตว่าทางซ้ายมือขาออกจากเมืองสักสามกิโลเมตรมีป้ายชี้ให้เลี้ยวซ้าย แจ้งให้รู้ว่ามีสำนักปฏิบัติธรรมอยู่ด้านใน สุริยาสั่งให้คนขับเลี้ยวซ้าย..เข้าไปได้สักกิโล ก็พบกับภูเขาลูกเตี้ย ๆ และต้นไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุมจนร่มครึ้ม รอบ ๆ ป่าไม้ก็เป็นสระบัวยาวโอบรอบขนานกับถนนพอรถวิ่งได้โอบรอบสระบัวอีกชั้น

   พอลงจากรถ สุริยาก็เดินนำรุ่งโรจน์ข้ามสะพานไม้ ไปพบกับศาลา ครึ่งอิฐครึ่งไม้หันหลังให้กับภูเขา มีป้ายไม้เขียนว่า ‘ธรรมสถานปางจันทร์ สถานที่ปฏิบัติธรรม ขอความสงบ’..บรรยากาศในเวลาหลังเที่ยงนั้นร้างไร้ผู้คนเดินวุ่นวาย เห็นเพียงที่ไกล ๆ มีแม่ขาวเดินย่างก้าวซ้ายขวาด้วยความสำรวมระวัง

   “ทำอะไร” รุ่งโรจน์กระซิบถาม

   “เดินจงกลม”

   “จงกลม” รุ่งโรจน์ทวนประโยคนั้นอีกรอบ แล้วดวงตาก็มีคำถาม

   “เป็นวิธีฝึกสมาธิอีกอย่างหนึ่ง..ฝึกให้มีสติ ตัวระลึกรู้ รู้อยู่ที่อาการเคลื่อนไหว..รู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิด..ให้เห็นความต่อเนื่องการเกิดการดับฯ” สุริยาอธิบายเพียงแค่นั้น แล้วก็พาเดินเข้าไปที่จุดประชาสัมพันธ์ พบพระภิกษุวัยหนุ่มนั่งหลับตา หลังตรงพิงเก้าอี้ดูสบาย ๆ พอเขาชะโงกหน้ามอง ท่านก็ลืมตา สุริยายกมือไหว้

   “มาทำอะไรกัน”

   “มาเที่ยวครับ”

   
   โลกเป็นสีฟ้าสดใสอีกครั้งเมื่อรถแล่นออกจากธรรมสถาน สุริยาถือแผ่นพับไว้ในมือ ตามองสองข้างทาง หูได้ยินเสียงเพลง แต่ใจล่องลอยกลับไป ณ ที่เพิ่งจากมา..สงบ สะอาด สว่าง..สถานที่สัปปายะเหมาะแก่การปฏิบัติธรรม.. นั่ง นอน ยืน เดิน กำหนดระลึกให้รู้ทุกอิริยาบถ..มีคอร์สสำหรับญาติโยม มีคอร์สสำหรับพระภิกษุ มีกุฏิและศาลาปฏิบัติธรรมแยกเป็นสัดส่วนระหว่าง พระ อุบาสก แม่ชี และอุบาสิกาผู้ไม่โกนผม ยินดีต้อนรับเสมอหากมีใจที่จะเดินทางข้ามป่าข้ามเขามา แต่ต้องมาเพื่อค้นหาตน ค้นหาธรรมเท่านั้น..ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว ไม่เน้นกราบพระยัดเงินใส่ตู้

   “ผมคิดว่า..ผมยังไม่กลับกรุงเทพฯ วันนี้หรอก แต่ผมจะไปแพร่ และน่านก่อน..ผมอยากไป พระธาตุช่อแฮ และแช่แห้ง ..แบบไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว คุณบอกเองไม่ใช่รึ ตั้งสัตย์แล้วต้องทำให้ได้..ผมตั้งใจมาไหว้พระธาตุในภาคเหนือ..ได้ไม่ครบ ก็ขอให้ครบทุกราศีที่มี..ส่วนปีวอกที่พระธาตุพนมนั้นเอาไว้มีเวลา..ผมไปอย่างแน่นอน..” น้ำเสียงของรุ่งโรจน์มุ่งมั่น

   “ตามใจคุณแล้วกัน..แต่อย่างไรผ่านลี้ ก็อย่าลืมแวะพระธาตุห้วยต้มกับพระธาตุเจดีย์หนึ่งดวงกับ ห้าดวงให้ผมด้วยแล้วกัน”

   “ได้ครับเจ้านาย สั่งมา ผมจะทำให้ทุกอย่าง...” พูดจบก็ถอนหายใจออกมา

   “ป่านนี้แสงทองจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้นะ...ผมสงสารมันจังเลย...คุณไม่นึกสงสารมันบ้างรึ”

   “ไอ้หนูมันรู้มันคงดีใจจนน้ำตาไหลอีก”

   “คุณป้าเธอแปลก ๆ ..ถ้าเขาไม่ให้แสงทองกลับมาทำงานกับเราอีก คุณจะทำอย่างไร”

   “ไม่หรอก แสงทองฉลาดกว่าที่เราคิดไว้เยอะ..เธอเอาตัวรอดได้”

   “คุณยะ คุณคิดว่าแสงทองจะรู้เรื่องของเราสองคนไหม”

   “เรื่องอะไร” สุริยาทำหน้าฉงน

   “เรื่องที่เรารักกัน”
   

   รถซีอาร์วีคันนั้นถึงกรุงเทพฯ ในตอนเกือบพลบค่ำของวันจันทร์ รุ่งโรจน์ส่งสุริยาที่บ้านคุณป้าแล้วก็ขอตัวกลับไปที่บ้านของตน เนื่องด้วยผู้เป็นแม่โทรตามอ้างว่ามีธุระสำคัญ..พอลงจากรถสุริยาก็ขนขนมและเสื้อผ้าที่ซื้อมาฝากป้าและลุง รวมถึงหลาน ๆ เข้าบ้าน

   เข้าห้องนอน ตั้งใจจดบันทึกสถานที่สำคัญต่าง ๆ ที่ได้ไปพานพบ..รู้เห็น ..ตลอดระยะเวลา 11 วัน 10 คืน..จดทำบัญชีรายจ่ายค่าน้ำมันค่าที่พักทั้งหมด รวมถึงค่าอาหารที่กินด้วยกันลงบัญชีไว้ แต่พอวางกระเป๋าเตรียมรื้อเสื้อผ้าออกไปซัก พลัน ใจหายอย่างประหลาด น้ำตาแห่งความอาลัยอาวรณ์ต่อคนที่เพิ่งจากไปไหลออกมาไม่หยุดหย่อน รู้สึกคิดถึงอย่างจับจิตจับใจ โอ้ว่าความใกล้ชิดผูกพัน ก่อให้เกิดความรักแนบแน่น เพิ่งจะรู้ว่าในใจมีเขามากมายเพียงใด ก็ตอนที่ไม่เห็นกัน

   นึกทบทวนวันเวลาที่ร่วมเดินทางครั้งใหญ่ ร่วมกินนอนด้วยกัน..ไม่มีสักครั้งเดียวที่ผู้ชายคนดีคนนั้นจะทำให้รู้สึกทุกข์ร้อนใจ จะมีก็แต่ตัวเองเท่านั้นทีมีเง้างอนใจแข็ง ใจดำ แค่คำว่า ผมก็รักคุณ คำเดียวก็บอกไม่ได้..ยิ่งในช่วงที่อยู่กันตามลำพังสองคนในสองวันหนึ่งคืนสุดท้าย เขาก็ยิ่งแสดงให้เห็นมากมายว่าทั้งรักและหลงใหล ดีใจได้ปลื้มที่ได้อยู่กันตามลำพัง

   ตัวอีกนั่นแหละที่เล่นเนื้อเล่นตัว จูบนิดหอมหน่อยก็ผลักใสห้ามปราม พอได้อยู่ตามลำพังข้างกายร้างไร้คนจมูกโด่งเป็นสันถึงได้รู้ถึงความเดียวดายเวิ้งว้างและทุกข์ทรมาน

   สุริยาเหลือบตาดูปฏิทินเห็นว่าเป็นวันพระ..สติ..ตัวระลึกรู้ไม่ปล่อยให้ใจดำดิ่ง หลงทางสายกลาง..เช็ดน้ำตา อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ตั้งใจจะสวดมนต์ พลันโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

   “คุณยะ คิดถึงผมไหม”

   “คิดถึง” เป็นครั้งแรกที่สุริยาตอบเต็มปากเต็มคำ เต็มใจที่จะตอบ

   “คิดถึงมากด้วย”

   “ผมก็คิดถึงคุณนะ คิดถึงมากด้วย คุณยะ คืนนี้ผมจะบินนะ จะไปดูงานที่เมืองนอกกับพี่ชายสักเดือน ผมคงคิดถึงคุณ คุณอย่าลืมคิดถึงผมนะ..ดูแลตัวเองนะครับ..จุ๊บ..”

