และแล้ว ตอนนี้ ก็มาถึงตอนที่ทุกคนอยากให้มีซะที ก็ ตอน .... นั่นแหละ แต่ขอลงข้ามในบทอัศจรรย์ไปนะครับ เนื่องจากผู้แต่ง (คุณบอย) ได้ขอเอาไว้
เลยต้องอนุญาตผู้อ่านด้วยนะครับ
ขออภัย
******************************************************************
รณวีย์ยอมให้การินทร์ออกจากโรงพยาบาลตามที่เจ้าตัวร้องขอ แต่มีข้อแม้ว่าเจ้าตัวต้องเข้ามาตรวจเช็คร่างกายเป็นประจำอย่างห้ามลืมเด็ดขาดซึ่งการินทร์ก็ยอมรับปากแต่โดยดี
“ถ้ากานต์ผิดนัดหมอแม้แต่ครั้งเดียวก็เลิกคุยกันได้เลย”
คนร่างข้อแม้ถือสิทธิ์ขู่ อย่างน้อยก็ในฐานะเพื่อนที่คนตรงหน้าเคยสารภาพว่าเปิดใจยอมรับแล้ว
“กานต์ก็รักตัวกลัวตายเหมือนกันนะ”
คนโดนขู่เอ่ยเบาๆ รู้สึกดีอยู่ไม่น้อยที่รณวีย์กล้าเดินเข้ามาในชีวิตเขามากกว่าครึ่ง ชีวิตที่เขาเพิ่งค้นเจอความต้องการของหัวใจตัวเอง หลังจากที่เดินตามหามันมาตลอด
.
.
.
.
.
ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนที่เรื่องราวในอดีตเกือบทำให้สูญเสียกันและกันดำเนินไปเรื่อยๆท่ามกลางวันเวลาที่ต่างฝ่ายต่างรอว่ามันจะสมบูรณ์เมื่อไหร่ ทั้งสองไม่ได้มีปัญหาเรื่องคนรอบข้าง ในเมื่อต่างฝ่ายต่างรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ ทุกอย่างน่าจะลงตัวและสวยงามหากว่าใครคนนึงไม่มีสิ่งที่ต้องกังวล
“วันนี้เป็นไงบ้างกานต์”
รณวีย์เอ่ยถามคนข้างกายในเช้าวันหนึ่งขณะกำลังทำงานร่วมกันในสถานที่จริง ที่จะจัดใช้การแสดงละครการกุศลที่เจ้าตัวเขียนบทเสร็จแล้วเรียบร้อย งานที่เหลือส่วนใหญ่จึงตกไปที่คนที่โดนถาม นั่นคือการสร้างฉาก
“ก็เรื่อยๆ ทำไมห่วงเหรอ”
คนโดนถามเอ่ยยิ้มๆ ยอมรับว่าสภาพโดยรวมของตัวเองดีขึ้น หลังจากที่ไม่ต้องปะทะคารมกับคนถาม แถมฝ่ายนั้นยังดูแลเอาใจใส่เสียจนบางทีเขาเองยังลืมว่าชีวิตตัวเองกำลังเผชิญกับอะไร
“รู้แล้วยังจะถาม”
รณวีย์เอ่ยค้อนๆก่อนจะเปลี่ยนไปคุยเรื่องงาน ซึ่งการินทร์ก็ฟังและเริ่มเสนอแนวคิดของตนหลังจากที่ฟังคนที่กำหนดทิศทางทุกอย่างเอาไว้ในบทละคร
สองคนคุยกันอย่างเข้าขาอย่างที่คนที่ยืนมองเบาใจและมั่นใจว่างานนี้จะจบลงด้วยดี
“เราเลือกคนไม่ผิดจริงๆอาจารย์บุษ”
