ตอนที่ 31 ต้อนรับ
บ้านเรือนไทยของคุณหมอน่าอยู่มากครับ เย็นร่มรื่นเพราะต้นไม้น้อยใหญ่ที่ปลูกรายรอบตัวเรือน รวมถึงภายใต้รั้วสูงหลังม่านต้นไผ่ที่ล้อมรอบอาณาเขตกว่าเก้าไร่ ผมรู้เพราะระหว่างที่เดินจูงมือกันอยู่นั้นคุณหมอบอกเนื่องจากผมถาม แอบประมาณด้วยสายตาตัวเองก็คิดอยู่แล้วครับว่าต้องหลายไร่แน่ ตอนเดินผมยังรู้สึกว่าเหนื่อยเลยครับ เมื่อเดินจากเรือนหลังใหญ่มาเรือนหลังเล็กของคุณหมอ ส่วนเจ้าของเรือนไม่มีอาการเหนื่อยเลยครับ อย่างว่าล่ะคงชินเพราะเดินเป็นประจำอยู่ทุกวัน
ชานเรือนที่ผมนั่งอยู่นี่เย็นสบายมากครับ เพราะลมเย็นพัดมาจากทุกทิศทุกทาง ประกอบกับใต้ถุนสูงและโล่งช่วยให้ลมพัดผ่านสะดวกมากขึ้น อากาศดีและบริสุทธิ์ช่วยให้ผมผ่อนคลายขึ้น แต่เหนือกว่าความเย็นสบายนั้น คือรอยยิ้มและการตอบรับที่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ผมคิด แม้ไม่มีคำพูดมากมายแต่ทุกคนให้การต้อนรับอย่างดีผ่านท่าทางและสายตา มันทำให้ผมยิ้มได้ ผมน่าจะเชื่อคุณหมอตั้งแต่แรกที่บอก คุณพ่อคุณแม่ของคุณหมอใจดีและครอบครัวของคุณหมอก็น่ารักมาก แม้ว่าคนที่ชวนผมพูดคุยจะมีเพียงคุณพ่อของคุณหมอ แต่นั่นมันก็เพราะสาเหตุบางอย่างที่ผมคิดว่าน่าจะใช่...
แล้วมันก็ใช่จริงๆ ครับ เมื่อคุณพ่อของคุณหมอเอ่ยถามคุณหมอว่า
“จะเข้าเรื่องเลยไหมเจ้านุ?”
ผมใจเต้นแรงเหมือนมีใครมาตีกลองอยู่ข้างใน รัว เร็ว และแรง ด้วยน้ำหนักมือที่แรงขึ้นเรื่อยๆ ผมตื่นเต้นจนตัวเกร็งไปหมด คำว่าเข้าเรื่องของคุณพ่อของคุณหมอ ผมออกจะมั่นใจว่าคือเรื่องของผม คือเรื่องของเราสองคน คือความสัมพันธ์ที่คนในครอบครัวของคุณหมอน่าจะดูออกตั้งแต่ที่เห็นผมเดินตามคุณหมอขึ้นมาบนเรือน
เมื่อถูกถามคุณหมอหันมายิ้มให้ผม ผมยิ้มตอบ ก่อนที่คุณหมอจะหันกลับไปตอบคำถาม
“ครับคุณพ่อ”
มือของคุณหมอเอื้อมมาจับมือผมแล้วดึงเข้าไปนั่งใกล้ จับแล้วไม่ยอมปล่อย แถมยังเอามือผมไปกุมไว้บนหน้าตัก รู้สึกหน้าตัวเองร้อนหนักมาก ไม่กล้าสบตาคนในครอบครัวของคุณหมอแม้แต่คนเดียว สายตาของผมฝากไว้ที่ใบหน้าของคุณหมอ ใบหน้าคมเข้มแบบหนุ่มไทยและใจดีอย่างคนไทยแท้
“ผมกับน้องฟ้า เรารักกันครับ”
ผมรู้คุณหมอต้องพูดคำนี้ พูดพร้อมกับมองหน้าผม มืออุ่นของคุณหมอที่กอบกุมมือผมเอาไว้นั้น ทำให้ผมอุ่นไปถึงหัวใจข้างใน และมันคงจะอุ่นไปถึงวันพรุ่งนี้ วันมะรืนนี้ และวันต่อๆ ไป
จริงสินะครับ...