   ใจหายอย่างประหลาด อีกหนึ่งบทเรียนเรื่องหัวใจ นายต้องผ่านมันไปให้ได้สุริยา..สัญญากับตัวเองก่อนจะจุดธูปเทียน บูชาพระรัตนตรัย แล้วก็สวดมนต์เสียงดังเจื้อยแจ้ว หวังว่าใจจะลืมและนิ่งดังวันวาน..
   

   หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปแสงทองก็แบกกระเป๋ากลับมาด้วยใบหน้าไม่สดใสนัก

   “ทางป้าหนูเขารุกหนักน่าดู..ต้องการให้หนูแต่งกับอีตาก้องเกียรติ เกียรติก้องเกรียงไกรให้ได้..”

   “แล้วเธอรอดพ้นมาได้อย่างไร”

   “หนูแอบคุยกับเขา..เอาแบบที่พี่รุ่งแนะนำ บอกว่าถ้ารักกันจริง ๆ ก็ขอเวลาศึกษานิสัยใจคอกันสักพัก หนูบอกว่าหนูไม่ชอบฟังน้ำคำลวงทางโทรศัพท์ อยากอ่านความในใจมากกว่า เขียนอะไรมาหาหนูก็ได้..สักสัปดาห์ละหนึ่งฉบับ เป็นเวลาสักปี..ถ้าเขียนจนหนูใจอ่อน..หนูก็จะแต่ง..หรือถ้าเจอคนดีกว่าหนูก็แต่งไปเลย หนูไม่ว่าอะไร”

   “ทำไมป้าเธออยากให้แต่งกับเขา”

   “คุณป้าแกเป็นเมียตำรวจ..ก็อยากให้ลูกหลานเป็นเมียตำรวจ..เป็นคุณนายตั้งแต่ยังสาว”

   “แล้วนายวิชช์”

   “ป้าเขาบังคับอะไรพี่ทิพย์อาภาไม่ได้หรอกค่ะ..สี่ห้าเดือนแล้ว..โชคดีที่ผู้ชายยอมรับ..ได้ข่าวว่าเป็นเพื่อนกับพี่รุ่งด้วย..โลกมันกลมจริง ๆ ..แกไม่อยู่ก็เหงานะคะ”

   “อือ..ฮึ”..อือ..ฮึ ของสุริยาก็คือ เกือบทุกค่ำคืนเขาจะได้รับโทรศัพท์จากแดนไกล บอกเล่าเรื่องราวภายในหัวใจและสิ่งที่ได้พบเห็น พร้อมกับสัญญาว่า ถ้าแสงทอง ทำงานจนวางมือได้ เมื่อนั้น ‘เรา’ จะไปท่องโลกกว้างด้วยกัน รุ่งโรจน์ให้ความหวังกันถึงขนาดนี้ โลกจะไม่เป็นสีชมพูหรอกรึ

   “ผิวหน้าพี่ยา เปล่งปลั่ง..มีอะไรพิเศษหรือเปล่าคะ”

   “เปล่า..สบายใจมั้ง..เธอเองก็เหมือนกันแสงทอง มีประกายแห่งความสุข”

   แล้วแสงทองก็ส่งจดหมายฉบับแรกให้สุริยาอ่านอย่างไม่ปิดบัง..

   “คุณแสงทอง..ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณที่คุณให้โอกาสตำรวจบ้านนอกคนนี้ ให้มีโอกาสทำคะแนน..ผมอาจจะสู้หนุ่มกรุงเทพฯ ไม่ได้..แต่อย่างว่า..ใจมันไปอยู่กับคุณเสียแล้ว..”

   สุริยาไอแค๊ก ๆ

   “เขินจัง” ใบหน้าของสุริยามีสีแดงด้วยความเขินจริง ๆ ..เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสำนวนชายจีบหญิง

   “อ่านได้ หนูไม่ปิดพี่หรอก..” เพราะน้ำเสียงขื่น ๆ สุริยาจึงต้องเหลือบตาขึ้นไปมองเจ้าของจดหมาย..เห็น..ความหมดหวัง..เจ็บปวด..ผิดรึที่ตนไม่ได้แสดงอาการหึงหวง

   “พี่ไม่อ่านดีกว่า มันน่าจะเป็นความลับระหว่างเธอสองคนนะ..”

   “อ่านเถอะค่ะ เป็นวิทยาทาน จะได้ช่วยหนูตัดสินใจได้ว่า เขาควรที่หนูจะเดินไปด้วยหรือไม่..บางทีพี่ยา สายตาของเราว่าเขาดี เขาอาจจะไม่ดีในสายตาของคนอื่นก็ได้ ไม่ใช่หรือคะ..”

   “ก็ได้..” สุริยาไล่สายตาไปทีละบรรทัด..ตามคำร้องขอ

   “ใจมันไปอยู่กับคุณเสียแล้ว..แล้วผมก็ต้องพยายามเอาตัวตามหัวใจผมไป อาจจะตามไปได้หรือไม่ได้ มันก็ขึ้นอยู่กับคุณ ขึ้นอยู่กับผมจะมีความเพียรพยายามขายขนมจีบเพียงใด..ดีใจนะครับที่คุณยอมคุยกับผมดี ๆ ไม่มีเง้างอนอย่างนางเอกหนัง...ประมาณว่าถูกคลุมถุงชนแล้วก็พยายามวิ่งหนี..แต่สุดท้าย..ชีวิตของผมคงไม่ง่ายอย่างนั้น..อากาศที่ปางจันทร์ตอนนี้ถือว่าดีทีเดียว ปลายฝนต้นหนาวแล้ว...รู้สึกว่าปีนี้จะหนาวเร็วกว่าปกติ..เดี๋ยวหนาวเดี๋ยวฝน..อากาศแปรปรวน...ตอนนี้ต้นข้าวสองข้างทางเข้าสู่เมืองเหลืองอร่ามทีเดียว..ทุกเช้าเย็นที่ผมวิ่งออกกำลังกาย ผมคิดถึงคุณจังเลย คุณรู้ไหมว่าผมเห็นคุณครั้งแรกเมื่อไหร่ ..ตุลาคมปี 46 ช่วงปิดเทอมของคุณหรืออย่างไรนี่แหละ ตอนเย็นผมเห็นคุณขี่จักรยานมุ่งหน้าไปทางน้ำพุร้อน..คุณขี่ผ่านผมไปด้วยนะ แต่คุณคงไม่ได้สนใจ นำหน้าผมไปสักห้าร้อยเมตร แล้วรถของคุณก็ล้มคว่ำ ผมตั้งใจว่าจะไปช่วยพยุงขึ้น แต่คุณช่วยเหลือตัวเองได้เสียก่อน..พอผมวิ่งไปถึงน้ำพุร้อน คุณก็ปั่นออกมาแล้ว เราจึงไม่ได้เจอะกันอีก..จนกระทั่งหลังปีใหม่ คุณกลับมาอีกรอบหนึ่ง ผมเห็นคุณนั่งอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งหน้าห้องฉุกเฉินคงรอทำแผลให้ใครสักคนมั้ง..และวันหนึ่งผมก็มีโอกาสไปที่บ้านคุณพร้อมกับผู้ใหญ่ ไปคุยกับคุณลุงของคุณ..(กินเหล้ากัน) ผมจึงได้เห็นหน้าคุณในรูปถ่ายชัด ๆ .. ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยเจอะกันนะครับ..เราเจอะกัน บางทีเราคงจะเคยเจอะกันแถวกรุงเทพฯ บ้างก็ได้ แต่มันยังไม่ถึงเวลาที่เราจะรักกัน..เพ้อเจ้อนะครับ..ผมเขียนไม่เก่ง ขอโทษหากวกวน..จะเขียนมาอีกจนกว่าจะ
หมดหวังครับ..ร.ต.ต. เกียรติก้อง”

   สุริยาส่งจดหมายคืน รอยยิ้มเต็มวงหน้า..

   “ถ้าเขาเป็นคนดี พี่ก็ดีใจกับเธอนะ...แสงทอง พี่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่..แต่รักคนที่เขารักเราดีกว่า..ทำใจให้รักเขา มันง่ายกว่าทำให้เขารักเรานะ..”
   

   เกือบสัปดาห์ที่โทรศัพท์ไม่โชว์เบอร์สายเรียกเข้าเป็นเบอร์ของรุ่งโรจน์ สุริยาพยายามทำใจเข้าข้างว่าเขาไม่ได้ลืม เพียงแต่งานยุ่ง แต่อีกใจก็คิดว่า เมื่ออยู่ไกลกันมันก็ย่อมเป็นเช่นนี้ และเจ็บปวดไหนก็ไม่เท่าเมื่อภาพในหนังสือแนวปาปารัซซี่ ลงรูปของรุ่งโรจน์กับดาราวดี เดินเคียงกันจุ๋งจิ๋ง กลางเมืองชิคาโก้

   กิ่งทองใบหยก..

   แล้วเขาคือใคร พยายามตั้งสติทำใจ ด้วยรู้ว่าทางสายนั้นเป็นทางที่ถูกที่ควร..แต่..ความรักตนเห็นแก่ตัวมันก็เกิดขึ้น..เรารักกัน ทำไมเราจะไม่มีสิทธิ์อยู่ด้วยกันฉันท์ผัวเมีย

   มันเป็นไม่ได้หรอก..

