1
ตลอดชีวิตของหม่อมราชวงศ์ ภาสกร ไม่เคยมี “เรื่องเลวร้าย” ใดๆ เกิดขึ้นกับเขาเลย
เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่เคยมีแม้แต่ “เรื่องไม่ค่อยดี” ผ่านเข้ามาให้เขาได้สัมผัสถึงความยุ่งยาก ลำบากใจหรือแม้แต่ ตึงเครียดเลยด้วยซ้ำ ตั้งแต่เกิดจนอายุล่วงเลยมาถึงวัยยี่สิบปลายที่เผลอๆ จะกลายเป็นสามสิบเมื่อไหร่ก็ไม่รู้อย่างนี้แล้ว ครอบครัวของเขาก็ยังคงไม่ละทิ้งความพยายามที่จะมอบความสะดวก สบายและปลอดภัยให้กับเขาอย่างถึงที่สุด ไม่ต้องบอก ใครๆก็ต้องรู้ว่า ครอบครัวที่กำลังพูดถึงนี้ คือครอบครัว รชตานันต์ นั่นเอง นามสกุลที่คุ้นหูนี้ เป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้วในแวดวงไฮโซ อีกทั้งความที่ภาสกรเป็น “คุณชาย” รูปหล่อ พ่อรวย วงศ์ตระกูลสูงส่ง แล้วยังมีข่าวกับดาราสาวที่กำลังมาแรงอยู่ในขณะนี้อีก ทั้งหมดรวมๆกันทำให้เขาเป็นที่รู้จักในแวดวงบันเทิงด้วย เรียกได้ว่า ชื่อเสียง เงินทอง ความสะดวกสบายทั้งหลายแหล่มีอยู่เต็มมือ จนภาสกรแทบไม่เคยได้เผชิญความยากลำบากเลย มาตลอดยี่สิบเก้าปี อย่างที่เกริ่นมาแล้วข้างต้น
จนกระทั่งคืนที่เขาขับรถชนเด็กหนุ่มหน้าใส คนหนึ่งตอนขากลับจากพัทยา นั้นแหละ ความยากลำบากก็เริ่มเข้ามากล่าวคำทักทาย และฝากเนื้อฝากตัวกับเขาเสียอย่างแนบแน่น
ภาสกรกำลังนั่งอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลใหญ่ในตัวเมืองพัทยา ใบหน้าหล่อคมเข้มซ่อนอยู่ในมือทั้งสอง ชายหนุ่มกำลังรู้สึกแย่ จนแทบจะ
“เลวร้าย” เป็นครั้งแรกในชีวิต ไม่ใช่เพราะค่าใช้จ่ายที่แพงมหาศาลจากการรักษาเด็กหนุ่มคนนี้ให้ฟื้นคืนสติให้เร็วที่สุด แต่เป็นเพราะความรู้สึกผิด ความกลัวต่อบาป และ ความกังวลใจว่าเมื่อนายแพทย์คนสนิทที่เป็นเพื่อนของพ่อเขากลับออกมาอีกครั้งนั้น คำพูดที่ภาสกรจะได้ยิน คือคำว่า คนไข้เสียชีวิตแล้ว มือทั้งสองข้างปิดตาแน่นราวกับว่ามันจะช่วยทำให้เขาลืมเสียงร้องแห่งความเจ็บปวด ของเด็กหนุ่มโชคร้ายคนนั้นได้ แหวนทองคำขาวที่หม่อมแม่ของเขาสั่งทำให้ กดลงกับเบ้าตาจนเจ็บปวดไปหมด แต่จะเจ็บอย่างไรก็คงไม่แม้แต่จะคิดเทียบได้กับความเจ็บปวดของเด็กหนุ่มที่อยู่ในห้องนั้นรู้สึก
เขาต้องไปงานเลี้ยงของคุณหญิง เพ็ญแข เพื่อนของหม่อมวิไลวรรณ แม่ของเขา แต่ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้ไปเสียแล้วเขาจะไปงานได้อย่างไรเล่า