ผมควรเรียกคุณหมอว่า ‘พี่นุ’ ได้แล้ว รู้สึกดีจนบอกไม่ถูก คล้ายกับว่าความสัมพันธ์ของเรามันข้ามไปอีกขั้น ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นและสัมผัสกันมากขึ้นจากคำเรียกขาน ผมกำลังกลายเป็นน้องฟ้าของคุณหมอ แล้วคุณหมอก็กลายมาเป็นพี่นุของผม
ผมเป็นคนเชื่อคนง่าย นั่นเพราะผมมั่นใจว่าคนๆ นั้นไม่คิดหลอกลวงผม ในเวลานี้ผมก็เชื่อพี่นุของผม เชื่อไปทั้งใจ เชื่อว่ามือของพี่นุจะอบอุ่นอย่างนี้ตลอดไป...สำหรับผม
“วันเดียวเปิดตัวถึงสองคู่เลยนะเนี้ย สมใจคุณแม่แล้วนะคะคราวนี้ ไม่ต้องตะเวนหาสะใภ้ให้เหนื่อยอีกแล้ว”
น้องสาวของพี่นุพูดล้อๆ แล้วหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี คุณแม่ของพี่นุค้อนควับทันที ลูกสาวคนเล็กนั่งอยู่ไกลเกินกว่าจะเอื้อมมือไปตีได้เหมือนที่ตีลูกชายคนโต ท่านเลยได้แต่มองค้อน ยกยาดมขึ้นมาจ่อจมูก
“เหนื่อยกว่าเดิมอีกนะสิ ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปบอกเขายังไง” คุณแม่ของคุณหมอบ่นเสียงเบา แต่ผมกลับได้ยินชัดเจนเต็มสองหู ใจมันหายไปวูบหนึ่งเลยครับ หรือว่าท่านไม่อยากยอมรับความสัมพันธ์ของผมกับลูกชายท่าน ตระกูลท่านไม่ใช้เล็กๆ ท่านเป็นคนในสังคม คำถามมากมายคงตามมาจนท่านต้องเหนื่อยแล้วอับอายที่จะบอกกับทุกคนว่า ลูกชายท่านมีแฟนเป็นผู้ชาย
ผมรับรู้ถึงแรงบีบของมือใหญ่ ความรู้สึกอบอุ่นแทรกซึมเข้ามาอย่างเปี่ยมล้น เมื่อความรู้สึกหวั่นไหวนั้นตีตื้นขึ้นมา ขอบตาร้อนผ่าว อยากบอกพี่นุของผมว่าขอโทษ ขอโทษที่เริ่มอ่อนแออีกแล้ว ทั้งเมื่อครู่ผมยังรู้สึกว่าเรื่องของเราสองคนจะผ่านไปด้วยดี แต่เพราะคำพูดของคุณแม่ของพี่นุ ทำให้ผมรู้ว่าท่านยากจะยอมรับเรื่องนี้ ผมคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป คิดว่าท่านยอมรับเรื่องของคุณยะกับน้องพีได้ แล้วจะยอมรับเรื่องผมกับพี่นุได้ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างที่ผมคิด
“อย่าเข้าใจผิดนะหนูฟ้า แม่ไม่ได้รังเกียจเรา ลูกของแม่รักใคร แม่ก็รักด้วย ที่แม่พูดเมื่อกี้แม่หมายถึงว่า แม่จะไปพูดกับคุณหญิงวลัยแม่ของหนูเนยยังไงดี เพราะแม่ไม่รู้เรื่องของเรากับตานุ แม่เลยทาบทามหนูเนยให้กับตานุไปก่อนหน้านี้ เข้าใจนะลูก” แม่ของพี่นุพูดอย่างผู้ใหญ่ใจดี ท่านคงเห็นอาการผิดปกติของผม ผมรู้สึกผิดเหลือเกินที่ตีคำพูดของท่านไปแบบนั้น
“ครับ ผมเข้าใจครับ” ผมยิ้มให้คุณแม่พี่นุอย่างขอโทษในสิ่งที่ตัวเองคิด
“หนูฟ้าต้องโทษตานุเลยนะ เพราะไม่ยอมบอกเรื่องของหนูฟ้าให้แม่รู้ ไม่อย่างนั้นแม่ก็ให้วิ่งวุ่นหาคู่ให้ตานุอย่างนั้นหรอก แม่รู้สึกผิดจริงๆ” ท่านว่า