   ถามเองตอบเองเสร็จสรรพ..

   “พี่ยา..คุณแม่พี่รุ่งต้องการพูดด้วย” แสงทองส่งโทรศัพท์ให้…

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






anop2521

  • บุคคลทั่วไป

26. (ต่อ)

:L1: :L1: :L1: :L1:

   “ฉันไม่อ้อมค้อมแล้วนะ”

   สุริยาใจเต้นแรงเพียงได้ยินประโยคแรก อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด

   “ฉันรู้ว่ารุ่งโรจน์คิดอย่างไรกับเธอ ฉันจะไม่ถามหรอกว่าเธอคิดอย่างไรกับลูกชายของฉัน แต่ฉันพอจะรู้ใจของลูกชายฉันดี เธอดูเป็นผู้ชายไทยหน้าตาธรรมดา ๆ คนหนึ่ง จะน่ารักเมินสายตาหนีไม่ได้ก็ตรงรอยยิ้มและหุ่นก้าน ถ้าเธอเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์คงเป็นพ่อพันธุ์ที่ดีทีเดียว”

   สุริยาเผลอกำมือแน่น เป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่มีคนมาพูดจี้ใจดำ

   “ภาพข่าวที่เกิดขึ้นฝีมือฉันเอง..มีหนูดาราวดีเป็นใจ..รุ่งโรจน์เขาไม่รู้หรอกว่าเป็นแผนของฉัน หรืออาจจะรู้ แต่ก็หนีไม่พ้น จริง ๆ จะว่าไปเขาก็เหมาะสมกันนะ..ฉันอยากให้ลูกชายฉันมีครอบครัว มีเมียเป็นผู้หญิง มีลูกเมื่อถึงเวลา”

   สุริยาพยายามตั้งสติอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก แต่กระนั้นหูก็ยังอื้ออึงฟังแทบไม่ได้ศัพท์

   “คราวนี้ฉันจะไม่ขอให้เธอไปจากชีวิตลูกชายฉันหรอก แต่ฉันจะให้เธอให้ความร่วมมือทำอย่างไรก็ได้ให้เขาสองคนได้แต่งงานกันโดยที่ลูกชายฉันตัดใจจากเธอได้อย่างเด็ดขาด และคิดกับเธอเพียงเพื่อนชายคนหนึ่ง เธอช่วยฉันได้ไหม”

   “ดะ..ได้..ครับ” สุริยารู้สึกว่าตัวเองกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นเหลือเกินความอับอายแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้า จนกระทั่งโฟกัสตาไม่สามารถที่จะรับภาพโดยรอบได้

   “เขากลับมาฉันจะเร่งจัดพิธีหมั้น..ปัญหามันอยู่ตรงนี้ เธอต้องให้ความร่วมมือ..พูดหรือทำอะไรก็ได้ให้เขายอมทำตามที่ฉันสั่ง เธอห้ามหนีไปไหน ให้เขาต้องวิ่งตาม เธอต้องอยู่ข้างเขา เผชิญกับความจริง ทำให้เขาเห็นว่าเธอรับได้ เธอคือแค่เพื่อนชายของเขา ทำได้ไหม”

   “ได้ครับ”

   “ขอบใจ ..สำหรับค่าจ้างครั้งนี้..แล้วฉันจะโอนเข้าบัญชีให้ ฉันไม่บอกตัวเลขนะ..”

   “ไม่ต้องหรอกครับ..” ศักดิ์ศรีความเป็นคนเข้ามาแทนที่

   “ไม่มากหรอก พอให้เธอตั้งตัวได้แค่นั้นเอง รับไปเถอะ”

   คุยกันอีกไม่กี่ประโยคสุริยาก็ขอตัวกลับ...เมื่อนั่งอยู่ในรถแท็กซี่เรียบร้อย สุริยาก็ปล่อยให้น้ำตาแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจไหลหยดย้อย..หากเขามีเงินเขาก็มีโอกาสที่จะเลือก เลือกที่จะเป็นอะไรก็ได้..หากเขามีเงินเขาคงไม่ถูกผู้หญิงคนนั้นดูถูก จะว่าเธอก็ไม่ได้ ก็เธอรักลูกเธอ ..เธอทำถูกแล้ว เขาต่างหากที่เป็นคนผิด ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่รู้จักขีดเส้นความสัมพันธ์ระหว่างกันตั้งแต่ต้น..ปล่อยให้เขาเข้ามาแสดงความรักความปรารถนา ปล่อยให้เขามาพาฝันว่าจะเดินไปเคียงกัน..ปล่อยให้เขาเข้ามามีส่วนร่วมแห่งการมีชีวิตต่อไปเกือบทั้งหมด

   แล้วทีนี้จะทำอย่างไร..กว่าจะหากันเจอ..กว่าจะพบคนที่ใช่ กว่าที่จะเข้าใจในความเป็นกันและกัน สุดท้าย พลัดพรากจากกันทั้งที่ยังมีชีวิต

   เย็นนั้นสุริยาไม่กลับเข้าออฟฟิศ เขามุ่งไปที่คอนโด ตั้งใจจะเก็บเสื้อผ้าหนังสือของตนออกมา..แต่ถ้าทำอย่างนั้นรุ่งโรจน์ก็จะเห็นถึงความผิดปกติ..เขาหันหลังกลับ ทิ้งทุกอย่างไว้ที่นั่น..เมื่อกลับถึงบ้านป้า..เข้าห้องปิดประตู..คิดและก็คิดหาทางออก ที่จะทำให้ใจตัวเองเจ็บปวดจากพิษรักน้อยที่สุด..

   “กลับบ้าน”...

   เก็บกระเป๋าแล้วก็โทรศัพท์หาแสงทอง..

   “แสงทอง สองทริปนี้แค่รถบัสเดียว หนูให้พวกเจ้าแก้วไปช่วยนะ คือพี่จะไปต่างจังหวัด ...กลับบ้าน..แม่พี่ไม่ค่อยสบาย อาจจะครึ่งเดือน อย่างไรพี่จะโทรติดต่อนะ ..ถ้าคุณรุ่งถามก็บอกตามนั้น ไม่ต้องตามไปนะ..ขอบใจมาก..”

   วางโทรศัพท์เช็ดน้ำตาที่ค่อย ๆ เอ่อไหล..

   บ้านของเขาก็คือวัด..จะกลับไปหาหลวงพี่ เพื่อนพระที่บัดนี้ได้ดิบได้ดีเป็นเจ้าอาวาส จะไปเป็นลูกศิษย์เดินตามก้นบิณฑบาต จะไปกวาดลานวัดเช้าเย็น จะไปถูศาลา ขัดห้องน้ำและก็ปลีกวิเวกเข้าไปสวดมนต์นั่งสมาธิในโบสถ์

   โลก..ถ้าเอาใจเข้าไปยึดไว้มากเท่าไหร่ ทุกข์ก็จะถาโถมมากเท่านั้น..คิดไปก็แอบเช็ดน้ำตาไป...ปล่อยให้ราคะมันลามท่วมใจเสียแล้วหนอ..

   ทุกข์อย่างนี้ซิเล่า ถึงมี พวกอกหักจึงคิดบวชไม่สึก
   

   เมื่อมั่นใจ ว่าใจที่เกือบจะขาดรอน ๆ เริ่มปรับตัวเข้าที่เข้าทาง..สุริยาก็เก็บกระเป๋าก้มกราบหลวงพี่พระเพื่อนสนิทกลับกรุงเทพฯ เผชิญกับความเป็นจริง..

   “อยากปลีกวิเวกก็มาได้อีก ยินดีต้อนรับเสมอ..ถ้าอยากบวชอีกรอบ หลวงพี่ยินดีเป็นเจ้าภาพให้..”

   ความจริงที่ต้องเผชิญคือทำให้ได้อย่างที่คุณแม่สิริฤดีร้องขอ..

   ไม่แสดงว่าเศร้าโศกเสียใจ..ยินดีเมื่อเห็นว่าคนที่รักกำลังจะไปดี..ไปสู่หนทางแห่งความถูกต้อง

   “พี่ยา พี่หายไปไหนมา พี่รุ่งกลับมา ซื้อของมาฝากเพียบเลย เสื้อผ้าของพี่ตั้งหลายชุด พี่รู้ไหม พี่รุ่งไปตามพี่ที่บ้าน ที่กำแพงเพชรด้วยนะ แต่พี่ก็ไม่อยู่ ทำไมพี่ต้องหลอกหนูด้วย”

   “พี่ไปหาหลวงพี่ที่รู้จักกัน ไปปฏิบัติธรรม..ขอโทษด้วยนะที่ทิ้งภาระไว้ให้..แสงทอง หากพี่ไม่อยู่ หนูทำทัวร์นี่ได้ไหม”

   “ไม่..” แสงทองปฏิเสธในทันที

   “ไม่ได้..ถ้าพี่ไป หนูก็ทิ้งที่นี่..พี่จะไปไหน มีอะไรรึ”

   “เปล่าพี่แค่ลองถามดู..อารมณ์คนปฏิบัติธรรม เลิกนั่งสมาธิใหม่ ๆ มันก็งี้แหละ..พอมันสงบมันก็ไม่อยากมาวุ่นวาย ไม่อยากมาดิ้นรน อยากหลุดพ้นจากกิเลสร้อยรัด แต่เอาเข้าจริง ๆ เดี๋ยวของแท้มันก็กลับมา แค่หินทับหญ้าเท่านั้น ไม่ต้องคิดอะไรหรอก พี่ถามเฉย ๆ ..”