แล้วนี่เขาจะบอกคุณแม่ยังไง
ถ้าใครรู้เข้าแม้แต่คนเดียว ชีวิตเขาจะเป็นอย่างไร ภาสกรได้แต่เพียงภาวนาไม่ให้เด็กคนนั้นตาย ภาวนาไม่ให้บรรดานักข่าวรู้ ไม่อย่างนั้นแล้ว... ภาสกรไม่อยากคิดต่อเลย
“ขอโทษนะคะ มีญาติของผู้ป่วยประสบอุบัติเหตุรถชนอยู่แถวนี้ไหมคะ”นางพยาบาลคนหนึ่งเดินออกจากห้องฉุกเฉินมาในที่สุด
ภาสกรเงยหน้าขึ้นจากฝ่ามือ
“ผมเองครับ”
“คุณชาย ภาสกร ...” นางพยาบาลสาวหน้าคมอุทานขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา คุณชายภาสกรมาทำอะไรอยู่ที่นี่ ในเวลาอย่างนี้กัน “เอ่อ ขอโทษนะคะไม่ทราบว่า คุณชาย เป็นญาติทางไหน”
“ผมเป็นเพื่อนครับ เพื่อน”
“คือ...ดิฉันต้องแจ้งให้ทราบนะคะว่า ตอนนี้คนไข้ช็อกหมดสติด้วยความตกใจ และเสียเลือดมากจากการที่ศีรษะได้รับความกระทบกระเทือนน่ะค่ะ รวมไปถึงกระดูกต้นขาก็หักจากการถูกกระแทกอย่างแรง แล้วชีพจรก็เต้นต่ำมากเพราะเสียเลือด ทางเราจำเป็นต้องขอรับบริจาคเลือด กรุ๊ปเอบีโดยด่วนค่ะ เพราะทางโรงพยาบาลเหลือน้อยเต็มทีดิฉันเกรงว่า…”
“ใช้เลือดผมก็ได้ครับ ผมเลือดกรุ๊ปเอบี” ภาสกรตอบอย่างไม่ลังเล หากเลือดของเขาจำนวนไม่มากจะทำให้เด็กคนนี้มีชีวิตต่อไปได้ละก็ เขาเต็มใจ
“ดีเลยค่ะ ถ้าอย่างนั้นต้องขอเชิญทางนี้นะคะ เดี๋ยวดิฉันต้องขอตัวอย่างเลือดคุณชายไปตรวจดูให้แน่ใจว่าเข้ากันกับเลือดคนไข้ได้ก่อนนะคะ แล้วก็...คุณชาย มีเบอร์โทรศัพท์ติดต่อญาติของคนไข้ไหมคะ”
ภาสกรอึกอัก เพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร ด้วยความจริงเขาไม่รู้จักชายคนนี้เลยแม้เพียงชื่อ จึงโกหกไปว่า “เอ้อ ผมติดต่อไปแล้วครับ”
นางพยาบาลหน้าคม พาภาสกรไปตรวจเลือดจากนั้นก็ให้นั่งรอให้เลือดผู้ป่วยคนนั้น ระหว่างนั้นเองภาสกรก็หยิบโทรศัพท์มือถือ และกระเป๋าสตางค์ของเด็กหนุ่มขึ้นมาดู บัตรประชาชนที่เสียบไว้ในช่องกระเป๋าด้านหน้าระบุว่าชื่อ นาย นที เสถียรลาภ ภาพที่บัตรประชาชน ยังปรากฏเป็นชายหนุ่มตากลมโตมองหน้าผู้ที่ก้มดูบัตรอย่างเนือยๆ ราวกับว่าการถ่ายภาพบัตรประชาชนเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาอยากทำบนโลกอย่างนั้น ผมที่ตัดสั้นเสมอคอ ไม่รุงรังปิดหน้า ทำให้ นที ดูเป็นชายหนุ่มที่น่ามองไม่หยอก หากแต่สภาพของชายหนุ่มที่นอนจมกองเลือดตอนที่คนจากโรงพยาบาลอุ้มขึ้นรถ กลับเตือนให้ภาสกรรู้ตัวว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ควรจะมานั่งจ้องบัตรประชาชนของใคร ภาสกร เปิดฝาโทรศัพท์มือถือก็พบภาพของชายหนุ่มในเสื้อกล้ามสีขาว ถ่ายริมทะเล คู่กับสาวผิวคล้ำ ตากลม ผมสั้นคนหนึ่งบนหน้าจอ รอยยิ้มของชายหนุ่มแสดงให้เห็นความสุขที่เขามีในเวลานั้น น่าเสียดายหากเด็กคนนี้จะไม่อาจฟื้นขึ้นมายิ้มแบบนี้ได้อีกครั้ง