“อย่าคิดอย่างนั้นเลยครับคุณแม่ ผมกับพี่นุก็เพิ่งคบกันไม่นานเองครับ แล้วที่พี่นุไม่บอกคุณแม่อาจเป็นเพราะพี่นุยังไม่มั่นใจน่ะครับ” ผมรีบบอกท่าน กลัวท่านคิดมาก ขณะเดียวกันผมก็ค่อยๆ ดึงมือออกจากมือใหญ่มาไว้ที่หน้าตักของตัวเอง ผมไม่อยากให้ท่านคิดมาก แต่เป็นผมเสียเองที่เริ่มคิดมากและความน้อยใจวิ่งเริ่มวิ่งพล่าน คำพูดของท่านทำให้ผมนึกน้อยใจเจ้าของมือใหญ่ น้อยใจเรื่องที่พี่นุไม่บอกเรื่องของผมให้กับครอบครัวรู้ แถมยังไปไหนมาไหนกับน้องเนยอยู่บ่อยๆ โดยไม่เคยบอกผม อย่างนี้คือต้องการปกปิดหรือเปล่า ผมอยากรู้แต่ก็ไม่อยากถาม กลัวพี่นุรำคาญ
ผมมองค้อนคนที่ดึงมือผมไปกุมอีกจนได้ ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าผมกำลังงอนอยู่ หรือว่ารู้เลยต้องดึงมือผมไปวางประสานกันอยู่บนตักตัวเอง แล้วบีบเบาๆ ราวกับจะให้ง้อผมผ่านแรงกระชับของมือมาสู่หัวใจของผม เพราะสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยทำให้ง้อด้วยคำพูดหรือวิธีอื่นไม่ได้ ผมอยากงอนนานๆ แต่ก็ทำไม่ได้ เมื่อความน้อยใจมันหายลับเข้ากลีบเมฆไปตั้งแต่ที่พี่นุดึงมือไปกุมแล้ว
“ไม่ใช่ไม่มั่นใจครับ แต่กำลังหาโอกาสเหมาะๆ มากกว่าครับ” ไม่รู้ว่าเจ้าของมือใหญ่บอกแม่ของตัวเองหรือบอกผมกันแน่
“เลยเอาวันที่เรื่องฉันแตก ฉลาดดีนะน้องของฉัน” คุณยะพูดแทรกขึ้นมา น้ำเสียงออกอาการอยากหยอกเล่นมากกว่า แต่กลับโดนพัดในมือแม่ของตัวเองฟาดลงบนไหล่ ไม่เบาเลยครับหากฟังจากเสียงที่กระทบ บวกกับเสียงร้องดังของคุณยะ
“อะไรอีกล่ะครับคุณแม่ ผมทำอะไรผิดอีกล่ะครับ”
“ทำอะไรผิดงั้นหรือ ผิดที่ทำกับหลานแม่ไง ถ้าแม่จับไม่ได้วันนี้ หลานแม่ก็คงโดนเรารังแกจนไม่เหลือชิ้นดีเลยใช่ไหม” หน้าตาท่านดูโกรธจริง
“โธ่คุณแม่ครับ ใจผมอยากจะบอกวันแรกที่หลานคุณแม่เป็....”
“หยุดนะตายะ! หยุดพูดเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องแก้ตัวอะไรทั้งนั้น เรื่องของเรากับตาพีเอาไว้วันหลัง หลังจากแม่คุยกับแม่ของตาพีเรียบร้อยก่อน และถ้าแม่เค้าอยากได้ตัวลูกเค้าคืน แม่ก็จะคืนให้”
“ไม่ได้นะครับคุณแม่” คุณยะครางเสียงละห้อย ใบหน้าที่คล้ายพี่นุคล้ายสิ้นหวัง เมื่อฟังประโยคต่อมาของคนเป็นแม่
“เราไม่มีสิทธิ์พูดอะไรทั้งสิ้นตายะ เราทำผิดแล้วก็ผิดมากด้วย ถึงแม่จะยอมรับได้แต่ไม่ได้หมายความว่าแม่จะเห็นดีเห็นงามไปด้วย ฉะนั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตาพีและแม่ของตาพีเท่านั้น”
“ครับ” สุดท้ายคุณยะก็รับคำเสียงเบา สีหน้ากลัดกลุ้มใจมองไปที่ประตูห้องด้านใน
“เอาไงล่ะคุณหญิง จะให้แหวนหนูฟ้าเลยไหม เห็นนั่งขัดอยู่ทุกวัน วันนี้เจ้านุก็พาหนูฟ้ามาแล้วให้ซะเลย” แล้วคุณพ่อของพี่นุก็พาเข้ามาที่เรื่องของผมต่อทันที สงสัยจะให้บรรยากาศกลับคืนมาเป็นปกติโดยเร็ว
“ดิฉันก็อยากให้แหวนของดิฉันหรอกนะคะท่านนายพล แต่เอ่อ...มันคงจะคับไปสำหรับหนูฟ้า แล้ว...แล้วดิฉันก็ว่าจะให้ตายะนะคะท่าน ไม่โกรธแม่นะตานุหนูฟ้า” ท่านบอกคู่ชีวิตของท่าน แล้วหันมาบอกผมกับพี่นุ
