[YunJae Fanfiction] รวมเรื่องสั้น by b.leaf (Go! Daddy ตอนที่ 5-7 P.1 24/2/54) NC เล็กน้อย END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [YunJae Fanfiction] รวมเรื่องสั้น by b.leaf (Go! Daddy ตอนที่ 5-7 P.1 24/2/54) NC เล็กน้อย END  (อ่าน 30154 ครั้ง)

ออฟไลน์ ณยฎา

  • ขอเพียงมีเธออยู่คู่ฉัน แม้นหลับก็มิฝันถึงสิ่งใด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-3
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน

ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



[Pre-order] YunJae Fanfiction Project Vol.1 ; AlwaysB*

 :: รายละเอียดหนังสือ ::  

รวมเล่มเรื่องสั้น YunJae แบบจบในตอน จำนวน 11 เรื่อง ดังนี้

1. Still / Genre: RPS, Romance, Fluff, Pre-debut, SM-trainee!YunJae ; Rate: G
2. Mr.Stalker / Genre: AU, BDSM, PWP, ; Rate: R
3. Full Moon / Genre: AU, Period, Drama, Romance ; Rate: Slight-R
4. The Promise / Genre: AU, Drama, Romance, A Sequel to Full Moon ; Rate: PG-15
5. Heart / Genre: AU, Drama, Romance, Angst ; Rate: PG
6. Right Under The Bellflower Petals / Genre: AU, Period, Drama, Romance, Angst ; Rate: R
7. Hottie & Geek / Genre: AU, Romance, Fluff, High-School ; Rate: PG-13
8. Echo & Narcissus / Genre: AU, Romance, Angst, Incest ; Rate: R
9. Dr.Jung M.D., (Can you fix my heart?) / Genre: AU, Romance, Smut ; Rate: NC-17
10. Send Me The Moon / Genre: RPS, Romance, Angst, Lawsuits ; Rate: G
11. My Own Redeemer (Re-write ver.) / Genre: AU, Psychotical Drama, Romance, Angst ; Rate: Strong R

- ขนาดหนังสือ: B6 (12.5cmx17.6cm)
- ชนิดกระดาษ: ถนอมสายตา 75 แกรม
- ปก: พิมพ์ 4 สี เคลือบด้าน
- เนื้อใน: พิมพ์ขาวดำทั้งเล่ม
- จำนวนหน้า: ประมาณ 180 หน้า

ราคาเล่มละ 250 บาท


รายละเอียดส่วนอื่นๆ สามารถดูได้ ที่นี่
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-02-2011 16:48:21 โดย ณยฎา »

ออฟไลน์ ณยฎา

  • ขอเพียงมีเธออยู่คู่ฉัน แม้นหลับก็มิฝันถึงสิ่งใด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-3
ชี้แจงก่อนอ่าน เรื่องสั้นทุกเรื่องที่นำมาลงไว้นี้เป็น Pairing : Yunho x Jaejoong ทั้งหมดเลยนะคะ ชอบไม่ชอบยังไงก็แนะนำกันมาได้ค่ะ เราขออนุญาตนักเขียนเรียบร้อยแล้ว  ไปอ่านกันเลยดีกว่าค่ะ.....


Still

Title: Still
Paring: YunHo/JaeJoong (Jae's POV)
Rate: PG
Genre: One Shot / RPS / Romance
Author: *b.leaf*




I.
ไอขาวๆพวยพุ่งผ่านลอดกลีบปากสีซีดแห้งแตก เขาแทรกมือหนาที่กำลังเย็นเฉียบเข้ามารับความอบอุ่นจากมือผม บรรยากาศรอบกายเงียบงัน คงจะมีเพียงเสียงลมหวีด เสียงเสียดสีกันของกิ่งไม้ กับเสียงฝีเท้ากระทบพื้นฟุตบาทเป็นจังหวะเอื่อยๆ นี้เท่านั้นกระมัง ที่ช่วยให้สภาพการณ์ในเวลานี้ไม่ชวนให้ผมรู้สึกอึดอัดอย่างที่เคยเป็น

เขาเบียดกายเข้ามาใกล้ กระชับฝ่ามือไว้ เดินไปพร้อมๆกัน ใจผมเริ่มสั่นเพราะสัมผัสและนานาความคิดซึ่งกำลังแล่นพล่านอยู่ในสมอง

ดวงตาเรียวเล็กมองกลับมา ภาพของเขาภายใต้แสงไฟข้างถนน แม้ไม่ชัดเจน แต่ก็สามารถทำให้ผมไม่สามารถละสายตาออกไปได้ทุกครั้ง

"หนาวเนอะ"

น้ำเสียงอ่อนเยาว์เอ่ยขึ้น พร้อมๆกับรอยยิ้มที่ผมได้รับทำให้สมองตื้อชาไปชั่วขณะ ใบหน้าเรียวใต้แสงอับทึบ ทว่ากลับสว่างไสวที่สุดเท่าผมเคยเห็น เส้นผมชี้สั้นสีดำสนิท กับแววตาสุกสกาวมีชีวิตดุจดวงดาวบนฟ้า เขาสมบูรณ์แบบเสียจนผมหลงรัก


...รักเขามากกว่าที่เพื่อนควรรักเพื่อน...




II.

"ราตรีสวัสดิ์ แจจุง"

เขาไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่าที่เคย ในขณะที่ผมล้มตัวลงเบียดนอนบนพื้นเตียงหลังเดียวกับเขา แสงไฟสีเหลืองส้มในห้องถูกดับลง ความมืดโรยตัวเข้ามาพร้อมๆกับความเงียบงัน

แม้จะไร้แสง แต่ดวงตาของผมยังคงเบิกกว้าง แม้ลมเย็นจะพัดโชยผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง แต่ร่างกายของผมกลับร้อนรุ่มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไหล่ของเขากระชั้นใกล้ ผมรู้สึกได้ว่าผิวของเราเสียดสีกันทุกครั้งที่ต่างคนต่างผ่อนลมหายใจเข้าออก

เขาคงไม่รู้สึกรู้สาอะไร คงจะมีแต่ผมที่แทบคลั่งตายเพราะสัมผัสนั้น

ผมผุดกายลุกขึ้นนั่ง พลางเอื้อมไปกดเปิดโคมไฟที่หัวเตียง ก่อนจะหันมาพบกับเขาที่เงยหน้ามองผมอย่างงงๆ

"นอนไม่หลับเหรอ?" เขาถาม บริเวณห้องนอนถูกฉายไล้ด้วยแสงไฟอีกครั้ง

"อื้อ นายก็ไม่หลับเหมือนกันนี่"

"อืม...คงงั้น"


...ใจผมสะท้าน สั่นไหว...




III.


ใบหน้าหล่อเหลาหันมาทางผมอย่างขอคำตอบ ผิดจากผมที่เอาแต่อ้ำอึ้งไม่สามารถควบคุมสติของตัวเองได้ ภาพของเขาที่ถูกวางอย่างพอเหมาะพอเจาะเบื้องหน้าสายตา เขาสวมเสื้อยืดเนื้อบางสีขาว กับกางเกงผ้าขายาวสีเทาอมเขียว ดวงตาเรียวเล็กเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อผมใช้หลังมือแตะเบาๆที่ข้างแก้ม

นึกถึงเหตุการณ์ในครั้งแรกที่เราพบกัน เป็นเช้าวันอากาศแสนดีที่บริษัท เขาก้าวเข้ามาหาผมอย่างเขินๆ เรียกผมว่า "พี่ครับ..." ทั้งๆที่ถ้านับกันตามจริงแล้ว เขาเป็นรุ่นพี่ผมด้วยซ้ำ

คล้ายว่าเราจะเป็นเพื่อนกัน แต่บางทีก็เหมือนมากกว่านั้น... เขาดีกับผมมาก มากจนผมคิดไปเองว่าเขาดีกับผมคนเดียว เขาน่ารักมาก น่ารักชนิดที่เพื่อนหลายคนบอกว่าเขายอมทำแบบนี้แค่กับผมเท่านั้น ถึงแม้กระนั้นแล้วผมก็ยังไม่กล้าปักใจ เขาคิดอย่างไร ผมไม่เคยรู้

ในตอนนี้บรรยากาศเป็นใจ - ผม และ เขา - เราเพียงลำพังสองต่อสองในห้องนอนของผม

ผมตัดสินใจที่จะสารภาพกับเขาในค่ำคืนนี้

"แจจุง..."

"ยุนโฮ ฉัน...รักนายนะ"

"แจ..."

"นายล่ะคิดยังไง บอกฉันทีสิ"




IV.

อะไรบางอย่างเรียกร้องให้ผมค่อยๆ เลื่อนใบหน้าเข้าไป ใกล้มากจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆของเขา ไม่ได้พูดหรือเรียกร้องอะไรอีก นอกจากปล่อยให้แววตาบอกกับเขา

เขาจะเห็นหรือไม่นะ? ว่าภาพที่ฉายชัดในดวงตาอันแสนว่างเปล่าคู่นี้ของผมมีเพียงเขาคนเดียวเสมอมา

เข็มนาฬิกาส่งเสียงน่ารำคาญดังเป็นจังหวะยามเมื่อมันกระดิกไปข้างหน้าอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดิน ริมฝีปากของเราสัมผัสกันแผ่วเบาครู่หนึ่ง ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายผละออกมาอย่างเนิบช้า ความนุ่มละมุนละไมราวกำมะหยี่ยังคงติดตรึงอยู่ที่ริมฝีปากและหัวใจที่เต้นรัวรุนแรง


...บอกสิว่านายเองก็รักฉัน...


ผมได้แต่ภาวนาในใจ แต่ก็ดูจะเป็นคำขอที่มากเกินไปสำหรับคนอย่างผม เขาไม่ได้ตอบหรือแม้แต่ตั้งคำถาม ดวงตาเรียวรีคู่นั้นเพ่งมองผมด้วยอารมณ์ที่ผมคงไม่มีวันเข้าใจได้

ห้องทั้งห้องถูกความเงียบงันกลืนกินไปจนสิ้น ผมรีบพลิกตัวกลับไปกดปิดโคมไฟจนแสงสว่างที่หลงเหลืออยู่เพียงรำไรดับวูบลง ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง นอนหลับตาปี๋ ได้แต่คิดตำหนิตัวเองในใจว่าเพราะอะไรถึงได้บ้าบิ่น ทำไมถึงได้คิดเข้าข้างตัวเองและมั่นใจเช่นนั้นเสมอมา

ผมยังไม่อยากเสียเขาไปไม่ใช่หรอกหรือ?




V.

เสียงเข็มนาฬิกายังคงดังแว่วอยู่ในความมืดดำของช่วงเวลา ผมนอนตะแคงเอาแก้มแนบหมอน ฝ่ามือของผมจิกลงบนฟูกนอนอย่างไม่ได้ตั้งใจ ดวงตาทั้งสองไม่มีทีท่าจะปิดลงได้ง่ายๆ แสงไฟรถยนต์ที่สาดส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างราวกับหยอกเย้าความโง่งี่เง่าของผม


...พลาดไปเสียแล้ว...


เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดกับสีหน้าของเขา ทำให้ผมสามารถจินตนาการอนาคตได้ไม่ยากเย็น ต่อจากนี้ก็คงไม่มีอะไรเหมือนเดิม

ผมพยายามข่มตาให้หลับ หมายใจว่าพรุ่งนี้เช้าจะปฏิบัติทุกอย่างให้เป็นปกติ ทว่าความรู้สึกหนักอึ้งที่พาดมาตรงสีข้างก็ทำให้ผมต้องสะดุ้ง

เสียงหายใจสม่ำเสมอดังผะแผ่วเป่ารดอยู่ที่ริมหู ไออุ่นที่ซ่านพรมอยู่บนแผ่นหลังของผม น่าแปลกที่มันทำให้รู้สึกหนาวจนชาไปถึงขั้วหัวใจ กลิ่นหอมเย็นๆที่ได้จากกายเขาแสนคุ้นจมูก หากแต่ในความรู้สึกมันกลับเปลี่ยนไป แผ่นอกหนาปะทะกับผิวเนื้อใต้เสื้อยืดตัวบางของผม เบียดแนบสนิททุกครั้งที่เขาผ่อนลมหายใจออกมาทางริมฝีปาก

ผมยิ้มน้อยๆ แอบกระชับวงแขนของเขาเข้ารอบเอวตัวเองอย่างเอาแต่ใจ

ผมหวนระลึกไปถึงเหตุการณ์ในวันแรกที่เราพบกันอีกครั้ง ผมยังจำภาพนั้นได้แม่นยำ... ภาพแรกที่ทำให้ผมรักเขา...


...ถึงอย่างไรฉันก็ยังจะรักนาย ยุนโฮ...


ผมบอกกับเขาได้เพียงแค่ในใจ โดยไม่คิดที่จะพยายามคาดคั้นอะไรจากเขาอีกเป็นครั้งที่สอง

เขากำลังนอนหลับสนิท จมอยู่ในห้วงนิทราอันแสนสุข ผมรู้...ว่าตัวเขาเองก็มีบางเรื่องที่คงจะพูดได้แค่เพียงในใจเท่านั้นเหมือนกัน


"แจจุง...ฉันก็รักนาย"




F I N



 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ ณยฎา

  • ขอเพียงมีเธออยู่คู่ฉัน แม้นหลับก็มิฝันถึงสิ่งใด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-3
ก่อนอื่นคงต้องขอแจ้งว่านิยายที่จะถูกรวมเล่มนั้น ทางคุณ b.leaf ขอให้นำมาลงเพียงสองสามเรื่องเท่านั้น เพื่อไม่ให้เป็นการเอาเปรียบผู้อ่านที่ไม่ใช่สาวกยุนแจแล้วสนใจจะสั่งจองรวมเล่มนะคะ  ดังนั้นเราจึงจะลงเพียงสามเรื่องเท่านั้น คือ Still,Heart และ Full Moon (เรื่องนี้เด็ดมาก คอนเฟิร์มค่ะ!) หลังจากนั้นเราจะนำเรื่องสั้นอื่นที่ไม่ได้อยู่ในรวมเล่มมาลงให้ได้อ่านกัน ยังไงก็ขอคอมเม้นต์แนะนำและเป็นกำลังใจให้นักเขียนด้วยนะคะ

Heart

Title: HEART
Author: b.leaf
Pairing: Implied Yunjae
Genre: AU, One Shot, กล้าเขียนเนอะ
Rate: PG

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

 

...ความรัก...

เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที เมื่อกระแสไฟฟ้าประจุบวกและลบ
แล่นเข้ากระตุ้นวัตถุขนาดเท่ากำปั้นในอกข้างซ้าย

 

ผมไม่สามารถข่มดวงตาอันกำลังเบิกโพลงให้ปิดลงได้ ภายในห้องห้องเดิมที่มืดสงัด แสงสลัวจากหลอดไฟวัตต์ต่ำส่องให้เห็นบรรยากาศเดิมๆ ที่ผมคุ้นตา

ผมนั่งนิ่งอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่ง ในห้องกว้างโล่งกับผนังบุใยเหล็กสี่ด้าน บนพื้นรกเรื้อไปด้วยกองขยะอิเล็กทรอนิกส์ กลิ่นโลหะและสารเคมีเจือจางในอากาศ ที่ที่โอบกอดผมไว้ทุกเช้าที่ลืมตา ที่ที่จูบราตรีสวัสดิ์ผมก่อนเข้านอน

ผมไม่อาจละสายตาไปจากเขา

ค่ำคืนนี้ผมไม่เห็นแสงระยิบระยับของดวงดาวทอประกายสว่างผ่านหลังคาโปร่งใส รูปโดมที่เหนือสายตา ท้องฟ้าปิด พระจันทร์ถูกเมฆหมอกยามราตรีบดบัง แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น หากเขาก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ที่เดิม ไม่ว่าตอนไหน เมื่อไหร่

ผมไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะขยับกาย จึงได้แต่เฝ้ามองเขาอยู่แต่ในมุมของผม ชายหนุ่มร่างสูงสง่าในชุดเสื้อกราวน์สีขาวสะอ้าน เส้นผมสีดำสนิท รูปหน้าเรียวได้รูป กับดวงตาที่ทอประกายความฝันไม่รู้จบ คือภาพที่ผมไม่เคยลืมเลือน

ไม่มีคำใดเปรียบเปรยความงดงามในรอยยิ้มเขาได้คู่ควร

ขุนเขา ท้องฟ้า มหาสมุทร หมู่ดาว

ไม่เลย...

ผมเฝ้ามองชายหนุ่มในชุดเสื้อกราวน์ค่อยๆ ย่อตัวลง ขณะที่ในฝ่ามือเรียวยาวและมั่นคงนั้นยังคอยประคองรองเท้าคู่น้อยขึ้น ก่อนค่อยบรรจงสวมมันเข้ากลับฝ่าเท้าที่แลดูแสนบอบบางของเด็กหนุ่มผิวขาวราว เกล็ดหิมะอย่างทะนุถนอม

เขาคลี่ยิ้ม ครั้นเห็นว่าเด็กหนุ่มสวมรองเท้าคู่นั้นได้พอดี เด็กหนุ่มเองก็มอบรอยยิ้มอันแสนไร้เดียงสานั้นให้กับเขา เมื่อได้รับสัมผัสแสนอบอุ่นจากฝ่ามือเขาที่ส่งมาแนบไล้ปรางแก้มขาว ผิวเนียนละเอียดของเด็กหนุ่มบางใสเหมือนแก้ว ดุจเรืองแสงได้ในความมืด ดวงตากลมโตสีนิลของเด็กหนุ่มจ้องนิ่งไปเบื้องหน้า เปลือกตาที่ร้อยไว้ด้วยแพรขนตางอนหนากระพริบเนิบเป็นจังหวะที่สมดุล

“สวัสดี แจจุง”

เสียงของเขากับรอยยิ้มนั้น

“ศาสตราจารย์”

หากนั่นไม่ใช่เสียงของผม และเสียงที่ไม่ใช่ของผม ทำให้เขายิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม

“แจจุง เธอน่ารักจัง ไหน...ตอบฉันหน่อย นี่กี่นิ้ว”

“สองครับ”

“นี่ล่ะ กี่นิ้ว”

“สี่ครับ”

“ทีนี้...ฉันขอจับมือซ้ายเธอหน่อยได้ไหม”

เด็กหนุ่มเอียงคอเล็กน้อย ก่อนจะยืนมือซ้ายให้กับเขา

“ขอบคุณสวรรค์ เธอตอบสนองแล้ว”

ผมได้ยินเสียงเขาหายใจ ในเวลาเดียวกับที่ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าของผมรับรู้ได้ถึงความเย็นยะเยือกอัน โหดร้ายของราตรีฤดูหนาวอันกำลังคืบคลาน

ภาพตรงหน้าและการรับรู้ได้นั้นฉุดความทรงจำในวันเก่าๆ ที่บีบคั้นให้ผมหลั่งน้ำตา

หากน้ำตาจะมีวันไหลริน

อ้อมแขนอันอบอุ่นของศาสตราจารย์โอบกอดร่างของเด็กหนุ่มนั่นไว้ อ้อมแขนที่เขาเคยใช้กอดผม ปลายนิ้วทั้งห้าที่แทรกไล้บนเส้นผมสีดำขลับสัมผัสปลอบประโลมอย่างแผ่วเบา เหมือนดั่งที่เขาเคยใช้สัมผัสผิวกายของผม

รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และคำชื่นชม

ผมอยากหลับตา

ไม่อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หากคงทน และเพิ่มพูนความทรมานขึ้นทุกวินาทีเช่นนี้ ทว่าผมไม่หลงเหลือพลังงานมากเพียงพอที่จะสั่งกายให้เคลื่อนไหว

...นอกจากไมโครชิปตัวเล็กจิ๋วในร่างที่ถูกเลี้ยงด้วยแรงดันไฟไม่กี่โวลต์ให้ทำงานต่อไป

แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เคยมีวันเข้าใจ

สมองเท่านั้นที่สั่งการ...หรือหัวใจกันแน่ที่สั่งการ...

 

เศษเหล็กจะมีหัวใจได้ยังไง?

 

ดวงตาของผมซึ่งยังคงเบิกโพลงจับไว้ที่ใบหน้างดงามราวเทพบุตรของเขาไม่วางตา

นัยน์ตาที่ฉาบไว้ด้วยแววความอาลัยอาวรณ์คู่นั้นของศาสตราจารย์กำลังจ้องลึก เข้ามาในตาของผม ราวกับพยายามอ่านความคิดที่แสดงออกในรูปความถี่ไฟฟ้า

ทุกตัวเลข ทุกตัวแปร ทุกอณูอะตอม เขาอ่านออก มีเพียงความรู้สึกในอกข้างซ้ายของผมเท่านั้นที่ศาสตราจารย์ไม่มีวันอ่านได้

“แจจุง ฉันเสียใจ ที่อะไรๆ ต้องกลายเป็นแบบนี้ ต่อจากนี้ใครจะให้กำลังใจฉันเวลาเหนื่อย ใครจะร้องเพลงให้ฉันฟังเวลาท้อใจกันล่ะ... ไม่มีใครทำได้เหมือนเธอเลย แจจุง เธอเป็นผลงานชิ้นเอกของฉัน ฉันรักเธอที่สุดเลยนะ”

เขาพูด ก่อนจะค้อมกายลง แตะริมฝีปากอุ่นของเขาเบาๆ บนหน้าผากของผม

“แต่เธอก็รู้นี่...ว่าเธอไม่น่าพูดคำนั้นออกมา”

 

วันที่ 29 ตุลาคม 2088
รายงานการทดลองโครงการ JJ013
ชื่อเรื่อง
: ปฏิบัติการล้มเหลว ตัวอย่างไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง

โปรแกรมผิดพลาด ตัวอย่างพูดคำที่ไม่มีระบุไว้ในฐานข้อมูล จากการทดลองเปรียบเทียบจากหุ่นจำลอง 13 ตัวอย่าง จะนำข้อผิดพลาดไปประยุกต์แก้ไขในโครงการ JJ014 ซึ่งเริ่มตอบสนองคำสั่งแล้วในเวลา 1 นาฬิกา 31 นาทีวันเดียวกัน

ลงชื่อ ศต.ดร.จองยุนโฮ
ผู้รับผิดชอบโครงการ

 

ในนาทีสุดท้าย ก่อนที่จะถูกสับสวิตช์ ผมตระหนักดีว่าไม่ควรเอ่ยคำนั้นออกไป

“รัก”

เศษเหล็ก...จะมีหัวใจได้ยังไง?

 

Let it End.



 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:


ออฟไลน์ N.T.❁

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
แอบมาให้กำลังใจคนโพสต์ค่ะ ..

รักฟิกพี่ตองทุกเรื่องเลย : )

 :L2:

ออฟไลน์ ณยฎา

  • ขอเพียงมีเธออยู่คู่ฉัน แม้นหลับก็มิฝันถึงสิ่งใด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-3
보름달
-Full Moon-




~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*

* Story by b.leaf *

Paring: Yunho X Jaejoong
Type: AU, One Shot (Prequel)
Genre: Romance, Drama, Period
Rate: R

~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*


ศตวรรษที่สิบสอง


 

ลมราตรีเย็นยะเยือกพัดเปลวเทียนดับวูบจนเหลือเพียงไอควันขาวพลิ้วอยู่ในอากาศ อัญมณีสีนิลนัยน์ดวงเนตรกลมโตเบิกกว้างฉายแววสนเท่ห์ใจ ก่อนหัตถ์ขาวผ่องพรรณจะยกขึ้นกระชับอาภรณ์ชั้นสูงให้แนบกระชับผิวกาย ปกป้องตนเองจากความหนาวเย็น

ห้องหับกว้างโล่งถูกความมืดเงียบสงัดครอบครอง จนทำให้ร่างบางจำต้องผละออกจากตำราพิชัยยุทธ์ตรงหน้า ตั้งใจสดับฟังเสียงประหลาด กระทั่งพบว่าเป็นเพียงเสียงใบไผ่เสียดสีกันคล้ายลำนำเพลงกังวาน ราวกับย้ำความหนาวให้แล่นปราดถึงกระดูกสันหลัง ร่างเพรียวบางพลันต้องผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก

กวาดสายตาไปรอบบริเวณ เบื้องหลังประตูฉากกั้น ดวงจันทร์คืนเพ็ญฉายเด่นอยู่กลางน่านฟ้ามืดดำ แสงสีนวลอำพันของมันสว่างจ้า กลบกลืนดวงดาวที่เคยดาดาษเกลื่อนฟ้าจนหมดสิ้น ดวงพักตร์หวานใสสะอ้านของพระโอรสองค์โตแห่งพระจักรพรรดิกยองจูแย้มพระโอษฐ์บางๆ อย่างพึงใจ

 

…เคลื่อนไหวกลางสายลม เริงระบำกลางธารา...

 

ทันใดนั้น...เงาดวงจันทร์กลับไหววูบราวกระแสน้ำ ร่างผุดผาดกระตุกเล็กน้อยด้วยความตระหนก พลันตวัดสายตาสอดส่องรอบกายอีกครั้ง ชั่วพริบตา เงาตะคุ่มเงาหนึ่งก็ปรากฏในความมืด เงียบเชียบกว่ากระแสลม รวดเร็วราวล่องหนได้

เงานั้นคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า ก่อนจะทรุดตัวลงหมอบต่ำในท่าคำนับจนหน้าผากจรดพื้นเสื่อ มือขาวขององค์ชายขาดสีรัวระริก หรี่ดวงเนตรเพ่งมองร่างนั้น ความมืดสามารถพรางตาได้ หากแสงจันทร์มิสามารถพรางได้ทั้งหมด เจ้าของเงาเป็นชาย ร่างสูงใหญ่ดูสง่าในชุดรัดกุมสีดำ

นักฆ่ารึ !?

องค์ชายผงะถอย เมื่อสมองตริตรองได้ถึงจุดประสงค์ของอีกฝ่าย หากแต่ฝักดาบยาวที่เหน็บไว้แนบเอวอันประทับยศตรานั้น บ่งบอกถึงฐานะและฝีมือที่เหนือชั้นกว่านักฆ่าชั้นกระจอก

“ท่านเป็นใคร? โปรดจงเอ่ยนาม” เจ้าชายเอ่ยเสียงสั่น ความหวาดกลัวเข้าครอบงำในเบื้องลึกของจิตใจ หากยังมิอาจเทียมเท่าศักดิ์ศรีที่ค้ำคอรัชทายาทแห่งราชวงศ์โซจองเช่นเขา

“.....................................”

“เราถามท่าน โปรดจงเอ่ยนาม! มิเช่นนั้นเราจะเรียกทหาร”

ยิ่งตวาด ร่างนั้นยิ่งหมอบต่ำ ชายในชุดดำค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาเพียงรำไรส่องให้เห็นใบหน้าอันถูกหุ้มไว้ด้วยแพรผ้าสีทะมึนไปกว่าครึ่ง ทว่าดวงตาที่คุ้นเคยกลับวาววับดั่งดาวประกายพรึก   งามเป็นเอกจนพระโอรสจำได้ขึ้นใจ

 

…เร้นกายาหลืบหลังหมอกเมฆ หากสว่างเจิดจ้าในคืนเดือนเพ็ญ...

 

“ราชองครักษ์” พระองค์กระซิบ ก่อนจะค่อยๆ คืบกายเข้ามาใกล้ มือเรียวขาวเอื้อมถึงใบหน้าเจ้าของดวงตาคู่นั้น ดวงตาเรียวเล็กลึกลับแลพิศวง... แนบฝ่าพระหัตถ์เข้าที่ปรางแก้มขาวของบุรุษตรงหน้า แม้ไม่นวลละเอียด ทว่าเรียบสะอาดเรืองศักดินา... รอยยิ้มและหยาดน้ำประกายพิสุทธิ์รื้นขึ้นในคลองเนตรพระโอรสอย่างห้ามไม่อยู่ “ราชองครักษ์จอง... ยุนโฮ...... ยุนโฮของข้า”

 

ราชองครักษ์จอง... ยอดฝีมือแห่งตำหนักพระปิตุลา

 

“ยอดรักข้า ท่านมา... ท่านมาจริงๆ” วาจาขององค์ยุวราชสั่นเครือด้วยความปลื้มปีติ เจือความห่วงหาในถ้อยทีถึงที่สุด ทรงพยายามควบคุมอาการสั่น ใช้พระหัตถ์ลดผ้าปิดหน้าสีดำสนิทที่บดบังใบหน้าบุคคลที่เฝ้าคะนึงหาออกจนสิ้น รูปหน้าเรียวคมสันจึงเผยชัด และเส้นผมที่ถูกตัดจนสั้นบอกยศถา สะท้อนแสงเรืองรองใต้เงาจันทร์จนดูคล้ายสีเงินประกาย...

เป็น จอง ยุนโฮ ไม่ผิดแน่...

องครักษ์หนุ่มหลุบสายตาเย็นชา อันจู่ๆ กลับมีแววไหววูบชั่วขณะ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบพระพักตร์เรืองสิริโฉมนั้นอีกครา เขาขานเสียงเบาหวิว

"พระโอรส"

"บอกกี่ครั้งกี่ครากัน ให้เอ่ยเพียงนามข้า เรียกข้าว่า...แจจุง"

"มิบังอาจ"

สิ้นคำ ร่างสูงกำยำของชายหนุ่มก็ถูกรั้งไปกระชับกอดไว้แนบแน่น เรียวแขนเล็กบอบบางกระหวัดรัด ใบหน้าหวานซุกลงซึมซับไออุ่นซ่านจากแผ่นอกหนา แม้หยาดน้ำตาจะยังไม่มีวี่แววเหือดหาย แต่รอยยิ้มของพระองค์ช่างตราตรึง งดงามเกินชาย อ่อนหวานกว่าชาตินักรบ

 

พระราชโอรสแจจุง... รัชทายาทองค์ต่อไปแห่งจักรราชันย์

 

“ข้านับเดือนดาวรอคอยท่าน ข้าคิดถึงท่านจับหัวใจ ยุนโฮ” สุ้มเสียงหวานรำพัน ผละกายออกจากอ้อมกอด มองสำรวจด้วยแววตาอาวรณ์ ก่อนจะลูบสัมผัสเรื่อยไปตามใบหน้าคมสันของผู้เป็นที่รัก “เพลานี้บ้านเมืองวุ่นวาย ราชสำนักระส่ำระสาย มองโกลเตรียมยาตราทัพ ข้าเป็นห่วงท่านเหลือเกิน ขออย่าให้องค์พระปิตุลาผลักไสท่านไปเสี่ยงภัย”

“กาลสมัยได้แปรเปลี่ยนไปแล้ว องค์ชาย สงครามกำลังจะบังเกิด” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น แหบปร่าราวกับพยายามขับมันออกมาอย่างสาหัสนัก เจ็บปวดยามเมื่อไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับโชคชะตาได้ “...กระหม่อมรับคำสั่งพระเจ้าโจจู ให้มาเอาชีวิตท่าน”

 

ในตอนปลายรัชสมัยของพระจักรพรรดิกยองจู ขณะพระองค์กำลังประชวรหนักด้วยโรคร้าย ทรงรู้ดีว่ายุคกาลของตนกำลังจะจบสิ้นลง ก่อนสิ้นใจได้ทรงปรารภฝากความหวังไว้กับพระอนุชา อันคือพระเจ้าโจจูให้ว่าราชการแทน รอคอยจนบุตรชายองค์โตจะทรงมีพระชนมายุครบยี่สิบชันษา  จึงค่อยเสด็จขึ้นรับราชสมบัติปกครองราชอาณาจักรต่อไป โดยพระเจ้าโจจูได้ให้คำสาบานต่อหน้าพระพักตร์และสักขีพยานว่าจะจงรักภักดีต่อองค์ยุวราช หากโป้ปดหวังยึดครองบัลลังก์เองจำต้องมีอันเป็นไป ตายด้วยคมหอกคมดาบ

กระทั่งวันเวลาผ่านไป พระเจ้าโจจูลุ่มหลงฝักใฝ่ในอำนาจ บ้านเมืองกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงมหันต์ ราษฎรเกลียดชังราชสำนัก ประชาชนเรือนแสนได้รับความยากลำบาก ขุนนางแตกแยกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ทัพหลวงมองโกลหวังใช้วิกฤตนี้แทรกแซงจักรวรรดิ เข้ายึดครองเมืองหลวง โค่นล้มราชวงศ์โซจองให้สิ้นซาก

ประจวบกับพระโอรสแจจุง รัชทายาทองค์ต่อไปมีอายุครบสิบแปดชันษา ทรงพระปรีชาทั้งด้านตำรายุทธ์และการปกครอง ข้าราชบริพารผู้ภักดีต่ออดีตจักพรรดิกยองจูจึงเตรียมกาลเถลิงถวัลย์ขึ้นให้ครองราชสมบัติก่อนกำหนด พระเจ้าโจจูผู้ซึ่งในกาลนั้นดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการแทนตระบัดสัจจา หวังกำจัดราชโอรสให้พ้นทาง เพื่อตนจักได้ครอบครองบัลลังก์ที่เคยว่างเปล่าไว้แต่เพียงผู้เดียว

 

“ท่านอา...สั่งท่านให้มาเอาชีวิตข้าเช่นนั้นรึ?”

“ทรงพระปรีชา ทรงรับสั่งถูกต้องแล้ว”

“เพราะเหตุใด... ใยเพชฌฆาตจักต้องเป็นท่านด้วยเล่า?”