อาจารย์ผู้มีอำนาจเอ่ยก่อน ซึ่งอาจารย์อีกสองท่านที่ยืนอยู่ด้วยก็คิดเช่นนั้น คนหนึ่งคืออาจารย์สาวที่ปรึกษาและประสานงานทั้งหมด อีกคนเป็นอาจารย์หนุ่มที่คัดเลือกและฝึกสอนการแสดง
“ก็สองคนนี้เขาเคยสนิทชิดเชื้อกันมาก่อนนี่คะอาจารย์ใหญ่”
บุษบาเอ่ยเสริมด้วยรอยยิ้ม ต่างจากอีกคนที่แม้จะเห็นด้วยว่าสองคนตรงหน้าดูจะเข้าขาและทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว แต่ก็อดที่จะนึกเซ็งขึ้นมาไม่ได้ หลังๆรณวีย์แทบจะไม่เปิดช่องว่างให้เขาได้เข้าหาตัวได้เลย เพิ่งจะมีไม่กี่วันมานี่เองที่เจ้าตัวเอาสำเนาบทละครในส่วนที่เขาจะต้องเอาไปฝึกสอนการแสดงมาให้ แต่ก็ไม่ได้มาเพียงลำพัง คนเขียนบทยังหนีบเอาจิตรกรหนุ่มติดตัวมาด้วย เหมือนย้ำให้เขารับรู้ว่าไม่มีช่องว่างระหว่างสองคนให้เขาเข้าไปแทรกได้
“เออแล้วตอนนี้คัดเลือกเด็กๆที่จะมาแสดงละครครั้งนี้ไปถึงไหนแล้วอาจารย์ณภัทธิ์”
อาจารย์ใหญ่เอ่ยถาม คนที่กำลังเหม่อคิดได้สติยิ้มตอบ
“ก็เกือบจะลงตัวแล้วครับ”
“ยังไงก็เร่งๆมือหน่อยนะ เพราะสองคนนั้นท่าจะไฟแรงน่าดู”
“ครับ”
อาจารย์หนุ่มรับคำไม่เต็มเสียงนัก ก่อนจะขอตัวไปทำงานต่อ ลับหลังเจ้าตัวไม่นาน อาจารย์ใหญ่และอาจารย์บุษบาจึงตามไป ปล่อยให้สองคนในห้องประชุมคุยกันไปต่อจนคล้อยบ่าย
“หิวจังไปหาอะไรทานกันก่อนมั๊ยวีย์”
การินทร์เอ่ยชวนเมื่อรู้สึกหวิวๆขึ้นมา ชักไม่แน่ใจกลัวว่าอาการเก่าจะกำเริบขึ้น จึงอยากจะพัก แต่ถ้าบอกออกไปตามตรงก็กลัวคนรับรู้ไม่สบายใจ
คนถูกชวนละสายตาจากภาพสเก็ตคร่าวๆที่คนชวนวาดให้ดู หันมาเห็นด้วยพลางตั้งคำถาม
“อืม ก็ดีเหมือนกัน ไปที่ไหนกันดีล่ะ”
“อยากทานอะไรล่ะ”
การินทร์ถามอย่างเอาใจ
“ถามตัวเองก่อนเถอะ วีย์ทานอะไรได้ทั้งนั้นแหละ แต่กานต์ ต้องคุมอาหารอยู่ลืมแล้วหรือไง”
“ไม่ได้ลืมหรอก แต่ก็อยากให้วีย์ทานอะไรที่วีย์ชอบบ้าง ไม่ไช่ตามกานต์อย่างเดียว”
“ก็บอกแล้วไงวีย์ยังไงก็ได้”
“อันนั้นน่ะรู้แต่คนมันอดห่วงไม่ได้นี่นา”
“ห่วงตัวเองก่อนเถอะน่า”
“กานต์เป็นภาระวีย์มากหรือเปล่า”
การสนทนาเงียบไปพัก เมื่อการินทร์เอ่ยคำถามนี้ออกมาตรงๆ ผ่านไปซักพักคนโดนถามตั้งใจมองหน้าคนถามแล้วเอ่ย
“คำว่าภาระมันใช้ไม่ได้กับคนที่เต็มใจทำสิ่งใดๆหรอกกานต์”
การินทร์เปิดยิ้ม รณวีย์มักพูดให้เขามีกำลังใจอยู่เสมอ ชายหนุ่มยื่นปลายนิ้วมือไปสัมผัสริมฝีปากคนพูดเบาๆแล้วเอ่ยอย่างล้อๆ