ผมเห็นคุณยะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ คำพูดของคุณแม่ของพี่นุบอกเป็นนัยๆ แล้วว่า แหวนบนนิ้วของท่านที่จะให้คุณยะนั้นจะไปอยู่ที่นิ้วของใคร
“ผมจะโกรธทำไมละครับคุณแม่ แหวนของคุณแม่ให้พี่ยะก็ถูกแล้ว” พี่นุของผมพูด
“แหวนแม่เรามีคนจองแล้ว แต่แหวนของพ่อยังไม่ใครจองนะ เอ้า...เจ้านุเอาไปตัดเรือนเสียก่อนจะได้พอดีนิ้วของหนูฟ้า แล้วค่อยเอามาสวมต่อหน้าพ่อกับแม่วันหลัง” ท่านว่า พลางถอดแหวนบนนิ้วนางของท่าน ส่งให้ลูกชายที่ยื่นมือไปรับพร้อมกับยกมือไหว้ ผมพลอยมือไหว้ไปด้วย ท่านก็รับไหว้ผม
“น้ำหวานกลับไปที่เรือนใหญ่ ไปเอากล่องใส่แหวนมาให้ฉันหน่อย” คุณแม่ของพี่นุบอกเด็กที่ชื่อน้ำอ้อย แล้วหันมาบอกกับคู่ชีวิตของท่านด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่ต่างจากใบหน้าที่จริงจัง
“ไม่ได้นะคะท่านนายพล ท่านจะมาพูดว่าวันหลังไม่ได้นะคะ ของอย่างนี้ดูฤกษ์ดูยามให้ดี ให้เอาฤกษ์สะดวกอย่างสมัยนี้ไม่เอานะคะ ดิฉันไม่ยอมเด็ดขาด พรุ่งนี้แม่จะดูฤกษ์ให้ละกันนะลูก”
“ตามใจคุณหญิงละกัน”
“ครับคุณแม่” เสียงพี่นุตอบ
ผมได้แต่อึ้งระคนมึนงง ไม่คิดเลยว่าเรื่องมันจะเกินคาดอย่างนี้ ผมเคยคิดว่าท่านจะรังเกียจ เรื่องอาจจะหนักหนาจนผมต้องเดินคอตกกลับบ้านเพราะถูกกรีดกั้น คิดว่าท่านทั้งสองอาจสั่งห้ามพี่นุไม่คบกับผม บังคับให้เลิกกันเพราะความไม่เหมาะสมทางสังคม หรืออะไรก็ตามแต่ที่เกิดจากการที่ผมเป็นผู้ชาย และท่านมีว่าที่ลูกสะใภ้อยู่ในใจแล้วคือน้องเนย
มันผิดจากที่ผมคิดชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ และดีจนเกินกว่าที่ผมจะคาดถึง แหวนในมือพี่นุที่ได้จากคุณพ่อพี่นุ และการหาฤกษ์ที่คงไม่ต่างจากฤกษ์แต่งงานของคุณแม่พี่นุ คือสิ่งที่เกินกว่าที่ผมจะคาดคิด ราวกับฝันแต่มันคือความจริง มืออุ่นของพี่นุช่วยบอกผมว่ามันคือความจริง ไม่ใช่ความฝันแต่อย่างใดเลย
“ยัยภา พรุ่งนี้เราหยุดอีกวันได้ไหม มาเป็นเพื่อนแม่ไปหาหลวงตาหน่อย” ท่านหันไปถามลูกสาวคนเล็ก
“ได้ค่ะ คุณแม่ ว่าแต่ภาขอไปรับเด็กๆ ที่โรงเรียนก่อนนะคะ”
“เอาตัวพ่อของตาซันกับตาซานไปด้วยนะ ลูกจะได้เห็นหน้าพ่อบ้าง วันๆ ไม่เคยอยู่ให้ลูกเห็นหน้าเลย ไปสิตายะ” ประโยคสุดท้ายท่านหันไปสั่งเสียงดังเอากับลูกชายคนโต
“คุณแม่ก็พูดเกินไป ผมงานยุ่งหรอก”
“จ๊ะพ่องานยุ่ง ยุ่งให้มันจริงเถอะ ไปไป๊ ไปได้แล้ว ยัยภาเอาตัวพี่เราไปด้วย” ท่านบอก พี่ภาก็เลยดึงตัวคุณยะขึ้นมา พาลงเรือนไปด้วยกัน
“ลำบากใจหรือเปล่าหนูฟ้าที่แม่กับพ่อทำเหมือนเร่งหนูอย่างนี้” ท่านหันมาถาม เมื่อลูกทั้งสองของท่านลงเรือนไปแล้ว
“ไม่ครับคุณแม่ ผมต้องขอบคุณคุณพ่อคุณแม่มากกว่าที่เอ็นดูผม” ผมตอบและอยากตอบมากกว่านี้ด้วยว่า ดีใจที่ท่านยอมรับในตัวผมและยังทำเหมือนต้องการผมมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวท่าน แต่ผมก็เขินเกินกว่าจะพูดไปอย่างใจคิด
