แอร้กกกกกกกกกกกก จบไม่ลงแล้ว ทำไงดี้ ทำไงดี ยิ่งเขียนยิ่งมึนหาทางจบไม่ลง แถมตัวละครเพิ่มอีกต่างหาก
เวรล่ะฉัน เดี๋ยวได้กินยาตายแน่ ฮือ
แต่จะอดทนนะ เพื่อทุกคน ดีใจที่คอมเมนต์ให้กำลังใจเยอะ จะพยายามคะ แค่คอมเมนต์เยอะๆเราก็สู้ไม่ถอยเหมือนกัน
ตอนนี้ขออย่าน้อยกว่า 50 คอมเมนต์นะจ๊ะเพื่อเป็นขวัญกำลังจายยยยยยยยย อิอิ
ขอบคุณทุกคอมเมนต์ล่วงหน้าจ้า
ตอนที่ 20 มนตราปีศาจ
มันคือ สิ่งต้องห้าม
มันคือ ความผิดพลาด
มันคือ อันตราย
แม้รู้อย่างนี้แต่ก็อดใจไม่ได้ ในเมื่อรอยยิ้มอ่อนหวานของเธอ คือดวงตะวันสำหรับคนมืดมัวอย่างฉัน ความสุขสดใสของเธอเป็นดั่งสายลมเย็นเหนือยอดเขา ทำให้ฉัน.....รู้สึกว่าได้หายใจเต็มปอดอีกครั้ง
เช้าวันเสาร์
จะ 9 โมงแล้วท้องฟ้าอึมครึ้มคล้ายจะมีฝนอยู่ตลอดเวลา กัลยาลักษณ์มองลอดหน้าต่างห้องครัวอย่างไม่ชอบใจ วันหยุดทั้งทีจะตากผ้าบ้างก็ดันครึ้มฟ้าครึ้มฝนเสียนี่ เมื่อไรเสื้อผ้าเธอจะโดนแดดนะ รอมาเป็นอาทิตย์แล้ว
“รุนหวาดดดดด...ฮ้าววววว” ลูกชายตัวดีเดินหาวปากกว้าง หัวยุ่งกระเซิงเข้ามา “...มีไรกินบ้างครับ”
“ไม่มี หาไรกินเองเถอะ” เธอตบก้นลูกชาย เพี้ยะ!
“แม่อะ..”
“โตแล้วนะ หัดตื่นเช้าๆ วิ่งออกกำลังฟิสหุ่นเหมือนแด้ดเขาบ้างสิ พุงยื่นแบบนี้เมื่อไรจะมีแฟนกับเขาเสียที ห๊า..”
“แม่อะ....อย่าตอกย้ำได้ไหม ผมเรียนหนักนะ นานๆก็อยากตื่นสายกับเขาเหมือนกัน”
“นานๆตื่นสายกับเขาเหมือนกัน โถ....ไม่ดูตัวเองเลย ตื่นสายทุกวันแท้ๆ แม่จะบอกให้นะเลิกทำตัวขี้เกียจเสียที จริงจังกับชีวิตหน่อย สาวๆน่ะชอบผู้ชายที่ดูแลตัวเองดีนะ ถ้าลูกยังมัวแต่เป็นหนอนนอนอืดอย่างนี้ อีกหน่อยก็กลายเป็นตาอ้วนโง่ที่ไม่มีใครสนแน่”
“บ่นๆๆๆ แม่นี่ก้อ....ถ้าผมตื่นเช้าวิ่งออกกำลังบ้าง แม่คงพอใจสิ พรุ่งนี้ผมจะเริ่มวิ่งออกกำลังให้ดูเลย” ชายหนุ่มเปิดตู้เย็นหยิบนมกล่องออกมา อารมณ์ขุ่นแต่เช้าเลย เขาชักรำคาญแม่แล้วนะ
“ขอให้จริงเถอะ แล้วแม่จะคอยดูว่าเราทำได้สักกี่วัน”
ก๊อกๆๆๆ เสียงเคาะประตูหน้าบ้านแทรกบทสนทนาแม่ลูก กันยาลักษณ์ถอนหายใจเฮือกเดินออกมาเปิดประตูรับแขก หัวใจเธอกระตุกวาบอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อพบหน้าแขกที่มาเยือนแต่เช้า