“พูดเก่งนะเรา อยู่บ้านให้รางวัลแล้วนะเนี่ย”
“รางวัลอะไร ทะลึ่ง”
รณวีย์ปัดมือคนเอ่ยออก รู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมากับสายตาที่ฝ่ายนั้นมอง การินทร์ลอบยิ้มก่อนจะก้มลงเอ่ยกระซิบ
“อยากรู้คืนนี้ค้างบ้านกานต์สิ”
รณวีย์ถึงกับขนลุกเมื่อการินทร์ไม่ได้แค่พูด แต่กลับปล่อยลมหายใจอุ่นให้ลอยสัมผัสกับใบหูเขา เจ้าตัวจึงต้องรีบผลักคนทำออก
“เกิดมีคนมาเห็นล่ะซวยเลยนะการินทร์”
ชายหนุ่มเอ่ยแก้เขิน การินทร์มองภาพนั้นขำๆ ก่อนจะเอ่ยแซว
“เจอลมหายใจแค่นี้ถึงกับเรียกกานต์ซะเต็มยศเลยเหรอรณวีย์”
“ก็เล่นบ้าๆทำไมล่ะ”
“อ้าว บ้าตรงไหน เล่นตัวมากๆระวังนะ เดี๋ยวกานต์เปลี่ยนใจขึ้นมาจะมานึกเสียดายตามหลัง”
“เอาตัวเองให้รอดก่อนเหอะ ค่อยคิดเรื่องอื่น”
“ก็เพราะรู้ไงว่าเวลาตัวเองมีน้อยถึงอยากจะทำอะไรที่อยากทำ”
คราวนี้รณวีย์ถึงกลับเงียบ ใช่สินะ เวลาแห่งตความสุขที่เขากับการินทร์กำลังตักตวงอยู่ไม่รู้มันจะสั้นหรือยาว ถ้ายาวก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้ามันสั้นขึ้นมาล่ะ... ชายหนุ่มไม่อยากที่จะคิด
“งั้นคืนนี้วีย์ค้าง กะกานต์ละกัน”
คนคิดได้เอ่ยขึ้นอย่างยากลำบาก เพราะการตกลงครั้งนี้ความรู้สึกมันต่างจากทุกครั้ง แค่สายตาคนที่ได้ยินประโยคนี้มองตอบกลับมา เขาก็แทบไม่ต้องคิดว่าคืนนี้จะเกิดอะไรขึ้น
เวลาของความสุขที่แท้จริง มันควรมาถึงแล้วสินะ
.
.
.
ข้างนอกสายฝนที่เริ่มลงเม็ดตั้งแต่หัวค่ำเริ่มเทกระหน่ำลงอย่างหนัก ละอองของมันอาจช่วยปัดเป่าความร้อนให้ใครหลายๆคน แต่ทว่าคงใช้ไม่ได้กับสองคนที่กำลังอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน
.
...
...
...
...
...
.“กานต์อยากให้เรามีกันแบบนี้ตลอดไปวีย์”
ชายหนุ่มถอนปากออกไปเอ่ยเบาๆใกล้ใบหูคนในอ้อมกอด ซึ่งฝ่ายนั้นก็ทำตอบเช่นเดียวกัน
“วีย์ก็เหมือนกัน”
“วีย์รักกานต์มั๊ย”
“รักสิ รักมานานแล้วด้วย ทั้งๆที่รู้ว่ากานต์ใจร้ายขนาดไหน”
“อย่าพูดถึงมันสิ อดีตก็คืออดีต ต่อไปเราจะอยู่คู่กันอย่างนี้นะครับ ที่รัก”
รณวีย์ไม่โต้แย้งใดๆอีก เพียงแต่ยอมให้คนพูดเลื่อนใบหน้าขึ้นมาหา แล้วก้มลงแลกลิ้นประกบจูบกันอย่างดื่มด่ำอีกรอบ