“ท่านนายพลคะ ดูเหมือนเราจะลืมอะไรไปนะคะ ท่านกับดิฉันต้องไปคุยกับพ่อแม่ของหนูฟ้าก่อนสิคะถึงจะถูกต้อง” ท่านว่าเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้
“จริงด้วยคุณหญิง ผมก็แก่แล้วจริงๆ ลืมเรื่องสำคัญเสียได้ ว่าไงเจ้านุ เอาหนูฟ้ามานี่ได้บอกพ่อกับแม่เขาหรือยัง”
“ยังครับคุณพ่อ ผมพาน้องฟ้ามาที่นี่ก่อน แต่พี่สาวน้องฟ้าก็รู้เรื่องของผมกับน้องฟ้าแล้ว แล้วก็ยกน้องฟ้าให้ผมดูแลแล้วนะครับ” พี่นุบอก พลางหันมายิ้มหวานให้ผม ทำเอาผมเขิน หน้าร้อนผ่าว
“มันได้ที่ไหนล่ะเจ้านุ เราต้องเข้าไปคุยกับพ่อแม่ของหนูฟ้าสิถึงจะถูกต้อง เอาไงล่ะคุณหญิง พรุ่งนี้ยังไม่ต้องไปดูฤกษ์หรอก ผมว่าเราไปหาพ่อแม่ของหนูฟ้าก่อนเถอะ”
“ดิฉันก็ว่าอย่างนั้นค่ะท่าน มายงมายกให้กันง่ายๆ โดยที่ผู้ใหญ่ไม่รู้เรื่องน่ะไม่ได้ น่าตีจริงๆ ลูกคนนี้ คิดถึงหัวอกพ่อแม่ของหนูฟ้าบ้าง”
ท่านทั้งสองว่าเพราะไม่รู้ว่าผมเหลือพี่สาวเพียงคนเดียว ผมเลยต้องรีบบอกท่านเสีย แอบหวั่นใจเหมือนกันว่าท่านจะคิดอย่างไรกับเด็กกำพร้าที่ถูกทิ้งตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาขึ้นมา
“อย่าว่าพี่นุเลยครับคุณพ่อคุณแม่ ผมเป็นเด็กกำพร้าครับ ไม่รู้ว่าตอนนี้พ่อกับแม่ที่ให้กำเนิดเป็นใครหรืออยู่ที่ไหน...”
แล้วผมก็เริ่มต้นเล่าเรื่องของผมให้ท่านทั้งสองฟัง เพราะอยากให้ท่านรู้จักตากับยายที่จากไปของผมด้วยน่ะครับ
“โถ...ลูก มาให้แม่กอดหน่อย” คุณแม่พี่นุครางเสียงเบาด้วยความสงสารผม ท่านเรียกผมเข้ามากอด ลูบหัวราวกับต้องการปลอบขวัญผม ท่านไม่ได้รังเกียจที่ผมเป็นคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า เป็นลูกเต้าเหล่าใครที่ท่านไม่รู้จัก อ้อมอกของท่านอุ่นไม่ต่างจากของคุณตาคุณยายผมเลย
“พี่สาวก็ออกเรือนไปมีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว หนูฟ้าก็มาอยู่เป็นครอบครัวเดียวกับพ่อนะ จะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียว”
“พรุ่งนี้เลยไหมครับคุณพ่อ”
พอคุณพ่อพี่นุพูด พี่นุก็เสนอความคิดของตัวเองทันที ผมว่าวันนี้หรือวันไหนมันก็ไม่ต่างกันหรอกครับ เพราะตอนนี้ผมก็ใช้ชีวิตร่วมไปกับพี่นุอยู่แล้ว แต่บอกให้ท่านทั้งสองรู้ไม่ได้ บางเรื่องก็ควรเก็บไว้เป็นความลับ ผมคิดว่าอย่างนั้นนะครับ
“ไม่ได้นะตานุ แม่บอกแล้วไงว่าต้องดูฤกษ์ก่อน” ท่านว่าสุ้มเสียงไม่พอใจ พี่นุของผมเลยยิ้มแหยๆ แต่ก็แอบเห็นข้อความที่ส่งผ่านสายตาคมมาให้ผม ข้อความที่บอกให้รู้กันเพียงสองคนว่า เราเลยจุดที่ต้องใช้ฤกษ์ใช้ยามกันมาแล้ว
แต่ฤกษ์ที่ท่านทั้งสองจะหาให้ผมกับพี่นุก็มีความหมายนะครับ เป็นฤกษ์ดีที่พี่นุจะสวมแหวนให้ผม แหวนที่เป็นส่วนหนึ่งของความรักของเรา ถ้าพี่นุต้องเอาหวานไปตัดเรือนเพื่อให้พอดีกับนิ้วของผม ผมก็ต้องหาแหวนสำหรับพี่นุเหมือนกัน แต่คงต้องสั่งทำเพราะแหวนของคุณตาผมกลายเป็นของพี่เขยผมไปแล้วล่ะครับ
.