ช่างเป็นสีดำที่ลุ่มลึกตรึงตาแต่แรกเห็นจนลืมตัวไปชั่วขณะ ชายหนุ่มตรงหน้ามีสีดำที่น่าหลงใหลบนร่างกายทำให้หัวใจผู้หญิงเต้นตึกตักไปหมด ผมเขาสีดำขลับสั้นติดต้นคอ ทำให้ผิวหน้าโดดเด่นเป็นพิเศษ โดยเฉพาะคิ้วเข้มเหนือดวงตาคมบาดหัวใจ สันจมูกโด่งได้รูป ใบหน้าคมคายอย่างหนุ่มใหญ่เจ้าเสน่ห์ อยู่ห่างตรงนี้ยังได้กลิ่นโคโลญหอมกระจายมาถึงนี้ ร่างสูงใหญ่ไหล่กว้างอยู่ในชุดสูทสีดำทั้งตัวอย่างนี้ ยังกะเจ้าชายผู้เลอเลิศจากประเทศไหนสักที่มาหาเจ้าหญิงถึงหน้าบ้าน
“สวัสดีครับ ที่นี่ใช่บ้านของนิคกี้หรือเปล่าครับ”
“......???” กัลยาลักษณ์กระพริบตาหลายปริบ ตั้งสติครู่ใหญ่กว่าจะยิ้มออกมาได้ “คะ....ใช่คะ”
“ผมชื่อ ดาร์ท ชไนเดอร์ เป็นเพื่อนของเขา วันนี้แวะมาเยี่ยมน่ะครับ”
“อ๋อ เพื่อนของนิกกี้เหรอคะ” เธอยิ้มกว้าง แต่ในใจ ต๊าย...ดูคนล่ะชั้นกับลูกฉันเลย
“เขาอยู่ไหมครับ”
“อยู่คะ อยู่”
“ผมอยากจะพบเขาสักหน่อย คุณพอจะ....” ดวงตาสีฟ้าใสค่อยๆเข้มจัดจนเป็นสีน้ำเงินลุ่มลึกสะกดให้ตรึงตาอยู่เช่นนั้นพลังบางอย่างแทรกลึกถึงความคิดในหัว “อนุญาตให้ผมเข้าไปในบ้านได้ไหมครับ”
เพียงเท่านี้ ก็เหมือนมีมนต์วิเศษที่ทำให้กัลยาลักษณ์อ่อนระทวยไปทั้งตัว ทั้งหัวใจลงกองแทบเท้าผู้ชายคนนี้เลย ทำไมช่าง....เขย่าหัวใจคนได้ง่ายดายปานนี้นะ
“คะ เชิญคะ ยินดีต้อนรับ” เธอเปิดประตูออกกว้าง
“ขอบคุณครับ”
“นิค....นิค เพื่อนมาหาแน่ะ”
“คร้าบบบ” สียงดังมาก่อนตัว กัลยาลักษณ์ยิ้มเจื่อนเมื่อนึกได้ว่าเจ้าตัวดียังอยู่ในชุดนอนอยู่เลย แต่จะร้องห้ามก็ช้าไปแล้ว นันทกวีใส่เสื้อยืดยับๆกับกางเกงขาสั้นเดินเกาพุงออกมา
“หวัดดี”
ชายหนุ่มกำลังยกแก้วนมขึ้นดื่ม พอเห็นหน้าคนที่มาหาถึงกับลมจุกขึ้นที่คอหอย นมในปากพุ่งพรวดออกมา ฟู่!!!!!!!!
“ต้ายแล้ว นิค”
“แค่ก....แค่ก....นาย...มา.....ทำไม” เขาทั้งสำลัก ทั้งไอ น้ำหูน้ำตาไหล แถมขี้มูกยังไหลย้อยเป็นนมอีก
“เช็ดหน้าเช็ดตาก่อน ลูกคนนี้นี่...” กัลยาลักษณ์หยิบทิชชู่ให้ช่างวุ่นวายขายหน้าจริงๆ เธอหันมายิ้มแก้เก้อกับแขกที่แสนมีระดับ แต่ต้องชะงักกึก เมื่อครู่หน้าบ้านชายหนุ่มหน้าตาเป็นผู้ใหญ่มีเสน่ห์วัยใกล้เธอ แต่ตอนนี้ใบหน้าอ่อนวัยลงเห็นได้ชัด อายุใกล้เคียงกับลูกชายเลย สายตาเธอไม่ดีขนาดนี้ได้ยังไง
“นาย....” นันทกวีชี้นิ้วจะว่า
“ไปเที่ยวกันเถอะ”
“หา??”
