ไม่ใช่แต่คุณหรอกที่เบื่อที่ต้องฟังผมพร่ำเพ้อเรื่องเดิม ๆ อยู่เรื่อย ๆ ผมเองก็เบื่อเหมือนกัน เคยฟังเพลงข้าวขาหมูไหมล่ะ ถึงปากบอกเบื่อ ผมก็ยังเขียนถึงอยู่เรื่อย ๆ ถึงคุณจะเบื่อ คุณก็ยังอ่านอยู่เรื่อย ๆ นี่แปลว่ามนุษย์มีแนวโน้มวิ่งเข้าหาสิ่งที่ไม่ชอบใจหรือเปล่า หรือไอ้ความไม่ชอบใจนี้ มันมีอะไรตราตรึงสักอย่าง หัวใจเราถึงได้เรียกร้องถึงมันอยู่ร่ำไป
เคยมีคนหนึ่งบอกว่า ความรักที่จบแบบไม่สมหวังนั่นแหละคือความรักที่น่าจดจำ มีอีกคนเหมือนกันที่บอกว่าความรักที่มีตอนจบก็มีแต่ในนิยาย ในชีวิตจริง มันไม่จบจนกว่าใครคนใดคนหนึ่งจะไปนอนอยู่ที่เชิงตะกอน แต่ก็อีกนั่นแหละ ภายใต้วัฒนธรรมที่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด คนสองคนและอีกหลายคนก็ต้องผูกพันกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยที่บทบาทอาจจะเหมือนเดิมหรือแตกต่างกันเป็นหน้ามือหลังมือ จากรักเป็นเกลียด จากเกลียดเป็นรัก ว่าแต่ผมกำลังคิดอะไรอยู่นี่
ผมเคยทักไอ้กายว่า มันเป็นคนช่างคิด
“พี่ต่างหากที่เป็นคนช่างคิด” กายบอกกับผมอย่างนั้น “เพราะถ้าไม่ใช่คนช่างคิดก็คงไม่สังเกตเห็นว่ากายเป็นคนช่างคิด”
เราสองคนก็เลยดูเหมือนคนคิดมากกันทั้งคู่ แต่ไม่ค่อยพูดอะไรออกมา ผมมักจะคิดเองว่ามองตาก็เข้าใจ แล้วบางทีก็คิดเองเออเองว่าถ้าเขามองตาผม เขาก็คงเข้าใจผมเหมือนกัน ผมก็เลยไม่ได้พูดอะไรกับเขามากมายในเรื่องของความรู้สึก ก็จะคุยกันเรื่องสัพเพหระ ปัญหาการบ้านการเมืองกันมากกว่า แต่ก็มีหลายครั้งนะที่เขาก็ระบายความคิดความรู้สึกบางอย่างที่มันคับอกคับใจอยู่ เขา “เปิด” ประตูให้กับผม แต่ว่าผมกลับปิดกั้นมันจากเขา ผมเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้คุณฟัง มากกว่าที่เล่าให้เขาฟังตั้งไม่รู้กี่เท่า
ระหว่างที่พวกปีสองจัดกิจกรรมต้อนรับน้องกันตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ผมก็ขึ้นไปที่บ้านพักซึ่งพวกปีสองจัดไว้ให้ ของปีสี่มีสองหลัง ผมเดินเข้าไปที่หลังแรกแบบเดา ๆ และโชคดีที่เดาถูก กระเป๋าผมอยู่ที่นั่ง กองอยู่ตรงห้องนั่งเล่น ไอ้น้องกายเดินลงมาจากบันไดชั้นบนพอดี