“เพราะกระหม่อมคือทายาทตระกูลจอง ผู้จงรักภักดีต่อพระปิตุลา” ยุนโฮก้มหน้า ซ่อนสายตาไว้ภายใต้เงามืดที่เริ่มโรยตัว ยามดวงจันทราถูกเมฆหนาบดบัง “กระหม่อมหาได้บังอาจทรยศผู้มีพระคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมไม่”

“ท่านจึงเลือกที่จะทรยศข้า... ข้าผู้ซึ่งมีใจรักและภักดีต่อท่านสุดหัวใจเช่นนั้นรึ?”

“กระหม่อมไม่มีทางเลือก ขอพระโอรสโปรดทรงอภัย...”

 

~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*

 

ข้ายังจำได้...

นานเพียงใดที่ข้าเฝ้าแต่มองท่านผ่านแพรม่านเบาบางนี้


ความงามสง่าของท่าน ความเก่งกล้าสามารถของท่าน

นัยน์ตาสุขุมเย็นชา ทว่าแลมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวดั่งมีเพลิงกาฬแผดเผา

 

ข้าชื่นชม ข้าหลงใหล ข้าศรัทธาในท่าน...

แม้ตระหนักดีแก่ใจว่าท่านอยู่ไกลแสนไกลเกินเอื้อมถึง


 

“ผู้ชนะการแข่งขันยิงธนูได้แก่ ราชองครักษ์จอง ยุนโฮ แห่งตำหนักพระปิตุลาโจจู”

อุปราชเฒ่าตะเบ็งเสียงประกาศ ก่อนเสียงฮือฮาของข้าราชในวังหลวงจะดังขึ้นกึกก้อง ชายหนุ่มในชุดยิงธนูสูงยศศักดิ์โค้งคำนับต่อหน้าพระจักรพรรดิกยองจู และพระโอรสน้อยทั้งสอง ก่อนจะเดินไปยืนเคียงข้างที่ประทับของพระเจ้าโจจูผู้เป็นนาย

“นี่แน่ะพี่ข้า! ยอดฝีมือของน้อง”

พระเจ้าโจจูสรวลเสียงลั่น มีสีหน้าเป็นสุขอย่างเหลือล้นเมื่อทหารฝ่ายตนเป็นผู้ชนะการแข่งขันธนูประจำปีอีกคราหนึ่งแล้ว พระจักรพรรดิกยองจูเมื่อเห็นพระอนุชามีความสุขเช่นนั้นก็อดที่จะสรวลตามอย่างเบิกบานพระหฤทัยไม่ได้

“ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยม!” พระขัตติยะกล่าว ปรบมือดังๆ หนักแน่นชื่นชม “ฝีมือเยี่ยม! ทั้งยังงามสง่านัก จอง ยุนโฮ... สมแล้วที่เป็นคนของตำหนักพระเจ้าโจจู เงยหน้าขึ้นซิ เดินเข้ามาใกล้ๆ ข้า”

“ขอบพระทัยที่ทรงชม” ร่างสูงโปร่งในชุดเกราะอ่อนย่างเข้ามา สายตาคมกริบประดุจพญาเหยี่ยว สีหน้าเรียบนิ่งเย็นชาดูยโส หากแต่กริยานอบน้อมน่าสรรเสริญ องครักษ์หนุ่มโค้งคำนับ ก่อนจะเหลือบดวงตาเรียวคมขึ้นหวังสบพระพักตร์พระภูวนัย

 

ครานั้นเองที่ข้าได้รับรู้ว่าท่านสง่างามเพียงใด

ข้ายังจำได้... มิเคยลืมเลือน...


 

~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*

 

ข้ายังจำได้...

ช่วงเวลาที่ข้าได้ใกล้ชิดท่าน

 

ความอ่อนโยนและอ่อนน้อมของท่านตราตรึงข้า

พันธนาการข้าไว้ด้วยบ่วงรักแห่งท่าน


ข้าพลีใจ ข้าพลีกาย ข้ามอบทุกสิ่งทุกอย่างแก่ท่าน

ทั้งที่ข้าเองก็รู้ดีว่าเราไม่ควรรักกัน... มันไม่มีวันเป็นไปได้...


 

“ดึกดื่นเที่ยงคืนแล้ว เหตุใดยังไม่เข้านอนอีกเล่า ราชองครักษ์จอง”

สุ้มเสียงหวานดังขึ้นจากเบื้องหลัง พร้อมๆ กับการปรากฏตัวของร่างงามผุดผาดในชุดเสื้อคลุมสีแมกไม้ปักลายดิ้นเงินสูงศักดิ์ เรียกให้ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ดวงจันทร์กลมโตสีเหลืองนวลในคืนเพ็ญยึดครองพื้นฟ้าเวิ้งว้าง สะท้อนเงาไหววูบในสายธารตรงหน้า แพรกพฤกษาสีเขียวขจีแลคล้ายสีเงินระยับท่ามกลางแสงจันทร์

“ถวายบังคม องค์ชาย” ยุนโฮถอยฉากหลบทาง ทำท่าจะทรุดกายลงทำความเคารพบนพื้นดินสกปรก ทว่าองค์ชายทรงปรามไว้ได้ทัน

“ไม่ต้องมากพิธีหรอก ที่นี่มีแค่เรานะยุนโฮ”

มือเล็กฉวยท่อนแขนของเขาไว้ ดวงหน้าเฉิดฉายของพระโอรสแลดูงามพิศวงนัก เส้นพระเกศาดำขลับเป็นมันวาวทอรับแสงดาวเรื่อเรืองในความมืด พวงพระปรางละเอียดเจือสีชมพู พระโอษฐ์อิ่มสีแดงชาดเขยื้อนน้อยๆ เอ่ยเป็นถ้อยคำหวานหู แต่ทั้งนี้ยังไม่เทียมเท่าสายพระเนตรที่ทอดมองชายคนตรงหน้าอย่างมีความหมาย สะกดทหารหนุ่มให้ยืนนิ่งแข็งราวรูปสลักหิน

“ท่านนำข้ากับจุนซูล่าสัตว์มาทั้งวัน คงจะเหนื่อยมากแล้ว”

“หาได้ไม่ คืนนี้ท้องฟ้าเปิดกว้าง ดวงจันทร์เต็มดวง กระหม่อมคงมิอาจข่มตาให้หลับลงได้โดยที่ยังไม่ได้ชื่นชมความงามของมัน”

คำพูดของเขา ชวนให้พระนัยนาขององค์ชายแลขึ้นสบกับภาพท้องฟ้ายามราตรี ดวงจันทร์ทอแสงสว่างไสว จนเห็นเงารูปกระต่ายขดตัวอยู่ในนั้น แจจุงอดที่จะแย้มรอยยิ้มบางๆ ออกมาไม่ได้

“งามเหลือเกิน” เจ้าชายร่ำคำเสียงแผ่ว

“แต่หาได้งามไปกว่าท่านไม่”

ราชโอรสแจจุงฉีกยิ้มกว้างขึ้นกว่าเก่าเมื่อได้ฟัง จ้องนัยน์ตากลมโตสีดำสนิทดุจท้องฟ้าในยามนี้พิจารณาบุรุษที่เอาแต่ยืนก้มหน้าอยู่ไม่ไกลกัน

“เคลื่อนไหวกลางสายลม เริงระบำกลางธารา...
...เร้นกายาหลืบหลังหมอกเมฆ หากสว่างเจิดจ้าในคืนเดือนเพ็ญ”

จู่ๆ พระโอรสก็ทรงเอ่ยบทกลอนขึ้นมาลอยๆ ยุนโฮเป็นนักรบ เกิดในตระกูลองครักษ์และแม่ทัพมือหนึ่ง หาได้เป็นนักปราชญ์เก่งถอดความบทกวี คิ้วเรียวจึงขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างฉงนใจ

“กระหม่อมช่างเขลานัก ไม่อาจเข้าใจนัยยะในบทกลอนของพระองค์ได้”

“ข้าหมายถึงพระจันทร์” องค์ชายอธิบาย “อย่าเทียบข้ากับจันทราเลย จันทร์นั้นหมายถึงท่าน ยุนโฮ... แม้ในราตรีอับแสง ท่านจักสว่างไสวเสมอในสายตาข้า... พระจันทร์ของข้า”

 

ครานั้นเองที่ข้าได้รับรู้ว่าท่านเจิดจ้าเพียงใด

ข้ายังจำได้... มิเคยลืมเลือน...


 

~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*

 

ข้ายังจำได้...

ความอบอุ่นในอ้อมกอดท่าน


ท่อนแขนแกร่งคอยโอบประคอง รสสัมผัสนุ่มละมุนที่ท่านมอบให้

หมื่นแสนคำรักที่พรั่งพรูออกจากริมฝีปาก ยังไม่อาจอธิบายความรักของเราสองได้หมดสิ้น


 

ริมฝีปากอุ่นชื้นประทับลงดูดซับความอ่อนหวาน ลมหายใจร้อนรวยริน ดวงเนตรขององค์ยุวราชปรือหรี่ชุ่มไปด้วยน้ำ แพรขนตาหนาชื้นแฉะ ทว่าภาพที่ฉายชัดอยู่ทั้งในดวงตา สมอง และสองหัวใจยังคงเด่นชัด

ที่ด้านนอกกระโจมพักแรม แสงดาวบนท้องฟ้ากลาดเกลื่อนดาษดา แต่ดาวนับล้านนั้นก็มิอาจเทียบเทียมโฉมบุคคลตรงหน้าได้เลย

ร่างสูงโอบกอดร่างบางที่กำลังเปลือยเปล่า นอนราบกายสั่นระริกอยู่บนผืนผ้าขนสัตว์หายาก องครักษ์หนุ่มบรรจงมอบจุมพิตเรื่อยไปจนถ้วนทั่วใบหน้าขาว ทะนุถนอมราวสมบัติล้ำค่า ทุกสรรพางตอบรับทุกสัมผัส...ด้วยความรัก คนทั้งสองสอดประสานอุ้งมือเข้าไว้ด้วยกัน กระชับแน่น พร้อมจะเป็นกายเดียวกันไปจนกว่าวันตายจะมาถึง

สองร่างขยับเนิบช้าตามจังหวะรักอ่อนหวานซึ่งเป็นไปตามวิถีแห่งธรรมชาติ ก่อนที่จะค่อยๆ แปรเป็นเร่งร้อนโหยหา ดื่มด่ำกันแทนสัญญารักที่ยังคงมีต่อกันไปอีกตราบนานเท่านาน องค์ชายน้อยส่งเสียงครางรื่นหู ผิวกายที่เพิ่งแตกเนื้อหนุ่มอวลกลิ่นหอมรัญจวนใจ ดวงตากลมโตสีดำสนิทยังคงเปิดลืมเพื่อจ้องดูใบหน้าผู้เป็นที่รักให้เต็มตา สบสายตาเพื่ออธิบายความหมายของหัวใจให้อีกฝ่ายรับรู้ ปลายเล็บทั้งสิบจิกลงบนแผ่นหลังกำยำอย่างไม่ได้ตั้งใจเมื่อความเจ็บปวดเข้ารุมเร้า หากแต่องครักษ์หนุ่มก็มักจะมองใบหน้านั้นด้วยดวงตาอ่อนโยน จูบปลอบซับน้ำตาที่ดวงเนตรทั้งสองอย่างหวงแหน ก่อนจะปรนแรงกระทั้นผ่อนจังหวะรักทุกครั้งไป

อารมณ์รักเสน่หาจากเบื้องลึกภายในจิตใจถูกปลดปล่อยจนถึงขีดสุดพร้อมกัน ยุนโฮทิ้งกายลงนอนเคียงข้างแจจุง ประสานเสียงหอบผะแผ่วให้ล่องลอยอบอวลในซุ้มกระโจมขององครักษ์หนุ่ม ร่างสูงลูบไล้เส้นผมสีดำชื้นเหงื่อสยายแผ่บนพื้นผ้าขนสัตว์อย่างอ่อนโยน แจจุงขยับกายเบียดเข้าหาอีกฝ่าย กอดบุรุษผู้เป็นที่รักแนบชิดจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนของเขา

“ข้ารักท่านเหลือเกิน ยุนโฮ”

“ขอพระโอรสโปรดทรงรับรู้... รักของกระหม่อมที่มีต่อพระองค์เองนี้ก็คงไม่ได้ลดหลั่นไปกว่ากันเลย”

 

ข้ารู้... รู้ดี...

ถึงอย่างไรวันนี้ก็ต้องมาถึง


แต่ขอแค่เพียงได้รักท่าน ขอแค่ได้เป็นคนที่ท่านรัก

ข้าก็หาได้เสียดายชีวิตไม่...




~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*

 

“จับดาบ หากพระองค์ฆ่ากระหม่อมได้...”

“ไม่...ไม่เป็นไรจริงๆ” จวบจนเวลาสุดท้ายของชีวิต ราชโอรสก็ยังคงแย้มพระโอษฐ์ สองหัตถ์อันเอ่อชุ่มด้วยพระเสโท บีบกระชับเสื้อผ้าของนักฆ่าผู้ซึ่งหมายชีวิตเขาไม่ยอมปล่อย “หากได้ตายด้วยมือท่าน ข้าก็ไม่เสียใจ”

“พระโอรส...”

“แต่...ขอเวลาให้ข้าได้ล่ำลาท่านสักนิดเถิด... ขอเวลาให้ข้าได้อยู่กับท่าน แม้อีกแค่เพียงชั่วราตรีกาลก็ตามที”

“พ..พระโอรส...”

มือเรียวยกขึ้นปลดฮันบกสีแดงปักดิ้นทองคำลวดลายมังกรเทียมกษัตริย์ หากเมื่ออยู่บนร่างกายเพรียวบางดุจอิสตรีกลับแลดูอ่อนหวานอย่างประหลาด เผยเนิ่นไหล่นวลเนียนปรากฏแก่สายตา เนื้อกายผ่องพรรณงามละเอียดตัดกับเส้นผมสีดำนุ่มลื่นราวเส้นไหมเนื้อดี ทั้งกายท่อนบนเปล่าเปลือยแล้ว แจจุงเงยหน้าขึ้นสบตาคนรัก ก่อนจะหยัดตัวขึ้นจุมพิตเบาๆ ที่ริมฝีปากนุ่มของยุนโฮ

ทันทีที่สบแวววิงวอนอ้อนขอในจากสายตาคู่นั้น องครักษ์หนุ่มจึงทนแอบซ่อนความในใจไว้ไม่ได้อีกต่อไป เขารวบร่างตรงหน้าเข้ามาแนบอก ตอบสนองจูบแผ่วเบานั้นอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะประคองอุ้มองค์ชายไว้ด้วยสองแขน พาเดินหายเข้าไปหลังฉากกั้นลายนกกระเรียน ที่ที่แม้แต่แสงจันทร์ก็ไม่อาจจักเป็นพยานรักให้ได้อีกต่อไป

ยุนโฮค่อยๆ วางร่างนั้นราบบนฟูกนอน ทาบทับกายครอบครององค์ยุวราชแห่งโซจองไว้อย่างอ่อนโยน มือหนาลูบแผ่วเบาบนแผ่นอกราบเรียบขาวกระจ่างในความมืด แหวกฮันบกที่ยังคงถูกสวมไว้เพียงหมิ่นเหม่ ก่อนจะปลดมันออกจนหมดแล้วปัดออกไปให้พ้นทาง

เสียงครางผะแผ่วของร่างเบื้องใต้ราวกับย้ำรอยแผลในหัวใจ จอง ยุนโฮกัดริมฝีปากตนเองแน่นจนรู้สึกเจ็บ หากยังไม่ทัดเทียมความปวดร้าวภายใน เส้นผมดำขลับ ดวงตาสีนิลเงาระยับ ริมฝีปากสีกลีบกุหลาบ ผิวขาวเนียนนุ่มเฉกเด็กสาวแรกรุ่น กลิ่นเครื่องหอมจากต่างแดนที่ได้จากร่างกายนี้ รสหวานละมุนละไม... ทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าบ่งบอกเขาถึงตัวตนของแจจุง... แจจุงที่เขารัก...

ยุนโฮย้ำกาย ซ้ำแล้ว...ซ้ำเล่า...

ความรู้สึกที่คับแน่นอยู่ในหัวอกยังคงไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นวาจาได้ ด้วยหน้าที่ ความซื่อสัตย์ ฟ้าลิขิตมาให้เขาเกิดมาเป็นข้าทาสที่จำต้องจงรักภักดี พระปิตุลามีพระคุณกับตระกูลจองชนิดที่ชาตินี้คงไม่อาจชดใช้ได้หมด ความรักไม่ใช่สิ่งผิด หากจำต้องกล่าวโทษ ขอให้โทษฟ้าเถิด

 

โทษฟ้าที่บันดาลให้เราทั้งคู่เกิดมาบนกลการเมืองอันแสนโหดร้าย

 

“กระหม่อมขออภัยที่จำเป็นต้องทรยศองค์ชาย” องครักษ์หนุ่มกระซิบเสียงพร่า ลมหายใจขาดห้วง “คงจะมีเพียงความรักของข้าเท่านั้นกระมังที่จักไม่มีวันทรยศท่าน... เหมือนดวงจันทร์ที่แม้นจะถูกความมืดกลืนกิน แต่ยังคงอยู่คู่ท้องนภาชั่วกัปชั่วกัลป์ ข้ารักท่าน...แจจุง”

“ฆ่าข้าเสียเถิด ยุนโฮ หากท่านไม่ลงมือ ท่านเองก็จำต้องถูกฆ่า” ราชโอรสละล่ำละลัก หยาดน้ำตาหลั่งรินดั่งหมื่นแสนมหาสมุทร “ข้าเองก็รักท่าน ดวงจันทร์ของข้า...”

 


ข้าเชื่อว่าต่อจากนี้... เราสองจักได้สัมผัสความรักอันเป็นนิรันดร์

...จนกว่าจะได้พบกันใหม่...


 

“ลาก่อน ยอดรักข้า”


“ลาก่อน องค์ชาย”


พื้นโลหะมันวาวสะท้อนแสงวูบหนึ่ง ก่อนที่ปลายคมกริบของมันจะถูกจรดลงบนเนื้อกายบอบบาง แจจุงค่อยๆ พริ้มดวงตาทั้งคู่ให้ปิดลง ปรามหัวใจที่กำลังสั่นระรั่วให้สงบ ก่อนที่คมมีดสั้นจะกรีดเฉือนลงบริเวณลำคอขาวผ่อง ตัดหลอดลมขาดสะบั้น

ชั่ววินาที...ที่มันนำพาลมหายใจของเขาไป พร้อมกับหัวใจอันร้าวรานของมือสังหารหนุ่ม โลหิตแดงฉานเจิ่งนองพื้นเสื่อ เปรอะเปื้อนฮันบกอันทรงเกียรติ อาบสองมือของยุนโฮ

ชายหนุ่มหลับตาลง พร้อมๆ กับที่หยาดน้ำตาที่เคยกักกลั้นหลังรินหยดลงบนปรางแก้มขาวซีดของเจ้าชาย สองแขนแกร่งที่ในยามนี้สั่นระริกโอบอุ้มเนื้อตัวอ่อนปวกเปียกภายใต้อาภรณ์ชั้นสูงให้นอนราบลงในท่าสบาย ก่อนที่องครักษ์หนุ่มจะวาดมือเข้าชักดาบยาวคู่ใจออกจากฝักซึ่งเหน็บเอาไว้แนบกายนี้

 


ฉึก!

 

“อึก!”

ดาบเดียวเท่านั้น เนื้ออาวุธทะลวงผ่านร่างทั้งร่างจนสุดความยาว เลือดสาดกระเซ็นเลอะฉากกั้นลายนกกระเรียน กลิ่นคาวของมันอวลอบคละคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณ ปลิดชีวิตขององครักษ์หนุ่มผู้จงรักในหน้าที่ และภักดีในความรัก ก่อนที่ร่างนั้นจะค่อยๆ ล้มกายลง สิ้นชีพเคียงข้างผู้เป็นที่รักแทนคำมั่นสัญญา

 

จนกว่าดวงจันทร์จะนำพาให้ได้พบกันใหม่...

 


.F I N .



 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:


Pororo

  • บุคคลทั่วไป

iiiampond

  • บุคคลทั่วไป
พี่ตองเป็นนักเขียนฟิคคนแรกที่ทำให้เรารู้ว่าฟิคมันสวยและสนุกได้เพราะภาษาจริงๆ  ^^
ฟิคทุกเรื่องของพี่ตองมันเหมือนมีเอกลักษณ์อะ  พอเราอ่านแล้วเราจำภาษาได้เลย  ฮ่าๆๆๆ

ภาษาสวยอย่างมากมาย  : )  แต่เราว่าได้อารมณ์กว่านะถ้าไปอ่านที่บล็อกพี่แก
เรื่องที่อุ่น  บล็อกมันจะอุ่นๆ  อ่านแล้วมันจะอิ่ม  เรื่องเย็นๆ  อ่านแล้วจะระแวงๆ
มันเป็นแบบนี้จริงๆ  ไม่คิดเลยว่าคนแต่งฟิคนักร้องจะเขียนได้ดีขนาดนี้  -w-  เฮ่อ

ถึงวันนี้ต้องยอมรับเลย  เราชอบทุกเรื่องเลยจริงๆ

yunjaejoong

  • บุคคลทั่วไป
 :L2:    :กอด1:

                    :L1: yunjae  :L1:

ออฟไลน์ ณยฎา

  • ขอเพียงมีเธออยู่คู่ฉัน แม้นหลับก็มิฝันถึงสิ่งใด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-3
Go! Daddy (1)

Title: Go! Daddy
Author: *b.leaf*
Paring: YunJae , Impiled YooSu
Type: AU, Multi-chaptered
Genre: Romance, Comedy, Drama
Rate: PG-13 (with some rudely words)






( Part 01/?? )

เครื่องยนต์รถบรรทุกขนาดใหญ่ที่ กำลังลั่นเสียงอื้ออึงน่ารำคาญ เรียกให้ฟันขาวเม้มกัดริมฝีปากสีแดงสวยของตนเองอย่างสุดจะทน ก่อนจะผุดตัวออกมานอกผ้าห่มผืนหนาที่ใช้ห่อตัวนอนตลอดคืน แล้วสะบัดมันออกไปให้พ้นทาง

ร่างบางกระทั้นฝ่าเท้าโครมครามจนบ้านสาม ชั้นสไตล์อบอุ่นแบบตะวันตกนี้แทบสะเทือน พาใบหน้าหวานสวยที่ดูขมวดมุ่นขุ่นมัวลงมายังชั้นล่าง มือเรียวยกขึ้นยีผมสีดำขลับยาวระไล้ลำคอขาวบางของตนจนยุ่งเหยิง

ใน ทันทีที่ดวงตากลมโตสีดำสนิทฉายภาพของเพื่อนร่างผอมสูง ซึ่งกำลังนั่งกกกอดเพื่อนตัวเล็กเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มและผมสีน้ำตาลทองอยู่ บนโซฟาตัวยาวในห้องรับแขก เสียงหวานก็ตะโกนโหวกเหวกถามอย่างต้องการคำตอบ

คิม แจจุง กำลังโมโหร้ายเพราะเพิ่งถูกปลุกให้ตื่นในเช้าวันหยุด!

"ยูชอน จุนซู ข้างนอกมีอะไรน่ะ? หนวกหูชะมัดเลย" แจจุงถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

ใบ หน้าหล่อเหลาในแบบผู้ดีของหนุ่มร่างสูงโปร่งเบือนกลับมามองรูมเมทของตนอย่าง เสียไม่ได้ ยูชอนที่ยังคงอยู่ในชุดนอนสีน้ำเงินเข้มถอนหายใจออกมาเซ็งๆไม่แพ้กัน "เสียงเรือกลไฟ..."

"ไอ้บ้า! ชั้นถามแกดีๆนะเว้ย"

"เอ้า! แกก็เห็นอยู่ทนโท่ไม่ใช่เรอะว่ามันคือรถบรรทุกน่ะ ไอ้ปกติ! ใครดีใครบ้ากันแน่วะเนี่ย"

"ยู ชอนก็! อย่าไปกวนโมโหแจจุงสิ" สงครามน้ำลายที่กำลังเริ่มขึ้นเรียกเสียงหัวเราะใสๆจากจุนซูได้ แต่ก็ไม่วายประเคนหมัดเล็กลงไปบนแผ่นอกกว้างของคนรักให้ได้ร้องโอดโอยกันสัก ครั้งแทนระฆังหมดยกชก ร่างเล็กดิ้นขลุกจนหลุดออกมาจากอ้อมกอดแน่นๆของยูชอน ก่อนจะซอยฝีเท้าถี่ๆ วิ่งเข้ามาหาเพื่อนรักหน้าสวย

"ดูเหมือนว่าเราจะ มีเพื่อนบ้านใหม่นะแจจุง" จุนซูยิ้มจนตาปิด แก้มกลมๆของเขาเรื่อสีชมพูอ่อนทุกครั้งที่ริมฝีปากฉีกยิ้มกว้าง พลางเอื้อมมือมาจับข้อแขนแจจุงเอาไว้แล้วกระตุกมันเบาๆ "ไปดูกันมั้ย?"

แม้ จะอยากฟาดปากไอ้เพื่อนตัวดีที่กำลังนั่งทำหน้าทะเล้นอยู่บนโซฟา แต่ก็ยังแพ้ใจดวงตาเว้าวอนและท่าทางอยากรู้อยากเห็นสุดแสนจะน่ารักของเพื่อน ตัวน้อยอยู่ดี แจจุงพยักหน้าตอบช้าๆอย่างไม่ให้เสียน้ำใจ ก่อนจะเดินตามแรงกึ่งจูงกึ่งลากของจุนซูที่ดูมีท่าทีกระตือรือร้นเต็มที่ออก ไปแต่โดยดี

แหวกม่านบานเกล็ดพลาสติกสีครีมที่ติดอยู่ตรงกรอบบาน หน้าต่างสีไม้ใกล้กับประตูบ้าน ดวงตาทั้งสองคู่สอดส่ายออกไปสำรวจบริเวณด้านนอก ถนนสายเล็กที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นไม่เคยเปลี่ยนแปลงอันเคยดูเงียบเหงาในเวลา เช้าตรู่ ในยามนี้กลับคึกคักขึ้นมาด้วยพนักงานส่งของหลายชีวิตกำลังทำงานกันอย่างแข็ง ขัน ยกเครื่องเรือนหรูหรามีสไตล์ลงจากรถบรรทุกส่งของขนาดใหญ่ซึ่งจอดขวางกิน พื้นที่ถนนเกือบทั้งหมด ก่อนจะขนเอาของใช้เหล่านั้นหายเข้าไปภายในประตูที่พวกเขาไม่เคยเห็นมันถูก เปิดใช้งานมาก่อน

"นั่นบ้านมิสซาลทิสนี่หน่า... เปิดบ้านให้เช่างั้นเหรอ?" จุนซูบ่นงึมงำถึงชื่อดีไซเนอร์สาวใหญ่ชาวอเมริกันเจ้าของบ้านหลังถัดไป แม้ว่าตั้งแต่ตัดสินใจย้ายเข้ามาร่วมหารค่าเช่ากับยูชอนและแจจุงในบ้านหลัง นี้ก็จวนจะครบสองปีแล้ว ทั้งสามก็ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเพื่อนบ้านนามว่ามิสซาลทิสมาก่อนเลยสัก ครั้งก็ตาม

"ไม่แน่ มิสซาลทิสอาจจะกลับมาเกาหลีก็ได้นะ" แจจุงออกความเห็นบ้าง "ว่าแต่คนไหนล่ะ มิสซาลทิส?"

"นั่นสิ คนไหนกันนะ?"

โบ๊ะ!

"โอ้ ย! ไอ้ยูชอน แกตีหัวชั้นทำไมเนี่ย!?" แจจุงโวยลั่น ทันทีที่ยูชอน ผู้ซึ่งยืนสังเกตพฤติกรรมเพื่อนกับคนรักของตนอยู่นานสองนาน ประเคนม้วนหนังสือพิมพ์ในมือลงบนกะโหลกกลมๆของเพื่อนร่างผอมเพรียว เล่นเอาจุนซูเองก็สะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจไม่แพ้กัน

"ก็เห็นอยากรู้ ซะเหลือเกินนี่ ทำไมไม่ออกไปถามเค้าเองเล่า มาด้อมๆมองๆอยู่ทำไม ทุเรศลูกตาจริงแก" ยูชอนว่า เขาส่ายหน้าระอาใจให้กับพฤติกรรมถ้ำมองของรูมเมททั้งสอง...

แจจุงอมลม จนแก้มตุ่ย มือเรียวยกขึ้นลูบหัวตัวเองปอย พลางบ่นกะปอดกะแปดไปตามประสา "จะให้ไปถามได้ยังไงกันเล่า เค้าก็ได้หาว่าสอดรู้สอดเห็นเอาน่ะสิ"

โบ๊ะ!

"โอ้ย! ไอ้ยูช๊อน..."

"แล้ว ที่ทำอยู่นี่ไม่เรียกสอดรู้สอดเห็นหรือยังไง?" ยูชอนถอนหายใจยาวอย่างเอือมระอา ก่อนจะพาดแขนหมับลากจุนซูเข้ามากอดคอ "ไปที่รัก" ริมฝีปากอิ่มขยับพูด

ประโยคสั้นๆที่ฟังแทบไม่ได้ใจความทำ ให้จุนซูต้องขมวดคิ้ว "ไปไหนเหรอยูชอน?" เสียงเล็กเอ่ยถามเบาๆอย่างไม่แน่ใจในอารมณ์ของคนตัวสูงเท่าไหร่นัก

"ก็ ไปถามให้รู้เรื่องน่ะสิว่าเพื่อนบ้านใหม่ของพวกเราเป็นใครกันแน่" พ่อหนุ่มมาดผู้ดียักคิ้วตอบ ก่อนจะลากจุนซูเดินออกนอกประตูบ้านไป โดยไม่สนใจอีกหนึ่งชีวิตที่ยังคงกุมศีรษะร้องครวญครางอยู่เลย

"เดี๋ยว เซ่...รอชั้นด้วย" แจจุงร้องเสียงอ่อย ก่อนจะวิ่งเหยาะๆตามเพื่อนทั้งสองของตนออกไป คล้ายจะชินชาเสียแล้วสำหรับนิสัยไร้ความยุติธรรมของยูชอน กับทุกเช้าที่แสนสดใสด้วยเสียงหัวเราะของจุนซู ตลอดเวลาสองปีที่ร่วมแบ่งปันชีวิตครึ่งหนึ่งเพื่อใช้ร่วมกับเพื่อนรักสองคน ในบ้านเช่าที่แสนอบอุ่นหลังนี้

.
.
.

"ขอโทษนะครับคุณน้า ผมขอรบกวนเวลาซักครู่ได้มั้ยครับ?" เสียงนุ่มทุ้มกล่าวอย่างสุภาพ พร้อมๆกับที่ปลายนิ้วชี้แตะสะกิดเบาๆลงบนไหล่ของพนักงานส่งของร่างเล็ก เรียกให้คุณน้าคนที่ว่าหันมามองหน้าร่างสูงอย่างหวาดๆ

"มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?"

"เปล่า หรอกครับ" ยูชอนยิ้มให้เขา มือที่เหลือก็ยังไม่วายฉุดกระชากลากถูจุนซูให้เข้ามาใกล้ตัวเพื่อเพิ่มความ มั่นใจ "แค่เห็นพวกคุณน้าขนของกันดูวุ่นวายใหญ่เลย ใครจะย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้งั้นเหรอครับ?"

"อ๋อ..." คุณน้าคนส่งของมองตามมือยูชอนที่ชี้ไปยังบ้านสไตล์ตะวันตกหลังที่เขากำลัง รับผิดชอบงานอยู่ ก่อนจะยิ้มใจดีจนตาที่หยีอยู่แล้วปิดสนิท "ก็มิสซาลทิสนั่นแหละครับ เธอย้ายกลับมาจากนิวเจอร์ซี่ย์ พร้อมกับสามีแล้วก็ลูกชาย"

"เอ๋? มิสซาลทิสแต่งงานแล้วเหรอครับ!?"