“วันนี้นายว่างใช่ไหมล่ะ ฉันเลยจะชวนไปเที่ยว เราจะได้สนิทกันมากขึ้นไง”
เรื่องอะไร? ขืนอยู่ด้วยมีหวังขนลุกไปทั้งวันแน่ ชายหนุ่มกำลังหาข้ออ้างดีๆ จู่ๆร่างสูงใหญ่กว่าก้าวเข้ามาประชิด ดวงตาสีฟ้าจ้องลึก เขารู้สึกถึงพลังที่สอดแทรกเข้ามาในความคิดชัดเจนเลย
“ไปนะ” เพียงสองคำสั้นๆเท่านั้น อารมณ์เคือง ความคิดปฏิเสธในหัวอ่อนยวบเป็นเยลลี่เลย นันทกวีคิดไรไม่ออกเลย เขาอึกอักพูดไม่ออกจนกลืนน้ำลายเฮือก
“ฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อ”
“ฉันจะรอ”
เห้อะ ฉันจะรอเรอะ ฟังยังกะโดนเยาะเย้ยชะมัด ไอ้บ้า...มาบ้านคนอื่นแล้วบังคับกันหน้าด้านๆเลย........แล้วทำไมกูต้องทำตามมันด้วยนะ นันทกวียืนงงอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า เขาไม่ชอบคนๆนี้เลย แต่กลับฟังคำพูดแค่ไม่กี่คำได้เฉยเลย เอาไงดีวะ
“นิค.....” แม่เร่งยิกๆแล้ว ชายหนุ่มตัดสินใจคว้าเสื้อยืดกางเกงยีนต์เปลี่ยนอย่างว่องไวลงมาข้างล่าง
“เสื้อดีๆก็มีไม่ใช่เหรอ ทำไมเลือกตัวนี้ล่ะ”
แค่เห็นตัวแม่ทำให้เขารู้สึกอายแล้ว “ผมรีบฮะ”
“ไปกันเถอะ” ดาร์ทผายมือให้นำไปก่อน
“เที่ยวให้สนุกนะ” แม่โบกมือหย๊อยๆ ร่าเริงผิดกับลูกชาย พอประตูปิดลง เธอก็นึกขึ้นได้ เพื่อนของลูกนั้นเป็นลูกเต้าเหล่าใครกัน ทำไมถึงไม่ถามไถ่อย่างที่ควรทำนะ กัลยาลักษณ์รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ข้างนอกท้องฟ้าครึ้มเมฆสีเทาเต็มท้องฟ้าไม่เห็นแสงแดดสักนิด เป็นวันที่ไม่เหมาะจะออกเที่ยวนอกบ้านสักนิด แล้วรถลีโมจอดรอหน้าบ้านนี่โคตรจะเด่นสะดุดตาเลย
“นายนั่งรถนี่มา”
“ใช่”
“หรูดีจังนะ แล้วจะไปไหนล่ะ”
“อืม....” ดาร์ททำหน้าคิดนิดหนึ่ง “บ้านฉันเป็นไง”
“บ้านนาย??”
“ใช่” เขาก้าวมายืนจ้องหน้าในระยะประชิด “ฉันคิดว่าคงทำให้นายอึดอัดใจไม่น้อย ดังนั้นเริ่มจากการทำความรู้จักกันใหม่น่าจะดีนะ”
ฝ่ามือใหญ่โอบไหล่เล็กกว่าให้ขึ้นรถเสียที คนขับรถเปิดประตูรออยู่นานแล้ว พอเข้าอยู่ข้างในสถานที่จำกัดเพียงแค่สองคน นันทกวีกลับรู้สึกว่าบรรยากาศนุ่มนวลอ่อนเบากว่ามีบุคคลอื่นร่วมด้วยมาก เขาหันมามองคนนั่งข้างๆเบียดจนไหล่ชนไหล่ รายนี้มองเขาด้วยแววตาสีฟ้าสดใสแสดงความพึงพอใจ
ทำไม......ถึงมองฉันด้วยสายตาแบบนี้ด้วย??
“เรา...จะไปไหนนะ บ้านนายใช่ไหม”
“ใช่ บ้านสเปนเซอร์ ที่อยู่บนเขา” พอได้ยินอย่างนั้น เขาก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง บ้านพักตากอากาศของคุณนาย สเปนเซอร์ แม่ม่ายเศรษฐีนีชาวอเมริกัน เธออยู่ที่นี่นานทุกคนในเมืองรู้จักเธอหมด ทว่า....
“นาย.....เป็นไรกับคุณนายส....”