   สุริยานั่งทำโปรแกรมคร่าว ๆ จนถึงสิ้นปี และเลยไปถึงต้นปี 48 อีกสามเดือน โดยมีแสง
ทองนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ใกล้ ๆ กับจดหมายสองสามฉบับ จากคนไกลแห่งปางจันทร์

   สุริยาชายตาไปมอง เห็นสุขจากการมีใครสักคนมารัก มาสนใจ..รู้ เพราะเคยได้รับมาก่อน
รู้ว่ารุ่งโรจน์ก็ยังเหมือนเดิม แต่ก็รู้ว่าตนควรทำตัวอย่างไร

   “คุณยะ..” พอเปิดประตูเข้ามา รุ่งโรจน์ก็ตรงดิ่งเข้ามาหา ด้วยใบหน้าไร้รอยยิ้ม สุริยาเงยหน้าจากกระดาษ ยิ้มกว้างให้ ทั้งที่จิตใจสับสน

   ระหว่างดีใจกับทุกข์ใจ

   “เป็นไงอเมริกา ”

   “คุณหายไปไหนมา ผมตามไปหาที่กำแพงเพชรคุณก็ไม่อยู่” รุ่งโรจน์ขึ้นเสียง สุริยาจ้องหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะชายตาไปทางแสงทองให้รุ่งโรจน์รู้สึกตัว

   รุ่งโรจน์มาหยุดตรงเก้าอี้ตัวตรงกันข้าม ดึงกระดาษและปฏิทินที่สุริยากำลังเขียนมาดู

   “ขึ้นเหนือตลอดเลยรึ”

   “หน้าหนาวไม่ขึ้นเหนือ ไม่ไปดูสายหมอกกับดอกไม้งาม ใส่เสื้อกันหนาวหนา ๆ แล้วจะไปไหน” สุริยาพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด

   “แต่เอ๊ะ..คริสต์มาสว่างนี่ โอเค..เปลี่ยนบรรยากาศไปเที่ยวทะเลกันไหม..”

   “ยิปปี้..” แสงทองมีหน้าระรื่นเข้ามายืนมองปฏิทินด้วย

   “โอเค ชอบมาก ๆ ..ไปหลาย ๆ วันนะ ไปให้ทั่วภาคใต้เลย เดือนธันวาจัดถึง 18-19 อีกตั้งสิบวันถึงปีใหม่หยุดยาว เลย..”

   “ค่าใช้จ่ายมหาศาลเลยนะแสงทองไปหลาย ๆ วัน..”

   “ไม่เกี่ยวกับทัวร์ ไปในนามผมแล้วกัน” รุ่งโรจน์เสนอขึ้น..

   “เอาเปรียบคุณเกินไปมั้งครับ ผมสองคนมีเงินเดือนกินกัน ถึงมันจะเป็นเงินของคุณก็เถอะ”
   
“คิดมากอีกแล้วคุณยะ”

   “แต่เรากำลังทำธุรกิจกันนะครับไม่ใช่เล่นขายขนม” น้ำเสียงของสุริยาจริงจัง จนรุ่งโรจน์ต้องก้มมองหน้า

   “โอเค ไว้คุยกันวันหลังแล้วกัน วันนี้ไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกัน แล้วก็ไปดูหนังสักเรื่อง”

   เมื่อได้ยินสุริยานิ่งใช้ความคิด

   “โอเค คุณเลี้ยงใช่ไหม ในเมืองนะ เบื่อห้างบ้านนอก”

anop2521

  • บุคคลทั่วไป
26 (ต่อ)

:L1: :L1:



สุริยารับนัดหมายแม่ของรุ่งโรจน์ที่ในล็อบบี้ของโรงแรมหรูกลางกรุงต้อนรับคนที่เคอะ ๆ เขิน ๆ ประหม่ากับบรรดาความศิวิไลซ์
   
สุริยาพนมมือไหว้ เมื่อเห็นคุณแม่สิริฤดี หญิงสาวผายมือให้เขานั่งที่โซฟาตัวตรงข้ามกัน พร้อมกับเรียกพนักงานมาสั่งเครื่องดื่ม

   “มีอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ” วันนี้คุณแม่สิริฤดี ผู้สูงส่งดูใจคอไม่ดีโอบอ้อมอารีย์เหมือนวันนั้น   หลังจากที่ก้าวลงจากรถเดินเกาะกลุ่มกันเดินเข้าประตูห้าง สายตาของแสงทองก็ไปสะดุดที่หญิงสาวแสนสวยไฮโซ ซึ่งกำลังก้มดูของในถุง

   “ไฮ..พี่ดี้..คุณดาราวดี..” แสงทองปรี่เข้าไปทักทาย..สุริยารีบเดินเข้าไปสมทบ โดยมีรุ่งโรจน์เดินรั้งท้ายเนือย ๆ ทั้งสี่คนทักทายกัน พร้อมกับชักชวนให้ร่วมวงในมื้อค่ำนี้

   “ยินดีค่ะ”

   “รูปอะไรคะ...” ระหว่างที่คีบอาหารเข้าปาก แสงทองก็ร้องถาม ดาราวดีมองหน้ารุ่งโรจน์ที่ทำหน้านิ่ง ๆ แล้วค่อย ๆ บอกว่า..

   “รูปตอนที่ไปเที่ยวค่ะ”

   “ขอดูได้ไหม”

   “อย่าดีกว่าค่ะไม่สวย” ดาราวดีทำท่าหวง แต่ช้ากว่าแสงทองที่ดึงมาเสียแล้ว..

   “อ้า..ต่างประเทศนี่..วิวผิดบ้านเรา” แสงทองเปิดไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งรูปคนในภาพเปลี่ยนแปลง..

   “พี่รุ่ง..”

   สุริยาชะโงกหน้าไปมอง ทำหน้ายิ้มแย้มก่อนจะดึงรูปมาดูด้วยอาการ หน้าชื่น..อกตรม

   “บังเอิญไปเจอะกับพี่รุ่ง..ก็เลยให้เจ้าถิ่นพาเที่ยวค่ะ”

   สุริยาลอบมองหน้าหญิงสาว รู้สึกว่าดาราวดีเล่นละครได้แนบเนียนมาก ดูสีหน้าของรุ่งโรจน์ยามนี้คล้ายกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดีที่ตนเป็นเพียงผู้ชาย ไร้สิทธิ์ที่จะหึงหวง การทำเช่นนี้ จะเป็นไปตามแผน คุณสิริฤดีวางไว้

   “ต่อไปมีกิจกรรมไปไหน ๆ ด้วยกัน จะต้องให้ดาราวดีติดไปด้วย จะโดยวิธีใดก็ตาม”

   ครั้งนี้บังเอิญ ครั้งหน้าจะต้องตั้งใจ...แล้วโปรแกรมภาคใต้ที่วางไว้ในเดือนธันวาคม..ก็ถูกดึงมาชักชวนดาราวดีให้เป็นเพื่อนร่วมทางเที่ยว สุริยาอ้างว่า เมื่อครั้งเชียงใหม่กระชั้นชิดและสุดวิสัยจริง ๆ แต่ครั้งนี้ อีกตั้งสามเดือน คุณดาราวดี มีเวลาเตรียมตัวอย่างแน่นอน

   “ชักอยากร่วมเป็นหุ้นกับพวกคุณแล้วซิ น่าสนุกนะคะ”

   “เหนื่อยค่ะคุณดี้..ไม่ได้ดูถูกว่าคุณทำไม่ได้นะคะ แต่เอาเป็นเงินจำนวนมาก ๆ ไม่คุ้มหรอกคะ ทัวร์เราเอื้ออาทร..”

   “นาน ๆ ไปเที่ยวกับพวกคุณสักทีในฐานะสต๊าฟละคะได้ไหม..”