"ผม เองก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากนักหรอกครับ เอาไว้คุณชายลองถามกับเจ้าตัวเองแล้วกันนะว่าเป็นยังไงมายังไง ผมต้องเร่งงานต่อให้เสร็จก่อนที่มิสซาลทิสจะเข้ามาดูบ้านช่วงบ่ายๆนี่แหละ ครับ"

"อ..อ่า ครับ งั้นผมไม่รบกวนคุณน้าแล้วครับ ขอบคุณมากนะครับ" ยูชอนกล่าวขอบคุณโดยไม่ลืมที่จะโค้งให้คู่สนทนาเป็นการปิดท้าย

ลม เย็นยามเช้าพัดพาเอาเศษใบไม้แห้งให้ปลิวไปตามพื้นหญ้าสีเขียวขจีซึ่งทอดตัว อยู่บนสนามเล็กๆ หน้าบ้านทรงสูงสไตล์ยุโรปหลายหลังที่สร้างขึ้นเรียงรายกันอยู่เลียบไปตามแนว ถนนสายสงบ ผนังสีแดงอิฐก่อขึ้นสูง ฉลุหน้าต่างกระจกกรอบไม้ขัดเงาเข้าชุดกับประตูในแบบเดียวกัน แต่ละหลังตั้งระยะห่างกันไม่ถึงสามเมตรด้วยซ้ำ จะมีสิ่งที่ขีดเส้นแบ่งความเป็นส่วนตัวอยู่ก็เพียงแค่รั้วเหล็กดัดลายกั้น เอาไว้เท่านั้น

เพียงแค่คล้อยหลังคุณน้าคนส่งของไป สามสหายก็ล้อมวงเข้ามาสุมหัวกันแทบจะในทันที

"ไม่ แปลกใจที่เป็นมิสซาลทิส" ยูชอนยกมือขึ้นลูบปลายคางอย่างใช้ความคิด ใบหน้าของเขาดูเคร่งขรึมขึ้นมาอีกครั้งราวกับกำลังปรึกษาภารกิจกู้โลกเสีย มากกว่า "แต่เรื่องลูกของมิสซาลทิสนี่สิ...แปลก"

"คนเรามีลูกมันเป็น เรื่องแปลกขนาดนั้นเลยเหรอยูชอน?" คำถามไร้เดียงสาของจุนซูหยุดทุกความคิดเอาไว้ชั่วขณะ ทั้งสามหันมาแลกสายตากันอย่างงุนงง

"แต่ชั้นว่ายังมีเรื่องที่ แปลกกว่านั้น..." แจจุงที่เงียบอยู่นานตัดสินใจพูดสิ่งที่ตนคิดออกไปบ้าง เรียกให้เพื่อนรักสองคนที่เหลือหันกลับมาจ้องเขาด้วยแววตาใคร่รู้ "ก็คือที่พวกเราสามคนใส่ชุดนอนมายืนบ้าอยู่กลางถนนนี่ไงล่ะ"

ทั้งสาม ถอนหายใจดังๆ ออกมาพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนจะตัดสินใจพับแผนปฏิบัติการแอบดูคนข้างบ้านเอาไว้ชั่วคราว แล้วเดินตามกันหายเข้าประตูบ้านของพวกเขาไปอย่างปลงๆ รอจนกว่าเวลาบ่ายจะมาถึง

.
.
.

แจจุงละสายตาออกจาก นิตยสารบนตักทันทีที่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถยุโรปแล่นเข้ามาเทียบฟุตบาท ฝั่งตรงข้ามอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะคืบโผเข้าไปเกาะขอบหน้าต่างบานเดิม แล้วแหวกช่องว่างเล็กๆ ระหว่างซี่ม่านบานเกล็ดจนกว้างพอจะให้ดวงตากลมๆ ของตนสอดส่ายผ่านไปได้ ท่าทีพรวดพราดโครมครามของแจจุงนั้นเรียกความสนใจจากคู่รักหวานเจี๊ยบที่ กำลังนั่งชี้นกชมไม้กันอยู่ไม่ไกลให้กลับมาจับจ้องที่เขาอีกครั้ง

"มันคิดว่ามันเป็น เชอร์ล็อค โฮมส์ หรือยังไงนะ" ยูชอนบ่นเบาๆ ด้วยน้ำเสียงระอาแกมรำคาญ

"แต่ชั้นว่าแจจุงพยายามจะเป็น นางฟ้าชาร์ลี ซะมากกว่าน้า" จุนซูเสริม ก่อนที่คนทั้งคู่จะค่อยๆ ย่องตามแจจุงออกไป

"ชั้น ได้ยินเสียง Mercedes-Benz SL65 เครื่องยนต์ AMG 6,500 ซีซี ทวินเทอร์โบชาร์ท V12 SOHC 36 วาล์ว มาจอดอยู่ในรัศมี 10 เมตรถัดจากบ้านเรา"

แจจุงเริ่มร่ายยาวทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของ เพื่อนๆ เดินเข้ามาสมทบ กล่าวโชว์ภูมิประสิทธิภาพหูที่ตนเองมั่นใจนักมั่นใจหนาอย่างไม่มีลังเล ภาพของ คิม แจจุง คนสวยเจ้าของตำแหน่งเดือนคณะอักษรศาสตร์ของมหาวิทยาลัยในยามนี้ดูไม่จืด มือเรียวขาวจับแยกแหกเกล็ดม่านพลาสติกจนแทบฉีก พลางเอาหัวเล็กๆ มุดชอนไชเข้าไปแทบจะทั้งหัว ใบหน้าหวานสวยที่ใครๆ ต่างก็ยกย่องกันนักหนาแนบกระจกหน้าต่างบ้านอย่างไม่ค่อยอยากรู้อยากเห็น เล้ย...

แจจุงเอ๋ย ชั้นภูมิใจมากที่มีเพื่อนอย่างแก!

"จุน ซู...เพื่อนนายนี่มันหูดีเหมือนตัวอะไรซักอย่างเลยนะ" นอกจากจะไม่ช่วยแล้ว ยูชอนยังพูดค่อนขอดเพื่อนสนิทกับแฟนหนุ่มของตนซะอีก เอ... ต้องเรียกแฟนสาวสิถึงจะถูก

"ตัวอะไรซักอย่าง? ตัวอะไรเหรอ ยูชอน?" รายนี้ก็ช่างไร้เดียงสาประดุจผ้าขาว หันกลับมาจ้องตาคนตัวสูงด้วยดวงตากลมป๊อกบ้องแบ๊ว เล่นเอายูชอนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ให้กับความไม่ทันใครของแฟนตัวเล็ก

ยูชอนกัดฟันตอบ "ปลาคาร์ฟมั้งจ๊ะที่รัก"

"เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าปลาคาร์ฟมันมีหูด้วย"

ผ่าง!

เพียง เท่านั้นก็พอจะทำให้ ปาร์ค ยูชอน นักศึกษาผู้มีผลการเรียนดีเด่นประจำคณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยอันเลื่อง ชื่อ ต้องยืนฉงนค้างไม่ต่างอะไรกับเทวรูปหน้าศาลเจ้า ประกอบกับเสื้อยืดลายสายรุ้งคาดที่สวมอยู่ทำให้ดูเผินๆ ราวกับผ้าสามสีก็มิปาน สามารถเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ให้แก่เจ้าพ่อปาร์คได้มากโข

ในขณะที่ยู ชอนกำลังยืนทบทวนสรีระและลักษณะทางกายภาพของสัตว์เลือดเย็นอยู่นั้น แจจุงกับจุนซูก็สวมบทบาทนางฟ้าชาร์ลีทันที จุนซูผู้เตรียมพร้อมทุกสถานการณ์คว้ากล้องส่องทางไกลออกมาจากที่ไหนไม่รู้ พลางเอาแนบตา ภาพเหตุการณ์ที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าจึงชัดเจนแจ๋วแหววราวกับเกิดขึ้นอยู่ ใกล้ๆ

"คนนั้นหรือเปล่า มิสซาลทิส?" ร่างเล็กพึมพำ เมื่อสายตาจับอยู่กับร่างไม่เตี้ยไม่สูงของสาวใหญ่ผิวสีน้ำผึ้ง เส้นผมสีน้ำตาลบลอนด์หยักเป็นลอนยาวสลวย และเมื่อเธอถอดแว่นตากันแดดสีดำสนิทออกก็พบว่าหล่อนมีนัยน์ตาสีเขียวสุดแสน เซ็กซี่ จมูกโด่งเป็นสัน รับกับริมฝีปากอวบอิ่ม และโหนกแก้มสูงตามแบบฉบับสาวตะวันตก ทำให้ผู้หญิงที่ดูกระฉับกระเฉงคล่องแคล่วอย่างเธอสวยสง่าเพิ่มขึ้นอีกหลาย เท่า

ที่สำคัญ... ทรวดทรงองค์เอวกับหน้าอกตู้มๆของเธอ ก็พอจะเรียกสติสตางค์ของว่าที่ผู้พิพากษาหนุ่มให้กลับมาสนใจเธอได้ไม่ยาก เย็น ยูชอนฉกกล้องส่องทางไกลเด็กเล่นที่จุนซูถืออยู่ขึ้นมาส่องทันที "มิสซาลทิสเหรอ? สวยอย่างกับนางเอกหนังเอวีแน่ะ!"

โบ๊ะ!

"ไอ้ จกกะเปรตเอ้ย เอากล้องมานี่!" แจจุงได้ทีเอาคืน ฟาดม้วนหนังสือพิมพ์เจ้ากรรมม้วนเก่าเข้ากับกะโหลกโหนกๆของยูชอน พลันรีบแย่งกล้องส่องทางไกลมาจากมือเพื่อนอย่างรวดเร็ว สอดแนมสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นโดยภาพรวมแล้วก็สามารถบ่งบอกได้ว่า เธอผู้นั้นคือมิสซาลทิส ดีไซน์เนอร์สาวใหญ่เพื่อนบ้านของเขาอย่างแน่นอน ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าหล่อนจะมีอายุขึ้นเลขสามแล้ว เพราะยังดูสวย ว่องไวและทันสมัยอยู่

แต่ความแปลกใจหาได้จบอยู่เพียงเท่านั้นไม่

"ล..แล้วนั่น ลูกชายมิสซาลทิสงั้นเรอะ!?"

สาม หนุ่มสามมุมประสานเสียงขึ้นมาพร้อมเพรียงกัน ทันทีที่ประตูรถสปอร์ตคันงามถูกเปิดออก หนุ่มร่างสูงที่ดูจะมีอายุอานามรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขาก็ก้าวเท้าออกมา ด้วยรูปหน้าเรียวรีและคมสันค่อนไปทางหนุ่มเอเชียมากกว่าตะวันตก สวมแว่นตากันแดดมียี่ห้อไว้ติดใบหน้า เส้นผมถูกตัดสั้นสีน้ำตาลพลิ้วไปพร้อมกับแรงลม ผิวของเขาขาวเนียนกำลังพอดี ประกอบกับรูปร่างที่ดูจะแข็งแรงกำยำไม่หยอกนั่น เสริมให้เสื้อผ้าดีไซน์เก๋ดูดีขึ้นอีกหลายเท่า

"ช..ใช่แน่เหรอ? ทำไมเป็นหนุ่มขนาดนั้นล่ะ" จุนซูละล่ำละลักอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

"แต่ก็ได้ยินมาว่าลูกชายเค้าเป็นลูกครึ่งเกาหลี-อเมริกัน" ยูชอนเองแม้จะไม่อยากเชื่อ แต่ก็คงต้องเชื่อ "นายคิดว่าไงแจจุง?"

ลูก แก้วดวงกลมสีนิลจ้องชายหนุ่มคนที่กำลังตกเป็นประเด็นถกเถียงไม่วางตา เห็นเขามีท่าทีตื่นอกตื่นใจกับบ้านใหม่หลังเบ้อเริ่มของตนไม่น้อย พลางรี่เข้าไปสวมกอดผู้เป็นแม่แล้วหอมแก้มอีกฟอดใหญ่ ดูยังไง๊...ยังไงก็เหมือนเด็กติดแม่ไม่มีผิด แจจุงพยักหน้าหงึกหงักย้ำความคิดของเพื่อนทั้งสอง "ลูกชาย ใช่ๆ ลูกชาย ต..แต่ว่า..."

"แต่อะไรเหรอแจจุง?" จุนซูยืดตัวขึ้นมาเอาแก้มกลมๆแนบแก้มของแจจุง พยายามจะสอดสายตาผ่านเลนส์ของกล้องส่องทางไกลด้วยอีกคน กระทั่งร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงผ้าเนื้อหนาสีขาวเลื่อนฝ่ามือ ขึ้นถอดแว่นตากันแดดออกเท่านั้น แจจุงก็โพล่งประโยคเด็ดออกมาแทบจะในทันที

"แต่ ว่า...ล..หล่อเป็นบ้าเลยอ๊ะ!" พูดเองเขินเอง ก่อนจะทิ้งตัวลงไปดิ้นสปินอะรูนี่ย์อยู่กับพื้น พาเอาเพื่อนฝูงถอนใจออกมาอย่างระเห็ดระเหี่ยในอารมณ์ หากบรรดาพ่อแม่พี่น้องหัวคะแนนที่โหวตให้คนคนนี้ได้เป็นเดือนประจำคณะมาเห็น เข้า คงถึงขั้นกัดลิ้นตายเป็นแน่แท้

เห็นทีว่าเพื่อนบ้านคนใหม่คงจะมีอะไรน่าสนใจมากกว่าที่คิดซะแล้ว

.
.
.

ไม่ รู้จะเรียกว่าเห่อเพื่อนบ้านได้สนิทปากหรือเปล่า เพราะตั้งแต่สองแม่ลูกเดินโอบกันผ่านบานประตูไม้หายเข้าบ้านไป แจจุงก็เอาแต่นั่งท้าวคางอยู่กับพนักพิงของโซฟาตัวโตในห้องทำงานส่วนตัวของ เขา ซึ่งแน่นอนว่าถูกยกให้แบบเต็มๆ เพียวๆ เนื่องด้วยความใจดีของสองเกลอที่แท้จริงคงไม่อยากให้เขาไปเป็นก้างขวางคอ เสียมากกว่า ยูชอนและจุนซูจึงแบ่งห้องทำงานที่กว้างขวางกว่าห้องนี้เล็กน้อยที่ชั้นสอง ของบ้าน

นิตยสารเล่มโปรดที่มักจะหยิบฉวยขึ้นมาอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ นั้น กลับถูกโยนทิ้งขว้างไปลงกองอยู่กับพื้นพรมใต้โต๊ะชุดรับแขกอย่างไม่ใยดี ส่วนหนังสือเรียนเล่มหนาเตอะเคยวางอยู่ตรงไหน องศาใด ก็ยังคงปักหลักอยู่ที่เดิมอย่างนั้นไม่ขยับ น่าสนใจที่เมื่อมองจากมุมที่เขานั่งอยู่ผ่านบานกระจกโปร่งใสทรงสี่เหลี่ยม จตุรัสขนาดพอเหมาะที่ประกอบกันจนกลายเป็นกระจกบานใหญ่ ก็จะสามารถมองเห็นภายในห้องนั่งเล่นของบ้านข้างๆ ได้อย่างชัดเจน

...บ้านของมิสซาลทิสกับคุณลูกชายสุดหล่อ...

ภาย ในห้องนั่งเล่นสไตล์อบอุ่นแบบตะวันตก หมายถึงตะวันตกแท้ๆเลยทีเดียว พื้นบ้านปูพรมสีเข้ม เข้ากับวอลเปเปอร์บุพนังที่มีสีตัดกันอย่างลงตัว เตาพิงที่มีไม้ฟืนก่อไว้พร้อมใช้งาน โซฟาบุผ้าเนื้อดีชุดใหญ่มากๆ ซึ่งพอสำหรับทุกคนในครอบครัวและรองรับแขกผู้มาเยือนได้สบาย ณ มุมห้องตกแต่งไว้ด้วยชั้นวางของกระจุกระจิกกับตู้หนังสือไม้โบราณ โทรทัศน์จอแบนที่ราคาคงจะสูงลิบลิ่ว เครื่องเสียง ตู้ปลา กับเปียโนตัวเล็กๆ ดูจะเข้าชุดกันไปเสียหมดเสริมให้ห้องนั่งเล่นห้องนั้นยิ่งน่านอนน่านั่งเข้า ไปใหญ่

ติ๊งหน่อง!

คิดอะไรเพลินๆ ไปเรื่อยเปื่อยจนเกือบจะหลับคาท่านั่งผิดมนุษย์มนานั่นไปเสียแล้ว แต่เสียงกริ่งหน้าบ้านที่ลั่นขึ้นสามารถฉุดแจจุงให้หลุดออกจากห้วงความคิด ได้อย่างทันควัน ร่างบางสะดุ้งน้อยๆ ก่อนจะบิดขี้เกียจอีกหลายตลบ พยายามขจัดความเมื่อยล้าและผีขี้เกียจในตัวให้หลุดออกไป ป่านนี้ยูชอนคงกำลังเคร่งเครียดอยู่หน้าจอโปรแกรม msn messenger แชทกับบรรดาเพื่อนรักจากต่างแดนของเขา ส่วนจุนซูก็คงกำลังร้องไห้ร้องห่มอยู่กับนิยายภาษาต่างด้าวที่เขาชอบ แจจุงตระหนักถึงหน้าที่ในทันทีว่าคงไม่สามารถเกี่ยงให้ใครไปเปิดประตูได้ นอกจากตัวเขาเอง

"กำลังไปคร้าบ..."

ตะกล้าใบโตถูกยื่นมาให้ พร้อมๆ กับรอยยิ้มจริงใจอย่างหยิบยื่นไมตรี เป็นมิสซาลทิสจริงๆ ที่กำลังยืนยิ้มแป้นอยู่ตรงหน้าเขา แจจุงยิ้มตอบพลางโค้งให้หล่อนอย่างนอบน้อม ก่อนจะรับตะกล้าของฝากใบใหญ่นั้นไว้แทนสินน้ำใจตามธรรมเนียมของชาวตะวันตก เขา

"สวัสดีจ้า พี่เป็นเพื่อนบ้านใหม่ แวะมาทักทายค่ะ" ถึงแม้สำเนียงจะยังฟังดูทะแม่งๆ แต่ก็นับว่าเชี่ยวชาญภาษาอยู่ไม่น้อย มิสซาลทิสกล่าวเป็นภาษาเกาหลี โดยไม่ลืมที่จะโค้งคำนับให้แจจุงแบบเกาหลี๊...เกาหลีอีกด้วย

"สวัสดีครับ ยังไงเชิญเข้ามาก่อนนะครับ"

"ขอบคุณมากจ้ะ รบกวนด้วยนะจ๊ะ"

.
.
.

บ่าย คล้อย... แจจุง จุนซู ยูชอน รวมถึงมิสซาลทิส นั่งกันอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาที่โต๊ะรับแขก บทสนทนาเรียบๆ ที่ไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมายถูกเริ่มขึ้นอย่างเป็นกันเอง ด้วยต่างฝ่ายก็ดูจะคุยเก่งกันพอตัวอยู่ บทสนทนาที่เคยดำเนินอย่างเรียบๆ จึงเปลี่ยนมาเป็นการด้นแร๊ปสดจนน้ำไหลไฟดับแทน แจจุงแนะนำตัวเองอย่างรวบรัดได้ใจความ ส่วนยูชอนก็จะหนักไปทางโม้เรื่องชาติกำเนิดจากต่างประเทศของตัวเองเสียส่วน ใหญ่ ผิดจากจุนซูที่ขุดเอาประวัติตระกูลออกมาเล่าจนหมดเปลือก พ่อแม่ชื่ออะไร ทำงานที่ไหน ชอบกินเนื้อหรือกินผัก ชอบกินโค้กหรือเป๊บซี่มากกว่ากัน จนดูไม่มีทีท่าว่าการแนะนำตัวของหนูแกจะหยุดลงง่ายๆ แจจุงเลยจัดการปิดประเด็นยาวเหยียดนั้นลงสั้นๆ

"สรุปว่า คิม จุนซู อายุ 19 ปี เรียนอยู่ปี 2 คณะอักษรศาสตร์ เป็นเพื่อนสนิทผมเองล่ะครับ มิสซาลทิสล่ะครับ แนะนำตัวบ้างสิครับ?"

กระทั่ง ทุกคนแนะนำตัวกันเสร็จเรียบร้อย ถึงแม้จุนซูจะดูมีเรื่องที่อยากพูดอยู่อีกก็เถอะ ก็ถึงคราวที่แขกคนสำคัญจะแนะนำตัวบ้าง มิสซาลทิสยิ้มสดชื่น พลางส่งมือมาเชคแฮนด์ทุกคนอย่างเป็นกันเอง "ชั้นชื่อ ดวอน-มารีย์ ซาลทิส นะจ๊ะ เพิ่งกลับมาจากวู๊ดบริดจ์ นิวเจอร์ซี่ย์แน่ะ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนจ้ะ"

"อันที่จริงมิสซาลทิสอยู่ที่นี่มาก่อนพวก เราอีกนะครับ พวกผมต่างหากที่ต้องฝากเนื้อฝากตัว" เป็นน้ำเสียงสุขุมและท่าทางวางมาดในแบบฉบับยูชอน เรียกรอยยิ้มขำๆ จากใบหน้าคมสวยของดีไซเนอร์สาวใหญ่ได้ไม่น้อย

"อยู่ก็แต่บ้าน คนไม่ได้อยู่ด้วยนี่จ๊ะ พี่เดินทางไปโน่นมานี่บ่อยๆ ไม่ค่อยได้อยู่ติดบ้านกับครอบครัวนักหรอก" หญิงสาวว่า นัยน์ตาของเธอดูเศร้าลงไปหลายขุมทันทีที่พูดเรื่องหน้าที่การงานของเธอ "ถึงมันจะได้พบเจออะไรแปลกๆ ใหม่ๆ เยอะก็เถอะนะ"

จุนซูบุ้ยปากทำแก้ม ป่อง มือเล็กๆเอื้อมไปกุมมือของมิสซาลทิสเอาไว้ให้กำลังใจ ไม่ว่าแจจุง ยูชอน หรือแม้แต่ตัวเขาเองล้วนเข้าใจความรู้สึกเหงาที่ต้องอยู่ไกลบ้าน ไกลครอบครัวด้วยกันทั้งนั้น ถึงจะเป็นในกรณีศึกษาที่ค่อนข้างแตกต่างก็เถอะ "ไม่เป็นไรนะครับมิสซาลทิส ลูกชายคุณก็โตเป็นหนุ่มแล้ว อีกไม่นานก็เรียนจบ อนาคตมิสซาลทิสก็คงไม่ต้องทำงานหนักอย่างทุกวันนี้แล้วล่ะน้า"

ถ้อยคำ ให้กำลังใจซื่อๆในแบบ คิม จุนซู คงจะพอช่วยบรรเทาความหนักใจในความคิดของใครต่อใครได้ แต่ทว่านั่นกลับทำให้มิสซาลทิสถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก สาวใหญ่ยกมือขึ้นลูบผมตัวเองปอย พลางมองจุนซูอย่างไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก หล่อนแยกเขี้ยวยิ้มเหี่ยวแห้งด้วยไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเพราะระดับความรู้ภาษา เกาหลีอันยังไม่แตกฉานดีของหล่อน หรือว่าเป็นจุนซูเองกันแน่ที่กำลังสับสน

"ลูกชาย? เป็นหนุ่ม?"

"ใช่ ครับ! ว่าแต่ทำไมเค้าไม่มาด้วยล่ะครับเนี่ย?" จุนซูผู้ไม่ค่อยจะรู้เรื่องรู้ราวกับชาวบ้านเขายังคงยืนยันความคิดตัวเองต่อ ไป ใบหน้าจิ้มลิ้มชะเง้อชะแง้มองหาหนุ่มร่างสูงผู้ถูกกล่าวถึง ผิดจากยูชอนกับแจจุงที่ดูจะจับความผิดปกติอะไรบางอย่างได้แล้วเรียบร้อย

"เอ่อ... ลูกชายพี่... พี่เลี้ยงเค้าจะพาบินตามมาวันพรุ่งนี้น่ะจ้ะ วันนี้ยังไม่มาหรอก ที่สำคัญเค้าก็ยังไม่เป็นหนุ่มเลยด้วย เพิ่งจะขวบกับอีกสองเดือนเท่านั้นเอง"

"เอ๋? ล..แล้ว...?"

สี หน้าตื่นตะลึงราวกับถูกผีอำของจุนซูในยามนี้เรียกให้มิสซาลทิสระเบิดเสียง หัวเราะออกมาอย่างเข้าใจทุกอย่างดี "ถ้าหมายถึงยุนโฮล่ะก็... เค้าเป็นบอยเฟรนด์ของพี่นะคะ"

"ว่าไงนะ!?" อีกครั้งที่สามเกลอตะเบ็งเสียงออกมาพร้อมเพรียงกันด้วยใบหน้าซีดเผือด "บอยเฟรนด์งั้นเรอะ!?"

งั้นที่คุณน้าคนส่งของบอกว่า 'มิสซาลทิสจะย้ายกลับมาพร้อมกับสามีและลูกชาย' อีตาหน้าหล่อนั่นก..ก็...

"ว๊ากกกกกกกกกกกกก!"


////////////////////////////////////// TBC...


 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ PEENAT1972

  • Red Rhino
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +563/-106
แวะมาจองพื้นที่

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ PeeYaR

  • >///<
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-3
โอ้วววววววววววววว
อึ้งเลยเรา
ยุนโฮเป็นบอยเฟรนด์เจ๊ข้างบ้าน แล้ว..แล้ว..
แล้วมันจะยังไงกันล่ะเนี่ยยยยยย
แต่ฮากับความอยากรู้ว่าเพื่อนบ้านตัวเองเป็นใครของสามหนุ่มมากเลย
555+

ออฟไลน์ ณยฎา

  • ขอเพียงมีเธออยู่คู่ฉัน แม้นหลับก็มิฝันถึงสิ่งใด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-3
Go! Daddy (2)

Title: Go! Daddy
Author: *b.leaf*
Paring: YunJae , Impiled YooSu
Type: AU, Multi-chaptered
Genre: Romance, Comedy, Drama
Rate: PG-13 (with some rudely words)



( Part 02/?? )

คงจะจริงสินะที่เขาว่ากันว่า... ยิ่งเกลียดจะยิ่งเจอ

แล้วก็คงจะจริงอีกสินะที่เขาว่ากันว่า... ยิ่งพยายามจะวิ่งหนี มันยิ่งจะตามมาหลอกหลอนไม่รู้จักจบสิ้น

ราวกับมีดวงตาเห็นธรรม คิม แจจุง ผู้มีใบหน้าเซ็งทางโลกอย่างสุดชีวิตแทบจะกู่ร้องออกมาเป็นภาษาพรายซินดาริน ผสมเควนย่าชั้นสูง ร่างบางทึ้งเส้นผมหนานุ่มมือของตัวเองไปมาจนศีรษะคลอน พยายามขจัดภาพสดๆ ที่ไม่ต้องถ่ายทอดผ่านดาวเทียมอันเพิ่งประจักษ์แก่สายตาให้หลุดออกไปจากสมอง อยากจะควักลูกตาตัวเองออกมาแช่แอลกอฮอล์เสียจริงๆ จะได้ไม่ต้องทนเห็นอะไรที่น่าสะอิดสะเอียนขนาดนี้

ไม่แค่ห้องนั่งเล่นเท่านั้นที่อยู่ติดระยะประชิดกับห้องทำงานของเขา แต่กลับเป็นห้องนอนบนชั้นสามของมิสซาลทิสเสียอีกด้วยที่อยู่ในระดับเดียวกับ ห้องนอนของเขาพอดิบพอดี ท่ามกลางความมืดเพื่อพลางตัวไม่ให้ผู้ที่ถูกแอบมองไหวตัว แจจุงดิ้นไปดิ้นมารับไม่ได้อยู่บนเตียงนอนนุ่มสบายลายปิ๊กกะจูอย่างสุดจะทน หมอนที่ปกติแล้วชาวบ้านใช้หนุนนอนในยามนี้กลับถูกแปรสภาพมาเป็นเครื่องอุด ปากแทน แจจุงตะโกนแหกปากปลดปล่อยอารมณ์เครียดใส่หมอนน้อยผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ จนเหลือเล็ดลอดออกมาเพียงเสียงอู้อี้ราวกับผู้มาเยือนจากต่างดาวในภาพยนตร์ ฟอร์มยักษ์ ID-4

"โอ้ยยยยย...อุ๊เอ้ดอูกอาโอ้ยยยยยยยยยย" โว้ย...ทุเรศลูกตาโว้ย - คำแปลจากล่ามภาษามือประกอบที่ปรากฏอยู่ด้านล่างขวาของหน้าจอ

ภาพของพ่อรูปหล่อที่เคยเอ่ยชมอยู่แหม่บๆ กำลังขึ้นคร่อมร่างอวบอัดของมิสซาลทิสซึ่งกำลังนอนคว่ำสบายๆ พลางบีบๆนวดๆเอาอกเอาใจบนหัวไหล่ แผ่นหลัง รวมไปถึงบั้นท้ายดินระเบิดของสาวเจ้าเล่นเอาแจจุงถึงกับแทบคลื่นเหียร อาเจียนใส่ ยังไม่นับรวมท่าทางระริกระรี้ของหนุ่มคนนั้นแล้ว แทบจะลากไส้ม้ามตับไตของแจจุงออกมากองรวมอยู่ข้างนอก

"แองอาเอ้ยยยยย อุอาดโอ่ดดดดดด" แมงดาเอ้ย อุบาทว์โคตร - คำแปลจากล่ามภาษามือประกอบที่ยังคงปรากฏอยู่ด้านล่างขวาของหน้าจอ

เห็นทีคืนนี้แจจุงคงจะนอนหลับไม่เต็มอิ่มไปอีกคืนเป็นแน่

.
.
.

เช้าวันอากาศสดใส ณ โต๊ะหินอ่อนตัวเดิมใต้ต้นไม้ใบบังเขียวชะอุ่มหน้าคณะอักษรศาสตร์ ถึงแม้ลมเย็นจะพัดโชยผ่านชวนให้ใจสดชื่น แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อารมณ์ของใครบางคนสดชื่นตามสภาพดินฟ้าอากาศไปด้วย แจจุงนั่งท้าวคางทำหน้ามู่ทู่ ขอบตาของเขาทั้งบวมคล้ำแถมนัยน์ตาคู่สวยยังดูอิดโรยผิดปกติ ก็แหงล่ะ...เมื่อคืนแทบไม่ได้นอนเลยนี่นะ

"นี่เพื่อนๆ มีข่าวล่ามาแรงจะมาบอก" ปาร์ค ยูชอน นักศึกษาคณะวิชานิติศาสตร์โบกมือหยอยๆ วิ่งถลามาแต่ไกลพร้อมเสียงโวยวายปลิ้นไปปลิ้นมาเป็นเอกลักษณ์ ก่อนจะพาร่างสูงโย่งกับหัวโตๆ ประดุจถั่วงอกปลูกในที่มืดของตนมาหยุดลงที่โต๊ะม้าหินซึ่งมีหนุ่มหน้าหวาน สองคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว มือหนาแตะเบาๆ ลงบนไหล่เล็กของจุนซู พลางทิ้งตัวนั่งลงใกล้ๆสุดที่รัก

"แกน่าจะไปเรียนสื่อสารมวลชนให้รู้แล้วรู้รอดซะตั้งแต่ทีแรกนะ ยูชอน" แจจุงค่อนแคะด้วยอารมณ์หงุดหงิดแปรปรวน ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ยูชอนโมโหอะไร คบเป็นเพื่อนกันมาก็หลายปีดีดักแล้ว ยูชอนเข้าใจว่าเพื่อนซี้ของเขานามว่า คิม แจจุง ผู้นี้ หากได้รับการนอนพักผ่อนไม่เพียงพอก็จะมีสภาพไม่ต่างอะไรกับสาวใหญ่ย่างเข้า วัยทองที่ประจำเดือนเริ่มมาไม่ปกติ

"เออน่ะ! จะเรียนอะไรก็ช่างเหอะ แต่รับรองว่าข่าวนี้นายต้องอยากรู้แน่ๆ แจจุง"

"ชั้นไม่อยาก..."

"อะไรเหรอ ยูชอน! เล่าสิๆ" ยังไม่ทันที่แจจุงจะได้พูดจบประโยค จุนซูผู้น่ารักซึ่งนั่งเงียบอยู่นานก็ขัดขึ้นเสียก่อน ดวงกลมดิ๊กวิบๆวับๆของเพื่อนตัวเล็กที่ทอประกายเจิดจ้าอย่างอยากรู้อยากเห็น ทำเอาแจจุงขัดไม่ออก ไม่แปลกใจที่ยูชอนกับจุนซูคบหาเป็นแฟนกันมาได้ยาวนานตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม

อีกคนชอบเล่า... อีกคนก็ชอบฟัง... รักกันนานๆนะเพื่อน เรียนจบแล้วไปเปิดสำนักข่าวแข่งกับ CNN ซะให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ฮ่วย...

"ก็... ตอนนี้สาวๆที่คณะชั้นกำลังคลั่งใคล้นักเรียนใหม่คณะวิศวะฯน่ะสิ ป๊อบมากๆชนิดไม่มีใครไม่พูดถึงเชียวล่ะ"

"แล้วมันเกี่ยวกับเราตรงไหน?" แจจุงเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ดูเหมือนว่าสมองง่วงๆของเขาจะยังไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเท่าไรใน ยามนี้

"มันเกี่ยวก็ตรงที่ว่า นักศึกษารูปหล่อคนนั้นชื่อ จอง ยุนโฮ..." ถึงตรงนี้ยูชอนรวบต้นคอของจุนซูและแจจุงให้เข้ามาสุมรวมกันเป็นวง ร่างสูงกระซิบกระซาบซะเบาอย่างกับกลัวใครจะมาได้ยินยังไงอย่างงั้น "ยุนโฮ... เด็กเลี้ยงของมิสซาลทิสเพื่อนบ้านใหม่เราไงเล่า"

"ว่าไงนะ!?"

ยิ่งเห็นท่าทีตกอกตกใจของเพื่อน ยูชอนก็ยิ่งได้ใจ เขาเริ่มต้นที่จะร่ายสรรพคุณของพ่อหนุ่มหน้าหล่อเพื่อนบ้านคนใหม่นั้นตามที่ สืบรู้มาอย่างถึงพริกถึงขิง "ก็อย่างที่นายได้ยินนั่นล่ะ... จอง ยุนโฮ อายุ 20 ปี โอนหน่วยกิตมาจากคณะวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยรัทเจอร์ มหา'ลัยอันดับหนึ่งในนิวเจอร์ซี่ย์เลยนะ เห็นอาจารย์ที่ภาคบอกว่าผลการเรียนสวยหรูเชียวล่ะ แถมหน้าตาท่าทางก็ดี สาวๆนี่กรี๊ดสลบ ยังไม่พอนะ..."

ป้าบ!