.
.
“น้องฟ้า”
คนที่นอนหนุนตักผมแล้วอ้าปากรอรับส้มรสหวานที่ผมป้อนให้เรียกชื่อผมด้วยสุ้มเสียงหวานเพราะ อาจหวานกว่าส้มที่ผมส่งเข้าปากเขาและปากผมด้วยมั้ง บอกตามตรงว่าผมยังไม่คุ้นกับสรรพนามที่เปลี่ยนไปนี้เท่าไหร่ ชอบนะครับ ชอบมากด้วย แต่มันก็เขิน เขินมากจริงๆ
“ครับ พี่นุ” ถ้าพี่นุเรียกผมด้วยสุ้มเสียงที่หวานเพราะ ผมก็ตอบรับคำเรียกด้วยน้ำเสียงที่หวานจับใจไม่แพ้กัน
หลังจากที่คุณพ่อกับคุณแม่ของพี่นุกลับเรือนใหญ่ไปพร้อมกับน้องพี พี่นุก็พาผมมานั่งเล่นที่ศาลาทรงไทยกลางสระน้ำห่างจากเรือนของพี่นุพอสำควร ดอกบัวที่โผล่สูงเหนือผิวน้ำแม้จะเริ่มหุบกลีบดอกแล้ว แต่ก็ชวนให้มอง ใบบัวที่ลอยเกือบเต็มสระนั้นอีก รวมถึงต้นไม้น้อยใหญ่ที่รายรอบ มากมายหลายพันธ์ที่ผมรู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง แต่ที่ไม่รู้จักผมก็ได้รู้จักเพราะพี่นุของผม ชี้ชวนให้ดูและบอกให้รู้ ทั้งมีบอกด้วยว่าต้นไหนที่ตัวเองปลูกบ้าง รอบๆ ตัวศาลาก็เต็มไปด้วยกระถางบอนสี โกสน เขียวหมื่นปี คล้าถุงเงิน สาวน้อยประแป้ง สาวน้อยร้อยชั่ง แล้วอีกเยอะแยะที่ผมจำชื่อได้ไม่หมด ด้านบนก็ยังมีไม้ระโยงระยาด้วยระย้า สร้อยนารี สร้อยนางกรอง ช้องนางคลี่ เฟินเขากวาง เฟินริบบิ้น และก็อีกมากมายครับ ผมจำชื่อได้ไม่หมดเหมือนกัน
“เชื่อแล้วใช่ไหมว่าคุณพ่อคุณแม่ของพี่นุใจดี” พี่นุถาม ก่อนจะเคี้ยวส้มรสหวานที่ผมป้อนให้
“รู้แล้วครับ” รู้จริงๆ นั่นแหละครับ ท่านทั้งสองใจดี ใจดีจนผมน้ำตาซึมเพราะตื้นใจ พยายามจะไม่ร้องไห้ออกมา กลัวท่านทั้งสองตกใจ ช่วงนี้ผมรู้นะว่าตัวเองบ่อน้ำตาตื้นเหลือเกิน ร้องไห้บ่อยจนกลัวว่าพี่นุจะรำคาญ
“ต่อไปนิ้วนี้ก็ไม่ว่างแล้วนะครับ”
ปากหนาของพี่นุจูบลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของผมที่เจ้าตัวคว้าเอามาครอง ทำเอาผมเขินอีกแล้ว ยิ่งสายตาหวานซึ้งจากตาคมมองลึกเข้ามาในตาผมด้วย ยิ่งทำให้เขินจนหน้าร้อนไปหมด วันนี้ทั้งวันผมได้แต่เขินและเขิน
“อยากสวมให้เสียวันนี้เลย แต่กลัวฤกษ์ของคุณแม่จะเก้อ รอหน่อยนะครับคนดีของพี่นุ” เอาอีกแล้ว พี่นุของผมพูดเสียงหวานอีกแล้ว คำพูดก็หวาน อยากแก้เขินด้วยการหันไปมองต้นไม้น้อยใหญ่รอบตัว แต่ก็ทำไม่ได้เพราะถูกสายตาหวานซึ้งสะกดเอาไว้
พี่นุของผมตั้งท่าหวานอย่างเดียวเลยหรือไง
“ว่าไงครับคนดี รอได้ไหมครับ” พี่นุถามย้ำเอาคำตอบ ทั้งที่ไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำ ก็รู้อยู่ว่ายังไงผมก็รอได้ ต่อให้เป็นปีสองปีหรือสามปีสี่ปี ผมก็รอไหวอยู่แล้ว
“ไหวครับ” ผมตอบ แอบมองซ้ายมองขวา หน้าและหลัง ไม่มีใครอยู่บริเวณนี้เลย ผมจึงโน้มตัวลงก้มไปหอมแก้มสากทันที