“ลูกชาย”
“.....คุณนายไม่มีลูกชายนี่นา”
“ลูกบุญธรรม” อีกฝ่ายแก้คำทันควันอย่างน่าสงสัย แถมตีสีหน้าสนุกกวนสายตาเขาเสียด้วย นันทกวีเม้มปากแน่นกับคนๆนี้เขาไม่รู้จะวางตัวอย่างไรดี เพราะดูลึกลับ มีเลศนัย จนทำใจให้สนิทด้วยไม่ได้เสียที ในรถเงียบกริบกระทั่งแล่นขึ้นจอดในคฤหาสน์หรูที่คุ้นตา
คนขับรถลงมาเปิดประตูให้ นันทกวีมองไปรอบๆอย่างตื่นตา
ตั้งแต่เล็กจนโตเห็นที่นี่แต่ไกลๆมาตลอด เพิ่งได้เข้ามาดูสวนสวยกับทิวทัศน์ของเมืองที่อยู่ต่ำลงไป ถึงรู้ว่าเมืองนี้สวยมากขนาดไหน
“สวยมากใช่ไหม”
“ใช่ สวยมากเลย เสียดายไม่ได้เอากล้องมาด้วย”
“เอาไว้วันหลัง มาอีกสิ”
หื้อ?? พูดแบบนี้
“กิล....กิล นายไปไหนมา” ทั้งคู่หันไปมอง ชายสูงวัยคนหนึ่งสวมชุดสูทเรียบเนี้ยบไปทั้งตัว เดินจ้ำออกจากบ้านมาแบบหน้าล้ำมาก่อนตัว เขาตะโกนใส่คนขับรถสีหน้าโกรธจัด “นายเอารถออกไปทำไมไม่บอกฉัน หา?? นายเอารถไปไหนมา”
“เอ่อ....คุณสมิท ผมเอ่อ.....ผม” คนขับรถหน้าซีด อึกอัก ปากสั่นไปหมด เขาหันมามองตัวต้นเหตุ
หว่า...น่ากลัวจะเป็นเรื่องแล้วสิ นันทกวีหันมามองคนข้างๆ แต่เขาอัตธารหายไปเฉยเลย หันมาอีกไปอยู่ข้างๆคนขับตั้งแต่เมื่อไรกัน เดินไวโคตรเลย
“ไม่เอาน่า.....โมโหเขาแล้วได้อะไร ผมเป็นคนสั่งเขาให้เอารถออกเอง คุณสมิท”
“แล้ว คุณ....”
ร่างสูงโน้นตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย เขาคลี่ยิ้มน้อยๆตอนจ้องเข้าไปในดวงตาพ่อบ้าน “จำผมไม่ได้หรือ ดาร์ท ชไนเดอร์ ลูกบุญธรรมคุณนายสเปนเซอร์ไง ผมใช้รถออกไปข้างนอกเองแหละ และจะมาพักที่นี่สักระยะหนึ่งด้วย”
หนุ่มใหญ่ผมสีเทายืนมองตาโตคล้ายงงงวยอยู่อึดใจ ก่อนจะรู้สึกตัว “อ๋อ ขออภัยครับ คุณชไนเดอร์ ผมนี่เลอะเลือนจริงๆ ไม่ได้พบกันนานเลยนะครับ”
นันทกวีเข้ามาสมทบเห็นพ่อบ้านยิ้มแย้มจับมือทักทายดาร์ท อย่างสนิทสนม อ้อ....เป็นลูกบุญธรรมบ้านนี่จริงด้วย
“ผมมีเพื่อนมาด้วย ช่วยเตรียมน้ำชากับของว่างไปที่สระน้ำนะ”
“ได้ครับ”
โห....โค้งให้เสียด้วย เขาล่ะไม่ชินกับการที่มีคนโค้งให้ คอยรองมือ รองเท้าให้แบบนี้เลย ดาร์ทคว้ามือเขาดึงเข้าไปในบ้านอันใหญ่โต ภายในบ้านหลังนี้ตกแต่งได้อย่างสวยงาม มีสไตล์ เรียบง่ายแต่ก็หรู ของทุกชิ้นดูก็รู้เลยว่าราคาแพงระยับ แค่ทางเดินหน้าห้องโถงก็ใหญ่กว่าบ้านเขาทั้งหลังแล้ว
“ช....ชไนเดอร์”
“ดาร์ท ฉันชอบให้เรียกอย่างนั้นมากกว่า”
“ดาร์ท...ปล่อยมือฉันได้ไหม” ความเร็วของการย่างเท้าชะลอลงพร้อมๆกับมือที่บีบมือเขาแน่นปล่อยอย่างไม่เต็มใจนัก ใบหน้านั้นขยับมาคล้ายอยากจะมองแต่ก็หยุดแค่นั้น จึงเห็นด้านข้างของใบหน้า กับขนตาที่ขยับขึ้นลงช้าๆ รู้สึกได้ถึงความน้อยใจนิดๆ
เขาอยากจับมือฉันหรือ??