ฝ่ามือเรียววาดตบลงแรงๆลงบนพื้นเย็นยะเยียบของโต๊ะม้าหิน ทำเอาทั้งเพื่อนร่วมโต๊ะและเพื่อนจากโต๊ะข้างเคียงสะดุ้งสุดตัวไปตามๆกัน ดวงหน้าขาวสวยในยามนี้เรื่อสีเลือดแดงจัด แววตาเหี้ยมเกรียมวาวโรจน์ประดุจมีขุมไฟนรกโลกันต์อยู่ในนั้น ฟันขาวกัดข่มริมฝีปากล่างสีสดที่กำลังสั่นระริกของตนอย่างอดกลั้น "กรี๊ดสลบบ้าบออะไรกัน ทุเรศที่สุดเลย!" แจจุงสบถเสียงสั่น "ผู้ชายอะไรเกาะผู้หญิงกิน แมงดาชัดๆ อายุก็ยังน้อย หน้าตาก็ดี ทำแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับขายตัวนักหรอก เอาเปรียบเพศแม่ ไอ้คนไม่มีศักดิ์ศรี" แจจุงโหมดมูลนิธิพิทักษ์สตรี อูยสยอง

"ใจเย็นๆสิแจจุง ทำไมต้องเครียดขนาดนั้นล่ะ?" จุนซูปราม พลางยื่นมือไปลูบแขนเพื่อนรักอย่างหวาดๆ แต่ก็ดูเหมือนกริยาท่าทางอ่อนโยนของจุนซูจะไม่ได้ช่วยดับความร้อนรุ่มในจิต ใจของแจจุงได้

"นั่นสิ บ้าไปแล้วหรือไงห๊ะ? ยุคนี้สมัยนี้กันแล้ว มันก็เป็นเรื่องของรสนิยมเค้า แล้วอีกอย่าง...เมื่อวานชั้นยังเห็นนายกระดี๊กระด๊าบอกว่าเค้าหล่ออยู่เลย" ยูชอนเสริม เขาเองถึงแม้จะปลงตกกับอารมณ์แปรปรวนของเพื่อนได้แล้ว แต่ก็ยังไม่มีตะบะแก่กล้าพอที่จะทำความเข้าใจหัวใจดวงน้อยๆที่แสนยากแท้ หยั่งถึงของแจจุงซะทีเดียว

"เฮอะ! จริงสินะ ชั้นก็ลืมคิดไป ผู้ชายดีๆเค้าไม่จำเป็นต้องหล่อพร่ำเพรื่ออย่างนั้นอยู่แล้วนี่" รายนี้ไม่วายพาลไม่เลิก แจจุงปากร้ายกระแทกกระทั้นเก็บหนังสือยัดลงกระเป๋าสะพายสีขาวคู่ใจ ก่อนจะตวัดมันขึ้นพาดไหล่ "ชั้นกลับล่ะ"

"ด..เดี๋ยวสิแจจุง ไหนบอกจะไปหาอะไรกินด้วยกันก่อนไง"

"ขอโทษนะจุนซู นายไปกับยูชอนสองคนละกัน"

"แจจุง! โธ่..." จุนซูเป่ากระพุ้งแก้ม มองตามแผ่นหลังบางของเพื่อนรักที่สะบัดก้นเดินหนีหายไปยังไม่สนใจคำทักท้วง คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากันจนผูกเป็นโบว์เล็กๆ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนม้านั่งตัวเดิมอย่างไม่สบอารมณ์นัก ก็วันนี้หมายมั่นปั้นมือเต็มที่แล้วว่าจะไปหาอะไรทานรองท้องด้วยกัน แล้วจะไปแวะร้านหนังสือหานิยายสนุกๆมาอ่านเหมือนเคย แต่สุดท้ายแผนก็ล่ม... ความผิดใครกันนะเนี่ย?

ยูชอนเห็นคนตัวเล็กนั่งกอดอกทำแก้มป่อง สมองอันชาญฉลาดก็ตระหนักได้ทันทีว่าส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเขาด้วย ร่างสูงจึงอดไม่ได้ที่จะแอบเข้าไปสวมกอดร่างเล็กจากทางด้านหลัง ก่อนจะฉวยโอกาสแตะริมฝีปากลงบนแก้มใสอวลกลิ่นหอมอ่อนๆนั้นของจุนซู "ช่างมันเหอะน่า เราไปกันสองคนก็ได้...เนอะ"

"แต่แจจุงจะไม่เป็นไรแน่เหรอ?" จุนซูคราง ยังคงห่วงเพื่อนรักที่ปกติแล้วตัวจะติดกันเสมอ เห็นแจจุงที่ไหนเป็นต้องเห็นจุนซูที่นั่น แต่วันนี้กลับ...

"ไม่หรอก รายนั้นน่ะ ก็แค่...อกหัก ฮ่ะๆ"

"ยูชอนก็! อย่าพูดให้แจจุงได้ยินเชียวนะ ดูท่าจะเกลียดคุณคนนั้นเข้าแล้วจริงๆ"

"ล้อเล่นหรอกน่า ฮอร์โมนเพศชายกับเพศหญิงของเจ้านั่นคงจะตีกันยุ่งอยู่ในกระแสเลือดนั่นล่ะ หงุดหงิดกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดานี่หน่า เรื่องแบบนี้มันพิสูจน์กันได้ทางวิทยาศาสตร์นะจ๊ะจุนซู" ชักแม่น้ำทั้งห้าเข้ามาหว่านล้อม พลางกระชับร่างในอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีก นานๆทีจะได้อยู่กับจุนซูสองต่อสองโดยปราศจาคมารคอหอย ยูชอนเลยออกจะระริกระรี้เป็นปลากระดี่ได้น้ำไปหน่อยคงไม่แปลก

"งั้นก็ได้" รายนี้ก็ดูจะคล้อยตามได้ง่ายเหลือเกิ๊น... "รีบไปกันเหอะนะ จะได้รีบกลับไปอยู่เป็นเพื่อนแจจุง"

"จ้า ไปกันสองเนอะ อิยะฮ่ะฮ่ะฮ่ะ"

"หัวเราะน่าเกลียดจังเลย ไปจำใครเค้ามานะ ยูชอนเนี่ย... อิยะฮ่าฮ่าฮ่า" จิกปลายนิ้วเข้าไปหยิกแก้มตอบๆของสุดที่รักอีกซักที พร้อมๆกับที่จุนซูคำรามเสียงหัวเราะอันทรงพลังของตนออกมา ก่อนที่คนทั้งสองจะเดินอิงแอบแนบซบ ประสานเสียงหัวเราะเสนาะโสตหายลับไป

ท่านผู้อ่านคงไม่แปลกใจว่าทำไมสองคนนี้ถึงคบกันมาได้นมนานตาปี หลักการรับสภาพทางพันธุกรรมและลักษณะนิสัยให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมของสิ่ง มีชีวิตก็สามารถใช้หลักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้เช่นกันล่ะนะ อี๊ยะฮ่าฮ่าฮ่า!

.
.
.

"เฮ้อ..." แจจุงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะยกหลังมือขึ้นป้ายเหงื่อที่แตกพลั่กจนโทรมใบหน้า ขาทั้งสองย่ำพรวดๆอย่างมุ่งมั่นหมายใจให้ถึงที่หมายโดยเร็วที่สุด ผ่านรั้วเตี้ยๆสีขาว... ผ่านสนามหญ้า... ผ่านบ้านหลายต่อหลายหลัง... พลางใช้เวลาสุขสงบระหว่างนั้นไตร่ตรองความคิดตัวเองอยู่นานพักใหญ่ อยากจะกำหมัดแน่นๆแล้วเขกกะโหลกตัวเองซักโป้ก แก้แค้นนิสัยไร้เหตุผลของตัวเองที่เป็นต้นเหตุให้เขาต้องเดินกลับบ้านอย่าง โดดเดี่ยวคนเดียวเช่นนี้

ถ้าไม่บ้าบอทำถือทิฐิสะดีดสะดิ้ง ป่านนี้คงได้นั่งซดโกโก้เย็นในร้านคอฟฟี่ช็อปรับแอร์เย็นสบายไปกับเพื่อนรัก ทั้งสองแล้ว แจจุงเอ๋ย...

นึกตำหนิติเตียนอยู่กับตัวเองไม่ทันไร ก็เป็นอันต้องระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อสายตาจับเข้ากับภาพหลังคา บ้านที่แสนคุ้นตา พลันความเมื่อยล้าที่เคยรุมทำร้ายก็มลายหายไปในทันที

ถึงเวลาของถ้อยคำอมตะตลอดกาล "บ้านคือวิมารของเรา" แจจุงแทบจะสะบัดกระเป๋าสะบัดชะลอม (?) แล้วถลาเข้าไปหาอ่างอาบน้ำกับเตียงนอนนุ่มๆ ที่โหยหา ทว่าทันทีที่ปลายเท้าหยุดอยู่เพียงแค่ซุ้มไม้หน้าบ้านของเพื่อนบ้านคน สวย...มิสซาลทิส เสียงความเคลื่อนไหวบางอย่างซึ่งลอยมาเข้ารูหูอย่างไม่ได้ตั้งใจกลับทำให้แจ จุงหยุดชะงัก

ร่างบางค่อยๆชลอฝีเท้าลง พลางใช้วิชานินจา คืบเข้าไปเร้นกายอยู่หลังซุ้มไม้ดัดสีเขียวที่ปลูกไว้ใช้แทนรั้ว เงี่ยหูฟังอย่างเงียบๆ...

ใครว่าสอดรู้? หยาบคายจริงเชียว แบบนี้ขาเรียกว่าสอดแนมต่างหากเล่า ฮี่...


โมบายแก้วที่แขวนติดไว้เรียงรายตามแนวระแนงไม้หน้าบ้านส่งเสียงกรุ้งกริ๊ง ยามเมื่อลมเย็นพัดผ่าน แดดยามบ่ายแก่ๆอาบไล้ร่างกายอย่างอ่อนโยน ทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากกว่าแสบร้อน เสียงหัวเราะคิกคักยังคงดังแทรกอยู่ในกระแสลมเงียบเชียบ ใต้ร่มไม้เย็นสดชื่น ใต้ชายคาบ้านหลังใหม่ที่จะใช้มันเป็นที่พักพิงต่อจากนี้

ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาอุ้มประคองยกร่างเล็กให้นั่งซ้อนลงบนตัก ก่อนจะแนบริมฝีปากหยักได้รูปแล้วขยี้ปลายจมูกโด่งของเขาลงกับแก้มนิ่มๆเคล้า กลิ่นบริสุทธิ์ เรียกเสียงหัวเราะใสของคนบนตักได้อีกชุดใหญ่

"พูดสิ... รัก" อ้อนเสียงอ่อนเสียงหวานหวังจะได้ยินถ้อยคำจากริมฝีปากเล็กๆ แววตาของเขาฉายแววเว้าวอนนิดๆ บ่งบอกได้ดีว่าอยากได้ยินใจแทบขาด "พูดหน่อยสิครับ... รัก..."

"ระ.."

"รักคร้าบ รัก รัก รัก"

"ร..ระ...รัก"

"เก่งมาก! เอารางวัลไปหนึ่งจุ๊บ"

"คิกๆ"

น้ำเสียงกระเซ้าอ้อนของพ่อหนุ่มรูปงามนามเพราะที่แจจุงเพิ่งรู้มาสดๆ ร้อนๆ ในวันนี้เองว่าชื่อ จอง ยุนโฮ ทำเอาผู้มีภูมิต้านทานพิษสงของสัตว์ทะเลพิษร้าย ลักษณะคล้ายกะละมังคว่ำ หัวโค้งกลม มีเปลือกแข็งห่อหุ้มทั้งตัว แถมยังชอบเกาะหลังตัวเมียในฤดูวางไข่เกยตื้นตามหาด อย่างแจจุงนั้นแทบจะสำรอกเอาของเก่าออกมา

ระริกระรี้น่ากระทืบแบบไม่จำเป็นต้องพูดอ้อมให้มากความ... แมงดาเอ้ย! ไม่ใช่แค่เกาะผู้หญิงกิน แต่แถมยังมารยาสาไถสามพันแปดร้อยเก้าสิบห้าเล่มเกวียนนั่นอีก แมงดาเลเวลอัพ! Horse-shoe Crab ไอ้แมงดาทะเล!! เสียแรงที่เคยชื่นชมในความหล่อเหลาเปล่งประกายรัศมี แถมยังมาดแมนๆ กับกล้ามแขนแสนเซ็กซี่ โธ่...สวรรค์!!

แจจุงเต้นเร่าๆ รับไม่ได้สุดฤทธิ์ พลางคิดกร่นดา จอง ยุนโฮ ผู้นั้นในใจ บรรยากาศรอบข้างแสนสงบ ประจวบกับจุดแฝงตัวที่อยู่ใต้ลมพอดิบพอดี ทำให้ทุกถ้อยคำ ทุกน้ำเสียงของยุนโฮปลิวมาเข้าหูแจจุงได้อย่างชัดเจนแจ๋วแว๋ว เล่นเอาขนลุกชูชันไปทั้งร่างทีเดียวเชียวแล

"อันนั้นท้องฟ้า"

"ฟ...ฟ้า"

...แต่เอ๋? นั่นเสียงเด็กนี่หน่า...

เป็นเสียงที่แสนไร้เดียงสาอันไม่ค่อยชัดถ้อยชัดคำอย่างเด็กหัดพูด ไม่ต้องดูก็รู้ว่าฟันน้ำนมยังขึ้นไม่เต็มปากด้วยซ้ำ แจจุงเอามือป้องหู พลางแนบหน้าเข้ากับซุ้มไม้ด้วยความอยากรู้ที่เพิ่มทวีขึ้นอีกหลายสิบเท่า อย่างไม่กลัวมดแมง

"ใช่ครับ ฟ้า... ท้องฟ้า"

"ท..ท้องปลา"

"ฮ่ะๆ ไม่ใช่ลูก ท้องปลาอยู่ในทะเลหรอก นี่ท้องฟ้าต่างหากล่ะครับ"

"ท..ท้องฟ้า"

"อื้อ ใช่ เก่งมาก เอาไปอีกหนึ่งจุ๊บ"

"คิกๆๆ"

น่าแปลก... น้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนและอบอุ่นของยุนโฮทำให้แจจุงชะงักงัน ร่างบางสูดหายใจลึกๆเข้าเต็มปอด รวบรวมความกล้าอยู่นานก่อนจะค่อยๆลืมตา แหวกแพรกไม้เบื้องหน้าให้เกิดช่องว่างพอที่จะแทรกสายตามองผ่านไปได้ ทันทีที่ภาพเบื้องหน้าปรากฏ แจจุงก็ถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ความคิดอกุศลล้านแปดที่เคยผลิตอยู่ในหัวสมองไม่รู้จักหยุดหย่อนก็ราวกับอร รตทานหายไปพร้อมกับคำกร่นด่าเหล่านั้น

ยุนโฮนั่งอยู่ตรงขั้นบันไดไม้เตี้ยหน้าสวนสวย โดยมีเจ้าตัวเล็กเอกเขนกอยู่บนตัก ชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกับแจจุงที่มักจะต้องสวมใส่ให้ถูกสมฐานะ ถูกคลายออก ปล่อยชายสบายๆ ใบหน้าหล่อโฉดที่เคยฉายแววร้ายกาจนั่นกลับดูอ่อนโยนและขี้เล่น เสียงหัวเราะคิกคักละล่องอยู่ถ้วนทั่วในทุกอณูของอากาศโดยรอบ ดวงตาเรียวรีฉายประกายวับวาวราวกับลูกกวางน้อยตัวโตๆ สันจมูกโด่งคมได้รูปซุกไซ้แก้มกลมใส ลำคอ กับพุงป่องๆของเจ้าตัวน้อยที่ดูจะมีความสุขส่งเสียงหัวเราะร่วนไม่รู้จัก หยุดหย่อน

...ใครมาเห็นก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพตรงหน้าช่างน่ารัก...


ออฟไลน์ ณยฎา

  • ขอเพียงมีเธออยู่คู่ฉัน แม้นหลับก็มิฝันถึงสิ่งใด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-3
"นี่ใครครับ?" ยุนโฮทำตาโต จ้องหน้าเด็กน้อยวัยขวบกว่าๆตรงหน้าอย่างตื่นเต้น เขาจับมือเล็กๆขึ้นมาจิ้มที่ปลายจมูกของเขาเอง พูดด้วยน้ำเสียงหลอกล่อสุดความสามารถ พอจะลดดีกรีนักศึกษาคณะวิศวกรรมไฟฟ้าอย่างเขาให้เหลือเพียงแค่วุฒิอนุบาลหมี น้อย

"ดาดิ๊" แด๊ดดี้ ใช่... เด็กน้อยพูดว่าแด๊ดดี้ ช่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ทำเอาผู้เห็นเหตุการณ์อย่างแจจุงเผยยิ้มบางๆออกมาจนได้

"เรียก Appa หน่อยน้า" เด็กเรียกแด๊ดดี้แล้วยังไม่พอใจ ยุนโฮยังพยายามยัดเยียดความรู้ภาษาเกาหลีให้เจ้าตัวน้อยด้วย

"Appa!" เด็กน้อยร้อง ไม่วายยื่นมือเล็กๆไปดึงริมฝีปากล่างของผู้ถูกเรียกว่า คุณพ่อ ซะด้วย

"แล้วนี่ล่ะครับคนเก่ง ใครเอ่ย?" ชายหนุ่มยิ้มระรื่น ไม่ใส่ใจมือซนที่กำลังยื้อยุดปากล่างของเขาอยู่อย่างเมามันในอุรา เขาจับมือร่างน้อยๆตีนเท้าฝาหอยบนหน้าตัก จิ้มไปที่จมูกกระดุมของเจ้าหนู

"จุงโฮ!" ดูจะฉลาดไม่หยอก เจ้าหนูรีบตอบ ก่อนจะหัวเราะออกมาอีกชุดใหญ่ จนแจจุงชักไม่แน่ใจว่าบ้านนี้เลี้ยงลูกด้วยนมหรือกัญชากันแน่

"แล้วแด๊ดดี้ชื่ออะไร จำได้มั้ย?"

"ยุนนี่!"

"โอ้ เก่งมากลูก เอาไปอีกสามฟอด"

"คิกๆๆ"

แม้จะเกลียดยุนโฮ แต่ความน่ารักใสซื่อของเด็กตัวน้อยๆก็ทำเอาแจจุงถึงกับใบ้รับประทาน เขาถอนหายใจออกมาแรงๆ นึกอยู่ว่าหากไม่ต้องมาเห็นภาพแบบนี้เข้าคงจะดีกว่ามาก อย่างน้อยก็ยังจะสามารถด่าจอง ยุนโฮได้จนน้ำลายแตกฟองอย่างสนิทใจเหมือนแต่ก่อน คิดแล้วก็เห็นสมควรว่าไม่ควรอ้อยอิ่งอยู่แถวนี้ต่อไป แจจุงตัดสินใจหันหลังเดินกลับบ้านดีกว่า

เสียงกรอกแกรกจากหลังพุ่มไม้ เรียกความสนใจจากยุนโฮ เขาชะเง้อคอมองตามต้นเสียง พลางจับร่างของน้องหนูจุงโฮกลับเอาหลังแนบอก ทำให้ในตอนนี้เด็กน้อยหันหน้าไปทางเดียวกับผู้เป็นพ่อ พร้อมๆกับร่างเพรียวบางเจ้าของผิวขาวจั๊วะน่าเจี๊ยะยุรยาศพาเอาสะโพกโค้ง เดินเด๊าะแด๊ะออกมาจากหลังพุ่มไม้ ราวกับมี รอย ออร์บิสัน กระชากกีต้าร์ออกมาร้องเพลงขับกล่อมเป็นซาวด์แทร็คให้ อุโว้ววววว... Pretty woman walkin down the street... Pretty woman, a kind I'd like to meet... คุณพ่อที่แสนน่ารักของลูกชายตัวน้อยๆ ถึงกับอ้าปากค้าง

"จุงโฮดูนั่นสิ" ด้วยดีกรีความเป็นคุณพ่อดีเด่น เห็นของดีอะไรก็อยากจะแบ่งให้ลูกดูด้วย "นั่นเรียก คนสวยลูก คนสวย"

"งื่อ...จ๋วย"

"คนสวย"

"คนจ๋วย!!"

กึก!

แจจุงหันขวับตามเสียงเล็กๆที่แผดขึ้นเรียกเขา คิ้วบางขมวดปมเข้าหากัน พลางจ้องสองพ่อลูกที่กำลังหัวเราะคิกๆคักๆมองมาทางเขาเขม็ง อารมณ์เดือดที่เคยถูกดับลงไปแล้วก็เป็นอันต้องปะทุขึ้นมาใหม่ประดุจภูเขาไฟ ดันเต้พีค แจจุงกระหวัดสายตาอาฆาต พร้อมกับคำรามเสียงลั่นแทบจะพ่นออกมาเป็นไฟ

"มองอะไร!?"

"เหวอออออออ" ยุนโฮสะดุ้ง ก่อนจะรูดซิปปิดปากเงียบทั้งพ่อทั้งลูก "ป..เปล่าครับ" แยกเขี้ยวยิ้มปะเหลาะโชว์ฟันขาวเรียบนิ๊งประดุจพระเอกโฆษณาดาร์ลี่ ชายหนุ่มหัวเราะแห้งๆ หน้าซีดเผือด หนูน้อยจุงโฮในอ้อมกอดพ่อก็เลยดูจะซูบซีดตามไปด้วย หนูน้อยทำตาแป๋วมองพี่สาวสุดสวย ครางอื้อๆในลำคอราวกับพยายามจะพูด

ในมุมนี้ทำให้แจจุงมองเห็นหน้าค่าตาหนูน้อยได้ถนัดถนี่ขึ้น เป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ หน้าตาน่ารักน่าหยิกทีเดียว อายุราวๆขวบเศษได้ วัยกำลังเริ่มพูดเริ่มคลาน แก้มยุ้ยๆ ผิวขาวค่อนไปทางขาวเหลืองใสสะอาด ปากแดงหยักได้รูป รับกับนัยน์ตากลมโตแบบมิสซาลทิส แต่สีดำสนิทเหมือนยุนโฮ ผมเส้นเล็กๆที่เพิ่งขึ้นสีน้ำตาลอ่อนๆ ในแบบลูกครึ่ง หนูน้อยสวมชุดเอี๊ยมสำหรับเด็กสีเทาอมฟ้ากับเสื้อแขนยาวสีแดงเลือดหมูไว้ ด้านใน

...ยิ้มเก่ง หัวเราะเก่ง แถมหน้าเหมือนพ่อแฮะ...

แจจุงแทบกรี๊ดด้วยฮอโมนเพศแม่ในร่างกายกำลังพลุ่งพล่านเมื่อเด็กน้อยแยกฟัน ที่ไม่ค่อยจะมียิ้มให้เขา สลัดเอาโรคเกลียดแมงดาสวมวิญญาณนางงามรักเด็กแทนในบัดดล ใบหน้าหวานสวยแย้มรอยยิ้มให้เด็กชายอย่างเอ็นดูสุดแรงเกิด ก็น่ารักซะขนาดนี้ น่าร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก... แจจุงกรีดร้องอยู่ภายในดวงใจสะออน

"คนจ๋วย!!"

แน่ะ ยังจะมาชมเรียกสีเลือดไต่คร้ามตามใบหน้าสวยในแบบฉบับ Pretty woman ของแจจุงซะอีก เจ้าหนูคนนี้เอาใจพี่สาวสุดสวยไปเต็มๆ!

"ชื่ออะไรเหรอ?" แจจุงเดินเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะย่อตัวนั่งลงตรงหน้าเด็กชาย

"ตอบพี่เค้าสิลูก" เป็นเสียงทุ้มห้าวของชายผู้เกือบจะตกเป็นอากาศธาตุเพราะถูกแจจุงทำเมิน ยุนโฮคะยั้นคะยอ พลางอุ้มลูกชายที่กำลังเลื้อยไปเลื้อยมาบนตัวพ่อขึ้นมานั่งดีๆ

"แอ๊..."

วิ้วววววววววว...

เมื่อไม่ได้รับเสียงตอบรับใดนอกจากเสียงลมหวิว เด็กน้อยในอ้อมกอดพ่อก็ดูจะกึ่งหลับกึ่งตื่นจนเริ่มงอแง ยุนโฮจึงอาสาตอบให้ "...อ..เอ่อ แหะ เค้าชื่อจุงโฮน่ะครับ จอง จุงโฮ"

แจจุงยักไหล่ ถึงจะไม่ได้อยากมองหน้าเท่าไรด้วยเพราะยังเสียดายข้าวเที่ยงอยู่ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นถามเพื่อความแน่ใจ "ลูกนายเหรอ?"

"ครับ ใช่" ตอบพร้อมยิ้มหวาน

"ชิ..." มองยุนโฮในระยะประชิดเช่นนี้ก็ยิ่งเห็นว่าหล่อมาก แจจุงเลยยิ่งไม่สบอารมณ์ ริมฝีปากอิ่มสีแดงจัดเอ่ยแกมประชด "น่ารักดีนะ เหมือนแม่เค้าเลย"

"คุณคนแรกเลยนะ ที่บอกว่าจุงโฮเหมือนดวอนมากกว่าผม" ยิ้มกว้างกว่าเก่าจนตาปิด ยืดอกพูดอย่างภาคภูมิใจในยีนความหล่อที่ลูกได้รับจากตนไปเต็มๆ ร่างสูงยื่นฝ่ามือให้แจจุงแทนคำทักทายอย่างเป็นมิตร "ผมชื่อยุนโฮครับ"

"ชั้น...แจจุง" แจจุงเบ้ปาก ตอบปัดๆ แถมยังทำเป็นมองไม่เห็นมือใหญ่ๆที่ส่งมาให้เก้อ เขากระแทกกระทั้นลุกขึ้น เจตนาให้รู้ว่าไม่พอใจยุนโฮเท่าไรนัก "ไปดีกว่า แค่แวะมาทักทายจุงโฮเฉยๆ นายก็นะ...อย่าสอนลูกพูดอะไรทะลึ่งนักก็แล้วกัน เดี๋ยวจะโตมาเป็นพวก...เอ่อ...นะ"

สายตาจิกมองตั้งแต่หัวจรดเท้าของแจจุงทำเอาอารมณ์ยุนโฮขุ่นขึ้นมาได้หนึ่งส่วน "หมายความว่าไง? ผมสอนลูกพูดอะไรทะลึ่งงั้นเหรอ?"

"เปล่า"

"แล้ว...คุณกลัวว่าเขาจะโตมาเป็นแบบไหนไม่ทราบครับ?"

"เปล๊า" แจจุงลอยหน้าลอยตาตอบด้วยเสียงระดับโซปราโน่ กระชับกระเป๋าสะพายที่พาดบ่าเอาไว้เตรียมตัวชิ่ง "ไปล่ะนะจุงโฮ วันหลังพี่มาคุยด้วยใหม่นะคับ" ค้อมตัวลงลูบกะโหลกกลมๆของเด็กน้อย พลางยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มมิสยูนิเวอร์สผู้แสนรักเด็ก ผิดกับปากคอเราะร้ายที่ใช้ฉะกับคนเป็นพ่อซะจริ๊ง

"บั๊บบาย คนจ๋วย" จุงโฮหันมายิ้มแป้น พลางปล่อยประโยคเด็ดออกมา ก่อนจะเขินม้วนต้วนซุกหน้าลงไปกับอกพ่อใหม่ เรียกเสียงหัวเราะสะใจจากยุนโฮได้อีกชุดใหญ่ แจจุงค้างเติ่ง หน้าหวานฉีดสีขึ้นมาอีกรอบ

"แล้วอย่าลืมมาทักทายกันใหม่นะครับ ดูท่าจุงโฮจะชอบใจพี่ชายหน้าสวยเข้าให้แล้ว"

"เชอะ" เข้าขากันดี แถมแท็คทีมกันมารุมเขาเข้าให้นี่ ทำเอาแจจุงสุดสวยอดรนทนไม่ได้อีกต่อไป ร่างบางหันหลังขวับใหญ่โดยไม่ทิ้งไว้ให้แม้แต่คำลาด้วยซ้ำ พลันจ้ำอ้าวๆ ลัดเลาะสนามหญ้าตรงไปยังบ้านตัวเองทันที มือที่ว่างควานลงไปหากุญแจบ้านในกระเป๋าอย่างรีบเร่ง แต่ก็ดูความโมโหเหมือนคนบ้านั่นจะสร้างปัญหาให้เขาไม่ใช่น้อย "โว้ยยยยย" แหกปากลั่นซอยเมื่อมือเรียวพันกับสายแฮนด์ฟรีโทรศัพท์ในกระเป๋าจนยุ่ง แถมยังกระชากหลุดออกมาทั้งยวงอีก โวะ!

"อย่าโตมาเปิ่นนะจุงโฮ แด๊ดดี้คงรับไม่ได้" ยุนโฮส่ายหน้าระอากับความสวยเปิ่นของคนที่เพิ่งจากไป พลางก้มลงกระซิบกับลูกน้อยในอ้อมแขน ที่ดูจะค่อยๆ เคลิ้มหลับไปแล้วเพราะความอบอุ่นจากอกพ่อ ใบหน้าหล่อคมสันฉายรอยยิ้มเรียบๆ ก่อนจะก้มลงจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากโหนกของลูกชายซึ่งกำลังจมลงสู่ห้วงนิทราแสนหวานยามบ่าย "แด๊ดดี้รักจุงโฮนะครับ"

.
.
.

ตีหนึ่งสิบห้า

แจจุงยังคงไม่สามารถข่มดวงตาที่ยังสว่างจ้าตาอ้าค้างราวกับอัดยาม้าเขมรเข้า ไปร้อยเม็ดเช่นนี้ได้ เขานอนแผ่หลาอยู่บนเตียงนอนตัวอุ่นนุ่มตัวเดิมของเขา พลางยกหมอนที่สมควรใช้หนุนขึ้นมาปิดหูทั้งสองข้าง หวังจะใช้มันทัดทานเสียงแผดร้องหลายสิบเดซิเบลของแม่เจ้าคุณมิสซาลทิสที่ ครวญครางระงมมาตั้งแต่หัวค่ำ แต่ก็ดูเหมือนว่าหมอนสองใบในมือจะยังน้อยไปที่จะดูดเสียงอื้ออึงเหล่านั้น ไว้ได้ทั้งหมด

"อ๊าาาาาา ยุนนี่... โอ้เยส Thats it! อ..อ๊า..."

"เบาๆสิครับดวอน เดี๋ยวลูกตื่น"

"อ..อ๊ะ...อ๊าาาาาาาาา"

"ด..ดวอน..."

"ยุนนี่อ้ะ! อ๊าาาา"

ร่างบางกัดฟันกรอด พยายามส่ายกะโหลกกลมนั่นแรงๆ สลัดเอาภาพวาบหวิวโปรแกรมเพชรหนังพันล้านที่บังเอิ๊ญ ย้ำว่า บังเอิญ เข้ามากระทบม่านตาเมื่อตอนหัวค่ำให้หลุดออกไป แต่ที่ไหนได้ ก็ราวกับมันยิ่งจะตราตรึงแน่นในสมองราวกับติดกาวตราช้างพรายตัวบิ๊กเบ้ง ยุนโฮที่แสนอบอุ่นเมื่อตอนกลางวัน ในตอนนี้กับหูตั้งหางโผล่กระดิกดิ๊กๆราวกับผีจิ้งจอกเข้าสิงก็ไม่ปาน นึกแล้วอยากจะมอบออสก้าให้ซักสิบห้าตัว ลูกโลกทองคำอีกซักยี่สิบสี่ตัว ที่สามารถสวมบทบาทคุณพ่อผู้แสนดีมาตบตาเขาได้ เอ้อเหอ... อย่านะว้อย นอนไม่พอมาสองสามคืนแล้ว โฮฮฮฮฮฮฮฮฮ

อัดอั้นตันในทรวง แจจุงหาวิธีระบายอื่นใดไม่ได้แล้ว เขากระชากหมอนใบหนึ่งออกมาจากหู กระชับให้เหมาะมือ ก่อนจะเปลี่ยนทิศแปะโบ๊ะมาโปะที่ปาก พร้อมกับคำรามเสียงลั่นจนคอโก่ง

"โอ้ยยยยยยยยยยยย อุดอั๊กอีอิโอ้ยยยยยยย อูเอียด" โว้ย...หยุดซักทีสิโว้ย ตูเครียด - ล่ามภาษามือว่าเช่นนั้น

"อ้ายแองดาอะเอ ไออายอ๊ะไอ่อั่วววววววว" ไอแมงดาทะเล ไปตายซะไอ้ชั่ว - ล่ามภาษามือผู้ยังคงทำหน้าที่อย่างแข็งขันยังคงวาดลีลาได้อย่างถึงอารมณ์นัก

ดิ้นขลุกขลักอยู่บนเตียงจนเหงื่อโทรมกาย คิดว่าจะสามารถระบายสิ่งที่คั่งค้างในหัวใจได้เปราะหนึ่งแล้ว ประสาทหูที่ดูจะทำงานดีผิดมนุษย์มนาของแจจุงก็จับเข้ากับความถี่เสียง บางอย่างอีกครั้ง แต่ในงวดนี้...คล้ายกับว่ามันจะดังมาจากที่ใกล้ๆ นี้เองนะเนี่ย

ตึ่ง... ตึ่ง... ตึ่ง...

เอ่อ...เสมือนเสียงของแข็งบางอย่างกระทบเข้ากับฝาผนังเป็นจังหวะ

"จ..จุนซู..."