   “ยินดีครับ..” สุริยารีบบอก โดยไม่สนใจกับมือของรุ่งโรจน์ที่บีบต้นขาของตนไว้

   หลังจากหนังจบ สุริยาบอกให้รุ่งโรจน์ไปส่งดาราวดี เพราะบ้านของหญิงสาวอยู่อีกทาง ส่วนตนกับแสงทองนั้นสามารถกลับแท็กซี่ได้

   “ไปด้วยกันทั้งสามคนนี่แหละ กรุงเทพฯ มีทางด่วน ขึ้น ๆ ลง ๆ สองชั่วโมงก็ถึงบ้านทุกคน”

   เมื่อส่งแสงทองที่ห้องแถวแล้ว สุริยาทำท่าจะไม่ขึ้นรถ

   “ไม่กลับห้องรึคุณยะ”

   “ผมจะไปบ้านป้าครับ..คือคุณป้าแกไม่ค่อยสบาย อยากมีคนอยู่เป็นเพื่อนเผื่อดึก ๆ”

   รุ่งโรจน์ไม่ฟังคำอธิบายเดินมาดึงสุริยาขึ้นรถแล้วปิดประตูดังปัง

   “มันเกิดอะไรขึ้นตอนที่ผมไม่อยู่ ทำไมคุณเปลี่ยนไป ไม่เหมือนตอนที่เราอยู่แพร่ น่านด้วยกัน..” น้ำเสียงของรุ่งโรจน์จริงจัง..สุริยาถอนหายใจออกมา

   “ผมมาคิด ๆ แล้วคุณรุ่ง..เรื่องของเรามันควร..ที่จะหยุดแค่ความเป็นเพื่อน..ผมไม่อยากคบคุณอย่างที่คุณอยากให้เป็น มันเป็นไปไม่ได้ และถึงมันจะเป็นไปได้ มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี มันเป็นเวรเป็นกรรมเป็นความผิดติดตัวไปยังภพภูมิเบื้องหน้า”

   “ไม่จริง”

   “คุณดูหนังเมื่อครู่หรือเปล่า หนังทุกเรื่องมีพระเอกกับนางเอก โลกมันเป็นอย่างนั้น ความจริงของธรรมชาติมันเป็นเช่นนั้น การที่เราเป็นอย่างนี้มันผิดธรรมชาติ มันไม่สุขจริง มันทุกข์ สังคมไม่ยอมรับ..”

   สุริยาเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ และรุ่งโรจน์ก็เหยียบคันเร่งขึ้นเรื่อย ๆ

   “ถ้าเราไปด้วยกันต่อ คุณจะให้ผมอยู่ในฐานะอะไรของคุณ ผัว หรือเมีย..” สุริยาตัดสินใจถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ ชัดเจนที่สุด ส่งผลให้รุ่งโรจน์หันมามอง

   “ไม่มีวันที่คุณจะทำตัวอยู่เหนือสังคมและจารีตประเพณีได้หรอกคุณรุ่ง เราเป็นแค่เพื่อนกันเถอะ..”

   รถคันนั้นหยุดลงที่หน้าบ้านคุณป้า พอสุริยาลงจากรถ รุ่งโรจน์ก็กระชากรถออกไปอย่างแรง..สุริยามองตามไปจนกระทั่งรถหายลับไปกับคลองจักษุที่เอ่อล้นด้วยหยาดน้ำตา

   อยากรู้เหมือนกันว่าที่สุดของความเจ็บปวดมันจะเป็นอย่างไร จะอยู่กี่วัน จะมีน้ำตากี่หยด ยืนให้น้ำตาไหล พราก ๆ จนหนำใจ แล้วก็เช็ดน้ำตาเปิดประตูเข้าบ้านพร้อมกับตั้งใจว่าคืนนี้จะสวดมนต์ล้างใจมันทั้งน้ำตา

------------------------   
   และตั้งแต่วันนั้น ..สุริยาก็ได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านประเด็นร้อน ๆ เกี่ยวกับรุ่งโรจน์ตลอดเวลา..ควงดารานางแบบไม่ซ้ำหน้า..ที่จ๊ะจ๋าจี๊ดจ๊าดประจำก็คือดาราวดี..คนที่คุณแม่หมายมั่นจับจอง..

   ดาวเคียงเดือน อยู่บนฟ้าสูง

   ตนเพียงเม็ดกรวดทรายเรี่ยรายดิน..ไม่คู่ควร

   วันเวลาที่ควรสุขสม กลับหมองไหม้ หวังว่าเขาจะโทรกลับมาง้อหยอดคำหวาน หวังว่าจะได้ยินเสียง เห็นหน้า..สบสายตาแบบคำว่าเพื่อน แต่รุ่งโรจน์แทบไม่มาให้เห็นเงา

   “พี่รุ่งเข้าออฟฟิศ แต่ออกไปแล้ว..” มีบางครั้งที่เป็นอย่างนั้น..จงใจให้เขาเจ็บปวด..เช่นเดียวกัน

   “เขาดังใหญ่แล้ว ถ่ายโฆษณารถยนต์หรูแล้วก็มีเบียร์อีกรายการ..”

   “มันบาป” อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้

   “บาปอย่างไร”

   “ก็มีส่วนทำให้คนอื่นนึกอยากกินนะซิ”

   “ก็เห็นรวย ๆ กันทั้งนั้น..บาปคนกินมั้ง” แสงทองยังเถียง สุริยาไม่ตอบ ตาจดจ่ออยู่กับงาน แต่ใจส่งไปไกลถึงรุ่งโรจน์ ภาวนาอย่าให้เขาก่อกรรมทำเวรทั้งทางตรงและทางอ้อม..

   ‘หากเราต้องจากกัน จากกันด้วยเหตุใด เก็บความคิดที่คล้ายกัน เก็บความสัมพันธ์ที่มีต่อ
กันนั้นไว้’

   ค่อย ๆ คัดถ้อยเพลงด้วยรักและผูกพันของเบิร์ดธงไชยลงบนกระดาษตรงหน้า..แสงทองค่อย ๆ ชะโงกหน้ามาดูแล้วถอยหลังกลับ..

   สุริยาคิดว่าแสงทองต้องรู้.. ตื้น.. ลึก ระหว่างเขากับรุ่งโรจน์ แต่หญิงสาวไม่พูดมันออกมา
เท่านั้น..

yayee2

  • บุคคลทั่วไป

Badmiffy

  • บุคคลทั่วไป
โฮกกกกกกก!!! เหนื่อยค่ะ เหนื่อยใจอย่าที่สุด เข้าใจคุณแม่ เข้าใจพี่ยะ

แต่แบบ.... แงงงงงงงง~ ก็หนูอยากให้เค้ารักกันนี่นา~

bow55

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ JJHJJH

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +293/-2
ขอให้บุญเก่าที่สะสมมาส่งให้พี่รุ่งคิดได้โดยไว้ >"<

เครียดๆๆๆ เดาอนาคตไม่ได้เลย ฮืออออ

บวกให้ค่า อยากอ่านต่ออย่างรุนแรง

wongwikkarn

  • บุคคลทั่วไป

anop2521

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 27.
    :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

   แล้วข่าวที่ทำให้สุริยาสูญเสียความทรงตัวก็คือ ข่าว..การหมั้นระหว่างรุ่งโรจน์และดาราวดี..แสงทองส่งหนังสือพิมพ์หน้าซุบซิบไฮโซมาให้ในตอนที่เขาเข้าออฟฟิศ..

   กิ่งทองใบหยก ดาวเคียงเดือน มิใช่อาทิตย์กับจันทรา

   ..หนี..เขาต้องหนี ไม่อยากได้ใคร่ดีอะไรอีกแล้ว..ทุกข์..ทุกข์เหลือเกิน ใจมันจี๊ด ๆ เจ็บปวด
ปานถูกเข็มนับร้อยนับพันเล่มทิ่มแทง..พยายามตั้งสติ แต่ถึงกระนั้น แรงกายแรงใจที่เคยมี กลับถดถอยไปอย่างทหารแพ้ศึก ไร้กระจิตกระใจจะทำงานการใด ๆ ทั้งสิ้น

   “แสงทองพี่จะกลับบ้านสักเจ็ดวัน แม่พี่ป่วย หนูดูแลกิจการเราได้นะ”

   “ได้สบายมาก ไปเถอะ พี่ยา แม่พี่หายดีแล้ว พี่ค่อยกลับมาก็ได้”

   “ขอบใจเธอมากนะ”

   “พี่ยา..ความรักมันไม่มีเหตุผลหรอก..ถูกผิดมันก็ไม่สน”

   “แต่คนก็ต้องมีศีลธรรม เลือกที่จะเจ็บดีกว่าเลือกที่จะผิดนะหนู” สุริยายังมีสติที่จะตอบให้คิด..

   “หนูบอกพี่รุ่งได้ไหมว่าพี่กลับกำแพงเพชร”

   สุริยาพยักหน้า..