“มาเถอะ” น้ำเสียงเขาราบเรียบอย่างไม่ใส่ใจอะไร ก่อนเปิดประตูกระจกบานใหญ่ออกกว้างรับอากาศสดชื่นของเนินเขาปะทะใบหน้า ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอดทันที ฮ่า......
คุณสมิท บัทเลอร์ของบ้านยกน้ำชาผ่านเขาไปวูบ ตามด้วยสาวใช้ที่ยกถาดขนมมาเต็มไปหมด เร็วจริงๆ พวกเขายังไม่ทันได้นั่งลงด้วยซ้ำ ทั้งหมดถูกจัดวางบนโต๊ะกลมริมระเบียงใกล้สระน้ำใหญ่ที่คลุมผ้าไว้อย่างดี ป้องกันไม่ให้เป็นน้ำแข็ง
“แม่จะกลับมาเมื่อไรเหรอ”
“ท่านว่าอีกสองอาทิตย์ถึงจะกลับครับ”
“เหรอ....น่าเสียดายจังที่ไม่ได้เจอ” เขาว่าคล้ายจะเสียดาย ทว่าน้ำเสียงไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบนั้นเลย นันทกวีมองแล้วอดนึกสงสัยตัวเองไม่ได้ทำไมถึงดูลึกลับไปเสียทุกอย่างนะ ไม่ว่าคนๆนี้จะทำอะไร สายตาเขาต้องมองตามราวกับมีแม่เหล็กดึงดูด ทุกอิริยาบถดูลึกลับและชวนให้มีคำถามอยู่เรื่อย
“เชิญครับ” คุณสมิท รินน้ำชาพร้อมๆกับเลื่อนเก้าอี้ไว้รอ ทำให้ต้องรีบไปนั่งด้วยความเกรงใจ โห....แค่นั่งลงก็ได้กลิ่นชาหอมๆแล้ว เป็นชาผสมนมแพะรสชาติหวานกำลังพอดี
“อืม ชานี้อร่อยจัง”
“ทานกับขนมปังสิ อร่อยนะ”ปลายนิ้วได้รูปเลื่อนถาดขนมปังอบมาใหม่หอมยั่วน้ำลาย แถมมีพายกับสมูทเค้กสตอเบอรี่อีกต่างหาก น่ากินทั้งนั้น
“งั้น.... ไม่เกรงใจล่ะนะ”
กร๊วม....! อื้ม ขนมปังอบใหม่ผิวนอกกร๊อบกรอบ เนื้อในนุ่ม เคี้ยวอร่อย รสชาติหวาน มัน เค็มแปร่มๆ ทานกับครีมสดยิ่งอร่อยจนอดยิ้มออกมาไม่ได้ ยังกะอยู่ในสวรรค์แน่ะ
“อื้มมมมม.....อร่อย” คนตรงหน้ายิ้มตาหยี่แก้มพองกลม ปลาบปลื้มกับรสชาติที่ได้ลิ้มรสซะจนใครเห็นต้องยิ้มตาม
“อร่อยขนาดนี้เชียว”
“อืม อร่อย มีความสุขที่สุดในโลกเลย”
“หึ.....แค่เห็นหน้าเธอก็เข้าใจเลยว่ารู้สึกอย่างไร”
อีกฝ่ายนั่งเท้าคางมองอย่างสบายอารมณ์ นันทกวีไม่รู้จะคุยอะไรเลยกินเพื่อไม่ให้ปากว่าง แถมขนมบนโต๊ะก็อร่อยทุกอย่าง เผลอแผล็บเดียวทุกอย่างบนโต๊ะก็ถูกกวาดเรียบ สะอาดหมดจดทุกจาน
“โทษนะ ฉันกินอยู่คนเดียวหมดเลย”
“ไม่หรอก แค่ดูเธอกินก็สนุกแล้ว” ดาร์ทยิ้มอ่อนโยนจนชักเขินซะแล้ว
“อย่าใช้คำพูดที่ชวนสยองได้ไหม”
“สยองเหรอ??”