"อ๊ะ! ยูชอน! อ..อ๊ะ อ๊าาาาาาาาา"

เอ่อ...แล้วนี่ก็...เสียงเหมือนเพื่อนตูเอง!

น้ำตาแทบจะร่วงลงมาเป็นธารน้ำตกไนแองการ่า แจจุงผู้น่าสงสารกรีดร้องอย่างไม่อายผีสางเทวดาอีกต่อไปแล้ว

"อูเอียดอึง ไอ่เอี้ยยยยย อ่าาาาาาาาาา อุอาดโอ้ยยย อาดเอ้ย อาวอานออกไอ อ๊ากกกกกกกกกกกกกก" เอ่อ...ตุ๊ดๆ ตี๊ดๆ ตึ้ดๆๆ - ล่ามภาษามือของเราไม่สามารถทำหน้าที่ได้ในส่วนนี้ จึงเป็นหน้าที่ของกบว.แทน โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรบริโภคเกินวันละสองขวด

สรุปว่าในค่ำคืนอันแสนหวานของใครบางคน กลับเป็นค่ำคืนอันแสนทุกข์ระทมของอีกคนหนึ่งได้อย่างไม่มีข้อสงสัย กว่าเสียงครางกระเส่าของเพื่อนบ้านและเพื่อนข้างห้องจะสงบลงได้ก็เล่นเอาตี สองกว่า แจจุงแพนด้าจึงตื่นขึ้นมาอย่างง่วงงุนไม่สดใสเป็นทวีคูณกว่าสองคืนก่อน โธ่โถ...เห็นแล้วน่าส่งไปนอนเลียแผลใจที่สวนสัตว์เชียงใหม่ เป็นเพื่อนเล่นให้ช่วงช่วงกับหลินฮุ่ยคงดีไม่น้อยนะแจจุงจี้

 

 

////////////////////////////////////// TBC...

ออฟไลน์ ณยฎา

  • ขอเพียงมีเธออยู่คู่ฉัน แม้นหลับก็มิฝันถึงสิ่งใด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-3
Go! Daddy (3)

( Part 03/?? )

เช้าวันอากาศแส๊นสุดจะสดใสสำหรับยุนโฮ

เอ้ก อี๊ เอ้ก เอ้กกกกกกกกกกกก!

เสียงนกน้อยไก่ฟ้าพระยาลอขันรับยามเช้า ราวกับยิ้มรับดวงตะวันดวงกลมอันกำลังยินแสง

วี๊ดดดดดดดดดดด ตู้ม!

เอ่อ.......

ติ๊ด! ติ๊ด! ติ๊ด! ติ๊ด! ติ๊ด! ติ๊ด! ติ๊ด!


อ่า...................

แกร๊กกกกก ครืดดดดดดดด ครืดดดดดดดดดดดดด

โอ่.................................

วะ วะ วะ เว๊ก อัพพพพพพพพพ! เว๊ก อัพพพพพพพพพพพพพ!

เอิ่ม............................................

ไม่ใช่เสียงนกกาแล้วล่ะ เป็นเสียงมโหรีนาฬิกาปลุกชุดใหญ่ของพ่อหนุ่มเขา ยุนโฮงัวเงียลุกขึ้นใช้หลังมือขยี้ดวงตาตี่เล็กที่เจ้าตัวภาคภูมิใจนักหนา ว่ามันคือดวงตาอันแสนเซ็กซี่ หาได้ใช่ดวงตาเหล่าเจ่กหงีที่เพื่อนต่างชาติมักกล่าวหาไม่ เขายิ้มออกมาจางๆ เมื่อหันไปมองที่ข้างกายซึ่งในยามนี้ยุ่งเหยิงราวกับผ่านศึก Wrestlemania มาแล้ว 22 ครั้ง และพบว่าบนพื้นที่ข้างกายนั้นปราศจาคร่างของมิสซาลทิส

"ดวอนครับ" ยุนโฮร้องเรียก พลางเอื้อมมือไปกดหยุดการแผดคำรามของเหล่านาฬิกาปลุกในคอลเล็คชั่นของเขาที ละตัว กระทั่งมันเงียบลงทั้งหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับการตอบรับจากผู้ที่ถูกเรียก

ร่างสูงหยัดกายขึ้นยืน ก่อนจะตลบผ้าห่มทิ้งอย่างไม่ใยดี พลันพาเอาร่างกายใหญ่โตของตัวเองวิ่งตัวปลิวลงมายังชั้นล่าง "ดวอน ดวอนคร้าบบบบบบบบ"

เงียบ...

เมื่อเหมือนกับว่าเรียกเท่าไร ก็ดูจะไม่มีวี่แววของเสียงสะท้อนกลับ ยุนโฮจึงงัดไม้เด็ดสุดท้ายออกมา ชายหนุ่มสูดหายใจฟืดใหญ่เข้าจนเต็มปอด ก่อนจะปลดปล่อยเสียงคำรามครูดลำคอแบบฉบับฮาร์ดคอร์ "ดวอนนนนนน!" เป็นเสียงของยุนโฮตัวจริงเสียงจริง หาได้ใช่ คอรี่ เทย์เลอร์ นักร้องนำวง Slipknot ไม่ คลื่นเสียงที่เปล่งออกมานั้นสร้างแรงสั่นสะเทือนได้ถึง 7.3 ริกเตอร์

แต่ก็ยังไร้ซึ่งเสียงตอบรับจากเจ้าของชื่อ ยุนโฮวางเท้าลงเต็มฝ่าเท้าที่ชั้นล่างของบ้าน ก็พบเพียงแค่ร่างเล็กๆของจุงโฮนั่งเล่นตุ๊กตายางอยู่ตรงพรมหน้าโทรทัศน์ หนูน้อยหันหน้ามามองคนเป็นพ่อตาแป๋ว ก่อนจะส่งตุ๊กตายางเข้าปากไปกัดอย่างดุเดือดเลือดพล่าน เรียกรอยยิ้มขำๆจากยุนโฮได้ไม่น้อย ชายหนุ่มตรงเข้าไปอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมาซบอก

"หม่ามี๊ไปแล้วเหรอ? ทิ้งจุงโฮไว้คนเดียวได้ยังไงเนอะ" เขาบ่น มองออกไปนอกหน้าต่างหน้าบ้านก็พบว่ารถสปอร์ตคันงามไม่ได้อยู่ที่ที่มันเคย อยู่แล้ว ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องปกติมาก ทุกๆวันยุนโฮจะตื่นมาและพบว่าที่ข้างกายว่างเปล่า ดวอนจะออกไปทำงานแต่เช้า แล้วกลับมาในเวลาดึกมากบางทีก็เช้าของอีกวัน บ้านของพวกเขาที่นิวเจอร์ซี่ย์จึงจำเป็นต้องมีพี่เลี้ยงสำหรับดูแลจุงโฮใน เวลาที่เขาต้องไปมหาวิทยาลัย แต่แล้วตอนนี้ล่ะ? จะทำยังไงกับเจ้าตัวน้อยล่ะนี่

คงไม่พ้นโดดเรียนอีกวัน...

วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่มิสซาลทิสจะอยู่ในเกาหลี หล่อนจะต้องเดินทางไปทำงานที่อิตาลีในวันพรุ่งนี้ ดีไซเนอร์สาวเก่งอย่างเธองานรัดตัว ทำงานหัวเป็นเกลียวตัวแทบกลายเป็นน็อต หน้าที่ดูแลลูกชายคนเดียวจึงตกเป็นของผู้เป็นพ่อที่มีอายุเพียงแค่ 20 ปี ยุนโฮถอนหายใจออกมายาวๆ อีกครั้ง เพียงเท่านี้ก็รับรู้ถึงความลำบากที่กำลังจะมาเยือนเขาในอนาคตซะแล้ว

กระชับกอดลูกชายให้อยู่ในท่าพาดไหล่ "อาบน้ำกันดีกว่า" พึมพำเบาๆ ก่อนจะได้รับเสียงหัวเราะคิกของลูกชายแทนการสนับสนุน ยุนโฮเดินไปคว้ารีโมตคอนโทรล์ขึ้นมา ก่อนจะกดปุ่มสีแดง ON แผ่นซีดีแผ่นโปรดที่ถูกใส่คาเครื่องเสียงสเตอริโอราคาแพงเอาไว้จึงประกาศจุด ยืนผ่านลำโพงบุใยแก้วอย่างดี

...Metalica...

น่าเศร้าที่ผู้ชายคนนี้ใช้ Metalica กล่อมลูก... แถมเจ้าตัวน้อยยังดูจะชอบอกชอบใจสะบัดหัวเต้นใหญ่ ก่อนจะถูกคนเป็นพ่ออุ้มหายเข้าไปในห้องน้ำ

รองน้ำจนเต็มอ่าง ก่อนจะตรวจให้แน่ใจว่าน้ำจะไม่ร้อนจนลวกผิวบอบบางของเจ้าหนู ยุนโฮหย่อนร่างเล็กๆล่อนจ้อนของจุงโฮลงไปลอยในอ่าง เด็กน้อยว่าง่าย ดูจะไม่ขัดขืนปัดป้องความสะอาดเหมือนเด็กทั่วไป แถมยังดูจะมีความสุขเหลือเกินเมื่อวันนี้ได้อาบน้ำกับแด๊ดดี้สุดที่รัก จุงโฮถือตุ๊กตายางเป็ดน้อยตัวเหลืองอ๋อยที่กำลังลอยน้ำ ก่อนจะ...กัดมัน เอิ่ม...ใช่ กัด กัดๆๆๆ จนน่าสงสารเป็ด

ยุนโฮเองเมื่อเห็นว่าพร้อมก็ก้าวขาตามลงอ่างไปด้วยชุดวันเกิด ถือคติว่าเกิดมาแต่ตัว ตายก็ตายแต่ตัว จะอายลูกทำไม๊ ตัวโตๆหล่นจ๋อมลงไปในอ่างทำเอาน้ำที่รองไว้เต็มกระฉอกหายไปหลายลูกบาศก์ แล้วลากห่วงยางที่มีจุงโฮเกาะอยู่ตรงกลางเข้ามาหาตัว ลูบน้ำอุ่นลงบนผิวบอบบาง

"เฮ้อ..." ยุนโฮถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ผิดจากจุงโฮที่ดูจะไม่ได้รับรู้ความหนักใจของผู้เป็นพ่อ เจ้าหนูยังคงกัดกินน้องเป็ดต่อไป "ไม่อยากเอาจุงโฮไปฝากที่สถานรับเลี้ยงเลยนะ แต่แด๊ดดี้จะโดดเรียนอย่างนี้ทุกวันไม่ได้" ถึงตรงนี้ก็อุ้มเจ้าตัวเล็กออกมาจากห่วงยาง แล้วรวบเข้ามากอดแนบอก "ใครจะเลี้ยงจุงโฮได้ดีเท่าแด๊ดดี้ ใครจะรักจุงโฮเท่าแด๊ดดี้ล่ะ... จริงมั้ยลูก?"

"ดาดิ๊ ดาดิ๊" รายนี้ก็ดูจะไม่รู้ร้อนรู้หนาว ยังคงเอามือตีน้ำจนเกิดฟองฟ่อดๆ แล้วยังร้องเรียกให้พ่อดูผลงานอีกแน่ะ

"เฮ้อออออออ" คุยกับเด็กแล้วเหนื่อย ยุนโฮอุ้มจุงโฮให้กลับไปลอยละล่องอยู่กับห่วงยางสีส้มแปร๋นแหรนของเขาตาม เดิม ก่อนจะเหยียดตัวนอนแช่น้ำสบายๆในอ่างน้ำอุ่น จุงโฮยังเด็ก ยังไม่รู้เรื่องอะไร ถึงแม้ว่าอยู่ด้วยแล้วจะทำให้คนเป็นพ่ออย่างเขาสบายใจได้ทุกครั้ง แต่ก็คงไม่สามารถรับรู้ถึงความหนักใจในตอนนี้ของเขาได้

"จุงโฮ..."

"อื๊อ?" หันมามองยุนโฮด้วยดวงตากลมๆโตๆ

"หยุดกัดพี่เป็ดซักทีสิ"

"แอ่ แอ๊" พ่อหนูครางอย่างขัดใจ พลางดึงพี่เป็ดตัวเหลืองไปซ่อนไว้ไม่ให้พ่อเห็น

"พี่เป็ดเจ็บแย่แล้วนะลูก" ช่างเป็นน้ำเสียงที่ฟังดูเหนื่อยอ่อนและท้อแท้ชีวิต แล้วเมื่อเขาเอื้อมมือไปหวังจะกู้ภัยเป็ดยางลอยน้ำตัวนั้นก็ถูกลูกชายขู่ ฟ่อๆใส่เข้าให้

"แง่ง" แล้วไอ้หนูจุงโฮก็กัดเป็ดต่อไปอย่างเมามัน

เด็กหนอเด็ก... เห็นแล้วอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งจังนะ ไม่ต้องเครียดอะไร ไม่ต้องมีอะไรให้คิดมาก กินอิ่ม เล่นจนเหนื่อย แล้วก็นอนหลับปุ๋ย สบายจะตายชัก "เฮ้ออออออออออออออออ" ถอนหายใจออกมาอีกยาวๆจนสุดลม พร้อมๆกับเหยียดแขนไปด้านหลังคลายความเมื่อยล้า กระทั่งสัมผัสถึงความเย็นชื้นปนขมปี๋ที่ริมฝีปาก ยุนโฮจึงได้เปิดดวงตาขึ้น

"อะไรลู..ก...อั่ก" ก่อนจะพบว่าจุงโฮกำลังยื่นตุ๊กตาเป็ดที่เต็มไปด้วยน้ำลายมาแตะๆที่ริมฝีปาก และทันทีที่ผู้เป็นพ่อเปิดปาก พ่อหนูก็เอาพี่เป็ดยัดปากป่าป๊าแมนอย่างแรง อารมณ์ว่า 'กัดสิพ่อ จะได้หายเครียด แฮ่...'

"อ..อั่ก....จ..จุงโฮ"

"คิกๆๆ"

จอง จุงโฮ อายุหนึ่งขวบกับอีกสองเดือน วัยน่ารักน่าชัง ฟันน้ำนมกำลังขึ้นทีเดียว อาการคันเขี้ยวจะมีบ้างก็คงไม่แปลก

แต่...คุณพ่อคงไม่คันเขี้ยวกับหนูด้วยหรอกนะไอ้หนู!

"อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เอามันออกไปนะจุงโฮ ไม่อ๊าวววววววววววววววววว"

.
.
.

โครม!

จุนซูกับยูชอนสะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ๆ กระเป๋าสะพายสีขาวใบคุ้นก็ถูกโยนจนปลิวมาตกโครมอยู่บนโต๊ะม้าหิน ทำเอาร่างทั้งสองร่างที่กำลังปรนิบัติพัดวีกันอยู่นั้นจำต้องแยกออกห่างกัน ในทันที เงยหน้าขึ้นมองสีหน้าของเพื่อนหน้าสวยแล้วก็เป็นอันต้องผวา แจจุงผู้ซึ่งขออนุญาตตื่นสายแล้วบอกว่าจะตามมาที่คณะทีหลังเนื่องด้วยเมื่อ คืนนอนไม่พอ ในยามนี้มีสภาพสะบักสะบอมราวกับเพิ่งเหยียบกับระเบิดมาสามสี่กับ ผ่านสงครามติมอร์ สงครามอ่าวเปอร์เซีย สงครามจีนมองโกล สงครามแย่งบ่อน้ำมันระหว่างอิรักกับสหรัฐ รวมถึงสงครามโลกมาแล้วทั้งสองครั้ง แถมยังท่าเดินกะปลกกะเปลี้ยราวกับจุดศูนย์ถ่วงไม่เข้าที่ ทำเอาทั้งยูชอนและจุนซูอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าออกมาพร้อมเพรียงอย่างสังเวชใน หัวอก

ผมยาวสลวยสีดำขลับที่เคยเรียบเนี๊ยบของ คิม แจจุง กระเซอะกระเซิง ใต้ตาบวมช้ำราวกับอมทะเลสาปเดธซีเอาไว้ แล้วยังมิวายดำคล้ำร่วงโรยราวกับถูกต่อยมาอีกสี่ห้าหมัด แจจุงเอ๋ย...ใครมันช่างใจยักษ์ กล้าทำกับนายเช่นนี้

"อดนอนอีกแล้วเหรอ แจจุง?" จุนซูผู้รักเพื่อนเอ่ยถามขึ้นก่อนเป็นการนำร่อง ก่อนที่ยูชอนจะช่วยเสริม

"แล้วเมื่อเช้าไม่ได้นอนต่อหรือไง?"

"นอน" น้ำเสียงที่เคยหวานกังวานใสกลับตีบแตกราวกับกระเทยเจ็บคอ แจจุงค่อยๆหย่อนเรือนร่างอ่อนเปลี้ยของตนลงนั่งบนม้านั่ง "แต่...ไอ้เวรที่ไหนไม่รู้ดันตื่นมาเปิดเพลงโล้งเล้งปลุก สรุปก็ไม่ได้นอน" เอ่อ...ไอ้บ้าที่ว่านั่นเปิดเพลง Metalica หรือเปล่าจ๊ะแจจุง

"แกนี่มันไม่มีดวงเรื่องนอนจริงๆนะ ฮ่ะๆๆ" ยูชอนตบโต๊ะป้าบๆ หัวเราะสะใจไร้กาลเทศะ จนเจอสายตาจิกขวับๆ แจกค้อนให้อีกหลายด้าม

"เงียบปากไปเลยไอ้หนูผี" แจจุงแหว พลางเหยียดนิ้วชี้กรีดกรายไปจิ้มศีรษะโหนกของยูชอนราวกับรังเกียจ "ใครจะมีไปดวงเรื่องนอนเหมือนแกเล่า นอนซะเสียงดังลั่น ตูหนวกหู!"

"ง่าาาาา แจจุง อย่าโกรธเลยน้า ชั้นบอกยูชอนแล้วแต่ยูชอนไม่เชื่อเลยอ่ะ อย่าโกรธชั้นเลยนะ โกรธยูชอนคนเดียวพอแล้ว" จุนซูกระโจนข้ามฟาก เปลี่ยนที่นั่งมานั่งข้างแจจุง พลันเกาะแข้งเกาะขาเบียดแก้มเข้าไปถูไถไหล่เพื่อนรัก ยังไม่พอ อีหนูยังโยนบาปที่ก่อไปให้ยูชอนรับผิดไว้แต่เพียงผู้เดียว

"อือ ไม่โกรธจุนซูหรอก" แจจุงลอยหน้าตอบ ก่อนจะลูบหัวจุนซูปอย มีเพื่อนเหมือนเลี้ยงแมว...เรียกเหมียวๆก็มา

"อ้าว ซะงั้นเลย!?" ยูชอนผู้พิทักษ์ความยุติธรรม ด้วยเกียรติของนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ เมื่อพบเจอเรื่องอยุติธรรมเช่นนี้แน่นอนว่าต้องรับไม่ได้ ไต้ท้าวเปา เอ้ย ยูชอนร้องออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นักที่โดนเหมาว่าผิดอยู่แต่ฝ่ายเดียว หาได้สำนึกไม่ว่าต้นตำรับความอยุติธรรมเนี่ย มันเองนี่แหละตัวดี

"ก็เอออ่ะดิ แกผิดเต็มประตูเลยยูชอน ฟ้าดินเป็นพยานเว้ย ถ้าแกไม่ลามก จุนซูก็ไม่ร้องดังขนาดนั้นหรอกน่า"

"สามหาว!" ยูชอนฟาดมือตบโต๊ะ "สามหาวแล้วคิม แจจุง มันใช่คืนแรกซะที่ไหน ที่แล้วมาก็เห็นนายนอนหลับอุตุได้ตั้งแต่หัวค่ำยันบ่ายนี่หว่า วันนี้จะมาโทษชั้นเรอะ หนอยๆ จะมากไปหน่อยแล้วแก"

"บัดซบ!" ป้าบ! แจจุงวาดแขนตบโต๊ะบ้างอย่างไม่ยอมกัน "ข้ามีตาแต่หามีแววไม่ ไม่น่าเลือกคบคนอย่างแกเป็นเพื่อนเลยไอ้ยูชอน"

"แล้วแกล่ะดีซักเท่าไร! ขี้โวยวาย ด่าคนเป็นผักปลา หาได้มีความอ่อนหวานไม่"

"อุวะ! บังอาจจจจจจจ!"

"เลือดต้องล้างด้วยเลือดล่ะงานเน้~~"

"โว้ยยยยยยยยยย หวางเฉา หม่าฮั่น จางหลง เจ้าหู่ เอามันสองคนไปประหารรรรรรรรร" สุดแล้วที่หัวใจดวงน้อยๆจะทานทน จุนซูตบโต๊ะบ้างตามแฟชั่น ก่อนจะแหวดเสียงคำรามลั่นประกาศหยุดสงครามหนังจีนกำลังภายในของเพื่อนรักและ แฟนหนุ่ม ทำเอาผู้คนแถวนั้นหันมาจ้องพวกเขาเป็นตาเดียว "จนแล้วจนรอดก็เพื่อนกันอยู่ดี ชั้นเห็นพวกนายตีกันอยู่ทุกวันแต่ไม่เห็นจะเลิกคบกันจริงอย่างว่าเลยนี่ จะเถียงกันให้ได้อะไรขึ้นมาเนี่ย"

ยูชอนผู้ซึ่งค้างเติ่งอยู่ในท่าหนุมานเหยียบลงกา เมื่อถึงขั้นโดนแฟนสาวตวาดเสียๆหายๆแบบนี้ก็เลยจำต้องสงบลง แจจุงที่อยู่ในท่าสุครีพหักฉัตรเองก็เช่นกัน ใช่สินะ...เป็นทหารของพระรามกันทั้งนั้น จะตีกันเองทำไม เย้ยยยย ไม่จ๊าย!

"เออว่ะ ขอโทษที"

"ขอโทษด้วยละกัน" พยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะตบไหล่กันคนละทีสองที เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ความเคลื่อนไหวที่เคยหยุดนิ่งช็อคซีนีม่าของคนละแวกนั้นก็กลับมาเป็นปกติ เช่นเดิม

"นี่ๆ แทนที่จะทะเลาะกัน วันนี้เราไปช็อปปิ้งกันดีกว่า ได้ข่าวว่ากำลังลดราคาเลยล่ะ ฮิๆ" จุนซูว่า ดวงตากลมๆเป็นประกายเมื่อนึกถึงสินค้าราคาประหยัด เรียกความสนใจของเพื่อนๆให้กลับมาที่ตนได้อีกครั้ง "ไหนๆวันนี้ก็มีเรียนแค่วิชาเดียว ใช่มั้ย? ยูชอนล่ะ ว่างหรือเปล่า?"

"อื้อ ว่าง วันนี้อาจารย์ไม่อยู่ล่ะ เค้าเลยงดสอน"

"ดีเลย! งั้นเราไปเที่ยวกันนะแจจุง นะ...น้า..."

แจจุงนิ่งไป พยายามใช้สมองที่กำลังเออร์เรอร์ยกกำลังสองของตนครุ่นคิด อันที่จริงเลิกเรียนแล้วก็อยากจะกลับบ้านไปนอนต่อหรอกนะ แต่เห็นสายตาเว้าวอนประกอบกับลูกอ้อนร้อยแปดกระบวนท่าของเพื่อนคนนี้แล้วก็ ขัดใจไม่ได้จริงๆ เมื่อวานก็ผิดสัญญาไปทีหนึ่งแล้ว วันนี้...คงถึงเวลาไถ่โทษแล้วสินะ

"อ..อื้ม ก็ได้ ไปก็ไป"

.
.
.

เสื้อผ้าในกระบะลอยละลิ่วปลิวลมมาตกลงกลางกะบาลของพ่อยอดชายนายยูชอน ในขณะที่จุนซูผู้ที่ปกติแล้วแสนจะเรียบร้อยน่ารัก ในยามนี้นัยน์ตากลับฉายแววเหี้ยมเกรียมพิกล จุดมุ่งหมายของเขาล็อคเป้าอยู่เพียงแค่กระบะเสื้อผ้าลดราคา 80% เท่านั้น มือเล็กๆกับท่อนแขนที่แสนบอบบางพุ่งตรงเข้าจาบจ้วงอย่างดุเดือด ตบตียื้อยุดฉุดกระชากจากฝ่ามือเหนียวหนึบของบรรดาแม่บ้านที่กำลังรุมแย่ง สินค้า เปรียบประดุจฝูงซอมบี้ที่หิวโหยในแร็คคูนซิตี้ จนยูชอนเองที่แอบยืนทำตัวลีบตีบติดกับฝาผนังจนแทบจะกลืนกลายเป็นเนื้อเดียว อยู่ห่างๆ อกสั่นขวัญแขวนเลยทีเดียวเชียว

เหลือบหน้าชะแง้คอหาสหายสนิท คิม แจจุง ก็ไม่รู้ว่าหายวับไปอยู่ ณ แห่งหนใดภายในห้างใหญ่ๆ แห่งนี้ ยูชอนถอนหายใจออกมาอย่างปลงๆ เขาไม่ใช่พวกสาวๆ ที่จะสามารถเดินจับจ่ายโน่นนี่ได้เป็นวันๆหรอกนะ แถมในสถานการณ์ที่ต้องตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของฝูงมฤตยูเมืองห่าผีเช่นนี้อีก น้ำตาหนุ่มเสี่ยวข้าวเหนียวนึ่งก็แทบจะตกใน ฮึก ฮึก

"จ..จุนซู" ส่งเสียงที่มีความเข้มประมาณ 0.001 เดซิเบล พลางเอื้อมมือสะกิดไหล่คนรัก แต่สิ่งที่ได้รับตอบกลับมีเพียงกองเสื้อผ้าลดราคาที่จุนซูโยนมาให้

"ถือไว้! อ๊ากกกกกกก ปล่อยนะป้า ชั้นจะเอาตัวนั้น"

เหงื่อแตกซิกๆ ยูชอนแทบไม่เชื่อในสายตาตัวเองว่าอสูรกายร้อยเก้าเก้าเบื้องหน้าเขา จะเป็นคนคนเดียวกับคนที่ครางผะแผ่วเรียกชื่อเขาในอ้อมกอดโอบประคองจนหลับไป เมื่อคืน พยายามไม่คิดใส่ใจ ร่างสูงกระหวัดสายตามองไปรอบๆ บริเวณลานกว้างของห้างสรรพสินค้านี้อีกครั้ง ถัดจากโซนลดราคา ก็เป็นโซนเสื้อผ้าเครื่องใช้ปกติ... เสื้อผ้าหญิง... เสื้อผ้าชาย... และเสื้อผ้าของใช้เด็กเล็ก แต่สิ่งหนึ่งที่หยุดสายตาของเขาเอาไว้ พร้อมๆกับความงุนงงที่ก่อตัวขึ้นในหลืบเร้นเซลล์สมองจนทำให้ต้องขมวดคิ้ว คือภาพของแจจุงกำลังก้มๆเงยๆอยู่หลังชั้นวางตุ๊กตาเด็ก พยายามใช้ตุ๊กตาพี่หมีตัวเล็ก..เล๊ก.. บดบังร่างกายที่ถึงแม้จะบาง แต่ก็ไม่ได้เล็กอย่างพี่หมีไว้เบื้องหลัง ดูยังไง๊..ยังไงก็ไม่ใช่พฤติกรรมปกติของคนอายุ 20 ทั่วไปเค้าทำกันหรอก

ลากสายตาถัดไปอีก... อีกนิด... อีกนิ๊ดนึง ยูชอนก็เป็นอันต้องกระตุกยิ้มออกมาอย่างประจักษ์แก่สายตา จอง ยุนโฮนั่นเองที่กำลังตกเป็นเหยื่อ แล้วก็ดูคล้ายกับว่าคุณพ่อยังหนุ่มจะยังไม่ไหวตัวเสียด้วย

หลังจากแจจุงเล่าให้เขาฟังเรื่องลูกชายอายุหนึ่งขวบเศษของยุนโฮ ที่มีชื่อว่า จอง จุงโฮ ด้วยน้ำเสียงแดกดันนั้น แม้ว่าจะยังคงช็อคอยู่มาก แต่ยูชอนกลับไม่ได้คิดว่ายุนโฮเป็นพวกแมงดาเกาะภรรยากินอย่างที่แจจุงคิดแต่ อย่างใด ทั้งยังนึกนับถือผู้ชายคนนั้นเสียด้วยซ้ำ นึกๆดูแล้วหากจุนซูของเขาเป็นผู้หญิงท้องได้ ก็อาจจะมีเจ้าตัวน้อยออกมาร้องอุแว๊ อุแว๊ ตั้งแต่อายุ 16-17 แล้วเสียอีก แล้วเขาล่ะ...จะดูแลเจ้าตัวน้อยได้อย่างที่ยุนโฮทำไหม? นึกแล้วก็พลันให้เหงื่อแตกพลั่กหนักกว่าเก่า

"ยูชอน! ยืนเหม่ออะไรอยู่ เอานี่ไปถือ!"

"จ้ะๆ ที่รัก" ก็นอกจากเรื่องกฎหมายกับเรื่องหาเศษหาเลยแฟนหนุ่มแล้ว ยูชอนไม่เก่งอะไรเลยนี่หน่า

.
.
.

เหล่าสาวน้อยสาวใหญ่ รวมถึงเหล่าคุณแม่มือใหม่หันขวับๆ ตามร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มที่หล่อเจิดจ้าสว่างวาบๆ ราวกับพ่อมดขาวแกนดัล์ฟในภาพยนตร์ไตรภาค The Lord of the Rings คงจะดูไม่เท่อยู่ก็ตรงที่ยุนโฮสะพายร่างน้อยๆของจุงโฮไว้ด้านหน้าด้วยสาย สะพายสำหรับเด็ก ในขณะที่มือแกร่งจับรถเข็นมั่น พลางเดินจ้ำอ้าวๆ เข้าไปในโซนเครื่องใช้เด็กเล็ก

เนื่องจากเพิ่งย้ายบ้าน ข้าวของเครื่องใช้ก็เลยดูจะขาดมือไปบ้าง ไหนๆก็โดดเรียนแล้วตั้งวันหนึ่ง ยุนโฮเลยถือโอกาสพาลูกชายสุดเลิฟออกมาช็อปปิ้ง แถมยังได้แอบแวะดูสถานรับเลี้ยงเด็กดีๆไว้ซักที่อีกด้วย

เอ่อ...แล้วจะเริ่มจากตรงไหนล่ะเนี่ย...

เลี้ยงจุงโฮมาปีกว่า นับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่ทุกซอกมุมในมหานครเกาหลีนี่สิที่ดูจะแปลกใหม่สำหรับเขา ยุนโฮหยุดยืนมองป้ายบอกทางอยู่ซักพัก ก่อนจะหันรถเข็นไปทางทิศที่คาดว่าน่าจะมีนมผงซักกระป๋องให้เขาได้จับจ่ายล่ะ นะ


ออฟไลน์ ณยฎา

  • ขอเพียงมีเธออยู่คู่ฉัน แม้นหลับก็มิฝันถึงสิ่งใด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-3
คุณพ่อสุดหล่อเข็นรถเข็นลิ่วๆ ในขณะที่เบี่ยงเบนความสนใจของลูกชายผู้ไม่เคยอยู่สุขอย่างจุงโฮด้วยพี่เป็ด ตัวเหลืองอ๋อยที่จิ๊กมาจากอ่างอาบน้ำตัวเดิม ตลอดทางก็ดูจะมีหลายต่อหลายคนอยากจะหยิบยื่นความช่วยเหลือ แต่มิสเตอร์อินดิพีเด้นท์ก็ปฏิเสธไปด้วยรอยยิ้มเสียหมด กระทั่งมาหยุดอยู่หน้าชั้นวางนมผงหลายหลากยี่ห้อให้เลือกสรร

ยุนโฮยิ้มเหยเก...

"จะกินกระป๋องไหนดีหืม จุงโฮ?" เป็นคำถามงี่เง่าที่ไม่น่าหลุดออกจากปากคนฉลาดอย่างเขาเอาเสียเล้ย... Oh my Korea! ประเทศที่ได้รับการพัฒนาจนก้าวล้ำนำสมัย กลางห้างสรรพสินค้าชั้นนำอันสุดแสนจะศิวิไลซ์ แค่นมผงยี่ห้อโปรดของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงกระป๋องเดียวก็ไม่มี ยุนโฮอยากจะใช้ขวดนมฟาดหัวตัวเองให้ด่าวดิ้นตายนัก

"มันไม่มียี่ห้อที่จุงโฮเคยกินเลยอ่ะลูก" หันไปพูดเสียงแป้กับหนูน้อยที่ยังคงมีความสุขอยู่กับการกัดเป็ด ไม่ได้มีใจคิดจะสงสารผู้เป็นพ่อเลย

"จุงโฮ...ถ้าไม่สนใจแด๊ดดี้ แด๊ดดี้จะยกจุงโฮให้พี่เป็ดไปเลี้ยงเลยนะ" ยุนโฮโหมดเรียกร้องความสนใจยื่นคำขาด ไม่เข้าใจว่าไอ้เป็ดสีเหลืองอ๋อยหยอยราวกับปกซีดีซิงเกิ้ล Rising Sun เวอร์ชั่นญี่ปุ่น ของห้านักร้องหนุ่มบอยแบนด์รูปงามชื่อก้องโลกนาม ดงบังชินกิ นี่มันจะน่าสนใจว่าเขาตรงไหน? คิดแล้วอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนไปถึงมิวสิควีดีโอ หนุ่มร่างสูง ตาตี่ๆ หน้าตี๋ๆ ใส่เสื้อกล้ามรัดติ้วราวกับใช้มันหุ้มร่างกายมาตั้งแต่ป.2 ก็ปรากฏชัดขึ้นในห้วงความคิด ยุนโฮกระหยิ่มยิ้มย่องกับตัวเองในใจ... มีแต่คนทักว่าหน้าเหมือนเรา อะคึๆๆ

ฮ่วย... สลัดหัวไล่ความคิดไม่ค่อยจะหลงตัวเองนั้นออกจากสมองไป ยุนโฮจัดการบีบคอพี่เป็ดที่ทำให้ลูกหมางเมิน โยนใส่ตะกร้ารถเข็นทันที แม้ว่าจะทำให้พ่อหนูร้องครางอย่างไม่พอใจนัก แต่อย่านึกว่าพ่อจะกลัว ยุนโฮยักคิ้วสะใจเป็นการทิ้งท้าย ก่อนจะหันกลับมาให้ความสนใจปากท้องของจุงโฮต่อ เอิ่ม...ดูเม็กซ์วันพลัส เอิ่ม...ตราหมีวันพลัสรสน้ำผึ้ง เอิ่ม...ไฮคิววันพลัส เอิ่ม...เอิ่ม...แอลลีนโกลด์...มาอยู่นี่ได้ไง(ฟะ?) เอิ่ม...เอิ่ม.........