   เวลาที่บ้านห้าหกวัน..ทำให้สุริยาได้คิด เหตุแห่งทุกข์มันมีอยู่ หนีมาไกลเสียได้ ไม่รู้ ไม่เห็น ใจมันก็ค่อย ๆ ดีขึ้น เขากลับไปนั่งที่ริมแม่น้ำ มองสายน้ำและก้อนหิน มองต้นไม้จากทิวเขาตรงหน้า มองทุ่งนาและเนินไร่ คิดแล้วก็คิดว่าจะทำอย่างไรที่จะกลับมาใช้ประโยชน์ตรงนี้
   น่าจะพอกันทีกับวิถีคนเมือง สองสามปีรู้แล้วว่าไม่เหมาะ ไม่ใช่ตน..ดิ้นรนชิงดีชิงเด่น เพื่อความมั่งมี เหนื่อยเพื่อเกียรติ เพื่อศักดิ์ศรี สุดท้ายต้องวางไว้ทั้งหมด ไปแต่อัตตาตัวกูของกู
   กอบเม็ดดินขึ้นมาเป็นกองเล็ก ๆ เห็นพยับแดดที่แผดเผา ก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ธาตุแห่งตนเช่นกัน..
   ยากจริงหนอกับการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
   มันไม่ใช่มรรคาแห่งอริยะเลย
   
คิดได้ก็สายเสียแล้วนายยะ..ชายสองโบสถ์สามโบสถ์คบได้เสียที่ไหน..คนโลเลหรอกที่ทำอย่างนั้น บวชเบื่อแล้วก็สึก แล้วก็บวช

   จะไปทางไหน จะไปทางไหน..สุริยาพิงหินก้อนใหญ่มองสายน้ำ

   “คุณยะ..คุณยะ” สุริยารีบลืมตาขึ้นส่ายตามองหาด้วยความดีใจ..ไร้เงา..แอบคิดว่าเขาน่าจะตามมาง้อ มาคุยกัน มาพูดให้เขาสบายใจ มาบอกจุดยืนว่าเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นะ แค่นั้น ต้องการเพียงแค่นั้น ไม่ใช่ความหมางเมินหนีหน้าอย่างนี้

..เจ็บกับการถูกทอดทิ้งให้ดูไร้ค่า..อย่างนี้กระมังที่คนอกหักหมดหวังถึงได้พึ่งสุรา..ดื่มเพื่อดับตัวคิดฟุ้งซ่าน..แต่สำหรับเขาคงไม่..จะดูอาการแห่งจิตจนถึงที่สุด..จะได้รู้จะได้มีประสบการณ์..ผ่านครั้งแรกเสียแล้วครั้งต่อ ๆ ไป จะได้ไม่มีปัญหา ควรที่จะไม่มีครั้งต่อไปอย่างเด็ดขาด วิถีชีวิตอย่างนี้ เผลอไปกับเขาคนเดียวเท่านั้น
   
หลงรูปจูบเงา..นึกนิยมชมชื่นตั้งแต่เห็นรูปตามสื่อ..คงคู่เวรคู่กรรมกันมา..ใยเสน่หาจึงได้ร้อยรัดจนมาพานพบชิดใกล้..ร่วมทุกข์ร่วมสุข

   “ทิด ทิด มานั่งทำอะไรตรงนี้”
   “แม่”
   “หลวงพ่อที่วัดมาหา มีเรื่องจะคุยด้วย”

   สุริยาเดินประคองแม่กลับไปที่บ้าน..แล้วเรื่องที่ท่านสมภารมาแจ้งก็ทำให้สุริยาหูตาสว่างขึ้นมาบ้าง   “ปีนี้วัดเรายังไม่มีใครมาปักกฐิน..ช่วยหน่อยได้ไหม เป็นประธานกฐินสามัคคีสมทบทุนสร้างรั้ววัด”

   “ได้ครับ” ตอบอย่างไม่ลังเลด้วยนึกถึงเงินที่คุณสิริฤดีโอนเข้าบัญชีมาให้ตามสัญญา

   “ดี..อนุโมทนาบุญล่วงหน้า ได้มากได้น้อยไม่สำคัญ ไปทำหน้าที่บอกบุญช่วยหน่อยแล้วกัน ผู้ใหญ่บ้านเขาก็จะหาอีกแรง..”

   “บอกเขาไปนะครับ สายของผมเป็นประธานใหญ่ ขอถือผ้าไตรเอก” พูดไปเพราะรู้ว่าบุญ
ไม่เท่ากัน..อยู่ข้างหน้าใจใหญ่กล้าชักชวนคนให้ร่วมบุญย่อมมีอานิสงส์มากกว่า และเขาก็รู้ว่าจะเดินทางกลับไปหารุ่งโรจน์ด้วยเรื่องอะไร ถ้ามีบุญอยู่ตรงกลางเสียแล้ว โศกก็จะสุข

   เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าเตรียมตัวลาแม่และพี่ ๆ กลับเข้าเมือง..หวังบอกเล่าข่าวบุญ ..บอกบุญแกมบังคับให้ต้องทำ เริ่มต้นจากโทรไปหา เสียงอู้ ๆ อี้ ๆ

   “คุณยะ คุณอยู่กำแพงเพชรใช่ไหม..โอเค..สัญญาณไม่ดี ผมกำลังขับรถครับ..”

   แล้วสายก็ตัดไป..สุริยาถอนหายใจออกมา แค่ได้ยินเสียงเพียงเล็กน้อย ใจที่ห่อเหี่ยว ก็เหมือนหญ้าแห้งถูกน้ำฝนโปรยปราย..มีพลังขึ้นมาอย่างประหลาด อานุภาพแห่งรัก..มันเป็นเช่นนี้เอง ไกลก็เหมือนใกล้..ทุกข์ก็เหมือนสุข..

   ก้มกราบแทบตักแม่ ..อยากกลับไปเป็นเด็ก ๆ อยากอยู่ในบนตักอย่างนี้ตลอดไป แต่คงเป็นไปไม่ได้ เสียงรถที่คุ้นเคยแล่นเข้ามาหยุดที่ตีนบันได..เสียงหมาเห่า สุริยารีบผละออกจากเรือน พบรอยยิ้มกว้างเต็มวงหน้า

-------------------------------------------------------------------------

anop2521

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 27 (ต่อ)


รุ่งโรจน์ลงจากรถพร้อมข้าวของพะรุงพะรัง

   “ผมเอามาฝากแม่และหลาน ๆ ครับ..” รุ่งโรจน์วางของ นั่งลง พนมมือไหว้ ไม่ถือสาความสูงต่ำทางชนชั้น

   “ผมจะมารับสุริยากลับไปทำงานครับ งานยุ่ง แสงทองทำคนเดียวไม่ไหว..คุณแม่หายป่วยแล้วนะครับ..”

   “ป่วยอะไร” คนเป็นแม่ไม่รับสมอ้างด้วย ทำให้รุ่งโรจน์ยิ้มในวงหน้า..สุริยาจึงแอบหยิกที่ด้านหลัง..ถามไถ่สุขทุกข์อยู่พักใหญ่ สุริยาจึงรีบพารุ่งโรจน์ออกมาจากบ้าน

   “มีเรื่องจะปรึกษา” สุริยาเริ่มประเด็นเมื่อรถออกวิ่งมาทางอำเภอลาดยาว

   “ผมรับปากจะหากฐินมาทอดสร้างรั้ววัด..ผมอยากบอกบุญคุณ..”

   “น้อยใจจัง นี่ถ้าไม่มีเรื่องนี้..คุณก็คงไม่” ว่าแล้วก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะถามว่า

   “กฐินอะไร..” รุ่งโรจน์ย้อมถาม ใบหน้าเรียบเฉยไร้รอยยิ้มผิดตอนอยู่ที่บ้าน สุริยารู้ว่าควรที่รุ่งโรจน์จะน้อยเนื้อต่ำใจจริง ๆ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ เรื่องที่ดำเนินต่อไป คือประโยชน์เกื้อกูล เหนี่ยวรั้งวันเวลาดี ๆ ที่จะได้อยู่ด้วยกัน

   “บุญกฐิน สามารถทำได้ปีละครั้ง วัดหนึ่ง ปีหนึ่งทำได้ครั้งเดียว และวัดนั้นต้องมีพระจำพรรษา อยู่ 5 รูป กฐินก็คือผ้าไตรจีวรสำหรับเปลี่ยนให้กับพระสงฆ์ที่อยู่จำพรรษา คือเปลี่ยนผ้าใหม่ให้พระ”

   สุริยาเล่านิทานต้นบัญญัติ พูดถึงอานิสงส์ที่จะได้รับ โดยที่รุ่งโรจน์ พยายามซักถามด้วยน้ำเสียง รวน ๆ อยู่ตลอด สุริยารู้ว่ารุ่งโรจน์เข้าใจที่ได้ยิน แต่แกล้งที่จะให้เขาเล่า อยากเห็นเขาอดทนที่จะบอกบุญ

   “โอเค ผมไม่เข้าใจจริง ๆ ว่ามันคืออะไร แต่ผมจะเป็นประธานให้แล้วกัน คุณไปจัดการได้เลย สองแสนพอไหม”

   สุริยาคำนวณรั้วที่จะก่อสร้าง ถึงไม่พอก็ถือว่าได้จำนวนมาก ของเขาอีกจำนวนหนึ่ง ทางสายบุญของผู้ใหญ่บ้านอีก คงใกล้เสร็จเต็มที

   “คุณว่าเป็นบุญใหญ่ ทำได้ยาก ผมอยากรู้ว่าบุญนี้จะทำให้ผมมีคุณตลอดไปได้ไหม..” รุ่งโรจน์หันมาจ้องหน้า

   “คุณรุ่ง..เราน่าจะคุยกันรู้เรื่องนะ”

   “รู้เรื่องแล้ว คุณทำไมต้องหนีผมมาที่นี่ด้วย..คุณโกหกว่าแม่ป่วยทั้งที่แม่ก็ยังดูสบายดี..คุณหนีความจริง คุณรับกับความจริงที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ แล้วทำไมคุณไม่หาความสุขใส่ตัวเล่า”