“อ้าวพี่แทน เอากระเป๋าขึ้นไปเลยมั้ยครับ กายพักอยู่ห้องขวาน่ะ”
ผมพยักหน้าแล้วก็เดินตามขึ้นไป เขาเปิดประตูห้องให้ เพื่อนอีกสองคนที่พักห้องนี้ด้วยกำลังนั่งเล่นนอนเล่นอยู่ที่เตียง เสียงแอร์เก่า ๆ เหนือหัวคำรามฮึ่มฮั่ม แต่ไม่ค่อยจะเย็นสักเท่าไหร่ ไอ้กายเปิดไฟห้องน้ำแล้วชะโงกเข้าไปดูข้างใน
“ห้องน้ำก็โอเคอยู่”
“โอ้โห รุ่นนี้มันไปเอาเงินมาจากไหนวะ จองห้องโคตรกว้างเลย”
“โธ่พี่ มันก็ไถพ่อแม่มันมาน่ะสิ” ไอ้ตั๋งเพื่อนตัวแสบตั้งแต่สมัยปีหนึ่งตอบดัง ๆ แล้วกลอกตาใส่
“ไอ้... กูรู้แล้วเว้ยว่ามันไถพ่อแม่มา มันคงไม่ได้หาเอาตามสุมทุมพุ่มไม้หรอก”
“ใครจะเหมือนพี่ล่ะ ขายตัวให้เกย์เฒ่าตุ๋ยตูด”
“แร๊งงง ฮ่าๆๆๆ” ไอ้บ๊อบเพื่อนอีกคนว่าแล้วก็หัวเราะดัง ๆ อย่างไม่เกรงใจ
ส่วนไอ้น้องกายมันก็ยิ้มตาหยี กลั้นหัวเราะเต็มที่ แก้มเป็นสีชมพูนิด ๆ ผมก็แอบมองจนลืมด่าไอ้ตั๋งเลย
คือจริง ๆ แล้ว ช่วงที่ผมรู้จักกับพี่ไฮด์น่ะ พวกเพื่อน ๆ มันก็เมาท์กันว่าผมมีเสี่ยเลี้ยง ขับรถโก้แต่งตัวดี (หล่ออีกตะหาก ฮี่ๆๆ) พอลือกันมาก ๆ เข้าก็เลยทำให้ใครบางคนปรี๊ดแตกในตอนนั้น ไอ้ตั๋งปากปีจอก็เอามาล้อไม่เลิก ปากมันแรงจนน่าเอาส้นตีนเหยียบยอดหน้าสักที แต่ใจจริงมันไม่ได้คิดร้ายอะไรกับผม ก็ได้เห็นน้ำใจกันมาหลายทีแล้ว ไม่เหมือนกับอีกคน ผมไม่อยากจะเอ่ยชื่อมันเท่าไหร่ ไอ้หมอนั่นมันเกลียดเกย์เข้าไส้ แต่มันเกรงใจผมมาก แล้วก็ต้องพึ่งพาผมหลายเรื่อง มันก็เลยต้องเก็บกด แล้วบางทีก็หลุดมาเป็นการจิกกัดแบบอ้อม ๆ ที่รู้สึกได้ถึงเจตนาร้าย ไอ้ผมก็ทน ทนไม่ได้ก็ด่าให้มันรู้ไปว่า อย่าเสือกพูดแบบนี้ กูไม่ชอบ แต่ก็ไม่ได้ตัดขาดอะไร เพราะมันก็น่าสงสาร ทัศนคติเป็นลบมากจนไม่มีใครคบ
“แล้วพี่แทนจะไปดูเขารับน้องกันป่ะ”
“ไม่ว่ะกาย เหนื่อยชิบหาย เดินทางเหี้ยไร จากกรุงเทพมาถึงระยอง นั่งรอตั้งแต่หนึ่งทุ่ม เพิ่งได้ลงจากรถตีห้าครึ่ง”
“วีนว่ะพี่ เมนส์ไม่มาเหรอ” ไอ้ตั๋งปากหมาอีกแล้วครับ