ภาสกร กดสมุดโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก็พบว่า ในนั้นไม่มีเบอร์”พ่อ” หรือ “บ้าน” อย่างที่เขาคิดไว้ว่าควรจะมี ชายหนุ่มเลื่อนลงไปที่คำว่า “แม่” แล้วกดปุ่มโทรออก ก็พบว่าเงินในมือถือหมดเสียแล้ว เขาจึงกดเบอร์จากเครื่องของตัวเองแล้วกด โทรออกอีกครั้ง... ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก... คุณชายหนุ่มคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างงุนงง เพราะในมือถือไม่มีเบอร์ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า พี่ หรือ ลุง ป้า น้า อา เลยแม้แต่เบอร์เดียว เขาจึงเปลี่ยนใจ เลือกเบอร์ที่โทรออกล่าสุด “ปุยฝ้าย” กดเบอร์เข้าเครื่องของตัวเอง แล้วโทรออกทันที
ปลายสายเป็นเสียงผู้หญิงที่รับสายอย่างงัวเงีย
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ คุณปุยฝ้ายใช่ไหมครับ ขอโทษที่โทรมารบกวนนะครับ ผมชื่อ ภาสกร รชตานันต์”
ชื่อและ นามสกุลทำให้ปลายสายร้อง ว๊าย ขึ้นเบาๆ อย่างห้ามไม่ได้ จากนั้นเสียงงัวเงีย ก็กลับแจ่มใสออกไปทางดัดจริตจก้านให้เสียงฟังดูไพเราะขึ้นอย่างขัดหู “เอ่อ คุณชายได้เบอร์ ปุยฝ้ายจากไหนอ่ะคะ ตายแล้ว คือมีอะไรให้ปุยฝ้ายรับใช้หรือคะ ฝ้ายยินดีทำทุกอย่างเลยค่ะ...”
คุณชายภาสกร ตัดแทรกขึ้นกลางลำ
“คือผมโทรมาเรื่องคุณ นที เสถียรลาภน่ะครับ” ภาสกรว่าพลางก้มมองบัตรประชาชนใบนั้นว่าชื่อที่ผ่านปากออกไปนั้นถูกต้องหรือไม่
“ตายจริง นที มันเป็นอะไรคะ”
“คือเขาประสบอุบัติเหตุรถชนน่ะครับ” เสียงกรี๊ดเบาๆดังขึ้นอีกครั้ง “ตอนนี้เขาอยู่ที่โรงพยาบาล... ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไปผมขอให้คุณปุยฝ้าย ช่วยรีบมาที่โรงพยาบาล...ด่วนเลยนะครับ เพราะผมไม่ทราบว่าจะติดต่อ ญาติของคุณนทียังไง ผมรบกวนคุณฝ้ายด้วยครับ”