"อันนี้ดีกว่านะชั้นว่า จุงโฮน่าจะชอบ...เนอะ"

ยุนโฮเหลือบไปมองเจ้าของเสียง ก่อนจะร่ำออกมาเบาๆ "แจจุง?"

แจจุงที่ยังคงอยู่ในชุดเครื่องแบบนักศึกษายื่นนมผงยี่ห้อหนึ่งมาให้เขา พลางพยายามชะเง้อสบตาขอความคิดเห็นจากจุงโฮ แจจุงที่มองที่ไรก็สวย แจจุงที่ไม่ว่าจะปรากฏตัวที่ไหน รอย ออร์บิสันก็จะปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน... Pretty woman... walkin down the street...

"อ..เอ่อ...ค..คือพอดีผ่านมาน่ะ เห็นนายยืนงงๆ ก..ก็เลย..." ทางนี้รีบแก้ตัวพัลวัน ดวงตากลมๆสีดำสนิทที่ปกติก็โตเป็นไข่ห่านอยู่แล้ว ในยามนี้กลับเบิกกว้างเป็นไข่ไดโนเสาร์

"ผมยังไม่ได้ถามอะไรซักคำนะครับ"

"อ..อืม..."

ยุนโฮยิ้มขำๆ ก่อนจะเข็นรถเข็นต่อไปโดยไม่ลืมที่จะรับความหวังดีของแจจุงในรูปของนมผง สำเร็จรูปใส่ลงไปในรถเข็นด้วย เดินไปได้อีกสองสามก้าวเท่านั้นเสียงหวานที่มักจะเอ่ยแกมดุเขาอยู่บ่อยๆ ก็เรียกขัดขึ้นเสียก่อน

"น..นี่!"

"ครับ?"

"นายจะซื้ออะไรอีกเหรอ? ชั้นช่วยเอามั้ย?"

"หืม?"

"ค..คือชั้นเคยเลี้ยงหลานน่ะ พอเป็นอยู่บ้าง ถ..ถ้านายต้องการความช่วยเหลือ...ค..คือ... นายย..ยิ้มอะไรน่ะ!?"

มองแจจุงที่พูดไปบิดไป ประกอบกับแก้มใสๆที่กำลังเรื่อสีแดงสุกปลั่งก็ทำเอายุนโฮเผลอยิ้มออกมาอย่าง ไม่ได้ตั้งใจ ว่ากันว่าคนสวยมักจะดุ... แจจุงเองก็ดุ แต่ยิ่งดุก็ยิ่งน่ารัก!

"ก็แค่ชอบจุงโฮ ไม่ได้คิดอะไรเลย นายไม่อยากให้ช่วยก็ไม่เป็นไร ชั้นไม่ง้อหรอก" แจจุงตัดพ้อพลางเป่ากระพุ้งแก้มอย่างไม่สบอารมณ์นัก กระฟัดกระเฟียดทำท่าจะกลับหลังหันเดินหนีแล้วเชียว ถ้าไม่ติดตรงที่ยุนโฮไวกว่าอยู่หลายขุม มือหนารั้งข้อมือเล็กๆนั้นไว้ ก่อนจะกระตุกให้หันกลับมาสบตาเขา

"ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ ขอบคุณนะที่ช่วย"

แววตากับน้ำเสียงแบบนี้หรือเปล่านะที่ใช้มัดใจมิสซาลทิสน่ะ?

ไม่แปลกใจนักหรอกว่าทำไมสาวแก่จึงชอบมีสามีเด็กๆกันนัก ก็ช่างอ้อนแบบนี้นี่สิ เขาเป็นผู้ชายแท้ๆยังแอบหวั่นไหว สาอะไรกับสาวใหญ่หัวใจเปราะบาง ไม่วายอ่อนระทวยกันกลางห้างเลยหรือไง แจจุงคิดค่อนขอด บิดข้อมือน้อยๆให้หลุดออกจากการเกาะกุม ยุนโฮยังคงยิ้มบางๆให้เขา แจจุงรู้สึกว่าเลือดในตัวของเขาเดือดปุดๆ ราวกับเอาตัวไปแช่ไว้ในกระทะทองแดง ไม่รู้ด้วยความโกรธเกลียดชิงชัง หรือเพราะว่าเขิน Sexy Daddy ผู้นี้กันแน่ อร๊ายยยยยยยยยย

ตัดมาทางด้านจิตใต้สำนึกของยุนโฮที่ยังคงยิ้มกริ่มให้กับความปากร้ายใจดีของ แจจุง คนคนนี้ดูยังไงก็สวยไร้ที่ติ ปากอิ่มๆสีแดงจัดน่าจูบ ดวงตากลมใสสีนิลเงาวับที่มักส่งกระแสเว้าวอนแปลกๆ ที่เจ้าตัวคงไม่รู้ว่ามันดึงดูด เส้นผมหนาๆที่ดูท่าจะนุ่มมือไม่น้อยหากได้สอดแทรกมือเข้าไปขยุ้มๆ ผิวขาวจัดสะอาดสะอ้านใส ประกอบร่างเพรียวบอบบางกว่าดวอน-มารีย์ผู้เป็นศรีภรรยาเสียอีก จะเหมือนกันอยู่ก็ตรงที่เอวกับสะโพกอวบอัดนั่นล่ะมั้งที่ดูจะชดเชยกันได้ หัวะหัวะหัวะ! ยุนโฮหัวเราะก้องอยู่ในหัวใจราวกับตัวโกงหนังไทยสมัยเก่าที่อยากจะยัดเยียด ความเป็นผัวให้คิม แจจุงซะเดี๋ยวนี้

ผู้ชายหนอผู้ชาย...สามานย์ซะจริงเชียว

"หยุดยิ้มซักทีได้มะ?"

พรืด... ประโยคนั้นของแจจุงทำเอาแผ่นเสียงของรอย ออร์บิสันตกร่อง ยุนโฮหุบยิ้มในทันที พร้อมๆกับถูกคนสวยแย่งรถเข็นไปครอง ก่อนจะเดินนำลิ่วๆไปยังโซนจำหน่ายผ้าอ้อมเด็กอย่างรู้งาน

.
.
.

"ขอบคุณคับคนจ๋วย"

คำพูดที่เอ่ยออกมาอย่างไม่รู้เดียงสาของจุงโฮ เรียกรอยยิ้มสวยๆ ให้ไปประดับอยู่บนใบหน้าอันเคยบึ้งตึงของแจจุงได้ เมื่อร่างบางเดินมาส่งทั้งพ่อทั้งลูกที่หน้าเค้าท์เตอร์คิดเงิน ร่างบางเอื้อมมือไปลูบแก้มยุ้ยๆ ย้วยๆ ราวกับหินงอกหินย้อยของเด็กน้อยเบาๆ ก่อนจะได้รับรอยยิ้มปราศจาคฟ.ฟันจากจุงโฮเป็นการตอบแทน เด็กนี่ใสซื่อบริสุทธิ์จริงนะ ไม่เหมือนบางคน มารยาสาไถจริงเชียว ฮึ่ม...

"ขอบคุณนะครับแจจุง" หน้าทะเล้นของยุนโฮ จู่ๆก็ผุดเข้าไปโผล่กลางลูกโป่งความคิดของแจจุงจนแตกกระจาย "ปกติก็มากับจุงโฮสองคน มากับแจจุงด้วยแบบนี้ เหมือนเป็นครอบครัวเลยนะครับ"

ฟังแล้วอยากให้มิสซาลทิสมาได้ยินซะจริง จะได้รู้ฤทธิ์เดชอภินิหารของยุนนี่ผู้น่ารักของเจ้าหล่อนว่ามันระดับพระกาฬ เพียงใด เดินซื้อของกับร่างสูงมาร่วมชั่วโมง ก็นับไม่ถ้วนแล้วว่าเจอถ้อยทีก้อร่อก้อติกไปเท่าไร โดนแอบจับมือจับไม้ไปก็ไม่ใช่น้อย ถึงเขาเป็นผู้ชายก็เหอะ รักนวลสงวนตัวเป็นนะเฟ้ย แจจุงค้อนตอบดวงตาวาววับของเจ้าปีศาจจิ้งจอกนี่ขวับใหญ่ ถลึงตาเขียวปั่ด "ใครบอกว่าจะอยู่ครอบครัวเดียวกับนายไม่ทราบ?"

"อ..อ้าว...พูดอย่างนี้จุงโฮเสียใจนะครับแจจุง เนอะจุงโฮเนอะ" เมื่อดูเหมือนจะสู้ไม่ได้ ยุนโฮก็เลยจัดการเปลี่ยนแผนการเล่นเป็นแบบแฮนดี้แคป สองรุมหนึ่ง ดึงหนูจุงโฮผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มาเป็นพวกเสียเลย "พี่เค้าไม่อยากสุงสิงกับเราหรอก อยู่กันสองคนก็ได้เนอะ"

"แอ๊..." เจ้าหนูนี่ก็ดูจะถูกพ่อสอนมาดี๊ดี สนับสนุนเป็นกองกำลังเสริมไปได้ซะทุกเรื่อง

"ชิ จะอะไรก็ช่างเถอะ ไม่รู้ด้วยแล้ว" ฝ่ายรับกำลังเสียเปรียบ แจจุงพึมพำงึมงำงุบงิบๆ ในลำคอ พยายามไม่ใส่ใจสายตาโลมเลียที่ยุนโฮส่งให้เป็นประกายแปร๊บๆ ก้มลงหอมศีรษะของหนูน้อยจุงโฮเบาๆ "จุงโฮ พี่ไปก่อนนะ บ๊ายบาย" เปลี่ยนจุดโฟกัส ก่อนจะโบกมือหยอยๆ หลอกล่อเด็กเต็มที่

จุงโฮยิ้มเผล่ ไม่แปลกที่เด็กผู้ชายจะชอบคนสวย หนูน้อยยกมือบ๊ายบายให้พี่ชายคนสวยด้วย "บั๊บบายคนจ๋วย" ก่อนที่ทั้งพ่อทั้งลูกจะมองตามแผ่นหลังบางที่วิ่งดุ๊กดิ๊กกลับไปยังโซน สินค้าลดราคาด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์ไม่แพ้กัน... เฮ้อ... Pretty woman...

"สวัสดีค่ะคุณผู้ชาย"

พนักงานคิดเงินสาวหน้าตาจิ้มลิ้มทักทายอย่างเป็นกันเอง ก่อนที่หล่อนจะช่วยยุนโฮคว้าของขึ้นมาจากตะกร้าเตรียมคิดเงิน ชายหนุ่มยิ้มให้เธอ ก่อนจะกระชับอุ้มจุงโฮให้เข้ามาแนบไหล่ จุงโฮไม่ใช่เด็กขี้แย จึงทำให้เลี้ยงไม่ยากเท่าไรสำหรับเขา แต่เรื่องยากกลับกลายเป็นยุนโฮเองที่อายุยังน้อย หน้าที่ที่ต้องเรียนให้จบก็ยังสำคัญ... คิดถึงตรงนี้ก็ทำให้เรื่องสถานรับเลี้ยงที่เคยหนักใจผุดกลับเข้ามาในสมองอีก ครั้ง

ถ้ามีคนมาช่วยเลี้ยงคงดีกว่านี้อีกมากโข

งั่บ!

"อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก"

"คุณผู้ชาย! เป็นอะไรไปคะ?" พนักงานสาวตาลีตาเหลือก เมื่อจู่ๆชายหนุ่มมาดแมนที่ยืนขรึมอยู่ตรงหน้าเธอกลับแหกปากออกมาจนลั่นห้าง ทำเอาคนทั้งฝูงหันมามองที่เขาเป็นตาเดียว

ยุนโฮค่อยๆ คลายอ้อมกอดจากจุงโฮ รู้สึกถึงความเปียกชื้นและเหนียวเหนอะหนะจนชุ่มโชกที่หูซ้าย ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นดีไปกว่าเขาเอง ยุนโฮจับลูกชายมาจ้องหน้าเขม็งอย่างเคืองแค้น ถ้าไม่ใช่ลูกก็อยากจะจับเพาเวอร์สแลมลงซะตรงนี้เลยทีเดียว ชายหนุ่มกระซิบเสียงลอดไรฟันน่าสยดสยอง "ไม่บอกไม่รู้ นึกว่ามีพ่อเป็นไมค์ ไทสันนะเนี่ย"

ว่าแล้วก็จับตุ๊กตายางคุณเป็ดให้ลูกถือ ฟันน้ำนมซี่เล็กๆของจุงโฮที่เพิ่งขึ้นมีประสิทธิภาพดีราวกับเขี้ยวปิรันญ่า ถูกต้องแล้ว...เจ้าหนูบรรจงขบฟันฉึกลงมาที่จุดอ่อนไหวบริเวณใบหูซ้ายของยุ นโฮเต็มๆ

"คิกๆๆ"

"ม..มีอะไรให้ดิฉันช่วยมั้ยคะ?" พนักงานดีเด่นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกลัวๆ กล้าๆ แต่เพียงแค่เห็นคราบน้ำลายไหลตึ๋งหนืดยืดออกมาจากใบหูของหนุ่มหล่อก็คล้าย กับพอจะเดาเหตุการณ์สุดระทึกที่เกิดขึ้นได้ "คุณบาดเจ็บมั้ยคะ?"

"ไม่ครับ ผมสบายดี" แฮ่...แยกเขี้ยวยิ้มโชว์ฟันปลอม เอ้ย...ฟันสวยๆ ที่แสนภาคภูมิใจอีกซักที ก่อนจะอุ้มเจ้าตัวดีเดินออกไปพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรัง

 

////////////////////////////////////// TBC...

ออฟไลน์ ณยฎา

  • ขอเพียงมีเธออยู่คู่ฉัน แม้นหลับก็มิฝันถึงสิ่งใด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-3
Go! Daddy (4)


( Part 04/?? )

"ไปก่อนนะจ๊ะยุนนี่ See you then!"

หญิงสาวกล่าวเสียงสลด ก่อนจะโอบแขนรอบต้นคอเด็กหนุ่มแล้วรั้งเข้ามาคุกวงใน กระโดดใส่แบร์ฮัก กอดรัดฟัดกันนัวกลางถนนในยามเช้า ทำเอายุนโฮผู้ซึ่งกำลังงัวเงียได้ที่ตาแทบปลิ้นออกมานอกเบ้า คงจะทำอะไรไม่ได้นอกจากจูบปะเหลาะพลางแยกเขี้ยวขาวๆ ยิ้มเอาใจไก่แก่แม่ปลาช่อน โชคดีที่ใช้ยาสีฟันเดนทิสเต้ซึ่งมีคุณสมบัติยับยั้งแบคทีเรียในช่องปาก ไม่เช่นนั้นยุนโฮที่ถูกปลุกตื่นมาตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่คงไม่กล้าที่จะอ้าปาก แลกสารแล็คโตบาซีลัสกับแม่ทูนหัวทูนเกล้าทูนกระหม่อมเป็นแน่แท้

"โชคดีครับดวอน" โบกไม้โบกมือป้อแป้ นึกยอมรับชะตากรรมตัวเองดี ก่อนที่มิสซาลทิสจะเหยียบคันเร่งออกรถไปด้วยแรงขับเคลื่อนเต็มประสิทธิภาพ 952 แรงม้า ทิ้งให้ยุนโฮอยู่โดดเดี่ยวผู้น่ารักกับลูกชายสองต่อสองอีกครั้ง

เดินกะปลกกะเปลี้ยคล้ายคนใกล้หมดสมรรถภาพกลับเข้าบ้านไป ยุนโฮคว้าผ้าขนหนูมาพาดไหล่เตรียมอาบน้ำไปเรียน เหลือบตามองจุงโฮที่คลานไปคลานมาสำรวจคลังขุมทรัพย์มหาสมบัติในบ้านก็อดถอน หายใจออกมาไม่ได้ เมื่อวานยุนโฮไปติดต่อสถานรับเลี้ยงใกล้บ้านมาแล้วเรียบร้อย เป็นเดย์แคร์ที่มีมาตรฐานไอเอสโอรับประกัน แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้หัวอกคนเป็นพ่ออย่างเขาผ่อนคลายลงไปได้ พี่เลี้ยงสาวท่าทางมีภูมิรู้สูง ยัยป้าหน้าโหด กับเกย์เฒ่าเขย่าโลกที่มีสายตามองต่ำเฉพาะกลางลำตัว แถมพยายามจะจับยุนนี่น้อยแต่ไซส์หญ่าย...เพื่อวัดขนาดให้ได้ผู้นั้นจะดูแล ลูกเราได้ดีเท่าเราหรือ? ยุนโฮยังคงสับสนทางเพศต่อไป

.
.
.

"อู่แหวะ อู่วววววววแหวะ!"

"เป็นบ้าอะไรของแกวะแจจุง แพ้ท้องหรือไง?"

ลักษณะท่าทางของแจจุงที่ดูคล้ายจะพยายามล้วงคออ้วกมาตั้งแต่ถึงมหา'ลัย ประกอบกับถุงฝรั่งดองที่จุนซูกำลังส่งเข้าปากเคี้ยวจ๊อบแจ๊บอยู่นั้นทำให้ยู ชอนอดถามออกมาไม่ได้ หนุ่มนิติเกียรตินิยมถอนหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก วันนี้มีเรียนซะเช้า แถมยังเป็นวิชาที่เกลียดที่สุดในเทอมนี้ กว่าจะหมดชั่วโมงก็เล่นเอาหัวผงกโขกโต๊ะคนข้างหน้าไปหลายโป๊ก ถ่อสังขารง่วงๆ เดินตากแดดตากลมเป็นหมื่นลี้เพื่อที่จะมาพบหน้าหวานใจที่คณะอักษรศาสตร์แห่ง นี้ แต่พอมาแล้วกลับเจอคนนั่งอ้วก? วัยรุ่นเซ็ง...

"มันเป็นบ้าอะไรของมัน จุนซู?" เมื่อไม่ได้รับสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก ยูชอนก็เลยเปลี่ยนไปสอบสวนจุนซูแทน เอ่อ...รายนี้ถึงไม่อ้วกแต่ก็ซัดของดองไม่ยอมหยุด มองแล้วชวนให้ทึ่งในความสามารถของสิ่งมีชีวิตเพศนี้จริงเชียว

"ก็แจจุงบอกว่าเมื่อเช้าดันตื่นมาเจอภาพน่าสะอิดสะเอียนน่ะสิ" จุนซูตอบหน้าตาเฉย ปากว่ามือก็จิ้มจวกมะดันดองเข้าปาก

"อ๋อ ภาพหมาถูกรถทับที่ขึ้นหน้าหนึ่งวันนี้น่ะเหรอ?" ยูชอนยังคงสันนิษฐานต่อไปตามนิสัยผู้พิพากษา แต่หลังจากตัดสินใจเลิกล้มความคิดที่จะรับรู้ต้นตอของอาการคลื่นเหียร อาเจียนวิงเวียนศีรษะของแจจุง แล้วหยิบยื่นเพียงแค่ยาดมตราท่านเจ้าคุณให้ไปสูดซักปื้ดสองปื้ด ทั้งยูชอนและจุนซูก็ต้องสะดุ้งโหยงขึ้นมาพร้อมเพรียงกัน เมื่อแม่นางแจจุงวาดมือเข้าฟาดโต๊ะม้าหินผู้โชคร้าย ที่ถ้าหากมันมีเสียงคงจะร้องตะโกนเรียกร้องความเป็นธรรมออกมาว่า 'เลิกตบตูซักทีเซ่'

"ไม่ใช่! หมาโดนรถทับน่ะน่าสงสาร แต่แมงดาบางตัวเห็นแล้วชวนอ้วก!" แจจุงเริ่มท้าวความ "ก็เมื่อเช้าก่อนออกมาเรียน เห็นไอ้ยุนโฮนั่นมันยืนกระซวกปากกับมิสซาลทิสหน้าบ้านแบบไม่มียางอายเลยนะ เห็นแล้ว...แหวะ..."

"โธ่ว้อย...เอาอีกแล้วไอ้นี่ อิจฉาอ่ะดิ๊" ยูชอนตอกทันควันแบบไม่ต้องคิด พลางอ้าปากรับของดองที่จุนซูป้อนเข้าปากให้

"ไม่ใช่ซักหน่อย! ไม่เห็นอยากจะมีเลย ฟงแฟนอะไรอ่ะ ฮึก ฮึก โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ" ดูจะเป็นประโยคที่ขัดกับอารมณ์เสียเหลือเกิน แจจุงจู่ๆก็ปล่อยโฮออกมาให้เพื่อนร่วมคณะตกอกตกใจกันยกใหญ่ แต่หาได้ใช่จุนซูกับยูชอนไม่ เพราะทั้งสองคนนี้รู้ดีอยู่เต็มอก

คิม แจจุง คนสวย ที่ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปกี่ล้านปีแสงก็ยังคงสวยเหมือนเดิมไม่มีเสื่อมคลาย แถมยังมีแต่จะเพิ่มขึ้นๆ ทุกเมื่อเชื่อวัน ถึงแม้ความสวยระดับโลกที่มีจะเรียกเหล่าภมรให้บินมาตอมไม่เว้นวัน แต่จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่มีใครอาสาเข้ามาดูแลหัวใจดวงน้อยๆของแจจุงเลยซัก ที เจ้าตัวนั้นยังคงยืนยันว่าอาจเป็นเพราะความหยิ่งของตน ผิดจากเพื่อนสนิททั้งสองที่ฟันธงฉับๆ ว่ามันเป็นเพราะความดุต่างหากเล่าที่ใครเขาก็ไม่กล้าจะเข้าใกล้คุณเธอ โธ่ถังกะละมังหม้อ จุงจี้ที่น่าสงสาร... ว่าแล้วนี่ก็ครบสี่เดือนแล้วใช่มั้ย มามะ เพื่อนรักจะพาไปฉีดยา

"ช่างเหอะ" ปาดป้ายคราบน้ำตาลงบนกระเป๋าของจุนซู (?) ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองฟ้าสายตามุ่งมั่นอีกครั้ง "อยู่คนเดียวชั้นก็อยู่ได้ ไม่ตายหรอก" ยื่นคำขาดอย่างหนักแน่น จนคำรณ หว่างหวังศรี แทบจะแห่กลองยาวกันเข้ามาล้อมวงเชิดชูความแกร่งกล้าที่สามารถยืนหยัดด้วย ลำแข้งของตนเองได้ แม้ว่าภายในหัวใจอันอ่อนไหวของแจจุงจะยังคงร้องไห้กระซิกๆ อยู่ก็ตาม

เกิดมาไม่เคยรักใคร แถมพอเจอคนถูกใจก็ดันมีลูกมีเมียซะแล้ว... เก๊กซิม!!

"เออนี่ อาทิตย์หน้าก็จะสอบปลายภาคแล้วนะ อ่านหนังสือกันบ้างหรือยังเนี่ย?" หลังจากปล่อยให้ความเงียบและความเศร้าสลดครอบคลุมพื้นที่มานานพักใหญ่ ยูชอนจึงได้พูดทำลายมวลความกดอากาศต่ำรอบกายลงในที่สุด

จุนซูส่ายหน้าดิ๊กๆ "อ่านแต่นิยาย โรมีโอจูเลียต มนต์รักเพลงสวรรค์ สะพานรักสารสินธุ์ เพชรพระอุมา อะไรเทือกนั้น"

แจจุงสั่นหัวจนหัวคลอนเห็นภาพราวกับอยู่ในมุมมองของคนขับมอเตอร์ไซค์ไต่ถัง "อ่านแต่นิตยสารซุบซิบดารา ช่วงนี้ซุบซิบดงบังชินกิว่ามีรักกุ๊กกิ๊กอะไรกันเองในวง ชั้นไม่อ่านไม่ได้เดี๋ยวไม่อินเทรนด์" ว่าหน้าตาเฉยอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว เหตุบ้านการเมืองเป็นอย่างไรไม่เคยรู้! ยูโน ยุนโฮ หัวหน้าวงดงบังชินกิ เท่านั้นที่อยู่ในสายตา คิม แจจุง

ยูชอนถอนหายใจออกมาอย่างระเหี่ยใจ แล้วพอผลการเรียนออกมาก็มานั่งซึมเศร้า ผิดจากเขาที่ออกจะหลั่นล้าจิงกาเบล ชวนไปเที่ยวไปกินเลี้ยงที่ไหนก็ไม่ยอมไป เซ็งครับเซ็ง!

"อ่ะนะ เริ่มอ่านกันได้แล้ว พวกนายก็รู้ว่าเกรดเฉลี่ยทุกเทอมมันสำคัญสำหรับเรา"

"สำหรับนายคนเดียวล่ะสิไม่ว่า"

แน่ะ!

"ใช่แล้ว ยูชอนจะไม่ต้องมาเครียดทุกๆสิ้นเทอมแบบนี้เลย ถ้าหากว่าระหว่างเทอมไม่มัวแต่แชทกับเพื่อนฝรั่งมันแกวอะไรของตัวน่ะ" จุนซูยังช่วยสนับสนุน ก่อนที่คนตัวเล็กจะนั่งจิ้มแจ่ว กินมันแกวต่อไปอย่างไม่สนใจสิ่งใดรอบข้าง ทิ้งให้เจ้าพ่อปาร์คออกมายืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางสายลมหวีดหวิว และกลีบใบไม้โปรยปรายราวกับพระเอกหนังซามูไร

และแล้วสุดท้าย ปาร์ค ยูชอน ก็โดนใบแดงถีบออกจากสนามไปในช่วงต่อเวลา

.
.
.

แสงไฟสีเหลืองนวลจากโคมไฟตั้งโต๊ะยังคงส่องสว่างให้เห็นภายในห้องนอน บรรยากาศอบอุ่น ท่ามกลางความเงียบงันยามเที่ยงคืน ยุนโฮทิ้งตัวลงบนเก้าอี้นวมข้างชั้นหนังสือโดยยังมีจุงโฮทำตาแป๋วอยู่ในอ้อม แขน ไม่ว่าจะพยายามงัดไม้เด็ดไม้ตายกระบวนท่าไหนจากสำนักใดมาใช้กล่อม เจ้าตัวน้อยก็ดูไม่มีทีท่าจะง่วงนอนเลย แถมยังรังแต่จะงอแงซะด้วยซ้ำหากคุณพ่อวางเขาลงบนเปลเด็ก หรือแม้แต่ห่างตัวซักนิดเจ้าหนูจะก็แผดเสียงร้องไห้ซึ่งมีอานุภาพมากพอจะ สามารถปลุกประชากรทุกหลังคาเรือนในหมู่บ้านนี้ให้ตื่นขึ้นได้สบาย

วางลูกชายไว้บนหน้าอก เหยียดกายบนเก้าอี้นุ่ม พลางค่อยๆหลับตาลง ตำราทฤษฎีกลศาสตร์วิศวกรรมเล่มหนาเตอะถูกวางแบไว้กับหน้าตักอย่างอ่อนล้า อาทิตย์หน้าแล้วที่มหกรรมการสอบปลายภาคหฤโหดกำลังจะมาถึง หลักสูตรของมหาวิทยาลัยแม้ว่าจะไม่ได้แตกต่างจากที่รัทเจอร์ซักเท่าไร แต่ด้วยเหตุที่อาจารย์ผู้สอนนั้นคนละคนกัน วิธีการสอนก็เลยต่างกัน ทำให้ยุนโฮต้องใช้พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะตามให้ทันเพื่อนๆ ที่สำคัญ...ตราบใดที่จุงโฮยังไม่ยอมนอนเช่นนี้ เขาก็คงจะไม่มีสมาธิอ่านหนังสือต่อไปได้อย่างแน่นอน

"จุงโฮ...แด๊ดดี้เหนื่อยแล้วนะ" ชายหนุ่มงึมงำผ่านริมฝีปากที่ไม่ค่อยอยากจะขยับ แม้ว่าจะถูกลูกชายหัวแก้วหัวแหวนพยายามใช้มือเล็กๆ ดึงแก้ม ดึงปาก ผู้เป็นพ่ออยู่ก็ตาม แต่ดวงตาอันหนักอึ้งก็ยังไม่มีวี่แววจะเปิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย สมองที่เริ่มทำงานเรรวนเรียกร้องหาการนอนหลับพักผ่อนแทบจะทุกลมหายใจเข้าออก

"แด๊ดดี้ต้องสอบนะครับ จุงโฮ..."

"ดาดิ๊ เล่นๆ" เจ้าหนูร้อง พลางทำตาโตตื่นเต้นเลียนแบบยุนโฮที่ชอบทำสีหน้าแบบนี้แล้วหลอกล่อให้เขากิน ผัก ไม่วายขย่มไปขย่มมาบนตัวคุณพ่อให้ได้จุกเสียดแน่นเฟ้อในท้องอีกระรอกใหญ่

"โอย...เล่นอะไรอีกล่ะครับ เล่นมาทั้งวันแล้วนะ"

"แอ่ แอ๊!"

"จุงโฮ" ถึงตรงนี้ยุนโฮก็พยายามใช้น้ำเสียงที่เข้มขึ้นข่ม "ถ้าจุงโฮดื้อ แด๊ดดี้ก็จะเรียนไม่จบนะ แล้วจุงโฮก็ต้องโดนเอาไปฝากไว้ที่สถานรับเลี้ยงนานขึ้นอีกนะ"

"เล่นๆ ขี่ม้า แอ๊ๆ" แต่ก็ดูเหมือนเสียงเข้มๆนั่นจะไม่มีผลกระทบใดๆ กับเด็กน้อยผู้ไร้เดียงสา เขายังคงเรียกร้องสิ่งบันเทิงจากคุณพ่อต่อไป

ยุนโฮถึงกับถอนหายใจออกมายาวที่สุด ยาว ย๊าว ยาว ราวกับปอดของเขาใหญ่เท่าปอดต่อลาภ นักว่ายน้ำทีมชาติไทย รู้สึกเหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ จนอยากจะตัดทางโลกหนีไปบวชพระซะให้รู้แล้วรู้แรด แต่เมื่อลืมตามองใบหน้าน่ารักสะอาดใสบริสุทธิ์ผุดผ่องของเจ้าหนูจุงโฮ กับรอยยิ้มดวงตะวันสาดแสงนี้แล้ว ก็ราวกับมีเสียงย้ำเตือนดังก้องสะท้อนอยู่ในหัวสมองว่าจะทิ้งเจ้าตัวเล็กนี่ ไปไม่ได้

ยุนโฮพยายามสลัดความมึนงงที่เกิดจากสมองแฮ๊งค์ๆ ลืมตาขึ้นมาจดจ่ออยู่กับตำรากลศาสตร์ในมือใหม่อีกครั้ง เข้าหัวไม่เข้าหัวบ้าง อ่านผิดหน้าผิดบรรทัด ตีหลังกาอ่านบ้าง แต่ก็ยังกัดฟันอ่านต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ ชายหนุ่มหาได้รู้ไม่ว่าพฤติกรรมของเขานั้นอยู่ในสายตาของเพื่อนบ้านห้องนอน เคียงอย่างแจจุงแทบจะทุกอิริยาบถ

ร่างบางที่ยืนมองภาพนั้นอยู่ห่างๆ อดที่จะเผยรอยยิ้มเศร้าๆ ออกมาไม่ได้

.
.
.