“ก็.....นายพูดเหมือนกำลังเกี้ยวสาว แถม.....ใช้สายตามองแปลกๆด้วย ฉันขนลุกนะ”
“ฮะ..โทษทีที่ทำให้นายรู้สึกแปลกๆ” ร่างสูงขยับตัวปรับท่าทีเสียใหม่ “ฉันกำลังเกี้ยวนายจริงๆ”
นันทกวีมองตาโต
“อันที่จริงฉันกำลังคิดพล๊อกนิยายเรื่องใหม่ อิมเมทตัวละครเหมือนนายมากๆ อารมณ์ก็เลยอินไปหน่อย”
“นิยาย?? นายเป็นนักเขียนเหรอ” แปลกใจสุดๆเลย อายุเท่าเขานี่นะเป็นนักเขียน
“ใช่ เขียนหนังสือได้ 2-3 เล่มแล้ว”
“เรื่องไหนล่ะ บอกหน่อยสิเผื่อฉันเคยอ่านมาบ้าง” ตื่นเต้นจังแฮะ ที่คนรุ่นราวคราวเดียวกันทำอะไรได้ยอดเยี่ยมอย่างนี้
“นายคงไม่ได้อ่านหรอก เพราะฉันเขียนนิยายอาญากรรม สืบสวนสอบสวน แต่เรื่องใหม่นี้เพิ่งจะหันมาแนวโรแมนติก ดราม่า”
“เล่าให้ฟังหน่อยสิ พล๊อกเรื่องเป็นอย่างไง” นันทกวีลืมเรื่องอึดอัดใจเก่าๆไปหมด ตอนนี้ใจจดจ่อแต่เรื่องที่น่าทึ่งของเพื่อนใหม่ผู้แปลกหน้ามากกว่า
“เป็น......เรื่องของแวมไพร์ตนหนึ่ง ที่สิ้นหวังกับชีวิตเน่าเปื่อยของตนเอง จึงจองจำตัวเองไว้ในความเงียบงัน รอวันให้เน่าสลาย เวลาผ่านไป....ผ่านไปเขาก็ยังคงอยู่ที่นั้น”
แค่เริ่มเรื่องก็น่าสนใจแล้ว ชายหนุ่มฟังอย่างตั้งใจ สมาธิจดจ่ออยู่ตรงหน้าจนคนพูดนึกขำ “ในช่วงเวลาแห่งการรอคอยนั้น เขาก็ได้พบกับเด็กคนหนึ่งที่ล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตโดยไม่ได้ตั้งใจ”
“เขาตกหลุมรักเด็กสาวคนนั้นใช่ไหมล่ะ” นันทกวีตื่นเต้น
“เปล่า...” เล่นดับฝันเขาซะงั้น ชายหนุ่มผิดหวังน่าดู “เด็กคนนั้นแค่ทำให้เขาหิว”
“อ้าว??”
“ช่วงเวลาเฝ้ารอความตายที่ไม่มีวันเกิดขึ้นนั้น เด็กคนนั้นปลุกแวมไพร์ตื่นจากฝันอันยาวนาน และรู้สึกถึงความแห้งแล้งในกาย เขาหิวโหย และเมื่อมองลึกในดวงตาซื่อๆคู่นั้น กับคำพูดที่ออกมาจากใจที่ใสซื่อ ทำให้เขา......ไม่อยากจะหลับฝันในความมืดอีก”
“แล้ว...”
“เขาเลิกรอความตายและใช้ชีวิตต่อไประหว่างที่เฝ้ามองเด็กคนนั้นเติบโต คิดว่าเวลาคงทำให้ความใสสะอาดในตัวเด็กนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา และเมื่อได้เห็นเด็กคนนั้นมีจิตใจดำมืดเมื่อไร เขาจะกัดกินมันให้สาแก่ใจ ให้....พระเจ้ารู้ว่า นั้น...คือความโสโครกที่ท่านสร้าง”
ดาร์ทหยุดไว้เพียงเท่านี้ สีหน้าบอกยากว่าพึงพอใจหรือผิดหวัง หากริมฝีปากได้รูปเหยียดยิ้มแบบเย้ยยันได้น่ามองที่สุด ไม่ว่าจะทำหน้ายังไงเขาก็หล่อเหลาแบบน่ากลัวทุกอริยาบท นันทกวีมองตาโต อารมณ์นักเขียนมันอินขนาดนี้เชียวเหรอ ยังกะตัวเองเป็นแวมไพร์ตนนั้นเสียเองแน่ะ
“แล้วไงต่อ เด็กคนนั้นเปลี่ยนไปหรือเปล่า”
เขายิ้มน้อยๆ “การเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร....คนที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลยมีแต่คนตายแล้วเท่านั้น แต่กับเด็กคนนั้น ยิ่งโต.....รอยยิ้มเขายิ่งกว้าง ยิ่งสดใส ซื่อแล้ว....ติดโง่นิดๆด้วย”
เอ้า นางเอกแบบนี้ก็มีด้วยเหรอ? นันทกวีงง แต่นิยายนี่นะจะเขียนยังไงก็ได้นี่ ดาร์ทเล่าต่อ “มันทำให้แวมไพร์หงุดหงิดใจไม่น้อย ทั้งโมโหโกธา ทั้งเกลียดชังสารพัดจนเขาอยากจะฉีกเด็กคนนั้นให้เป็นชิ้นๆให้สะใจ แต่....ก็ทำไม่ลง ตอนนั้นเองที่เขารู้ตัวว่า..... หลงรักเด็กคนนั้นเสียแล้ว”
ดาร์ทมองสบตาเขา “รอยยิ้มอ่อนหวานของเธอ คือดวงตะวันสำหรับคนมืดมัวอย่างฉัน ความสุขสดใสของเธอเป็นดั่งสายลมเย็นเหนือยอดเขา ทำให้ฉัน.....รู้สึกว่าได้หายใจเต็มปอดอีกครั้ง”
โอ้....แค่ฟังใจก็สั่นเป็นเจ้าเข้าแล้ว นี่....พูดกับเขาหรือพูดกับตัวละครกันแน่ นันทกวีหน้าร้อนผ่าวไปหมด ทำไงดีเขินจังเลย ดาร์ทยื่นมือมาหา
“ลุกหน่อยสิ”
หา?? ไม่ทันตั้งตัวเลย แต่มือก็ยื่นไปให้แล้ว เขากุมมือเย็นๆเพราะอากาศและความตื่นเต้นดึงให้ลุกมาห่างจากโต๊ะไม่กี่ก้าว
“ถ้าจะเต้นรำกัน นายอยากเต้นแบบไหน ควิกสแต็บ แทงโก้ หรือซัลซ่า”
“หา??” นันทกวีอ้าปากค้าง เขาไม่รู้จักสักอัน แต่ยังไม่ทันได้ตอบ อุ้งมือใหญ่กระชับมือเขาแน่น อีกมือก็วางที่ปั้นเอว “เดี๋ยวสิ เดี๋ยวๆๆๆ”
“เอาน่า....ถือว่าช่วยกันหน่อย” ดาร์ทมองหน้าเขาตรงๆ “ไม่เห็นหรือ ท้องฟ้าสวยออกอย่างนี้ แล้วลมโชยเชิญชวนแล้ว ทำใจอยู่เฉยได้ไง ไปตามจังหวะเถอะน่า”
ร่างสูงใหญ่นำให้จำต้องก้าวตามจังหวะแทงโก้ แรกๆนั้นงงอยู่สักหน่อย แต่พอก้าวตามทันก็นับจังหวะเป็น มันไม่ได้ช้าอืดอาดแล้วตาจ้องตา แต่มันกระชับกระเฉง ว่องไว นันทกวีรู้สึกสนุกกว่าที่คิด
“เอ้า หมุน” ดาร์ทจับมือเขาขึ้นให้หมุนตัว
“ว้าว..” เกิดมายังไม่เคยเต้นแบบนี้เลย นอกจากเต้นตามดาราในทีวีไม่ค่อยได้เรื่องเลย แต่แบบนี้สนุกกว่า เขาชอบที่มีมือคอยประคอง ให้ก้าวไปตามจังหวะและคอยรองแผ่นหลังเวลาจับเขาเอนหลังเกือบ90 องศา
“เอ้า หมุนอีกที” อุ้งมือใหญ่จับหมุนเร็วๆซะสองรอบเล่นเอาหัวหมุนไปหมด
“ฮะฮะ...” นันทกวีหัวเราะตอนเซเข้าหาไหล่กว้าง เขาเกาะร่างสูงใหญ่ไว้ไม่ให้ล้ม น่าขายหน้าแต่สนุกจัง อารมณ์ตอนนี้สนุกที่สุดจนเผลอหายใจเอากลิ่นที่ซอกคอดาร์ทซะเต็มปอด กลิ่นนุ่มนวลราวกับกำมะยี่ชั้นดี ห่อหุ้มรอบตัวเขา ฝ่ามือใหญ่กอดกระชับตัวเขาไว้แน่น
‘รู้สึกดีจัง’ ชายหนุ่มมีความสุขที่สุด แต่พอรู้สึกตัวถึงพบว่าตัวเองยืนซบหน้ากับไหล่กว้างยังกะพระเอก-นางเอกเฉยเลย เว้ยยยยยย ขายขี้หน้าชะมัด
“......??” เขาเงยหน้าขึ้นจะผละออกห่าง ฝ่ามือที่โอบแผ่นหลังเลื่อนขึ้นมากุมไหล่ไว้ทั้งสองข้าง ดวงตาสีน้ำตาลกระพริบปริบอย่างงงวยเมื่อสบตาสีฟ้าที่สวยกว่าอากาศยามเช้าในตอนนี้
“ฉันกำลังยั่วเธออยู่นะ” ดาร์ทยิ้มเจ้าเล่ห์ คำพูดเบาๆทว่าสั่นหัวใจคนฟังไปหมด “ แค่เห็นสีหน้าตกใจทำอะไรไม่ถูกของเธอก็สนุกแล้ว ทำให้ยิ่งอยากกินเข้าไปอีก ของหวานที่น่ารักของฉัน”
มือโอบรอบเอวรัดแน่นอีกขึ้นอีก อีกมือช้อนต้นคอให้แหงนหงายขึ้นอีก “อยากจะถอยก็ถอยเสียเดียวนี้ ไม่อย่างงั้นแล้ว....ฉันจะกินเธอจริงๆแล้วนะ”
นันทกวียืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก นี่แค่นิยายไม่ใช่เหรอ แต่ใบหน้าคมสันใกล้เข้ามาอย่างน่าใจหาย เขาขยับปากจะร้องห้ามแต่ไม่มีเสียงเลย ดวงตากลมโตหลับตาปี๋
‘แม่จ๋า...’
*******************
ชายฉกรรจ์หลายสิบคนในชุดสูทดำเรียบก้าวลงจากเครื่องบินส่วนตัวในสนามบินเล็กๆของบูคูรเช่ ทุกคนหิ้วสัมพาระกระเป๋าสีเทาลงมาเรียงที่พื้นหลายสิบใบด้วยความว่องไว เป็นเวลาเดียวกับคนมาต้อนรับเดินทางมาถึงคนสุดท้ายของเที่ยวบินนี้ออกมา
“โบรดิ”
“ฟรังซัวร์ ดีใจจริงๆที่ได้พบ” ชายวัยกลางคนในชุดบาทหลวงทั้งสองตรงเข้ากอดกันด้วยความยินดี ก่อนจับมือกันแน่น
“20 ปีแล้วนะ”
“ใช่ ตอนแรกที่ได้ข่าวว่าจะมา ยังไม่เชื่อหูตัวเองเลย”
“ก็แปลกใจเหมือนกันแต่ท่านบิชอบยืนยันว่าเป็นที่นี่ ฉันก็นึกเป็นห่วงนายจริงๆ เลยรีบมาทันที”
“มีร่องรอยที่เมืองนี้หรือ” บาทหลวงโบรดิ ทำหน้าประหลาดใจ
“ใช่”
“ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทุกอย่างก็ปกติดี”
“แปลกนะ ทุกเมืองที่ฉันไปมักมีคนถูกฆ่าทั้งนั้น....ยังไงก็ต้องตรวจสอบดูก่อน นายเตรียมสถานที่ไว้แล้วใช่ไหม”
“ใช่ ท่านอธิการให้ใช้ห้องประชุมที่ไฮสคูลเซนต์จอร์จได้”
“ดี....อ้อโบรดิ จะขอแนะนำมือหนึ่งของทีมฉัน คุณพ่อ เอบีท ไอทัคเกอร์ ”
บาทหลวง โบรดิ มองชายที่ก้าวมาตรงหน้า เขาคนนี้สูง สวมชุดกางเกงดำ เสื้อโค้ทยาวพร้อมปืนถึงสองกระบอกแทนที่ชุดของบาทหลวง ผมสีดำเข้มสั้น สวมแว่นดำ ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ แค่ยื่มมือที่สวมถุงมือดำมาจับมือเขาเบาๆ
“เรียกผมว่า บีท ยินดีที่ได้รู้จัก”
“เช่นกัน” หลวงพ่อโบรดิ เหลือบมองเพื่อนรักที่หายหน้าไปนาน คล้ายจะบอกว่าของจริงหรือเปล่า ถ้าบอกว่าเป็นมือปืนรับจ้างยังจะน่าเชื่อมากกว่า
หลวงพ่อฟรังซัวร์ แค่ยิ้มน้อยๆ “เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
ติดตามตอนต่อไป