ปลายสายวางหูไปตั้งแต่ได้ยินชื่อโรงพยาบาลแล้ว ภาสกร ลอบถอนหายใจ ก่อนจะกดใบหน้าอันหล่อเหลา ลงกับฝ่ามืออีกครั้งพลางนวดดวงตาเบาๆ เขายังไม่พร้อมรับมือกับญาติคนใดของนที เขายังไม่พร้อมรับมือกับตำรวจ แม้แต่เพื่อนสาวของชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายเลย ยังไม่นับหม่อมแม่ของเขา รวมถึงท่านพ่อ หาก ม.จ. เรืองเดช ทราบเรื่องนี้แม้เพียงไม่ถึงครึ่งเรื่องก็ตามละก็ มีหวังโรคพระทัยกำเริบก่อนที่เขาจะถูกไล่ออกจากบ้านเสียอีก
“เชิญ คุณ ภาสกร ค่ะ” นางพยาบาลคนเดิมเรียกอีกครั้ง ภาสกร ถอนหายใจเป็นครั้งที่สิบ ก่อนจะเดินตามเข้าห้องเพื่อบริจาคเลือดของเขา ต่อชีวิตให้กับนาย นที ถ้าหากว่าปาฏิหาริย์ จะมีจริง
ปุยฝ้ายคือผู้หญิงคนเดียวกับคนที่อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ของนายนที
ตัวจริงของเธอต่างจากที่เขาคิดไว้มาก ผู้หญิงที่ชื่อปุยฝ้ายควรเป็นผู้หญิงร่างบาง ผิวขาว หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม แต่ปุยฝ้ายที่เขาเห็นนี้ เป็นสาวไทยหน้าคมอย่างสาวใต้ ดวงตากลมโต คิ้วที่กันไว้เป็นอย่างดี โก่งสวยราวกับคันธนูที่ยกแล้ว ริมฝีปากอวบอิ่มเป็นสีชมพูที่ค่อนข้างซีด ใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอางใดๆ ปกปิดเป็นสีคล้ำราวกับตากแดด ทำงานหนักมาตลอดชีวิต ร่างอวบค่อนข้างสั้นอยู่ในเสื้อยืดตัวยาวจึงถึงครึ่งต้นขาเป็นสีดำสนิท ขาเกงขาสั้นสีแดงสดโพล่พ้นขอบเสื้อยืดให้เห็นเพียงนิ้ว เผยท่อนขาสีคล้ำเข้มเช่นเดียวกับใบหน้า ใหญ่พอๆกับขาของภาสกรที่เป็นผู้ชาย ผมบ๊อบหน้าม้า ยาวแค่ต้นคอทำให้ใบหน้าของเธอดูป้านใหญ่กว่าที่ควรเป็น
ผู้หญิงที่ไม่สวยที่สุดที่ภาสกรเคยเห็น ตาลีตาลานเข้ามาในห้องคีบรองเท้าแตะหนีบสีน้ำตาล ส่งเสียงดังก้องไปทุกจังหวะที่เธอก้าว ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืน ผู้คนเริ่มน้อย และภาสกรก็งัวเงียเกินกว่าจะสนใจรูปลักษณ์ และท่าทางที่ชวนขำของเด็กสาว เมื่อเธอเอ่ยปากถามนางพยาบาล ภาสกรจึงต้องเดินเข้าไปหา ทั้งที่ใจอยาก เอนนอนหน้าห้องไอซียูเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“พี่คะ เพื่อนหนูชื่อนที น่ะค่ะ เขาถูกรถชน... คือ เขาอยู่ห้องไหนคะ หนูจะพบเขาได้ที่ไหน” หญิงสาว ร้องเสียงแหลม ดวงตารื้นไปด้วยน้ำตา
“คุณปุยฝ้ายหรือเปล่าฮะ”
“อุ๊ย คุณชาย สวัสดีค่ะ” หญิงสาวน้อมตัวไหว้อย่างงดงาม “ไอ้น้ำอยู่ห้องไหนคะ ฝ้ายอยากพบมันค่ะ”