“เมนส์เชี่ยไรของมึง กูท้องอยู่ ไม่มีเมนส์จนกว่าจะคลอด” ผมก็ดันรับมุกมันอีก = =
“ลูกผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะพี่ ถึงพ่อมันจะหน้าตาดี” ไอ้ตั๋งกลอกตาไปทางไอ้กาย “แต่แม่มันหน้าเหี้ย” แน่นอน มันกลอกตามาทางผม “ไม่อยากจะนึกเลยว่าลูกจะออกมาครึ่งผีครึ่งคนแบบไหน”
ไอ้กายกะไอ้บ๊อบกลั้นหัวเราะ ส่วนผมก็ประเคนตีนถีบตูดไอ้ตั๋งที่นอนคว่ำอยู่กะเตียงไปทีนึงงาม ๆ
ที่ไอ้ตั๋งแซวแบบนี้ เพราะเพื่อน ๆ คนอื่นก็รู้กันหมดแหละว่าผมชอบไอ้กาย แต่ว่าปีก่อนผมก็คลั่งไอ้นิก ปีก่อนหน้าโน้นก็ปิ๊งไอ้เชน จนเพื่อน ๆ เอือมแล้วว่าจะใจง่ายไปไหน ก็เลยไม่มีใครรู้ว่า จริง ๆ แล้ว ผมจริงจังกับความรู้สึกที่มีต่อไอ้กายมากแค่ไหน น้อยคนที่รู้ ไอ้ตั๋งก็เป็นคนหนึ่งที่รู้ และเก็บเรื่องนี้เป็นความลับให้กับผม
พอ ๆ เลิกดราม่า กลับมาที่สถานการณ์ในห้อง ไอ้กายก็ทำหน้าเสียดายเล็กน้อยที่ผมไม่ไป ส่วนไอ้ตั๋งยังนอนเฉยอยู่กะเตียง
“แล้วมึงไม่ไปเหรอตั๋ง” ไอ้บ๊อบถาม
“กูไม่ไปว่ะ อยู่เป็นเพื่อนพี่แทน”
“สาด กูรู้มึงจะอยู่เล่นเฟซบุ๊ค”
“รู้ได้ไงวะ”
“ก็มึงเล่นอยู่” ไอ้บ๊อบชี้ไปที่ไอแพดที่ไอ้ตั๋งเขี่ยเล่นอยู่ “ติดหญิงคนใหม่อีกอ่ะดิ”
“เออ มึงจะไปดูรับน้องก็ไปเหอะน่า” ไอ้ตั๋งโบกมือไล่
พอไอ้บ๊อบกับไอ้กายออกไปจากห้อง ผมก็กระเถิบเข้าไปชะโงกดูของเล่นของไอ้ตั๋ง
“ตั๋ง ไอ้นี่ไอแพดเหรอ แล้วไอโฟนมันเป็นยังไง”
“มันก็เป็นโทรศัพท์เหมือนบีบีอ่ะพี่ เอาไว้แชตเหมือนกัน”
“งั้น บีบีมันจะเป็นสีดำใช่ป่ะ แล้วก็ไอโฟนจะเป็นสีขาว กูเข้าใจถูกป่ะ”
“โหพี่ ดูจากสีอย่างเดียวได้ไงล่ะ สีแม่งมีให้เลือกเป็นร้อย พี่จะเอาสีไรตั้งแต่สีเหียวยันสีแหบมีให้เลือกหมด”
“ง่ะ สีเหียวมันสีอะไรวะ”
“ตัวพ่ออย่างพี่อย่ามาทำอินโนเซนส์ ไม่คือว่ะพี่”
“กร๊ากๆๆ สรุปว่า ไอโฟนไม่จำเป็นต้องเป็นสีขาวใช่มะ”
“อ่ะดิ”
อ้าว...อย่างงั้น ไอ้ที่นายไอโฟนฟังก็อาจจะไม่ใช่ไอโฟน หรือจะต้องเรียกว่านายบีบี หรือจะเรียกว่านายแอนดรอยตามชื่อระบบปฏิบัติการดีวะ เริ่มรู้สึกว่า ผมจะเป็นคนคิดมากขึ้นทุกที เอิ้กๆๆ