“นานแค่ไหนก็รอได้ครับ พี่นุ”
รู้ตัวเองก็แอบหวานไม่แพ้พี่นุเหมือนกัน ตอนนี้ราวกับว่าโลกรอบตัวของผมมันเป็นสีชมพูไปหมด มองไปทางไหนก็มีเหมือนมีดอกไม้แบ่งบานไปทั่ว มองคนที่นอนหนุนตักผมก็เจอแต่ความรักที่ส่งมาให้ มองเข้าไปในดวงตาสีดำก็เจอกับคำมั่นสัญญาว่าจะรักตลอดไป
“ไม่ให้รอนานหรอกครับ เห็นไหมว่าคุณแม่พี่อยากได้น้องฟ้าเป็นลูกจะแย่อยู่แล้ว เผลอๆ อาจจะได้ฤกษ์ดีวันพรุ่งนี้เลยก็ได้นะครับ”
ผมเชื่อที่คนปากหวานพูด เชื่อว่าท่านทั้งสองยินดีให้ผมเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกับท่าน ราวกับฝันนะครับ ทุกอย่างมันดูง่ายและผ่านไปได้ด้วยดี ผมได้รับการต้อนรับที่ดีและไม่มีความรู้สึกอะไรที่ทำให้ผมเศร้าเสียใจเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะครอบครัวพี่นุใจดีอย่างนี้เอง พี่นุถึงใจเป็นพี่นุที่ใจดีกับผมตลอดมา แล้วผมหวังว่าจะตลอดไป
“หายปวดหัวหรือยังครับ” จู่ๆ พี่นุก็เปลี่ยนเรื่อง ผมส่ายหน้า อาการจากพิษไข้เมื่อคนไม่เหลืออีกแล้ว ที่มีอยู่ตอนนี้คือความหวานที่แทรกซึมอยู่ทุกอณูความรู้สึก
“ไม่แล้วครับ”
“เมื่อยไหม?” พี่นุถามอีก
“ไม่ครับ” ไม่เมื่อยเลยครับ มีความสุขและอยากให้อยู่อย่างนี้ไปตลอดด้วยซ้ำ
“แต่พี่นุอยากให้น้องฟ้านอนตักพี่บ้าง” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นนั่ง ดึงผมให้ลงนอนหนุนตักแข็งแรงนั้น มือหนาเกลี่ยไล้เล่นบนแก้มของผม ตาคมที่หวานซึ้งไม่ได้ละไปจากหน้าผมแม้แต่นิดเดียว
“คิดว่ามันเร็วไปไหม?” จากพี่นุปากหวานกลายเป็นพี่นุเจ้าคำถามไปเสียแล้ว แม้คำถามจะสั้น ไม่ชัดเจนและชวนงงว่าหมายถึงเรื่องอะไร แต่ผมก็รู้ครับว่าพี่นุถามถึงเรื่องอะไร
“39 วัน นานจนทำให้ผมรักพี่นุหมดใจแล้วนะครับ” ผมตอบคำถามของคนที่ยังไม่เลิกเล่นแก้มผมด้วยความจริงในใจและความรักที่เอ่อล้นอยู่ในอก
วันเวลาทุกวันเริ่มตั้งแต่เช้าวันนั้น วันที่ผมยืนร้องไห้หน้าร้านเชิญครับ แล้วคุณหมอสัตว์จากคลินิกข้างๆ ก็เดินเข้ามาทำท่าเหมือนจะทักทายตามประสาลูกค้าประจำของร้าน แต่แล้วก็เดินผ่านเข้าไปในร้านแทนด้วยท่าทีเก้อเขิน เพราะผมแกล้งมองไม่เห็นเขา ก่อนจะเดินถือแก้วกาแฟกลับออกมาอีกครั้ง แล้วหยุดทักทายผมด้วยประโยคที่ชวนผมอึ้ง
‘เมื่อคืนร้องไห้มาหรือครับตามบวมเชียว’ คำถามที่ชวนผมอึ้งและเผลอตอบความจริงออกไปว่า ‘ครับ ร้องจนถึงเช้าเลยครับ’
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ มันยาวนานมากเหลือเกินในความคิดและความรักครั้งใหม่ของผม ทั้งที่จากวันนั้นจนถึงวันนี้ มันแค่ 39 วันเท่านั้นเอง