“ตอนนี้ อยู่ห้องไอซียูครับ คุณหมอยังไม่อนุญาตให้พบ แต่ไม่เป็นไรนะฮะ เขาแค่กระดูกสะโพกร้าว แล้วก็หัวแตก เสียเลือดมากน่ะครับ แล้วผมก็ได้บริจาคเลือดให้ไปแล้ว คือถ้าไม่ว่าอะไร ผมขอคุยกับคุณฝ้ายเป็นการส่วนตัวสักครู่นะครับ” ชายหนุ่มยิ้มให้พยาบาลสาว ก่อนจะเดินนำปุยฝ้ายไปทางร้านกาแฟที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เมื่อสั่งของมานั่งเรียบร้อยแล้ว ปุยฝ้ายกลับเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน
“คุณชายคะ อย่าหาว่าอย่างโน้น อย่างนี้เลยนะคะ แต่ว่าฝ้ายสงสัยจริงๆ น่ะค่ะว่า คุณชายไปรู้จักกับ ไอ้ น้ำมันได้ยังไง... แล้วยังเรื่องที่ถูกรถชน”
“คือผม” คุณชาย ภาสกร ตัดแทรกขึ้นมาทั้งๆที่ปุยฝ้ายยังพูดไปจบประโยค “ผมเป็นคนขับรถชนคุณ นที เองครับ”
“คุณพระ!” ปุยฝ้ายยกมือขึ้นทาบอก “คุณชายคะ”
“ผมขอโทษจริงๆครับ” ภาสกร หลบตา เขาไม่อาจซ่อนความเสียใจ ความอับอาย ความรู้สึกผิดต่อบาป “ผมเสียใจ ผมประมาทเอง ตอนนั้นถนนมันมืดมาก ผมก็มัวแต่...” เขากลืนคำว่า ส่งข้อความแบล็กเบอร์รี่ เล่นกับบรรดาเพื่อนๆอยู่ลงคอไป เพราะนอกจากมันจะเป็นเหตุผลที่แย่ที่สุดแล้ว มันยังจะไม่ทำให้อะไรดีขึ้นเลยอีกต่างหาก “... มัวแต่คิดโน่นคิดนี่… แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ นายแพทย์ มิ่งเมือง เป็นสหายของท่านพ่อของผมเอง เคยช่วยคนที่อาการแย่กว่านี้มามากแล้ว เรื่องค่าใช้จ่าย ค่าเรียกขวัญ และ ค่าพยาบาลทั้งหมดผมขอรับผิดชอบเอง”
“เป็นพระคุณมากค่ะ ดิฉันนึกไม่ออกเลยจริงๆว่า ถ้าหาก นทีมันโดนคนใจร้ายชนแล้วหนีไป จะแย่แค่ไหน ป่านนี้มันคง... ว๊ายไม่ค่ะ เราจะไม่คิดอะไรร้ายๆ”
“ขอบคุณ คุณฝ้ายมากนะครับที่เข้าใจผม ผมไม่รู้จะสู้หน้าคุณแม่ ท่านพ่อ แล้วก็บรรดาญาติๆยังไง พวกท่านคงจะไม่มีวันให้อภัยผมได้อย่างแน่นอน...”
“ก็จะให้ใครรู้ทำไมล่ะคะ” ปุยฝ้ายว่า พลางจิบกาแฟ “ก็บอกว่าใครไม่รู้ชน แล้วคุณชายช่วยพาไอ้น้ำมาส่งที่ รพ.ก็ได้นี่คะ”
ภาสกรเงียบ เขาลังเล แม้จะไม่ชอบการโกหก แต่หากความจริงจะทำให้ชื่อเสียง ของเขาและวงศ์ตระกูลมาเสื่อมเสียละก็ ดูเหมือนภาสกรก็คงไม่มีทางเลือก
“เชื่อฝ้ายซีคะ ฝ้ายรู้ความจริงอยู่คนเดียว ถ้าคุณชายไม่บอกคนอื่น ฝ้ายก็ไม่บอก ใครจะรู้ล่ะคะ”
ภาสกรได้แต่ก้มหน้าไม่พูดอะไร
“คุณชายคงจะเหนื่อย กลับไปพักก่อนดีกว่าไหมคะ เรื่องทางนี้ให้ฝ้ายจัดการเถอะค่ะ”