   “ยอมเจ็บดีกว่ายอมเป็นคนผิด เอาเถอะ คุณหมั้นกับคุณดี้ แล้วคุณก็ไปตามวิถีแห่งคุณเถอะ สักพักผมคงจะดีขึ้น” สุริยาไม่ปิดบังความรู้สึกที่แท้จริง

   “แต่ตอนนี้ผมยังเป็นอิสระ ผมยังมีสิทธิ์จะทำตามใจตน ดังนั้น เมื่อกี้คุณขอให้ผมเป็นเจ้าภาพกฐิน ผมยอมคุณ..แต่ตอนนี้ผมจะขอคุณบ้าง ตราบใดที่ผมยังไม่ได้แต่ง ขอให้เราเป็นเหมือนเดิม ขอให้เราได้อยู่ด้วยกันอย่างวันเก่าได้ไหม”

   “ไม่ได้” สุริยาตอบอย่างไม่ต้องคิด

   “ถ้าไม่ได้ ผมก็ไม่”

   “อย่าเอาเรื่องอื่นมาต่อรองเรื่องบุญกุศล” สุริยาเสียงกร้าวขึ้น รู้สึกโมโหนิด ๆ เพราะเคยบอกไปแล้ว ให้ทำบุญด้วยจิตที่เลื่อมใสศรัทธา ก่อนให้ก็ดีใจ ระหว่างให้ก็เลื่อมใส หลังจากที่ให้แล้วให้ระลึกนึกถึงผลบุญด้วยความปลาบปลื้มใจ

   รุ่งโรจน์เหยียบเร่งน้ำมันขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงนครสวรรค์ รถเลี้ยวซ้ายเข้าอำเภอชุมแสง ป้ายบอกทางเขียนว่าจังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ ประตูสู่อีสาน

   “คุณจะไปไหน..”

   “ไปภูกระดึง”

   “แล้วงานที่ยุ่ง ๆ ที่คุณว่า..”

   “ผมจัดการเรียบร้อยแล้ว แสงทองสบายดี มีคนช่วยและผมก็บอกกับแสงทองไปแล้วว่าเราสองคนเป็นกิ๊กกัน”

   สุริยาหันมาหารุ่งโรจน์มีสีหน้าตกใจอย่างมาก รุ่งโรจน์ยิ้ม ๆ

   “แสงทองบอกผม เธอรู้ตั้งแต่อยู่เชียงของแล้ว วันนั้นน่ะ วันที่เรา กอดกันอยู่ที่ระเบียงบ้านพัก..” สีหน้าของรุ่งโรจน์ตอนนี้ดูเป็นต่อจนน่าหมั่นไส้

   “เพราะคุณ” สุริยาขบเคี่ยวเขี้ยวฟัน

   “คุณเชื่อ”

   “ก็เป็นไปได้นี่” สุริยาเริ่มลังเลหวั่นไหวกับคำบอกเล่า..

   ถึงมันเป็นเรื่องจริง ๆ แต่มันก็เป็นเรื่องหน้าอายด้วย โดยเฉพาะกับผู้หญิงคนหนึ่งที่มาแอบหลงรักเขา และถ้าเขามีความเป็นสุภาพบุรุษสักนิด จริง ๆ ควรที่จะสารภาพผิดนี้ซะ..

   “..เวลาผมกับคุณ เวลาของเราเหลือน้อยลงแล้ว..ผมต้องตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ ผมต้องทำหน้าที่สามีที่ดี ผมต้องรับผิดชอบต่อครอบครัวทำธุรกิจการงาน จึงจะได้ชื่อว่าลูกกตัญญู หัวใจผมจะเป็นอย่างไร ต่อไป ผมไม่อยากจะคิด ผมรู้ว่าคุณไม่อยากทำผิด ไม่อยากเป็นคนบาป หรือถ้าคุณอยากเป็นคนบาป คุณก็ไม่อยากเป็นที่สองรองใคร เวลาที่เหลืออยู่ ก่อนที่ผมจะแต่งงานหลังปีใหม่ ผมอยากอยู่กับคุณตามลำพัง..เราจะไปด้วยกันทุก ๆ ที่ ลงจากภูกระดึง เราจะไปหนองคาย จะไปเที่ยวให้ทั่วอีสาน..หลังจากนั้นเราจะเป็นแค่เพื่อนกัน จริง ๆ ถ้าผมรักจะเดินบนทางสายนี้ มีผู้คนในแบบเรา ๆ ให้ผมเลือกเยอะแยะ..แต่ผมรักคุณไปเสียแล้ว”

   สุริยาเมินหน้ามองข้างทาง คิดในใจว่า ‘ผมก็รักคุณไปเสียแล้วเช่นกัน’

   อยากร้องไห้ อยากเปิดประตูรถกระโดดลงไป มั่นใจว่าทำใจได้แล้ว ยิ่งช่วยกันสานก็จะยิ่งเจ็บ หลังปีใหม่..หลังปีใหม่..ปี 48 เขาจะเป็นอย่างไร แค่คิดหัวใจก็จะหยุดเต้นแล้ว

   รุ่งโรจน์ดึงมือสุริยามากุมไว้

   “วันนี้คุณดีใจที่เห็นผมใช่ไหม ผมก็ดีใจที่ยังมีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของคุณ..ผมขอโทษที่ทำให้คุณต้องมีความทุกข์ แต่อะไรก็ตามที่คุณคิดว่า คุณได้มาแล้วจะทำให้คุณมีความสุข ผมจะให้คุณทุกอย่าง..ยกเว้นการให้ผมเดินไปจากคุณในวันนี้”

   เมื่อจำนนต่อเหตุผลและความรู้สึกของตน สุริยาจึงต้องปล่อยให้รุ่งโรจน์เป็นคนบงการเวลาที่เหลืออยู่ อย่างรู้สึกโมโหกับอำนาจกามราคะของตน..

   ไหน ๆ ก็ต้องเจ็บ ก็ไม่ขอแค่เจ็บปวดอย่างนี้ ขอเจ็บเจียนตายแล้วกัน
   -------------------------------------------------------------------------

anop2521

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 27 (ต่อ)

รถคันนั้นแล่นมาถึงอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ในเวลาพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว สุริยาลงไปถามที่ป้อมยาม ถึงข้อปฏิบัติการเดินขึ้นสู่ยอดภู

   0700น. ถึง 14.00น. ระยะทาง 5.5 กม.ทางชัน และทางราบอีก 3 กับการเช่าเต็นท์ ถุงนอนและผ้าห่มกี่ผืนก็ได้ตามแต่กำลังเงิน อาหารตกประมาณจานละ 30-40 บาท เพราะของทุกอย่างข้างบนต้องจ้างลูกหาบขน ในราคา กิโลกรัม ละ 10 บาท..

   “พรุ่งนี้ถึงจะขึ้นได้ เย็นนี้เราไปหาที่พักกันเถอะ..”

   “ในนี้ไม่ได้รึ” รุ่งโรจน์เดินกลับมาจากห้องน้ำ ใบหน้ามีหยดน้ำเกาะจนชุ่ม...สุริยาดึงผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อมาซับให้ ปากก็พูดไปว่านอนในที่ทำการข้างล่างไม่ได้ด้วยเหตุใด..

   “ต้องจองและจ่ายล่วงหน้า จากกองอุทยานแห่งชาติ”

   ...รุ่งโรจน์เม้มปากหลับตา..สุริยาเพ่งมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาจนเต็มตา และก็อดที่จะใจแป้วไม่ได้..ใบหน้านี้วันหน้ากำลังจะเป็นของคนอื่น จมูกนี้คนอื่นจะมาคลอเคลีย..เป็นเจ้าข้าวเจ้าของ

   เมื่อลดมือลง เขาจึงรีบหันหลังเพื่อกั้นความรู้สึกสูญเสีย

   “งั้นเราต้องออกไปหาที่นอนข้างนอก..ไปเถอะ”

   ที่ร้านอาหารในตัวอำเภอ รุ่งโรจน์ยิ้มแย้มเอาอกเอาใจ ดูมีความสุขเสมือนว่าระยะทางจากปางศิลาทองถึงภูกระดึงใกล้แค่ดอนเมือง-รังสิต..สุริยาเองก็พยายามที่จะทำให้เป็นปกติบริสุทธิ์ใจไร้เดียงสาเฉกวันที่ได้พบกันที่ปางจันทร์

   รุ่งโรจน์สั่งเบียร์ยี่ห้อที่ตัวเองเป็นพรีเซนเตอร์มาหนึ่งขวด..เด็กที่เดินมาบริการยิ้มให้..พร้อมกับยื่นกระดาษขอลายเซ็น

   “รู้ไหมว่ามันไม่ดีเลย..” สุริยาหน้าบึ้ง..