“แต่เราเจอกันนานกว่า 39 วันนะครับ ก่อนน้องฟ้าจะเปิดร้านด้วยซ้ำ”
พี่นุช่วยเตือนความจำของผม ซึ่งมันทำให้ผมจำได้ ไม่น่าลืมวันเวลาเหล่านั้นไปเลย เราเจอกันก่อนหน้านั้นในฐานะลูกค้ากับเจ้าของร้าน และนานกว่าระยะเวลาที่ผมเปิดร้านเชิญครับ เพราะก่อนหน้านั้นผมกับพี่นุเจอกันและเห็นหน้ากันบ้างระหว่างที่ผมมาดูการก่อสร้างร้าน เข้ามาตกแต่งร้าน ดูความเรียบร้อยของร้านแทบจะทุกวัน เมื่อเปิดร้านในวันแรก ร้านของผมก็มีคุณหมอสัตว์เป็นลูกค้ารายแรกที่เข้ามาใช้บริการกาแฟร้อนและเค้กสตรอเบอร์รี มานึกถึงตอนนี้ก็แอบเสียดายที่วันนั้นไม่ได้มองสบตาคมนี้นานนัก
“อย่าบอกนะครับว่าแอบชอบผมมานานแล้ว” ผมถามล้อๆ ไม่ได้คิดว่ามันเป็นความจริงอะไรเลย พี่นุของผมในวันนี้ ในวันนั้นเป็นเพียงแค่คุณหมอสัตว์ลูกค้าธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่แตกต่างจากลูกค้าคนอื่นตรงที่เคยเข้ามาช่วยล้างแก้วอยู่หลังร้านและอาสาเป็นเด็กเสิร์ฟในบางครั้งที่ร้านเชิญครับวุ่นวายด้วยลูกค้ามากมาย
“ตอนนั้นน้องฟ้ามีเจ้าของอยู่แล้ว พี่นุไม่กล้ายุ่งหรอกครับ” พี่นุว่ายิ้มๆ
“ไม่กล้ายุ่งหรือเพราะมีคนที่รักอยู่แล้วกันแน่ครับ” สาบานได้ว่าผมไม่ได้ถามประชดหรือน้อยอกน้อยใจอะไรแม้แต่นิดเดียว ผมถามเพราะเรื่องราวมันพาไปต่างหาก
“สองอย่างเลยก็ได้ครับ” พี่นุยอมรับความจริง ผมไม่ได้รู้สึกอะไรมากกว่ามันคือ ‘อดีต’ เหมือนที่ผมมีนนท์เป็นอดีตของผมไปแล้ว ผมไม่ได้คิดอยากกลับไปรักนนท์ใหม่อีกครั้ง ไม่ใช่เพราะนนท์ไม่ได้รักผมแล้วหรือเพราะนนท์รักแดน แต่เพราะผมมีพี่นุคนรักที่แสนดีอยู่แล้วทั้งคน คนที่เติมเต็มทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของผมและคือคนที่ผมรักมากเหลือเกิน
และผมก็มั่นใจว่าพี่นุก็คงไม่กลับไปหาความรักครั้งเก่าอีกแล้ว ไม่ใช่เพราะคุณลมมีคุณติน แต่เพราะพี่นุรักผม ผมคือความรักครั้งใหม่ของพี่นุ
เราสองคนรักกันแล้ว
“พี่นุ...” ผมจับมือหนามาวางบนอก
“ครับ”
“ฟ้ารักพี่นุนะครับ”
แล้วใบหน้าคมก็โน้มเข้าใกล้ใบหน้าของผม ปากหนาแนบจูบลงมาแผ่วเบา ทว่าหวานซึ้งจนผมน้ำตาคลอเพราะความซึ้งใจจากรสรักที่ผ่านมาทางรสจูบ
“พี่นุก็รักน้องฟ้าครับ”
>>>>>> Happy Na Ka <<<<<<<<
คนเขียนขอคุย :: คาดว่าตอนหน้าตอนที่ 32 จบของจริงแน่นอนนะคะ ^___^ แต่ก็เป็นตอนสั้นๆ เป็นพาร์ทของคุณหมอ อิอิ ตอนนี้ก็ถือว่าเป็นตอนจบได้เลยเหมือนกันนะคะ ฉะนั้น ไม่ค้างนะคะถ้าตอนที่ 32 จะไม่มาในเร็ววันนี้ หุหุ เพราะจะเสิร์ฟตอนพิเศษตินลมแทน
ปล.จบง่ายเนอะะะ ไม่หวือหวาเล๊ยยย อยากเขียนแบบโค่ดจะลุ้นไรงี้ แต่ก็เขียนไม่ได้ T^T ได้แค่นี้ละน้าาาา
บับบาย
สีเหลืองอ่อน//aeaw