หญิงสาวเดินมาส่งคุณชายภาสกรที่หน้าโรงพยาบาล หลังจากคุยกันอีก 2-3 คำ ทั้งคู่ไปเฝ้าที่หน้าห้องไอซียูได้อีกพักหนึ่ง นายแพทย์ มิ่งเมืองก็ออกมาบอกว่าหลังจากผ่าตัด เข้าเฝือกที่ต้นขาขวา แขนซ้ายและให้เลือดที่คุณชายภาสกรบริจาคให้เรียบร้อยแล้ว อาการของนที แม้จะยังไม่ฟื้นด้วยฤทธิ์ยาสลบ แต่อัตราการเต้นของหัวใจก็ยังคงทรงตัวอยู่ ภายในไม่กี่วันก็คงจะหายดีเป็นปกติ และให้ภาสกร รวมไปถึงปุยฝ้ายไม่ต้องเป็นห่วง
ก่อนจะออกจากโรงพยาบาล ปุยฝ้ายกล่าวขอบคุณภาสกรเป็นครั้งสุดท้าย คุณชายหนุ่มยิ้มให้กับเพื่อนสาวของนที ก่อนที่จะเดินกลับไปที่รถ
“เอ่อ คุณฝ้ายครับ” ภาสกร หันกลับมาพูดเมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ถามคำถามสำคัญ
“ผมถือวิสาสะดูรายชื่อในสมุดโทรศัพท์ของ คุณนที ก่อนโทรหาคุณ ไม่เห็นเบอร์โทรศัพท์ของญาติเขาเลยสักคน คุณฝ้ายพอจะรู้จักญาติผู้ใหญ่ของเขาสักคนที่ผมจะโทรไปบอกข่าวได้ไหมครับ”
หญิงสาวนิ่งคิด... พ่อแม่ของนทีเสียไปแล้ว ญาติๆคนอื่นก็อยู่ต่างจังหวัด แถมไม่ไยดีเพื่อนหนุ่มของเขาด้วย คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปบอก ยิ่งคุณชายรับผิดชอบค่าใช่จ่ายทั้งหมดอย่างนี้อีก เธอยิ่งไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากใคร อีกทั้ง นิสัยหยิ่งยโสของเพื่อนหนุ่มที่เธอรู้จักดี นทีคงไม่หันหน้าไปพึ่งญาติคนไหนแน่ จะมีก็แต่ พ่อเลี้ยงของเขาเท่านั้นที่หากจะมีใครที่ควรจะรู้เรื่องคืนนี้ พ่อเลี้ยงคนนี้ก็คงจะเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด
หากไม่ใช่เพราะเรื่องที่ปุยฝ้ายเองก็รู้ดีว่าพ่อเลี้ยงของ นทีเป็นอย่างไร ที่ทำให้คราวนี้ เพื่อนหนุ่มต้องหนีออกจากบ้านมากลางดึกแบบนี้ละก็ เธอคงโทรหา คุณอดิสรณ์ ตั้งแต่รู้ข่าวว่า นทีประสบอุบัติเหตุแล้ว ... เพื่อนหนุ่มของเธอเกลียดพ่อเลี้ยง และพยายามที่จะหนีออกจากบ้านมานับครั้งไม่ถ้วน หากเธอโทรหาคุณอดิสรณ์ ก็เท่ากับส่ง นทีกลับเข้ามือพ่อเลี้ยง ที่เขาเกลียดแสนเกลียดอีกครั้ง...
คำตอบของปุยฝ้ายจึงเป็นเพียง
“ไม่มีค่ะ นทีมันตัวคนเดียว อยู่แฟลตกับฝ้ายสองคน พ่อแม่ มันเสียหมดแล้วค่ะ” คำตอบที่เป็นเรื่องโกหก ทำให้ภาสกรเสียใจมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เด็กผู้ชายที่ไร้ญาติขาดมิตร อยู่แฟลตกับเพื่อนสองคน ไม่ควรมาเจอเรื่องแบบนี้ เพราะความประมาทของเขาเลยจริงๆ
*********************************************************************************
เพิ่งเริ่มเรื่องเองครับ ฝากเรื่องคุณชายด้วยนะครับผมมม