และแล้วก็ถึงวันหยุด วันหยุดที่นักศึกษาส่วนใหญ่รอคอยด้วยใจที่ไม่ยินดีปรีดานัก เพราะเป็นวันหยุดที่ทางมหาวิทยาลัยหยุดให้อ่านหนังสือเตรียมสอบ เสียงกริ่งย้ำๆ ที่ดังอยู่นั่นเรียกให้แจจุงซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการหาข้าวเช้ารับประทานใน เวลาเกือบเที่ยงอยู่ที่ห้องครัวต้องเดินกระแทกกระทั้นออกมาเปิดประตูด้วย อารมณ์ไม่โสภานัก ยูชอนกับจุนซูไปร้านหนังสือกันตั้งแต่เช้า ส่วนสำหรับเขานี่เป็นวันแรกตั้งแต่เพื่อนบ้านใหม่ย้ายเข้ามาที่ได้นอนหลับ เต็มตื่น ใบหน้าโทรมมะลั่กกั่กราวกับแจจุงเวอร์ชั่นยาอีดีซีสจึงค่อยๆ มลายหาย เหลือแค่แจจุงที่แสนสดใสตามเดิม

ยิ่งใกล้ประตูเข้ามามากขึ้น เสียงร้องไห้ของเด็กก็ยิ่งทวีความดังขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งกระชากปราการด่านหน้าให้เปิดออกก็พบกับร่างสูงๆ ที่ตัวเปียกมะล่อกมะแล่กอุ้มลูกชายตัวน้อยไว้กับอก แจจุงถึงกับผวาวาบนึกว่าเจอผีทะเลเข้าให้กลางวันแสกๆ ซะแล้ว

แต่ยุนโฮไม่ได้ขำด้วย เขามีสีหน้ากังวลใจอย่างหนักราวกับดัชนีหุ้นนิเคอิหล่นฮวบฮาบ ราคาน้ำมันโลกพุ่งสูงปรู๊ด คิ้วเข้มขมวดมุ่นจนแทบจะชิดติดเป็นคิ้วเดียวกัน มองมาที่แจจุงอย่างขอความช่วยเหลือ "นี่ จ..แจจุง ช..ช่วยอุ้มจุงโฮให้หน่อยได้มั้ย?" เป็นน้ำเสียงทุ้มห้าวเคล้าเสียงหอบที่พอจะพาให้สติของแจจุงหลุดลอยไปไกล ไม่รีรอคำตอบรับ ยุนโฮส่งจุงโฮให้แจจุงทันที

"เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?" แม้ว่าจะยังงงๆ แต่ก็รับจุงโฮที่กำลังร้องไห้จนหน้าดำหน้าแดงมาอุ้มเอาไว้ แล้วยังไม่วายสวมบทบาทเพื่อนบ้านที่ดีถามความเป็นไป ทั้งที่ความจริงจะแค่อยากรู้เรื่องชาวบ้านเฉยๆ ก็เหอะนะ

ยุนโฮตาลีตาลานเดินเร็วๆ กลับไปที่บ้านโดยมีแจจุงวิ่งตามมาติดๆ พ่อหนุ่มหันมายิ้มแหยๆ ให้แจจุงอย่างอายๆ "คือท่อน้ำมันรั่วน่ะครับ แต่พอจะไปซ่อมท่อ จุงโฮก็ร้องโวยวายให้ผมอุ้ม ไม่อุ้มก็ไม่หยุดร้อง ก็เลย...แหะ..."

อยากตะโกนออกมาดังๆ ว่าสีหน้ากับรอยยิ้มแบบนี้ของยุนโฮเป็นหนึ่งในห้าสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่เขา ไม่อยากจะเห็นเลยตอนนี้ หลังจากเห็นภาพคุณพ่อที่แสนทรหดเมื่อคืนนี้เต็มสองตาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า รู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ แจจุงพยายามกล่อมจุงโฮให้หยุดร้องไห้ จนกระทั่งเดินมาหยุดอยู่ที่ประตูหน้าบ้านซึ่งเปิดอ้าค้างเอาไว้ เขาหยุดฝีเท้าลง

"เข้ามาก่อนสิครับ" ยุนโฮเชิญ ทว่าแจจุงส่ายหน้าช้าๆ

"ไม่เป็นไร นายเข้าไปจัดการท่อน้ำเหอะ เดี๋ยวน้ำก็ท่วมบ้านกันพอดี"

ใบหน้าหล่อเหลาระบายด้วยรอยยิ้ม แย้มริมฝีปากอย่างจริงใจ ก่อนจะวิ่งกุลีกุจอหายเข้าไปในครัว แจจุงมองตามจนลับสายตาไปแล้วก็ค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งบนขั้นบันไดไม้เตี้ยๆ หน้าสวน ที่ที่เขาพบกับจอง ยุนโฮ รวมถึงจุงโฮเป็นครั้งแรก ลมเย็นๆ โชยพัดมาต้องใบหน้า พร้อมกับที่เสียงร้องไห้ของจุงโฮดูจะบรรเทาลงตามไปด้วย

"นี่ อย่าดื้อนักสิ แด๊ดดี้ของจุงโฮน่ะ เหนื่อยรู้มั้ย?" เปรยออกมา พลางมือก็ตบก้นเด็กที่กำลังเคลิ้มเบาๆ โยกตัวไปมาพร้อมกัน จนเสียงร้องไห้ค่อยๆ เงียบสนิท "ถ้ารักแด๊ดดี้ก็ต้องเป็นเด็กดีนะ สัญญาสิ"

"งึม งึม"

"จุงโฮ..."

"มามะ"

"หืม?"

"มามะ อื้อ..." เจ้าหนูครางงึมงัมอยู่ในอ้อมกอดของแจจุง ดวงตาคู่เล็กปิดสนิทลง ในขณะที่ปากส่งเสียงจ๊อบแจ๊บ จมลงไปในห้วงฝันหวาน ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือนพ่อ ขนาดตอนง่วงยังเหมือนพ่อเลย แจจุงมองเด็กชายคนตรงหน้าก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเสียไม่ได้

"จุงโฮเรียกคุณว่าหม่าม้า"

"เอ๋?"

"จริงๆนะ เค้ายังไม่เคยเรียกดวอนแบบนี้เลย" ยุนโฮพูด พลางทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ แจจุง เขายื่นนิ้วชี้ลงไปในกำปั้นน้อยๆของจุงโฮ ก่อนจะปล่อยให้เด็กชายกำมันจนแน่น "คำแรกที่เขาพูดได้คือ ดาด้า แล้วเขาก็เรียกผม"

ออกจะแปลกใจอยู่สักหน่อยที่ได้ฟัง เพราะปกติแล้วเด็กทั่วไปจะออกเสียง m ได้ก่อนเสียง d แน่นอนว่าทุกคนจะพูดคำว่าแม่ได้ก่อนพ่อ แต่นี่ไม่ใช่กรณีศึกษาที่น่าสนุกนักสำหรับแจจุง เขามองแววตาของยุนโฮที่ดูหมองลงในยามนี้ก็แทบอยากจะร้องไห้ จุงโฮไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ชิดแม่เพราะหน้าที่การงานของมิสซาลทิส แต่อ้อนแต่ออกก็คงมีผู้ชายคนนี้เท่านั้นสินะที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด สงสารจุงโฮ... สงสารยุนโฮจับขั้วหัวใจ...

"นี่ เมื่อคืนนายคงไม่ได้นอนเลยสินะ"

"ค..คุณรู้ได้ไง?"

"ชั้นเห็นน่ะ ห้องนอนนายเปิดไฟสว่างไว้ทั้งคืนเลย แยงตาชะมัด"

"อ..อ้อ...ครับ" ยอมรับพลางยิ้มออกมาบางๆ เป็นรอยยิ้มที่แจจุงเกลียดที่สุด เพราะแทนที่จะทำให้แจจุงเกลียดยุนโฮ แต่กลับทำให้รู้สึกสงสารมากขึ้นทุกครั้งที่ได้เห็น

"จุงโฮน่ะ ให้ชั้นช่วยเลี้ยงเอามั้ย?" ในที่สุดก็ตัดสินใจเสนอออกไป อย่างน้อยก็เป็นเพื่อนบ้าน ที่สำคัญเขาชอบจุงโฮมากๆ แจจุงเลยไม่คิดลังเลที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

"ห..เห? อะไรนะครับ?" ยุนโฮเลิกคิ้วสูง เมื่อได้ฟังคำพูดที่ไม่คิดว่าชาตินี้จะได้ฟังจากแจจุง

"เอามาไว้กับชั้น นายจะได้อ่านหนังสือสอบไง"

"แต่..."

"แต่อะไร ไม่ไว้ใจชั้นหรือไง?"

"เปล่าครับ แต่..ผมไม่อยากให้ลูกห่างผม เว้นแต่คุณจะมานอนค้างกับผม"

"เฮ้ย!? ไม่เอา! ชั้นเอากลับไปที่บ้านชั้นเองก็ได้ บ้านใกล้แค่นี้เอง ทำไมต้องมาค้างกับนายด้วยเล่า บ้าหรือเปล่า" แจจุงโวยวาย ใบหน้าฉีดซับสีเลือดแดงแจ๋ สมองอันถนัดแต่คิดเรื่องอกุศลของเขาทำงานนำหน้าไปก่อนสิ่งอื่นใด เขาหยัดกายลุกขึ้นยืนพร้อมๆ กับที่อุ้มจุงโฮไว้ "ตามใจนายนะ ถ้าไม่ยอมก็เลี้ยงเองเหอะ"

ใบหน้าคมสันฉายแววลังเลใจอย่างสุดชีวิต แต่ในที่สุดก็ต้องยอมหักใจเพื่อผลการเรียนอันจะยอมเสียไปไม่ได้แม้แต่จุดสอง จุด อีกอย่างก็จริงอย่างที่แจจุงว่า บ้านใกล้ชายคาแทบจะติดกัน อยากเห็นหน้าลูกเมื่อไร คิดถึงตอนไหนก็สามารถแวะไปเคาะประตูบ้านได้สบายๆ ดั่ง 7-eleven เพื่อนบ้านที่ไม่เคยหลับ ถ้างั้นก็...

"เอ่อ...งั้นก็ต้องรบกวนแล้วนะครับ"

คำตอบจากยุนโฮเรียกรอยยิ้มใสๆ จากแจจุงได้ไม่น้อย ร่างบางกระชับกอดเจ้าตัวน้อยแน่นๆ "ไปอยู่ด้วยกันเนอะ จุงโฮ... อยู่กับหม่าม้า"

หม่าม้า... คิก... ฟังแล้วจั๊กกะเดียมชะมัดเลย

"ทำไมเรียกพี่ว่าหม่าม้านะจุงโฮ?" อุ้มไปอุ้มมา พลางชวนเด็กหลับๆ คุยซะอย่างนั้น ภาพของแจจุงที่ไร้วี่แววความดุอย่างที่เคยพบทำให้ยุนโฮหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

"ว่ากันว่าเด็กเล็กๆ มีเซ้นส์นะครับ"

"ซ..เซ้นส์เหรอ? เซ้นส์อะไร?" หมัดที่แพรวพราวด้วยเทคนิคและแท็คติกของยุนโฮกระทบเข้าแสกหน้าแจจุงเต็มๆ ร่างบางรู้สึกว่าใบหน้าของเขาร้อนผ่าวอย่างช่วยไม่ได้ สัญชาตญาณบางอย่างบอกเขาซ้ำไปซ้ำมาว่าคงถูกจีบเข้าให้อีกแล้ว

"ซิกซ์เซ้นส์มั้งครับ พวกเด็กเห็นผีอะไรเทือกนั้นน่ะ" ยุนโฮว่าพลางหัวเราะก๊ากๆ ตบเข่าฉาด ทำเอาฟองสบู่สีชมพูที่กำลังลอยละลิ่วพลิ้วลมอยู่รอบกายแจจุงนั้นแตกสลายไม่ มีชิ้นดี สาบานว่าตอนนี้ถ้าหากมือว่าง จะพุ่งเข้าไปท้าต่อยกันตัวต่อตัวให้รู้ดำรู้แดงกันไปข้างเลยเชียว

"งั้นชั้นไปล่ะ แล้วเอาของใช้ของจุงโฮตามไปให้ด้วยแล้วกัน" ยักไหล่อย่างมีราคา พลางสั่งงานทิ้งท้ายไว้ให้คุณพ่อสุดหล่อทำ ก่อนที่แจจุงจะสะบัดก้นเดินงอนจากไปปล่อยให้ยุนโฮนั่งฝันค้างอยู่อย่างโดด เดี่ยว แม้ในใจจะหวังอยู่ลึกๆ ให้ยุนโฮตามมาง้อ วิ่งไล่กันข้ามภูเขาสามลูกเหมือนในหนังแขกซักหน่อยพอสนุก แต่ก็ดูไม่มีวี่แววว่ารายนั้นจะตามมาเลย เสียดายนิดๆ แต่ก็ช่างเห๊อะ งอนว้อย...หาว่าเราเป็นผี ถึงเป็นจริงก็เป็นแวมไพร์สุดเซ็กซี่ล่ะว้า ชิๆ

"แจจุง!"

ชะอุ้ย! อย่าบอกนะว่าจะตามมาง้อ? แจจุงเพ้ออยู่ในใจ ยังเดินมาได้ไม่ทันไรพ่อหนุ่มก็เรียกไว้ซะแล้ว ร่างบางค่อยๆหันกลับไปอย่างสโลว์โมชั่นสุดชีวิต เพื่อให้ภาพที่ปรากฏออกมาคล้ายกับภาพยนตร์รักโรแมนติกฉบับฮอลิวู้ด ให้ความรู้สึกราวกับตนเองเป็นจูเลีย โรเบิร์ต และยุนโฮเป็นฮิวช์ แกร๊นท์ ยังไงอย่างงั้นทีเดียว

ยุนโฮยืนเคอะๆ เขินๆ อยู่ที่เดิม "เอ่อ...คือ...เวลาคุณโมโห กรุณาอย่าเข้าใกล้ลูกผมนะครับ"

ผ่าง!

ไอ้ผู้ชายเฮงซวย

แจจุงฝันสลาย รีบติดเทอร์โบปั่นฝีเท้ากลับบ้านไปโดยไม่เหลียวหลัง คงไม่ใช่จูเลียในหนังรัก Notting Hill แล้วล่ะ แต่เป็ยจูเลียใน Runaway Bride แทนต่างหาก โฮฮฮฮฮฮฮฮ ชีช้ำ!

 

////////////////////////////////////// TBC...


ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3
เข้ามาให้กำลังใจค่ะ
เพราะว่าเราก็ชอบผลงานของพี่ตองเช่นกัน o13
ชอบยุนแจด้วย :impress2:



แล้วก็สั่งไปเรียบร้อยรอหนังสืออยุ๋ค่า

ออฟไลน์ ณยฎา

  • ขอเพียงมีเธออยู่คู่ฉัน แม้นหลับก็มิฝันถึงสิ่งใด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-3
Go! Daddy (5)

คืนเดียวกันนั้นเอง ยุนโฮยังคงนั่งเหยียดยาวอยู่บนโซฟาตัวโตในห้องรับแขก เปลือกตาอันแสนเมื่อยล้าค่อยๆ กระพริบปริบก่อนจะลืมขึ้นหลังจากแอบงีบพักสายตามาครู่ใหญ่ ท่ามกลางความมืดที่เริ่มโรยแสง มีตำราทฤษฎีไฟฟ้ากำลังเล่มหนักอึ้งเพียงเล่มเดียวอยู่บนตัว แต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนกับวันก่อนๆ ที่มีจุงโฮอยู่ในอ้อมกอดด้วย บ้านหลังใหญ่โตทั้งหลังให้บรรยากาศเงียบเหงา เงียบจนมากเกินไปเมื่อต้องอาศัยอยู่เพียงลำพัง

คิดถึงจุงโฮ... ตอนนี้จะหลับหรือยังนะ?

ปัง! ปัง! ปัง!

ไม่ใช่เสียงเวนเดธต้า หรือปืนอาก้ากระสุน 9 มม. แต่เป็นเสียงรัวประตูแรงๆ ที่ไม่แน่ใจว่าผู้เคาะใช้มือหรือขาหน้ากระแทกกันแน่ ปลุกยุนโฮให้ตื่นจากภวังค์ ชายหนุ่มร่างสูงลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจอีกสองสามที ก่อนจะยื่นมือไปกดสวิตช์เปิดไฟ เมื่อแสงสว่างพรึ่บขึ้นก็ทำให้สามารถมองเห็นเวลาจากนาฬิกาโบราณใกล้กับชั้น หนังสือได้อย่างชัดเจน

สามทุ่มครึ่ง... พัสดุ ems แม้จะถูกส่งตรงโดยบริษัทชั้นนำอย่าง FedEX ก็คงไม่รีบขนาดมากันตอนนี้หรอกนะ

ชายหนุ่มลากขาเดินไปยังประตูหน้าบ้าน เกาหน้า เกาคอ แคะจมูก ไปเรื่อยตามประสาหนุ่มหล่อมารยาทดี เหอะ... ยุนโฮเอื้อมมือเกี่ยวด้ามจับประตู ก่อนจะดึงมันให้เปิดออก ทันใดนั้นก็ราวกับประสาทหูกลับมาทำงานได้ดีอีกครั้งด้วยเสียงร้องไห้แสนคุ้น เคยแบบฉบับ จอง จุงโฮ ดังแว๊ดแผดลั่นสั่นประสาทดีนักแล

"ดาดิ๊อ่า! แง๊!!!"

ยุนโฮสะดุ้งโหยง พลางเงยหน้ามองคนอุ้มเด็กที่ยืนน้ำตาเปรอะหน้าไม่แพ้จุงโฮเลยในตอนนี้ "ฮึก...จุงโฮร้องไห้ไม่หยุดเลย ร้องหาพ่ออย่างเดียว ฮึก โฮฮฮฮฮฮฮฮ" เอาเข้าไป ร้องไห้แข่งกันซะงั้น แจจุงผู้ซึ่งอาสาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะเอาจุงโฮไปดูแลให้กลับมาตายรังที่ เดิม เขาหอบผ้าหอบผ่อนของเจ้าหนูติดมือมาจนครบ "ฮือ ขอโทษนะยุนโฮ ขอโทษษษษษษษษ"

ยุนโฮยื่นมือไปรับเจ้าหนูพลัง 600 วัตต์มาจากแจจุง พร้อมๆกับที่แจจุงโถมตัวเข้ามาสวมกอดเขาอย่างอดรนทนไม่ได้ เล่นเอายุนโฮอึ้งค้างไปหลายสิบวินาที ปลอบเด็กยังไม่พอยังต้องมาคอยปลอบคนสวย เอาวะ...ในความโชคร้ายก็ยังมีกำไรให้เก็บเกี่ยวบ้างไม่เสียหลาย มือหนาโอบแจจุงเข้ามาลูบหลังปลอบเบาๆ

"ไม่เป็นไรหรอกแจจุง ผมเข้าใจ"

"ขอโทษนะ เสนอตัวช่วยเองแท้ๆ แต่กลับ..ฮ..ฮึก" ไม่ว่าเปล่า แถมยังซุกหน้าเข้ากับไหล่กว้างมากขึ้นอีก กลุ่มผมหนานุ่มติดกลิ่นหอมจางๆ ที่ซุกไซ้อยู่ตรงซอกคอทำเอาสติสตางค์ของยุนโฮเพริดไปได้ไม่น้อย "ต..แต่ไม่ต้องห่วงนะ ชั้นจะเลี้ยงจุงโฮให้ได้ ชั้นจะมานอนค้างกับนาย แล้วจะดูแลจุงโฮให้เองนะ!" ประกาศด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอย่างรู้ผิดชอบชั่วดี ทำเอายุนโฮยิ้มออกมาเพราะความน่ารักของร่างบางในอ้อมกอดนี้

คิม แจจุง แสนสวยที่งามทั้งหน้า ทั้งหัวใจ ได้อยู่ใกล้ๆ ก็ยิ่งสัมผัสได้ว่าหอมหวน แถมยังนุ่มนิ่มน่าจับต้องไปซะทุกส่วนสัด แม้ว่าจะปากคอเราะร้ายไปหน่อยก็เถอะ แท้จริงแล้วใจดีไม่หยอกทีเดียว... ขอบคุณมากนะ แจจุง...

"ขอบใจมาก แจจุง ขอบใจจริงๆ"

.
.
.

"และแล้ว... เจ้าชายกับเจ้าหญิงก็ครองรักกันตลอดไปชั่วนิรันดร์..." แจจุงปิดหนังสือนิทานในมือลง ก่อนที่ริมฝีปากสีกลีบกุหลาบนั้นจะคลี่ยิ้มบางๆ ออกมา จุงโฮกำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่ในอ้อมอกคนเป็นพ่อซึ่งกำลังกึ่งนอนกึ่งนั่งส่ง ยิ้มกับสายตาพิฆาตใจสาวใหญ่หวานหยาดเยิ้มมาให้เขา กว่าจุงโฮจะหยุดร้องไห้ จนหลับไปได้ก็เล่นเอาเกือบห้าทุ่มเลยทีเดียว เล่นเอาคนเลี้ยงเด็กทั้งสองหมดแรงไปตามๆกัน

ยุนโฮค่อยๆ วางร่างของจุงโฮลงในเปลเด็ก ก่อนจะจัดการเลื่อนแผ่นกั้นขึ้นมาเพื่อกันไม่ให้เด็กคลานจนตกลงมาเป็น อันตราย ร่างสูงระบายลมหายใจแผ่วๆอย่างโล่งอกที่ในที่สุดก็ผ่านพ้นไปได้อีกวัน เขาหันมาจ้องหน้าแจจุงยิ้มๆ ทำเอาใบหน้าหวานสวยนั้นเรื่อสีเลือดจางๆ ด้วยความเขินอาย

"ลูกนอนแล้ว คุณก็ไปนอนเถอะนะ"

อู๊ยยยยยยย ฟังแล้วขนลุกเกรียวกราว ราวกับมีกระแสไฟฟ้าไหลเข้ามาจากปลายเท้า แจจุงถึงกับอึ้งทึ่งเสียวกับน้ำเสียงกระเส่าเย้ายวนของพ่อหนุ่มคนตรงหน้าซะ จริงเชียว ให้อารมณ์สามี-ภรรยา กับลูกชายตัวน้อยมากๆ ไม่แปลกใจที่ยุนโฮสามารถเรียนในสาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้าได้จนมีผลการดีขนาดนี้ ก็ขยันบริหารไฟฟ้าสถิตย์รอบตัว แปร๊บๆปร๊าบๆ ดึงดูดเพศตรงข้าม (และเพศเดียวกัน) ขนาดนี้ แจจุงแทบจะเสียสติ ลงไปดิ้นพราดๆกับพื้นบ้านอีกซักสองสามรอบ

"แล้วนาย...ไม่นอนเหรอ?" แจจุงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหน่อมแน๊มเหมือนไม่ใช่แจจุง ในขณะที่เดินตามยุนโฮที่จูงมือเขาเข้ามาในส่วนของห้องนอนต้อยๆ มองจากตรงนี้ไปอีกฟากหนึ่งก็จะเห็นห้องนอนที่ในยามนี้มืดสนิทของตัวเองได้ อย่างชัดเจน

"ผมจะอ่านหนังสือต่ออีกซักหน่อย คุณนอนก่อนได้เลยครับ" ยุนโฮยิ้มพูด พลางกดไหล่แจจุงให้นั่งลงบนเตียงของเขา

"น..นอนตรงนี้เลยเหรอ ที่ของ..มิสซาลทิสเนี่ยนะ?" ถามไปงั้นเพื่อความแน่ใจ เพราะต่อให้ไล่ตอนนี้ก็สายไปแล้วยุนโฮเอ๋ย แจจุงหัวเราะเสียงลั่นในมโนสำนึก แม้ความละอายในส่วนลึกจะยังไล่บี้ แต่ก็หาได้สามารถเอาชนะแจจุงด้านมืดที่หลบเร้นกายอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจไม่

"ใช่ นอนตรงนี้แหละ ดวอนไม่ว่าอะไรหรอก" มารจิ้งจอกในร่างเทพบุตรยุนโฮกล่าวทิ้งท้าย ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปปิดไฟที่หัวเตียงให้ดับลง "ฝันดีนะครับ"

"อื้อ สู้ๆนะยุนโฮ"

เป็นคำพูดที่อยากบอกกับร่างสูงมานาน กระทั่งในค่ำคืนนี้ก็ได้พูดสมใจ อยากจะให้ยุนโฮสู้ทั้งเรื่องเรียน แล้วก็เรื่องของจุงโฮ อยากให้ผ่านมันไปให้ได้พร้อมๆกัน... ห่วง... อยากช่วย... อยากให้ได้พักบ้าง... อยากเป็นกำลังใจให้... ไม่รู้ว่าความรู้สึกเหล่านี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร แจจุงรู้เพียงอย่างเดียวว่าเขาไม่อยากจะปิดบังความรู้สึกดีๆ เหล่านี้อีกต่อไปแล้ว

เป็นความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อยุนโฮ... ไม่ใช่จุงโฮเหมือนที่เคย...

.
.
.

สวบ!

"อ๊ะ..." ร่างบางกระตุกน้อยๆ ยามเมื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านอยู่รอบกาย ท่อนแขนแกร่งของใครบางคนที่เอื้อมสอดเข้าใต้แขน ก่อนจะรวบเอวของเขาเข้าไปกอดไว้จากทางด้านหลังในยามนี้ทำเอาหัวใจอันเปล่า เปลี่ยวเต้นแรงเป็นจังหวะรุมบ้า หรือรุมบ้ายังน้อยไป? แบบนี้ต้องเรียกรุมกันบ้าสิถึงจะถูก ทำให้แจจุงที่กำลังสะลึมสะลือกลางดึกตื่นขึ้นเต็มตาในบัดดล

ยุนโฮแนบแก้มของเขาเข้าคลอเคลียไล้ปรางแก้มเนียนนุ่มของแจจุงอย่างถือวิสาสะ แต่แจจุงก็ไม่ได้ถือสาเพราะรู้ดีว่าเจ้าตัวคงไม่รู้หรอกว่ากำลังทำอะไรลงไป เสียงละเมองึมงึมในลำคอยังคงเปล่งออกมาให้ได้ยิน กลิ่นกายที่หอมในแบบแมนๆ ของยุนโฮเล่นเอาแจจุงเสียวสันหลังวาบ ไม่เคยถูกผู้ชายกอดจริงๆ จังๆ ขนาดนี้... ถ้าผู้ชายที่ว่าไม่นับรวมจุนซูอ่ะนะ...

"อ..อืม...จ..จุง...ฮ.."

เสียงละเมอกับลมหายใจร้อนๆ ที่เป่ารดอยู่ข้างใบหูชวนให้อุณหภูมิในร่างกายร้อนวูบวาบไม่คงที่ได้เช่นกัน แจจุงยิ้มขำๆ อยู่กับตัวเองเมื่อคิดว่ายุนโฮคงจะละเมอออกมาเป็นชื่อลูกชายสุดที่รัก แล้วคงเห็นเขาเป็นจุงโฮแน่ๆ ถึงได้กอดแน่นขนาดนี้ แต่แล้วอีกคำที่โปรยออกมาจากริมฝีปากได้รูปน่าจูบ ซึ่งยังไม่หยุดสาละวนอยู่ที่ใบหูก็ชวนให้เลือดร้อนๆ พลุ่งพล่านไม่หยุดหย่อนภายในกาย

"จ..แจจุง...แจ......"

ชัดเต็มสองรูหู ราวกับถูกประกาศออกมาด้วยระบบเสียง Dolby Digital 5.1 แถมทั้งมันยังจะรีเพลย์ไปมาราวกับแผ่นเสียงของรอย ออร์บินสันตกร่อง ไม่รู้หรอกว่ารอย ออร์บิสันได้รับค่าตัวเท่าไรจากการร่วมแสดงเรื่องนี้ แจจุงเขินม้วนต้วนอยู่ภายในอ้อมกอดแสนอบอุ่นต่อไปอย่างลืมตัว...

เขาเลื่อนฝ่ามือเรียวลงไปกุมมืออุ่นหนาของอีกฝ่ายไว้หลวมๆ ไม่ใช่แค่อุ่น...แต่หมายถึงอุ่นไปถึงข้างในจริงๆ ถึงแม้รู้ดีอยู่เต็มหัวอกว่าการนอนนิ่งๆ ปล่อยให้คนตัวโตกอดอยู่แต่ฝ่ายเดียวอย่างนี้มันดูจะขาดทุนไปหน่อยในสายตาของ นักเศรษฐศาสตร์ระดับโลก แต่สำหรับนักอักษรศาสตร์ผู้ยังไม่ได้รับปริญญาอย่างแจจุงนี้ มันเป็นการลงทุนแบบได้กำไรทั้งสองฝ่ายต่างหาก

...ฝันดีนะครับ...

ฝันถึงชั้นด้วยล่ะ ยุนโฮ...

.
.
.

ไม่บอกไมรู้นึกว่าตอนนี้กำลังยืนอยู่บนยอดภูชี้ฟ้า ท่ามกลางทะเลหมอกหนาทึบ ไม่ก็กลางวงล้อมของตำรวจที่ปาระเบิดควันเข้ามาสกัดม็อปการเมืองยังไงอย่าง งั้น แจจุงยืนนิ่งตัวแข็งเป็นหิน พยายามเหลือบตามองฟ้าบ้าง มองเพดานบ้างไปเรื่อยแก้เขิน เสียงน้ำไหลลงอ่างโจ้กๆ ยังคงดังสะท้อนภายในห้องน้ำบุกระเบื้องชัดเจน ซ้ำร้ายยังกระเทือนไปถึงชั้นในสุดโสตประสาทของเขาอีกต่างหาก

"แจจุง...มาสิ" เป็นเสียงที่เจือแววหยอกล้ออยู่ในทีของยุนโฮ ดังขึ้นมาจากด้านหลัง

"มามะ มาม้า" นี่ก็เสียงเชิญชวนที่เอาแต่อยากจะเล่นของจุงโฮ ดังขึ้นมาจากที่ที่พ่อมันอยู่นั่นแหละ

"ไม่" แจจุงยื่นคำขาด เล่นเอาทั้งพ่อทั้งลูกทำปากยื่น ใบหน้าหวานแดงซ่านซับสีเลือด มือไม้ที่มีแค่สองแต่ก็ดูจะเกะกะเหลือเกินนี้ไม่รู้จะเอามันไปวางไว้ที่ไหน ได้ นอกจากบิดๆ ดึงๆ ชายเสื้อนอนของตัวเองคลายความขัดเขิน

"อายอะไรกันน้า ผู้ชายทั้งนั้น แถมโตๆกันแล้วด้วย..."

"ก็เพราะโตๆ กันแล้วนั่นไง ถึงต้องอายน่ะ อ๊ะ! ยุนโฮ!" ไม่ทันขาดคำ ร่างทั้งร่างที่ทั้งเล็กและบอบบางกว่ามากก็ถูกดึงเข้าไปกอดอย่างหมดทางขัด ขืน พร้อมๆกับที่มือเหนียวหนึบประดุจอ๊อกโตปัสตัวโตๆ โอบข้ามมาปลดกระดุมเสื้อของแจจุงออกทีละเม็ด... แผ่นหลังที่สัมผัสแนบอยู่กับแผ่นอกและท่อนล่างที่เปลือยเปล่าโดยสมบูรณ์ของ ยุนโฮ เรียกความรู้สึกวูบๆ วาบๆ พิลึกให้เข้ามารบกวนในจิตใจอีกครั้งแล้ว อึ๋ย... "ไม่เอานะ ยุนโฮ!"

"ทำไมล่ะ? จุงโฮรออยู่นะ ใช่มั้ยลูก?"

"มามะ ดาดิ๊ คิกๆๆ"

พรึ่บ!

หมดกัน หมดเนื้อหมดตัวเลยตู... แจจุงยกฝ่ามือขาวทั้งสองข้างขึ้นปิดใบหน้า ความร้อนที่ส่งผ่านไปยังผิวเนื้อนี่สามารถดันปรอทแตกได้ง่ายๆ ตั้งแต่เกิดมาเคยแต่อาบน้ำกับพี่สาวแปดคนสมัยเด็กๆ ไม่เคยอาบน้ำกับผู้ชายที่..เอ่อ...โตขนาดนี้เฟ้ย!

หลังจากปลดเปลื้องอาภรณ์ของคนตรงหน้าได้สำเร็จ ยุนโฮก็ระริกระรี้ลากแจจุงไปลงอ่างอาบอบนวด เอ้ย อาบน้ำด้วยกัน เจ้าหนูจุงโฮดูจะมีความสุขที่ในเช้าวันนี้มีเพื่อนเล่นเพิ่มขึ้น สนุกสนานอยู่กับการบีบพุงเป็ดสีฟ้าตัวใหม่ที่แด๊ดดี้เพิ่งซื้อให้จนสายน้ำ เย็นๆ ฉีดออกมาจากปาก เป็ดพ่นน้ำ... ไอเท็มใหม่ที่ใช้เบี่ยงเบนความสนใจลูก ระหว่างนั้นคุณพ่อก็จะได้... หุ หุ หุ

"แจจุง ลงมาสิครับ จะยืนอยู่ให้ผมเห็น...ทำไม?"

เออเฮ้ย! จริงสิ!!!

ทันทีที่ยุนโฮพูดจี้จุด แจจุงก็ทิ้งตัวโครมลงในอ่างน้ำทันทีอย่างไม่ต้องทำอิดออดเหนียมอายอีกต่อไป แต่ใจเจ้ากรรมดันทำให้เจ็บช้ำ สมองที่เกือบจะขาวโพลนไปแล้วทั้งหมดเพิ่งนึกได้ว่าทิ้งน้ำหนัก นั่งลงมาเต็มๆอย่างนี้ ก็เข้าทางเจ้าจิ้งจอกนี่พอดีเลยสิ โอ้ยะโฮวาห์! นั่งตักมันพอดี!!