   “เรื่องนี้ แสงทองฟ้องผมแล้ว แต่ทำไปแล้วนี่ ทำไงได้ เงินดีด้วยนะ..เจ็ดหลัก..ทำบุญสร้างวัดสักครึ่งก็ได้นะ” คนพูดยกเบียร์ขึ้นจิบ ทำท่าสุขสดชื่นแบบในสปอร์ตโฆษณา

   “เงินไม่บริสุทธิ์ ได้บุญน้อย”

   “แต่มันสุจริต เขาเต็มใจให้นะ..อย่าพูดเรื่องพวกนี้เลย ทะเลาะกันเปล่า ๆ ผมเปลี่ยนตัวเองขนาดนี้แล้ว คุณยังไม่พอใจอีกเรอะ..เอาน่าคุณยะ..หยวน.. ๆ”

   สุริยาจำต้องเงียบแล้วก็เปลี่ยนเรื่องใหม่

   “ถ้าคุณกินเบียร์แทนน้ำอย่างนี้ พรุ่งนี้คุณจะมีแรงเดินขึ้นยอดภู เรอะครับ..”

   “ไล่ความหนาวเย็น..และที่สำคัญผมมากับคุณ คุณคงไม่ทิ้งผมหรอก…ใช่ไหม..”

   อาหารค่ำท่ามกลางบรรยากาศหนาวเย็นมื้อนั้น รุ่งโรจน์สั่งอาหารที่ดีที่สุดมาตั้งมากมาย...สุริยาพยายามห้ามปราม แต่เขาก็บอกว่า

   “ผมอยากให้คุณได้ลอง ได้รู้ ได้เป็นในสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ผมมีอยู่ รับไปเถอะครับ”

   สุริยาจำนนเหตุผลนั้น..ในขณะที่ใบหน้าเริ่มแดงและดวงตาเริ่มฉ่ำเยิ้มด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์..รุ่งโรจน์ก็พล่ามความในใจที่สุริยาแทบตัวลอยอีกหลายประโยค

   “ผมจะพยายามดันคุณขึ้นให้เป็นดาวประดับเมืองให้ได้..ผมจะทำรายการโทรทัศน์กับคนรู้จัก เริ่มต้นจะให้คุณเป็นพิธีกรภาคสนาม พาคนไปไหว้พระธาตุเจดีย์ทั่วไทยอย่างที่คุณต้องการ หลังจากนั้นพอคุณเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาทางโทรทัศน์แล้ว อาจจะมีโฆษณาสินค้าตามมาสักสองสามตัว  พอคุณมีงานที่ได้เงินมาง่าย ๆ คุณก็เปลี่ยนที่อยู่ ซื้อรถขับ มีธุรกิจทัวร์ติดดาว มีชีวิตในแบบใกล้เคียงกันกับผม ถึงเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ผมก็อยากเห็นคุณอยู่ในสายตาตลอดไป คุณว่าดีไหม..”

   สุริยาไม่ตอบ..ด้วยทั้งหมดมันยังมาไม่ถึง รึถ้ามันเป็นไปได้จริง ๆ ตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะทำในสิ่งที่รุ่งโรจน์พูดได้หรือเปล่า..

   อยู่ในหัวใจ อยู่ในสายตา..แต่ไม่มีวาสนาได้อยู่ร่วมกัน..สุขหรือทุกข์..
   

   ในเวลาประมาณหกโมงเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ทันจะโผล่พ้นยอดไม้ ผู้คนหลากวัยมากหน้าหลายตาก็ถือเป้สะพายกระเป๋าไปยืนต่อคิวเสียค่าธรรมเนียมขึ้นภูกระดึง ชั่งน้ำหนักกระเป๋า รับบัตรสัมภาระเป็นขบวนยาวด้วยสีหน้าชื่นมื่นประหนึ่งกำลังจะพากายนี้ไปสู่ในที่สุขแสนสุข

   มนต์เสน่ห์ของภูเขายอดตัดรูปหัวใจ ความยากลำบากในการเดินทางไม่มีผลต่อความใคร่รู้ ศึกษาในเรื่องความรัก..มาเพื่ออะไร...ลำบากก็ลำบาก..น่าจะมีกระเช้าไฟฟ้า..

   รอเวลาให้ถึงเจ็ดโมงเช้า รุ่งโรจน์เดินเกาะบ่าสุริยาเดินดูข้อมูลที่ศูนย์บริการ เห็นสมุดลงความเห็นว่าควรมีหรือไม่มีกระเช้าไฟฟ้า..สุริยายืนอ่าน..ส่วนใหญ่เห็นว่าไม่ควรมี..เพราะจะขาดความเป็นภูกระดึง..รึต่อไปถ้ามันมี..ความเป็นภูกระดึงจะเป็นอย่างไร..เมื่อยังไม่ได้ขึ้นก็ยังไม่รู้..ไม่ออกความคิดเห็น

   จุดเริ่มต้นทางขึ้นเขามีซุ้มบอกไว้สวยงาม พร้อมกับป้ายให้รู้ว่า..

   “ครั้งหนึ่งในชีวิตขอพิชิตภูกระดึง.”

   ผู้คนที่ต้องเดินร่วมทางมีสีหน้าเบิกบาน มาเป็นกลุ่มเฉพาะชาย เฉพาะหญิง และมาเป็นคู่เดี่ยว คู่ผสม และคี่...ไอ้ที่คี่สุริยาอดคิดไม่ได้ว่า..จะมาหาคู่ข้างบนหรือเปล่า..

   ผ่านซำแฮกมาได้ รุ่งโรจน์ก็เหนื่อยหอบนั่งพักหายใจแฮก ๆ สมชื่อ..สุริยาส่งผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้ ส่งขวดน้ำให้ดูด..ส่งมือรั้งให้ยืนและก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน..

   เสน่ห์ที่หนึ่งของภูกระดึงคือการได้ช่วยเหลือกัน ร่วมทุกข์กันระหว่างเพื่อนกับเพื่อน ระหว่างคนรักกัน หรือกำลังรักกัน เสน่ห์ที่สองเห็นจะอยู่ที่ภูมิประเทศ อากาศที่เย็นยะเยือกทั้งที่มีแสงแดดสาดส่อง เสื้อผ้านักเดินทางส่วนใหญ่ จึงมีสีสันราวตัวละคร

..เสน่ห์ต่อมา คือ ภาพของความรัก เพื่อนกับเพื่อน ฉุดกระชากลากถูให้กำลังใจที่จะก้าวพ้นความยากลำบากตรงหน้า ตรงทางสูงชัน ตรงก้อนหินที่ต้องป่ายปีน..เขาทำได้ เราก็น่าจะทำได้..ประคับประคองกันเดินไป จุดหมายปลายทาง ความปรารถนาคือความสุข ข้างบนคือ ความสุข ..ชีวิตที่ผ่านอุปสรรคไปได้จะมีรางวัลคือความสุข
   
และที่สุริยารู้สึกขัดแย้งในใจคือภาพเด็กวัยรุ่น..วัยที่กำลังใช้เงินพ่อแม่เพื่อศึกษาเล่าเรียนพากันมาปีนป่ายค้นหาบางอย่างของชีวิต.. มันถึงเวลาแล้วรึ..แต่อีกหนึ่งมุมก็คิดว่าถ้าไม่มาตอนกระดูกยังอ่อน พอถึงเวลาทำงานก็จะมาเสียเวลาที่นี่นาน ๆ ก็ไม่ได้..หรือพอหมดงานเกษียณอายุ สังขารก็ร่วงโรย..

   เอ๊ะ..ควรหรือไม่ควรมีกระเช้า..คิดไม่ออก..จนกระทั่งผ่านซำแคร่ถึง..หลังแป..ก็พบป้าย ครั้งหนึ่งในชีวิตเราคือผู้พิชิตภูกระดึง..กับภาพที่ลูกหาบปลดสัมภาระหนักห้าหกสิบกิโลลงจากบ่า..ใส่รถเข็น..

   คนทุกคนปรารถนาความหลุดพ้นจากความยากลำบาก จากความยากจน จากทุกข์ประจำใจ อดทนอดกลั้นเท่านั้นจึงจะผ่านมันไปได้

   แต่สุดท้ายก็กลับไปเริ่มต้นใหม่ ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ..ชีวิตที่เป็นอยู่ก็เฉกเดียวกัน..วน ๆ เวียน ๆ ซ้ำซาก

   เบื่อกับความเป็นคนสองอารมณ์ของตน เห็นอย่าง คิดอย่างที่เห็นกลับคิดอีกอย่าง..

   ในเวลาคล้อยบ่าย แดดยังจ้าแต่สายลมเย็น เสียงใบสนซ่าซ่าน..รุ่งโรจน์กับสุริยาเช่าจักรยานปั่นไปศูนย์วังกวางเคียงกัน ทำเรื่องเช่าเต็นท์ เช่าเครื่องนอน รับสัมภาระจากลูกหาบมาเก็บ รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะพากันออกไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่ผาหมากดูก

   พระอาทิตย์ตกดินที่ไหนก็เหมือนกัน คือหายไปแล้วก็ทิ้งความมืดมนเคว้งคว้างไว้ให้ผู้คนต้องวุ่นวาย..หรือว่าได้หยุดวุ่นวายเตรียมตัวพักผ่อน..มันมีสองด้านในหนึ่งสิ่ง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด