เงียบจัง.....

ช่วงก่อนเกิดอาการเขียนไม่ออกเลยต้องใช้เวลานานหน่อย
คิดว่าคงไม่ไหวแล้ว โพต์ตอนสุดท้ายแล้วล่ะกัน จะได้หาแรงบันดาลใจได้ง่ายขึ้น
ตอนที่ 15 หวั่นไหว
เพล้ง!!!
“โอ้ยย....อะไรกันนักหนา” ซาอิท เปิดประตูห้องตนเองเข้ามาก็ต้องตกใจ แต่พอเห็นหน้าคนขว้างแล้วก็ต้องถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย จะอาละวาดก็ทำไมไม่ไปอาละวาดห้องตัวเองนะ
“เสด็จแม่”
“กว่าจะโผล่หัวมาได้ นี่ถ้าฟ้าไม่สางแกคงไม่คิดจะกลับสินะ” ราตู ซารีฟาน่าว่าเสียงลอดไรฟัน เธอคว้าหมอนอิงมาพาดใส่ลูกชายระบายโทสะ
“เอ้าๆๆ เสด็จแม่ พอได้แล้ว” ชายหนุ่มแย่งหมอนจากมือมารดา แต่นั้นกลับทำให้โดนฝ่ามือพาดเข้าที่ไหล่แรงๆหลายครั้ง “เสด็จแม่!!”
“แกมันไม่เอาไหน ถูกแย่งตำแหน่งไปยังไม่สนใจเอาแต่เที่ยวเตร่ เที่ยวๆๆๆ แกมัน....โอ้ย! ฉันไม่รู้จะด่าแกยังไงแล้ว” ราตูตีจนเหนื่อยไม่รู้จะทำอะไรดีกว่านี้อีก จึงนั่งถอนหายใจ
“จะด่ายังไงก็ช่างเถอะ ลูกรู้ตัวเองดี ไอ้เรื่องงานบริหารอะไรนั้นน่ะมันเหนือบ่ากว่าแรงของลูก ให้จารีฟเป็นน่ะดีแล้ว เขาเก่งมาตั้งแต่เด็ก แล้วชอบทำงานช่วยเหลือคนอื่นเสมอ เขาต้องเป็นสุลต่านที่ดีแน่นอน ส่วนลูกน่ะขอเที่ยวแบบนี้ดีกว่า”
“นี่หนังแกหนาจนไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ ไม่อายคนเขาหรือไง แกเป็นลูกคนโตนะ โดยฐานะแล้วแกต้องเป็นรัชทายาทสิ”
“ไม่อาย.... เสด็จพ่อยังเคยตรัสเลยว่า คนที่สามารถที่ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองชอบได้คือคนที่มีความสุขที่สุดในโลก ลาภยศเป็นเพียงเปลือกที่ถูกปั้นแต่งให้ ลูกไม่ชอบที่จะต้องรับผิดชอบชีวิตของผู้อื่น ลูกจะใช้ชีวิตแบบที่ชอบ ลูกจะต้องห่วงอะไร ทรัพย์สินในส่วนของลูกมีให้ใช้เหลือเฟื้อไปจนตายเลย” ซาอิทเบื่อหน่ายที่ต้องใช้ชีวิตตามการบงการของมารดา ตั้งแต่เล็กจนโตเขาถูกสอนให้ใช้ชีวิตถือบรรดาศักดิ์ เขาไม่มีเพื่อนหรือคนที่รู้ใจสักคน ทั้งยังถูกบังคับให้เรียนอย่างหนัก จนมีอาการคลื่นไส้ ปวดหัว อยากอาเจียนทุกครั้งที่ใช้ความคิด เมื่ออายุ 12 มีรับสั่งให้รับจารีฟมาอยู่เป็นเพื่อนเรียนหนังสือด้วยกัน นั้นทำให้เขาเริ่มมีความสุขบ้าง และเรียนรู้ได้ด้วยตนเองว่าชีวิตของเขานั้นมีค่าเกินกว่าจะทำตามความต้องการของผู้อื่น เขาจึงเลิกสนใจมารดา หันไปเที่ยวเตร่และใช้ชีวิตตามใจตนเอง
“ซาอิท!!” ราตู ซารีฟาน่าตวาดเสียงดังลั่นห้อง ซาอิทไม่สนใจคว้าเสื้อคลุมเข้าไปอาบน้ำอีกห้องหนึ่ง เธออยากจะกรีดให้ลั่นเลยที่มีลูกกับเขาคนหนึ่งแต่ก็ไม่ได้ดั่งใจเลย เธอคว้าแจกันราคาแพงขว้างใส่ผนังห้อง เพล้ง!!!
ร่างบอบบางเดินกระแทกเท้าออกมาจากลูกชายตรงดิ่งไปห้องของตัวเอง ก่อนจะหยุดที่หน้าโถงทางเดินที่ทอดยาว ที่ผนังมีรูปสามมิติของสตรีต่างชาติผมสีน้ำผึ้ง ดวงตาสีฟ้าเข้มเหมือนท้องทะเลลึกจ้องมองอย่างอ่อนโยน ผิวเธอสีระเรื่อนวลตา ผิวแก้มสีชมพู ทั้งงดงาม ทั้งสดใส ใครเห็นเป็นต้องมองซ้ำสองครั้ง ราตูก้าวไปยืนมองเธอผู้นั้น
“ตอนแกอยู่ ก็ทำให้ฉันทุกข์ใจมาตลอด ตายไปแล้วก็ยังส่งลูกแกมาทำให้ช้ำใจอีก แกมันนังปีศาจมาจากนรกจริงๆ แต่อย่าหวังเลยว่าลูกแกจะได้เป็นสุลต่านได้ง่ายๆ ตราบใดที่ฉันยังอยู่.....ฉันจะรังควานมัน ทำให้มันอยู่ไม่เป็นสุขแม้ลูกฉันจะไม่ได้เป็นสุลต่านก็ตาม คอยดูให้ดีเถอะ” เธอว่าน้ำเสียงคลั่งแค้นใส่ก่อนสะบัดชายกระโปรงจากไป
*********
“อรุณสวัสดิ์”
“อ๊า!!!” รติกรแหกปากร้องลั่น ก่อนจะถูกฝ่ามือใหญ่ปิดปากได้ทัน
“ร้องทำไม??” ใบหน้าที่ลอยเหนือเขามองจ้องมองสีหน้างุนงงแกมไม่พอใจนิดๆ ขณะที่ใต้ร่างส่งสายตาเดือดดาลใส่ ต้องสะกิดให้ปล่อยได้แล้วเขาถึงเป็นอิสระ “เป็นอะไรไป”
“จะเป็นอะไรเล่า” รติกรว่าประชด หนอย....ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เจ้าคนบ้ากาม
“จะไม่ทักทายกันหน่อยหรือ” เลแวนซ์กระเซ้าเย้าแหย่ ใบหน้านั้นพราวไปด้วยยิ้มอารมณ์ดีแต่เช้า แต่เขาสิที่เดือดดาลแต่เช้า
“อรุณสวัสดิ์...” เขาตอบอย่างเสียไม่ได้ ก่อนขยับจะลุกจากเตียงแต่เพิ่งรู้ตัวว่าข้างใต้ไม่มีอะไรเลย
“ลุกได้แล้ว สายแล้วนะ”
“คุณลุกก่อนสิ”
“ลุกพร้อมๆกันสิ จะได้ออกไปด้วยกันไง”
“ไม่เอา...ผมไม่ลุกเด็ดขาดถ้าคุณไม่ลุกก่อน เร็วๆสิ เร็ว....” รติกรทั้งพลั่ก ทั้งดันจากใต้ผ้าห่มดันร่างสูงใหญ่กว่ากลิ้งมาถึงขอบเตียง สุดท้ายถึงยอมลุกขึ้นคว้าเสื้อคลุมมาสวมใส่
“ก็ได้.....แล้วอย่าอืดอาดล่ะ” ฝ่ามือใหญ่ตบก้นผ่านผ้าห่มแรงๆ ป้าบไปทีหนึ่ง
“เอ๊ะ...” เจ้าตัวส่งตาเขียวปั๊ดใส่ อีกฝ่ายหัวเราะชอบใจก่อนหายเข้าห้องน้ำไป เขาถึงถอนหายใจเฮือก หลายวันที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาจะบอกว่าชินแล้วก็ไม่ได้ รติกรลุกขึ้นมาเก็บชุดนอนที่ถูกถอดกระจัดกระจายตามพื้นห้องเข้ามาใส่ในห้องเสื้อผ้า ตอนใส่กางเกงถึงเห็นรอยจูบที่ต้นขาเรื่อยขึ้นมาถึงหน้าอก
หวา....ไอ้บ้านี้เป็นปลิงหรือไงนะถึงดูดเอาๆ ตัวเขามีแต่รอยเต็มไปหมด น่าอายชะมัดที่ทุกคืนก่อนนอนเขาจะถูกเลแวนซ์ทำแต่เรื่องน่าอาย ช่องทางที่บอบบางนั้นถูกสำรวจด้วยนิ้ว ทำให้เร่าร้อน ทำให้คลั่งจนต้องร้องขอช่วยให้เขาสุขสมที โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ล่วงล้ำแม้แต่นิดเดียว
ร่างเล็กเงยหน้ามองตัวเองในกระจก เขายังคงเป็นเขาเหมือนเดิม ไม่มีริ้วรอยของความทุกข์หม่นหมองใจเลย ตรงข้ามกลับสดใสกว่าปกติอีก รติกรมองแล้วอดแตะริมฝีปากตัวเองไม่ได้เมื่อนึกถึงความร้อนผ่าวที่ได้ลิ้มรส เป็นครั้งแรกที่เลแวนซ์ขอให้เขาทำ มันทั้งแข็ง ทั้งร้อนจัดอยู่ในปาก อ้าก....... ทำไปได้อย่างไง
ร่างเล็กเอาหน้ามุดเข้าไปในราวแขวนเสื้อผ้า ชก เตะเสื้อผ้าแทนเจ้าของอย่างขุ่นเคือง เจ้าคนลากมกๆๆๆๆๆ
ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น แล้วอายด้วย ถ้าออกมาแล้วเขาจะทำหน้ายังไงดี เพราะดันเผลอทำตามใจอีกฝ่ายซะสุดลิ่มทิ่มประตูเลย......ส่วนเขาเองก็โดนทำให้ถึงตั้ง 2 รอบแน่ะ ยังดีนะที่ทำแค่ข้างนอก แต่ก็แปลกคนนะไม่ใช่พระอิฐพระปูนสักหน่อย ถ้าอยากแล้วทำไมถึงไม่ทำเสียทีล่ะ เอาแต่ทำให้คนอื่นถึงอยู่ฝ่ายเดียว
เอ๊ะ.....หรือว่า?? ร่างเล็กมองห้องน้ำได้ยินเสียงอาบน้ำอยู่ เลยถอดกางเกงลงนิดหน่อย ดูปั้นท้ายในกระจกเงา ก้นเขาก็ไม่ได้น่าเกลียดนี้ คนที่ชอบผู้ชายด้วยกันก็น่าจะเห็นส่วนนี้เซ็กซี่นะ รึของเขาไม่เซ็กซี่ล่ะเนี่ย ร่างเล็กลองยืดตัว บิดเอวลองดูว่าท่าไหนน่ามองกว่ากัน
“ทำอะไรน่ะ?” เลแวนซ์นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวออกมาเมื่อไรไม่รู้
“ว้ากกกกกกกกกกก” รติกรสะดุ้งโหยงกระโดดหายเข้าไปในราวเสื้อผ้าใกล้ๆ ก่อนโผล่แต่หัวออกมา “จะออกมาทำไมไม่บอกก่อน”
“ต้องบอกด้วยหรือ.....มัวทำอะไรอยู่ล่ะ ดูไฝที่ก้นหรือไง”
“ก้นผมไม่มีไฝเสียหน่อย....แค่ดูว่าคุณทำรอยไว้หรือเปล่าเท่านั้น” ร่างเล็กเดินเลี่ยงๆออกมา เลแวนซ์มองตาม เนื้อตัวงี้พราวด้วยหยดน้ำ แผงอกกับกล้ามท้องเซ็กซี่เสียจนถอดสายตาลำบาก พอก้มลงมองพื้น สายตาเจ้ากรรมก็ดันตกไปที่สะดือกับขอบผ้าขนหนูเหน็บไว้หมิ่นเหม่จะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่ นี่ถ้ามันหลุดกองลงพื้นในนาทีนี้เขาจะทำหน้ายังไงนะ
คิดแล้วก็อดจินตนาการถึง ‘สิ่งนั้น’ ไม่ได้ เขารู้ดีเลยล่ะว่ามันใหญ่ซึ่งของฝรั่งลูกครึ่งอาหรับอย่างเลแวนซ์นั้นก็ใหญ่กว่าเขาอยู่โข แค่คิดว่ามันจะต้องใส่เข้ามาใน..... รติกรหน้าแดงซ่านนึกด่าตัวเองที่คิดอะไรพิเรนอย่างนี้ บ้าๆๆๆ มาคิดอะไรต่อนี้เล่า คิดมากยังกะตัวเองเป็นเจ้าสาวกลัวฝนงั้นแหละ ถึงเวลามาอะไรเป็นอะไร ธรรมชาติมันก็สอนเองล่ะน่า ไม่เห็นต้องกลัวเลย ....แต่ถ้าถึงเวลานั้นจริงๆ เลแวนซ์จะพอใจหรือเปล่านะ เกิดเขาไม่เป็นที่พอใจล่ะ??
“คิดอะไรอยู่ หรือว่าอยากให้อาบด้วย หื้อ” ชายหนุ่มก้มหน้าลงมาหา
“เอ๊ะ....เปล่าสักหน่อยใครอยากจะอาบด้วยล่ะ ยี้” รติกรว่าแล้วก็รีบเผ่นเข้าห้องน้ำก่อนจะเจออะไรมากกว่านี้ พอปิดประตูได้เขาก็ต้องถามตัวเองว่า เกิดอะไรขึ้นกับเขานะ ความรู้สึกรังเกียจกับใจที่คอยแต่ถวิลหาบ้านอันคุ้นเคยหายไปไหนหมด เหลือไว้แต่ใจที่จดจ่ออยู่กับคนที่ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเขา
“เนย ทำอะไรอยู่ เร็วเข้า”
“ครับๆ” ร่างเล็กได้สติ รีบอาบน้ำอย่างว่องไว นี่ไม่ใช่เวลาคิดมากอีกแล้ว เขาจะเป็นตัวถ่วงไม่ได้ เลแวนซ์อุตส่าห์ปกป้องขนาดนี้แล้ว เขาอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว แต่พอสวมผ้าคลุมหน้า “เลแวนซ์”
“ว่าไง”
“ผมไม่สวมผ้าคลุมหน้าได้ไหม มันอึดอัดน่ะ”
ชายหนุ่มมองหน้าครู่หนึ่งก่อนดึงออกให้ “อยู่ในวังไม่ต้องใส่ก็ได้ เนย เลือกกระดุมให้ทีสิ”
วันนี้เขาแต่งตัวชุดสบายๆสากลเสื้อเชิ้ตขาวเสื้อนอกสีน้ำเงินเข้ม ไม่ผูกไท รติกรเลือกกระดุมข้อมือทำด้วยเงินสลักรูปนก มากลัดติดให้เสร็จแล้วก็เงยหน้ายิ้มให้ อีกฝ่ายก็ยิ้มมองหน้าอยู่อย่างนั้น จนต้องถามว่า “อะไรหรือครับ”
“ท่าทางชอบงานบริการอย่างนี้ ยกให้เป็นหน้าที่ถาวรเลยดีไหม”
“ไม่เอา...คุณมีนางกำนัลตั้งเยอะแยะ ผมจะไปแย่งงานพวกเธอทำไม”
“แต่ฉันอยากให้เธอทำนะ” เลแวนซ์ยิ้มๆ
เขาจูงมือรติกรออกมาห้องเสื้อผ้าเสียที ฮานน่าที่รออยู่ข้างนอกกับสาวๆก็เดินตามต้อยๆเป็นขบวน ชายหนุ่มเหลือบมองมือที่กุมมือเขาอยู่ นั้นทำให้เก้อเขินไงชอบกล แต่ก็ไม่กล้าดึงมือหนี เขานิ่งเฉยและแอบยิ้มอยู่คนเดียว ระหว่างเดินไปตามทางเดินยาวไปเรื่อยๆนั้น เขาก็เห็นหญิงร่างท้วมในชุดคุลมมิดชิดกำลังทำความสะอาดอยู่ นั้นทำให้นึกถึงใครคนหนึ่ง
“เลแวนซ์....”
“อะไรหรือ”
“ผมลืมถามคุณไปเลย นารียะห์กับคนอื่นๆล่ะ ตอนนี้เป็นไงบ้าง”
“สบายดี ทุกคนอยู่ในศูนย์สงเคราะห์พัฒนาแรงงาน เข้าอบรมอาชีพอยู่อีกฟากหนึ่งของเมือง ต้องเข้าอบรมอย่างน้อย 6 เดือนก็จะมีวิชาชีพทำงานในเมืองได้”
“ผมไปเยี่ยมได้ไหมครับ”
“ยังไม่ได้”
“ทำไมล่ะ??” แค่ไปเยี่ยมเท่านั้นไม่เห็นต้องห้ามเลย เลแวนซ์หยุดดึงมือเขาให้ถอยมาชิดผนังกระซิบเบาๆว่า
“ช่วงนี้อย่าเอ่ยว่า ออกไปข้างนอกดีกว่า ไม่งั้นเสียงของเราอาจลอยไปพระเนตรพระกรรเสด็จพ่อได้ พระองค์ไม่ค่อยจะพอพระทัยกับวีรกรรมที่เธอทำเอาไว้สัก เท่าไร รออีกสักพักนะ”
จะว่าไปก็จริงอย่างที่ว่า องค์สุลต่านทรงกริ้วกับการกระทำของเขาถึงขนาดมีรับสั่งให้ล่ามโซ่เอาไว้เลย นี่เพิ่งผ่านมาไม่นานเองก็ร้องจะออกไปข้างนอกอีกก็คงยาก ชายหนุ่มช้อนสายตาขึ้นมองแบบอ้อนนิดๆ “แล้วออกไปได้เมื่อไร”
“อีก 10 วัน”
“อีก10 วัน.....มันมีอะไรเหรอครับ” วงแขนแข็งแรงโอบไหล่เขาให้เดินไปด้วยกันอีกครั้ง
“อีก 10 วันจะฉีดยาเข็มที่เท่าไรล่ะ?”
“เข็มที่.....5” พูดขึ้นมาแล้วใจหายแวบเลย ไม่ทันไรก็มาถึงครึ่งทางแล้ว
“หมอบอกว่าเป็นเวลาเหมาะที่จะ.....เริ่มอะไรๆเพื่อให้ร่างกายปรับสภาพแล้วคุ้นเคยกันดี” มือที่โอบไหล่เลื่อนมากุมมือแทน เขาดึงมันมาวางไว้แนบอก ใบหน้าเปื้อนยิ้มราวจะปลอบใจว่า ‘ไม่เป็นไรนะ มันไม่น่ากลัวหรอก’ รติกรงงไม่เข้าใจอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะแปลความหมายออก หมายถึง......เลแวนซ์จะ.......เสียทีงั้นหรือ
แค่คิดก็ร้อนวาบไปทั้งหน้าแล้ว ใจเต้นตึกๆไม่หยุดเลย
วันนี้ทั้งคู่มาที่ห้องซึ่งจัดไว้สำหรับอ่านหนังสือของเลแวนซ์อีกเช่นเคย ห้องที่มีหนังสือดีๆมากมายตั้งแต่พื้นจรดเพดาน วางเรียงในชั้นเป็นระเบียบเรียบร้อย รติกรได้ยินมาว่าเป็นห้องที่มารดาของชายหนุ่มได้ร้องขอจากสุลต่านไว้ให้ลูกชายโดยเฉพาะ ดังนั้นมันจึงเป็นห้องที่เขาโปรดปราณมากที่สุด
วันนี้มันได้กลายเป็นห้องกึ่งๆทำงานให้เลแวนซ์ตรวจงานเอกสาร เรื่องเล็กๆน้อยๆอันไหนจัดการได้ก็ทำไป อันไหนสำคัญก็จะนำเข้าทูลองค์สุลต่าน ส่วนคนที่มาอาศัยใบบุญห้องนี้มีโต๊ะอ่านหนังสืออยู่มุมห้อง เขาต้องเรียนประวัติศาสตร์ ภาษา วัฒธนธรรมประเพณีราวกับเด็กนักเรียนชั้นประถม แม้จะฝืนใจไปนิดแต่ก็ต้องอดทน เมื่อเข้าในห้องสิ่งแรกที่รติกรต้องทำคือ จัดเตรียมอุปกรณ์เล็กๆน้อยๆบนโต๊ะให้ก่อน
“มานี่” วงแขนแข็งแรงเกี่ยวเอวเล็กให้มานั่งตัก
“เอ๊ะ อะไร??”
“มามอนิ่งคิสดีๆกันหน่อยสิ”
“ไม่เอา” เบือนหน้าหนีทันที แต่ก็หนีไปได้นานก็ถูกรั้งเข้ามาหาอีก
“น่า....” คำๆนี้ช่างเหมือนเด็กเอาแต่ใจ รติกรรู้สึกขึ้นมาเลยว่าตอนนี้เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุแค่17 จริงๆ มันอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เท่านั้นเองวงแขนรัดร่างเล็กไว้แนบอก ริมฝีปากจูบเขานุ่มนวลอ่อนหวานจริงๆ
“อรุณสวัสดิ์เพคะ”
อารมณ์หวานไหวสะดุดกึก ทั้งคู่หันมามองแขกที่ไม่ได้คาดคิด “ซาช่า??”
“ไม่ได้พบกันนานเลยนะเพคะ”
“จริง” เลแวนซ์เห็นด้วย ตั้งแต่กลับมาเขาก็ไม่ได้เห็นหล่อนอีก จนเกือบลืมไปแล้ว เขารุนหลังรติกรเบาๆให้ลุกได้แล้ว แต่เจ้าตัวยังนั่งเฉยซ้ำเอามือโอบรอบคอไม่ยอมลุกง่ายๆ
“สบายดีหรือเปล่า” ชายหนุ่มร่างเล็กยิ้มทัก
“แน่นอนอยู่แล้ว”
“วันนี้ออกมาได้ยังไง” เลแวนซ์ถาม
“ราตูอนุญาตให้มาดูแลรับใช้เจ้าชายเพคะ เห็นว่ามีงานรออยู่มากมาย ส่วนอีกคนก็ยังเรียนอยู่” เธอแลตามองชายหนุ่มมารคอหอยอย่างเย็นชา “หม่อมฉันเลยให้ในครัวจัดสำหรับของว่างเบาๆก่อนเริ่มทรงงานเพคะ”
นางกำนัลยกชุดน้ำชาอย่างหรูพร้อมของว่างสีสันน่าทานมาวางบนโต๊ะ รติกรเห็นตาก็วาววับ “น่าทานจัง”
“สำหรับเจ้าชายเท่านั้น” บรรยากาศในห้องทะมึนขึ้นทันทีเมื่อสองคนแลตามองใส่กันอย่างไม่เป็นมิตร ไม่เจอหน้ากันหลายวันนึกว่าจะดีขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่ชอบหน้ากันอยู่ดี รติกรยิ้มเย็นพยายามเตือนตัวเองว่า อย่าโกรธ อย่าโมโห เขาหันไปมองเลแวนซ์ตาวิ้งๆเลย
“เลแวนซ์.....ผมทานด้วยคนนะครับ”
“ไร้มารยาท” ซาช่าว่า
ชายหนุ่มไม่สนใจเหมือนลมลอยผ่านหูไป เขายกจานขนมแป้งกลมๆหน้าตาคล้ายโรตีมีผลไม้สดราดน้ำเชื่อมมา “ผมป้อนนะ อ้าม....”
เลแวนซ์มองเหมือนจะอ่านความคิดเขาออก ถึงยิ้มอย่างรู้ทัน แต่ก็ไม่ว่าอะไรยอมทานจากส้อมในมือเขาโดยดี น้ำเชื่อมฉ่ำเยิ้มที่ริมฝีปากบางดึงดูดสายตารติกรเหลือเกิน พอรู้ตัวอีกทีเขาก็ยืดตัวเข้าหาแนบริมฝีปากลงบนเรียวปากคู่นั้นเสียเอง น้ำเชื่อมรสหวานชุ่มฉ่ำไปทั่วโพรงปากทำให้จูบนี้พิเศษในความรู้สึก ฝ่ามือใหญ่เลื่อนขึ้นมาช้อนท้ายทอยให้แหงนหงายรับจูบที่บดเคล้าอย่างหนักหน่วงละเมียดละมัยซะจนร่างเล็กสั่นเทา ยอดอกเสียวซ่านแข็งชูชันใต้เสื้อทั้งสองข้าง เขาอยากให้สัมผัสมากกว่านี้ ทว่าจูบดื่มด่ำนี้ผละจากไปเสียก่อนทำให้ใจแทบขาดรอนๆ ดวงตาฉ่ำเยิ้มเหลือบมองอย่างตัดเพ้อ ไม่อยากให้หยุดเลย สีหน้านี้ทำให้เลแวนซ์ยิ้มถูกใจ
“วันนี้น่ารักจังนะ”
ว่าไงนะ! รติกรลืมตาโพลงได้สติทันที ชายหนุ่มจูบปลายจมูกรั้นเบาๆก่อนเงยหน้ามองซาช่า “เธอกลับไปเถอะ วันนี้ฉันคงไม่ว่างนัก”
“จารีฟ..แต่” หญิงสาวหน้าเสีย ชายหนุ่มหมางเมินเธอเหลือเกิน
“ถ้าไม่อยากอุดอู้อยู่แต่ในห้องก็ไปเฝ้าราตูดีกว่านะ” ชายหนุ่มพยักหน้าให้นางกำนัลเก็บสำหรับของว่างออกไปเสีย เป็นเวลาเดียวกับคาริคพร้อมพนักงานอื่นๆนำเอกสารที่ต้องตรวจวันนี้เข้ามาทำให้ซาช่าไม่มีข้ออ้างใดๆอีก เธอออกไปด้วยความขุ่นเคือง
ร่างเล็กก็รีบลุกจากตักไปยังโต๊ะของตัวเองที่อยู่อีกฟากของห้อง แต่ก็ไม่วายหันมาส่งสายตาไม่พอใจใส่เจ้าของห้องอีกที รติกรนั่งก้มหน้ามองหนังสือบนโต๊ะตัวเอง รู้สึกได้ถึงแรงเต้นของหัวใจไม่เป็นส่ำ เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่นะ ดวงตากลมโตค่อยๆเหลือบมองคนที่นั่งสนอกสนใจเอกสารแวดล้อมไปด้วยคนคอยรายงานอยู่รอบข้าง เขาอมยิ้มน้อยๆ สีหน้าเอาจริงเอาจังของเลแวนซ์นี่เพิ่งเคยเห็นแฮะ....
***************
เพล้ง!!
“คุณซาช่า...” มารีฮาน่านางกำนัลตกใจที่ถาดเงินในมือถูกกระชากทิ้งลงพุ่มไม้ จานเซรามิกชั้นดีกระจายไปทั่ว มีแตกปิ่นไปหลายใบ
“จะสนใจทำไม ยังไงก็ไม่มีคนสนใจไยดีอยู่แล้ว” ร่างบอบบางเดินสะบัดชายกระโปรงอย่างหงุดหงิดใจ ผ่านไปยังซุ้มดอกไม้สีเหลืองให้ร่มเงาเย็นร่มรื่น กระนั้นก็ไม่ช่วยให้เธอหายขุ่นเคืองได้ จึงขยุ้มดอกไม้ทิ้งระบายอารมณ์
“คุณไม่ควรใส่ใจกับเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างนั้น”
“เรื่องเล็กๆน้อยๆงั้นเหรอ” เธอหันมาเกรี้ยวกราดใส่ “เธอจะไปรู้อะไร?”
“ยังไงเขาก็เป็นผู้ชาย”
“แต่เขามีลูกได้ และมีตำแหน่งพระชายารออยู่แล้ว......ทั้งที่มันมาทีหลังฉันแท้ๆ มันมาทีหลัง!!!”
“ คะ....ก็แค่มีเลือดแท้เท่านั้น”
“มันมาไม่ทันไร เจ้าชายก็หมางเมินฉัน เธอไม่เห็นหรือไง ท่านใส่ใจมันมากกว่าฉัน”
“บางทีท่านอาจทำเพราะอยากเอาใจเพื่อให้ได้ลูกเท่านั้น”
“ไม่จริงหรอก ฉันเห็นสายตาท่าน.....มัน.....มันเต็มไปด้วยความรู้สึกหวงแหน ใจท่านอยู่ที่มันแล้ว” ซาช่าพยายามกลั้นน้ำตาไว้สุดความสามารถ สายลมเอื่อยพัดมาช่วยให้มันเหือดแห้งไป
มารีฮาน่านิ่งเงียบไปครู่ก่อนเอ่ยขึ้นมาว่า “คุณอยากกำจัดมันไป”
“ใช่....ฉันอยากให้มันหายไป แต่ถ้าตายไปเลยได้ยิ่งดี”
“เช่นนี้.....ฉันคิดว่ามีคนที่อาจช่วยคุณได้” ร่างบางหันมามองขวับ
“มารีฮาน่า”
(จบภาคเพียงเท่านี้คะ)