"โอ๊ะ!" ยุนโฮทำทีเป็นใสซื่อเพื่อให้เหยื่อตายใจ ผิดจากหนวดอ๊อกโตปัสที่วาดหมับจับแจจุงไว้ไม่ให้หนี ร่างบางดิ้นขลุกจนน้ำแตกกระจาย สร้างคลื่นลูกยักษ์เกิดภายในอ่างอาบน้ำขนาดย่อมเยานี้ให้จุงโฮได้โต้คลื่น

"ย..ยุนโฮ..." ยิ่งดิ้นก็เหมือนยิ่งเบียด ยิ่งสู้ก็ยิ่งจะทวีความเหนื่อยอ่อนให้ร่างกายที่ยังไม่ตื่นเต็มที่ ซึ่งตื่นในที่นี้ไม่ได้มีความหมายแฝงอื่นใดนะเอ้อ กระทั่งแจจุงอ่อนระทวยลงในอ้อมแขนแข็งแรงคร้ามไอแดดของยุนโฮในที่สุด

"ก็ไม่รู้จะหนีไปไหน ยังไงก็ไม่พ้นอยู่ดี" เป็นธรรมดาของผู้ชนะนิสัยเสียที่จะเอ่ยเยาะเย้ยผู้แพ้อย่างหมดรูป แจจุงทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้คนตัวโตกอดเขาไว้อย่างนี้ แม้ว่าจะยังอายอยู่ก็ตามที

"ล..ลามกที่สุดเลย" สบถออกมาเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูจะขัดกับคำพูดอยู่ซักหน่อย จั๊กจี้นิดๆ เมื่อยุนโฮเกยปลายคางเปียกลงบนไหล่บางจนร่างของคนทั้งสองแนบชิดกันแทบจะทุก ส่วนสัด

แจจุงตีน้ำในอ่างให้เกิดฟองแก้เขิน ก่อนจะกวักน้ำชโลมอาบให้กับจุงโฮที่เอาแต่ลอยเท้งเต้งอยู่ในห่วงยางไม่ได้สน อกสนใจแด๊ดดี้กับหม่ามี้เท่าไรนัก บางทีก็ไม่เข้าใจตัวเองนักหรอกที่ปล่อยให้ยุนโฮทำอะไรตามใจแบบนี้ เพิ่งรู้จักกันไม่นาน แถมมิสซาลทิสก็คนรู้จักมักจี่ อย่างน้อยก็ควรที่จะให้เกียรติเจ้าหล่อนบ้าง แต่ก็ไม่รู้ทำไมอีกเช่นกัน... ทุกครั้งที่นึกถึงเสียงละเมอกับใบหน้ายามหลับไร้พิษสงของคนคนนี้ แจจุงก็เป็นอันต้องยอมให้หาเศษหาเลยอยู่เรื่อยไป

เสียเปรียบทั้งขึ้นทั้งร่องเลยล่ะ โบแจ...

"นี่ยุนโฮ..."

"หืม?"

"นายจะอยู่ที่นี่ตลอดไปเลยใช่มั้ย?"

"เอ๋?"

"นายกับจุงโฮจะอยู่ที่นี่ ที่บ้านหลังนี้ ใกล้ๆชั้น...ตลอดไปใช่มั้ย?" ถ้าหากยุนโฮได้เห็นสีหน้าของแจจุงในยามนี้คงอดไม่ได้ที่จะกระชากเข้ามากอด ไว้แน่นๆ แต่เพราะด้วยไม่เห็นจึงไม่รู้เลยว่ามันน่ารักขนาดไหน

ผิวขาวดุจหิมะเรื่อสีชมพูอ่อนๆ เมื่อต้องน้ำอุ่น กลิ่นหอมจางๆ เหมือนกลิ่นดอกไม้กรุ่นอวลติดจมูก แจจุงที่กำลังครางหงุงหงิงอยู่ในอ้อมกอดนี้ หากฉลาด...เป็นใครจะอยากปล่อยไปกันล่ะ?

"ไม่แน่..." ยุนโฮตอบ พลางสอดกระชับอุ้งมือประสานกับมือเรียวสวยของแจจุงไว้

"ท..ทำไมล่ะ?"

"หมายถึงจุงโฮน่ะ...ไม่แน่... แต่ผม...อยากจะอยู่ที่นี่ตลอดไป...จริงๆนะ"

มือขาวแทรกไล้ภายในกลุ่มผมสีน้ำตาลที่กำลังเปียกชุ่มของชายหนุ่ม ลูบเบาๆ ก่อนจะประคองให้ศีรษะนั้นลดต่ำลงมาใกล้กันยิ่งขึ้น ปลายจมูกโด่งซุกลงกับไหล่บอบบางและซอกคอขาวยวนใจของคนตรงหน้า

งามมาก...เสียจนไม่อยากจะผละออกไปจากที่ตรงนี้ หวานมาก...จนต้องการสัมผัสที่ลึกซึ้งกว่า อุ่นเกินไป...อุ่นจนอยากได้มาครอบครองไว้ทั้งหมด รู้ดีว่าผิด...แต่ก็ยังยินดีจะทำผิด เหตุผลเพราะอะไรนั้นล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ

.
.
.

วันทั้งวันผ่านพ้นไปอย่างแสนสบายใจยุนโฮอย่างที่สุด เพราะนอกจากจะมีคนคอยดูแลพัดวีเจ้าหนูจุงโฮให้ ทิ้งเวลามากมายให้เขาได้อ่านหนังสือสอบอย่างเต็มที่ แล้วยังไม่วายได้รับความหวังดีแบบคอมโบเซ็ตในรูปของอาหารเช้า กลางวัน และมื้อดึกอันโอชะเป็นลาภปากไป ฝีมือทำอาหารแจจุงนี้เข้าขั้นภัตตาคารระดับห้าดาวเลยก็ว่าได้ ทำเอาวันนี้คุณพ่อคนเก่งดูจะเจริญอาหารมากเป็นพิเศษ

แจจุงค่อยๆ เอนกายลงบนเตียงนอน พร้อมๆกับร่างฉบับกระเป๋าของจุงโฮ เจ้าตัวเล็กโอบขวดนมที่ว่างเปล่าไปเรียบร้อยแล้วไว้ไม่ยอมปล่อย ราวกับว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่าที่ถ้าปล่อยไปป่าป๊าจะแย่งเอาไปดูดยังไงอย่าง งั้นแน่ะ ดวงตากลมๆ ค่อยๆปรือจนกระทั่งปิดลงในที่สุด แจจุงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าหนูน้อย 600 วัตต์สิ้นฤทธิ์ลงจนได้ อีกหนึ่งวันอันแสนวุ่นวาย ทว่า...สุขจนล้นใจ

เหยียดร่างบางๆของตน ก่อนจะล้มตัวนอนใกล้กับจุงโฮ แจจุงค่อยๆหลับตาลงบ้างอย่างเหนื่อยล้า ตลอดวันก็เอาแต่โหวกเหวกโวยวายบ้าตามเด็กไปด้วย เป็นยอดมนุษย์ เป็นผู้ผดุงความยุติธรรม เป็นแม่ทัพ เป็นตำรวจ... เป็นแม่...แม่ของจุงโฮ เป็นคนที่จุงโฮเรียกด้วยคำที่มีความหมายที่สุดคำนี้

พื้นเตียงที่จู่ๆ ก็ยุบยวบฉุดแจจุงให้ลืมตาขึ้นอีกครั้ง เป็นตัวโตๆ ของยุนโฮนั่นเองที่กำลังคืบโผเข้ามารวมวงด้วย ชายหนุ่มเอื้อมมือไปปิดโคมไฟให้ดับลง ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนพื้นที่ที่ว่างอยู่ แม้ว่าภายในห้องจะมืดสนิทแล้ว แต่แสงของดวงจันทร์สีนวลกับไฟจากภายนอกก็ยังคงฉายอยู่ ทำให้แจจุงสามารถมองเห็นดวงตาวาววับที่มองมายังเขาไม่วางได้ชัดเจน ยุนโฮก้มลงจูบเบาๆ ที่หัวเหน่งๆของจุงโฮ พลางโอบแขนกอดลูกชายแต่ยังไม่วายมือยื่นมือยาวมาจนกอดรวมเขาไปด้วย

แจจุงมองเห็นรอยยิ้มของยุนโฮ เห็นสายตาของยุนโฮ เห็นสิ่งที่ยุนโฮพยายามจะบอกกับเขาผ่านทางสายตาคู่นั้น... รอยยิ้มอ่อนหวานผุดขึ้นบนใบหน้าสะสวย พร้อมๆ กับที่แจจุงโอบแขนเข้ากระชับกอดจุงโฮ และแน่นอนว่าเป็นการกอดตอบคุณพ่อของจุงโฮไปด้วยในเวลาเดียวกัน ก่อนที่คนทั้งคู่จะผล็อยหลับไปด้วยกันด้วยความรู้สึกปรอดโปร่งในทั้งสมองและ หัวใจ

แมงดงแมงดาอะไรกัน... มีซะที่ไหน?

แถวนี้...มีแต่ผีเสื้อเท่านั้นล่ะ

ผีเสื้อกับดอกไม้... ไม่ว่าเมื่อไรก็เป็นของคู่กัน

 

////////////////////////////////////// TBC...

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ ณยฎา

  • ขอเพียงมีเธออยู่คู่ฉัน แม้นหลับก็มิฝันถึงสิ่งใด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-3
Go! Daddy (6)

แดดอ่อนๆ ยามเช้าที่สาดส่องลงลงมาตกกระทบลงบนเปลือกตาคล้ายกับการทักทายจากดวงตะวัน แจจุงขยับกายน้อยๆ อย่างเกียจคร้าน พลางโอบแขนกระชับร่างด้านข้างเข้ามากอดไว้แน่นๆ ทั้งที่ยังหลับอยู่ แต่เมื่อสัมผัสได้ว่าสิ่งที่ตนกำลังกอดนั้นมีทั้งกลิ่น ทั้งขนาด และพื้นผิวที่ไม่คุ้นเคย ดวงตาที่เคยปิดอยู่อย่างไม่มีทีท่าจะว่าจะยอมเปิดง่ายๆ นั้นก็จำต้องลืมขึ้นมา

ไม่ใช่จุงโฮ... ไม่ใช่ยุนโฮ... แต่เป็นตุ๊กตากระต่ายหน้าทะเล้นต่างหากที่กำลังกอดอยู่ เท่านี้ก็พอจะตระหนักให้ซึ้งในหัวใจได้แล้วว่า แชมป์นอนมาราธอนระดับโลก ตำแหน่งเหรียญทองยังตกอยู่ที่ คิม แจจุง ผู้นี้อย่างไม่ต้องสงสัย

"ยุนโฮ..." เท่าที่สองขาจะพาเอาร่างกายง่วงๆ เดินลงบันไดมาได้ แจจุงงึมงำเรียกชื่อเจ้าของบ้านเบาๆ ความเงียบที่ผิดปกติในยามเช้าเช่นนี้ทำเอาหัวใจวังเวงไปได้ไม่น้อย... แต่แล้วก็ไม่มีการตอบรับใดๆ จากยุนโฮ หรือแม้แต่เสียงอ้อแอ้ของจุงโฮที่คุ้นเคยก็ไม่มีให้ได้ยิน

ถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อคิดไปเองว่าสองพ่อลูกคงพากันออกไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆ แจจุงจึงเปลี่ยนเป้าหมายมาเตรียมอาหารเช้า (ในยามเที่ยง) สำหรับสองพ่อลูกแทนที่จะเอาแต่เดินเซไปเซมาโดยไร้ประโยชน์ จุงโฮเริ่มมีฟันน้ำนมขึ้นแล้ว อ่านจากหนังสือคู่มือเลี้ยงลูกที่ไปจับจ่ายมากับยุนโฮเมื่อวานนี้ก็บอกไว้ ว่า นอกจากอาหารเสริมเละๆ เด็กวัยนี้ยังเริ่มที่จะกินตับบด หรืออะไรที่เคี้ยวง่ายย่อยง่ายได้แล้ว ดังนั้น...วันนี้หม่าม้าแจจะลงมือทำเมนูแปลกใหม่ให้จุงโฮ ทั้งเนื้อ ทั้งผัก จะได้โตมาแข็งแรงเหมือนพ่อ ฮิๆ

ทันทีที่ร่างบางเปลี่ยนทิศจะเดินไปที่ห้องครัวนั้น เสียงเสียงหนึ่งอันดังแว่วมาจากห้องทำงานใกล้ๆ ก็เผอิญลอยมาเข้ารูหู นางฟ้าชาร์ลีอย่างเขาจึงอดไม่ได้ที่จะกระเถิบเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะเอนหลังพิงฝาผนังทำการสอดแนม ไม่ใช่การสอดรู้อย่างที่เข้าใจกันเช่นเคย

"คุณแพ็ทครับ... คุณยุนโฮครับ..." เป็นเสียงทุ้มนุ่มหูของยุนโฮที่เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา ราวกับกำลังสวดมนต์ "ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะดูแลจุงโฮให้ดีที่สุด อวยพรให้ผมด้วยนะครับ"

หมายความว่ายังไง? อวยพรให้ตัวเองงั้นรึ? แล้วคุณแพ็ทเป็นใคร? ยังมีใครนอกจากแม่ดวอน-มารีย์ หุ่นนางเอกหนังเอวีผู้นั้นอีกรึ? คำถามมากมายผุดขึ้นในสมองช่างสงสัยของแจจุงอย่างหยุดไม่อยู่ ร่างบางยกมือขึ้นลูบต้นคอพลางครุ่นคิดไม่หยุด ก่อนที่จะต้องสะดุ้งโหยง เพราะมือหนาๆ ที่เอื้อมมาจับหมับเข้าที่หัวไหล่

"แจจุง?" ยุนโฮอมยิ้มถาม เบิกดวงตาขึ้นเล็กน้อย

"ย..ยุนโฮ..."

"ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่หืม?"

"มะ...มะกี้ เพิ่งตื่นเลย เฉียดฉิวเลย ไม่ได้ยินอะไรเลย... สาบาน..." เอานิ้วไขว้กันไว้ด้านหลัง รีบแก้ตัวกันพัลวันจนแทบไม่มีพิรุจหลงเหลือเล้ย... แจจุงแยกเขี้ยวยิ้มแหยๆ ทำเฉไฉไปเรื่องอื่นทันทีโดยไม่ทิ้งจังหวะให้ร่างสูงได้ซักต่อ "ช..ชั้นไปทำกับข้าวก่อนนะ"

ยุนโฮมองตามแผ่นหลังบอบบางนั้นไปยิ้มๆ รวมวันนี้ก็นับเป็นวันที่สามแล้วที่มีแจจุงอยู่ด้วยกัน อยู่ในฐานะแม่ของจุงโฮ... ช่องว่างที่เคยมีก็ราวกับได้รับการเติมเต็มจากคนปากร้ายแต่ใจดีคนนี้ แม้ว่าจะได้ชื่อเป็นพ่อคนแล้ว แต่ถึงกระนั้นแล้วยุนโฮก็ยังเป็นแค่ชายหนุ่มอายุยี่สิบธรรมดาสามัญที่อยากจะ เก็บเกี่ยวอิสรภาพ ความคึกคะนองเป็นรสชาติให้กับชีวิตเหมือนๆ คนวัยเดียวกันทั่วไป ยอมรับว่าอยู่คนเดียวนั้น...เขาเหงา... อ้างว้างบ้างเป็นบางเวลา... แต่ก็คงไม่สามารถปริปากบอกใครได้เพราะหน้าที่ความเป็นพ่อที่ยังต้องแบกรับ

ไม่ใช่มีอะไรมาจุกปากหรอกถึงบอกไม่ได้... แต่เพราะไม่มีใครรับฟังต่างหากเล่าที่ทำให้ต้องเก็บงำความเหงานี้เอาไว้แต่ เพียงผู้เดียว คิดถึงตรงนี้ก็รังแต่จะทำให้รู้สึกขอบคุณแจจุงอย่างสุดซึ้ง ความว้าเหว่มันหายไปแล้วตั้งแต่มีแจจุงอยู่...นอนใกล้ๆ...ให้ได้กอด... แม้จะเป็นเพียงแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆก็ตามที

"มองอะไร? ทำไมไม่ไปอ่านหนังสือ พรุ่งนี้จะสอบอยู่รอมร่อ" แจจุงที่กำลังถือกระทะแหวเข้าให้ เมื่อเงยหน้าขึ้นสบสายตาเพ้อๆ ของใครอีกคนที่ยืนพิงอยู่ตรงกรอบประตูครัว

"ยังไม่อยากให้ถึงวันสอบเลย..." ยุนโฮบ่น สีหน้าฉายแววเหมือนเด็กเอาแต่ใจ

"ท..ทำไมล่ะ? ใครก็ไม่อยากสอบกันทั้งนั้นล่ะ แต่มันก็ต้องสอบ นายจะทำไงได้?" ปากถามอย่างหาเรื่อง แต่สีหน้ากลับไม่ได้ให้ความรู้สึกเช่นนั้น ปรางแก้มเนียนของแจจุงเรื่อสีเลือดสุกปลั่ง ริมฝีปากสีสดแย้มน้อยๆ ด้วยความเขินอายเมื่อสัมผัสได้ถึงสัญญาณบางอย่างที่ถูกส่งผ่านมาจากสายตาของ ร่างสูง

"ก็ถ้าสอบแล้วคงไม่ได้นอนกอดแจจุงอีก"

"บ้า" ละสายตาจากการเตรียมอาหารทันที "อย่าพูดให้เกิร์ลเฟรนด์ของนายได้ยินเชียว"

"ได้ยินแล้วจะทำไม?"

"เอ๊ะ!"

"ผมไม่แคร์หรอก" ก่อนที่แจจุงจะได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น ยุนโฮยักไหล่ พร้อมๆ กับกลับหลังหันเดินออกจากครัวไปอย่างเงียบๆ ทิ้งให้แจจุงยืนไม่เข้าใจกับประโยคสุดท้ายที่ชายหนุ่มทิ้งเอาไว้ให้เป็น ปริศนาครุ่นคิดต่อ...

หากเป็นเมื่อก่อน แจจุงคงจะกระโจนเข้าไปกระชากคอเสื้อมาตะคอกใส่หน้าเรียกร้องสิทธิที่ผู้เป็น ภรรยาพึงได้รับให้มิสซาลทิสแล้ว แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ความรู้สึกในตอนนี้ กลับมีแต่ความน้อยเนื้อต่ำใจเข้าครอบงำ

ไม่แคร์งั้นหรือ? ไม่แคร์ทั้งกับหล่อนและกับชั้นใช่ไหม... ยุนโฮ?

"นี่ยุนโฮ!" แจจุงโหม่แต่เพียงศีรษะเข้าไปในห้องนั่งเล่น ฝ่ามือของเขายังคงหุ้มด้วยถุงมือกันความร้อน เรียกให้ยุนโฮที่กำลังนั่งเหยียดยาวอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ละสายตาจากหนังสือ เรียนขึ้นมามองเขา แจจุงไม่ได้ยิ้ม แววตาของเขาไม่ได้เจือความสุข ทว่ากลับมองเห็นความจริงจังและจริงใจได้อย่างชัดเจน "...แต่ชั้นก็ยังอยู่ตรงนี้" มือพลางชี้ไปทางบ้านที่อยู่ติดกัน "ยังอยู่ใกล้ๆนายนะ"

จะยังอยากกอดอยู่ไหม... อยากกอดอีกตอนไหน... ก็สุดแล้วแต่ใจนายเถอะ

.
.
.

ริมฝีปากอุ่นชื้นประทับเบาๆ ที่แนวกระดูกหลังลำคอกระตุ้นให้ร่างบางในอ้อมกอดสั่นระริก ฝ่ามือหนาที่ค่อยๆ สอดไล้ล้ำเข้ามาภายใต้เสื้อผ้าฝ้ายเนื้อละมุนลูบไล้แผ่นอกเขาเบาๆ ทำให้สติที่ใกล้จะเคลิ้มหลับตื่นขึ้นอีกครั้ง เจ้าหนูจุงโฮนอนอยู่อยู่ในเปลของเขา ไม่ได้หลับ แต่ก็ไม่ได้ร้องไห้ ราวกับกำลังเป็นใจให้แด๊ดดี้ กับหม่ามี้ของเขาได้อยู่กันสงบๆ ตามลำพัง

ปลายจมูกโด่งกดซับความหอมจากกลุ่มผมอ่อนนุ่มสีดำสนิท ก่อนจะลดเรื่อยลงมาขบเม้มที่ใบหูเล็กให้ได้หวามไหว ตามด้วยปรางแก้มขาวละเอียด ซอกคอเนียน ตามด้วยหัวไหล่โค้งมนซึ่งในยามนี้โผล่พ้นออกมาจากคอเสื้อที่ถูกเปิดทางไว้ กว้าง แจจุงนอนนิ่ง ไม่ได้สนองตอบกริยาใดๆ แต่ร่างกายสนองทุกสัมผัสที่ได้รับมาอย่างอ่อนโยน เขารู้ดี...นี่ไม่ใช่ความเผลอใจ หากแต่เป็นการจงใจ และยินยอมของคนทั้งคู่

ในที่สุดร่างบอบบางก็ถูกพลิกให้นอนหงาย พร้อมๆ กับที่น้ำหนักตัวของอีกคนที่แข็งแรงกว่าจะค่อยๆ ถ่ายเทลงมาที่เขา เม็ดกระดุมอันเคยปลดไว้เพียงหมิ่นเหม่ถูกเปลื้องไปจนหมด เผยให้เห็นแผ่นอกแบนราบขาวกระจ่าง ทว่านุ่มนิ่มน่าหลงใหลยามเมื่อสัมผัส นัยน์ตากลมโตกระพริบปริบในความมืด ยุนโฮเห็นแสงดาวในอัญมณีสีนิลคู่นั้น เห็นกระแสวิงวอน เห็นความต้องการที่คงไม่ต่างไปจากเขาเลย

"แจจุง..." พูดไม่ทันจบประโยค ริมฝีปากก็ถูกหยุดเอาไว้ด้วยจูบเบาๆ จากคนเบื้องใต้ ก่อนที่จูบหวานๆ และแปรเปลี่ยนเป็นจูบที่หนักขึ้นด้วยแรงอารมณ์

"ชั้นต้องการนาย ยุนโฮ..." เสียงหวานคราง เรียกรอยยิ้มบางๆ จากยุนโฮได้ แจจุงช่างน่ารัก ยิ่งเฉพาะในบรรยากาศเช่นนี้ ผิวขาวผ่องพรรณยิ่งเรื่อสี ริมฝีปากอิ่มยิ่งเผยอเชื้อเชิญ แผ่นหลังบางแอ่นรอรับสัมผัสที่มากกว่า เลือดในกายร้อนรุ่มเรียกร้องใครบางคนราวกับคลื่นทะเลบ้าคลั่ง

ไม่ใช่แค่แจจุงหรอกที่ต้องการเขา ยุนโฮเองก็ต้องการแจจุง ต้องการทั้งร่างกาย... และหัวใจดวงนี้...

"รักผมมั้ย...โบแจ?"

ใบหน้าหวานแดงเรื่อ ริมฝีปากที่เริ่มช้ำคลี่ยิ้มอ้อน ชอบที่ยุนโฮเรียกเขาด้วยชื่อเล่น และแจจุงก็เพิ่งรู้ว่าการเรียกยุนโฮด้วยชื่อเล่นเป็นของโปรดของเขาเชียวล่ะ

"ร..รัก ชั้นรักนาย...ยุนนี่..."

คำตอบนั้นทำให้ชายหนุ่มพอใจ มือใหญ่ลูบไล้ต้นขาอ่อนเบาๆหยอกเย้า ก่อนจะค่อยๆแยกเรียวขาของคนข้างหน้าออกจากกัน เสื้อผ้าอันเป็นปราการด่านสำคัญในที่สุดก็ถูกขจัดไปจนหมด ยุนโฮจัดตำแหน่งตัวเองให้เข้าที่ ยกสะโพกขึ้นเล็กน้อย พร้อมแล้วที่จะเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน แต่ทว่าก็ถูกแจจุงครางปรามขึ้นก่อน

"ด..เดี๋ยว... มันจะเจ็บมั้ยยุนโฮ?"

"เอ๋?"

"ชั้นไม่เคยนะ" ถึงตรงนี้ ใบหน้าของแจจุงก็ฉีดสีแดงซ่านขึ้นมามากกว่าเก่า สายตาหยอกล้อของคนตัวโตทำเอาเขาทำอะไรไม่ถูก มือเล็กเอื้อมขึ้นเกาะไหล่ร่างสูงแล้วจิกแน่น กายสั่นสะท้านด้วยความกลัว... ครั้งแรก... ที่กำลังจะเสียเวอร์จิ้น... ก็คงต้องกลัวเป็นธรรมดา...

ยุนโฮหัวเราะ "เจ็บ...นิดเดียว...นะ"

"น..นิดเดียวแน่นะ?" น้ำตาเริ่มคลอเบ้า นึกถึงเสียงร้องของจุนซูที่เคยลอยมาเข้าหูยามดึกก็นึกหวาดขึ้นมาทันใด

"ผมจะระวัง ไม่ต้องกลัว... อย่าเกร็ง..." ยุนโฮจูบปลอบ พยายามเบี่ยงเบนความสนใจจากความเจ็บปวดนั้นด้วยจูบลึกซึ้ง

"อ..อื้อ...อื้อ..อื้อออออออ!"

หลอกเด็ก... บอกว่านิดเดียวแต่กลับเจ็บร้าวแทบขาดใจ น้ำอุ่นๆปริ่มคลองตาจนภาพเบื้องหน้าพร่ามัว แจจุงเผลอกัดริมฝีปากล่างของยุนโฮไปเต็มคำ ลิ้นร้อนหยอกเย้า พยายามปลอบโยนทั้งที่อารมณ์กำลังพุ่งแรง แจจุงทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้ร่างสูงนำเขาไปทีละก้าว ตามผู้มีประสบการณ์

"น..นาย...นายไม่เคยรู้..ว..ว่ามันจ..เจ็บ..." เสียงหวานพ้อ ถึงไม่รู้แต่ก็มั่นใจว่ายุนโฮคงไม่เคยเป็นฝ่ายที่ต้องถูกกระทำเช่นเขาแน่

"แต่ผมรู้ว่ามันจะค่อยๆหายไป" ยิ้มสว่างไสวในเงาความมืด ก้มจูบซับที่เปลือกตาสีมุก "สุดท้ายก็จะเหลือแต่ความสุข เชื่อผมเถอะ"

"อ..อื้ม..."

"ผมก็รักคุณนะแจ"

.
.
.

หนูน้อยจุงโฮเกาะห่วงยางว่ายน้ำป๋อมแป๋มอยู่ในอ่างอาบน้ำกับพี่เป็ดสีเหลือง และเป็ดพ่นน้ำสีฟ้า เจ้าหนูหัวเราะเริงร่า ดูจะมีความสุขมากเป็นพิเศษที่ได้ยึดครองอ่างกว้างๆ ทั้งอ่างเป็นของตัวเองแต่เพียงผู้เดียว ในวันนี้เจ้าหนูอาบน้ำเช้าเป็นพิเศษ เนื่องด้วยคุณพ่อสุดหล่อมีภารกิจต้องไปขึ้นเขียงเข้าห้องสอบปลายภาคตอนแปด โมงเช้า และแน่นอนว่าในเช้าอันแสนสดใสคงจะได้ทานข้าวเช้าอร่อยกว่าทุกวัน... กับข้าวฝีมือหม่ามี้ ต้องอร่อยถูกปากกว่าซีลีแล็กซ์เหลืองเละเหลวเป๋วเป็นไหนๆ

ยุนโฮกับแจจุงยืนมองจุงโฮอยู่ใต้สายน้ำที่กำลังฉีดพรมบนร่างกายจากปากฝักบัว ผ่านบานกระจกใสอันพร่ามัวด้วยไอน้ำอุ่นซึ่งตีกรอบล้อมเป็นห้องอาบน้ำเล็กๆ แยกออกมา แจจุงลูบไล้เนื้อสบู่เหลวลงบนผิวของคนตัวสูง ทำความสะอาดเนื้อตัวช่วงบนให้จนถ้วนทั่ว ในขณะที่กำลังได้รับการกระทำในแบบเดียวกันซึ่งอีกฝ่ายมอบตอบกลับมาให้... ร่อยรองสีแดงช้ำยังคงไม่เลือนหายและเจนจัด... มีความสุขซะจนน่าหมันไส้...

"อ๊ะ! จะทำอะไรน่ะยุนโฮ ลูกอยู่นะ!" ฟาดมือหนักๆ ไปที่ต้นแขนของอีกคนที่กำลังอุ้มยกตัวเขาขึ้น ก่อนจะดันไปจนแผ่นหลังแนบสนิทกับแผ่นกระจกด้านหลัง แจจุงตกใจรีบกระหวัดขาทั้งสองยึดสะโพกยุนโฮเอาไว้ สันชาตญาณบ่งบอกกำลังเขาว่าร่างกายที่จะระบมไม่หาย กำลังจะถูกรุกล้ำอีกรอบซะแล้ว

"จุ๊ๆ จุงโฮไม่รู้หรอก เล่นกับพี่เป็ดอยู่"

"อย่า...ยุนโฮ มันยังเจ็บอยู่เลย" บ่นระงม พลางลูบสะโพกตัวเองปอย

ยุนโฮจูบแจจุงที่ขมับ ไม่รั้งรอที่จะส่งกายเข้าไปในร่างเพรียวบางตรงหน้าให้ได้ร้องโอดโอยกันอีก ครั้ง "เจ็บไม่ได้หมายความว่าใช้การไม่ได้" ยิ้มกวนประสาท ตามด้วยยักคิ้วอีกสองสามที

"อย่าน่า..."

"อ่า...แต่ตัวคุณออกจะต้อนรับผมนะ" ยุนโฮเถียงข้างๆ คูๆ สายน้ำที่กำลังฉีดรดบนตัวไม่ได้ช่วยดับความร้อนภายในกายได้

"อย่า..."

"ทำไมล่า?" จ้องหน้าถามเสียงอ้อน

"ต่อสิ อย่าหยุด" แจจุงละล่ำละลัก ทั่วใบหน้างามงดแดงก่ำด้วยความขัดเขิน เขาโอบสองแขนรอบต้นคอของชายหนุ่ม กระชับกอดยึดหลักเอาไว้ไม่ให้ล้ม

"อ้าว...ฮ่ะๆ น่ารักที่สุดเลยแจจุง" ระริกระรี้ ก้มหอมแจจุงไปที ก่อนที่บทรักจะดำเนินไปอย่างเร่าร้อนย้ำเหตุการณ์เมื่อคืนที่ยังคงติดตรึง อยู่ไม่หาย สูตรฟิสิกส์... ทฤษฎีไฟฟ้าแรงสูง... ไฟฟ้ากำลัง... หลักการเหนี่ยวนำบ้าบอคอแตกที่เคยอัดแน่นอยู่เต็มสมองแทบกระเจิดกระเจิง ไม่สนใจแล้วว่าจะพกความรู้อะไรไปสอบ... ยุนโฮนึกหัวเราะกึกก้องอยู่ในใจ... หากวิชาการมันยุ่งยากนัก ก็ขอพกวิชารักไปสะเทือนห้องสอบกันล่ะวันนี้!

อูย...เสี่ยวซ้า...

.
.
.

บ่ายแก่ๆ คิม แจจุง แทบจะสคริปปลายเท้าตัวเบาหวิวราวกับใส่รองเท้ากีโต้ไปสอบด้วยอารมณ์แช่มชื่น ในหัวใจ เสียจิ้นไปแล้วมีความสุ๊ขขขขข...มีความสุข... ถึงแม้จะเป็นความคิดที่ค่อนข้างโรคจิตอยู่ในทีก็เถอะ ทุกความรู้สึกของยุนโฮยังคงวนเวียนป้วนเปี้ยนหยอกล้อในหัวใจให้ได้หัวเราะ คิกคักมาตลอดทาง ทำเอาน้องรหัส เหลนรหัส ส่ายหน้าให้ด้วยความเอือมระอา

คนเราพอมีความรัก... โลกก็กลับกลายเป็นสีชมพู กระดาษข้อสอบก็เป็นสีชมพู จากไม่เคยอยากจะเขียนอะไรลงไปซักตัว แต่พอเผลอแผล็บเดียวก็ระบายเต็มไปด้วยกลอนรัก อาจารย์คุมสอบหน้าเหี้ยมราวกับสมาชิกกลุ่มโจรกบฏอาบูไซยาร์ปก็ดูน่ารักขึ้น มาขนัดตา ฝูงหมาขี้เรื้อนก็ดันมองเป็นปอมเปอเรเนียนขนฟูไปซะได้ สาอะไรกับเพื่อนหุ่นถั่วงอกปลูกในที่มืดที่ร้อยวันพันปีจะพูดกันดีๆ ในวันนี้ก็นั่งคุยกันหว่านภาษาดอกไม้ แหม๊...แจจุ๊ง... ผีที่มันชอบเจาะปากแกมันโดนไล่ไปแล้วหรือไร? แกถึงได้เปี้ยนไป๋! ยูชอนล่ะตื่นเต๊ล...ตื่นเต้ลลลลล...

"หมันไส้โว้ย... ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาตั้งแต่เช้าแล้ว มีความสุขอะไรนักหนาวะแก?" ยูชอนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแดกดันตามปกติ ผิดก็แต่แจจุงที่ตอบเพื่อนอย่างไพเราะเพราะพริ้งด้วยน้ำเสียงประชาสัมพันธ์ สาวตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำก็ไม่ปาน

"ไม่มีอะไรหรอกไอ้คุณเพื่อนรักยูชอน ก็แค่รู้สึกจี๊ดๆ ในหัวอกเท่านั้นเองล่ะจ้ะ" ไม่ว่าเปล่าพลางเอานิ้วจิ้มๆ เน้นๆ ไปที่อกซ้าย

จุนซูทำตาโต "แจจุง! แจจุงเป็นอะไรหรือเปล่า? ไปเช็คสุขภาพบ้างหรือเปล่า? เดี๋ยวนี้กรมสุขภาพเค้ามีโปรโมชั่นพิเศษให้เช็คร่างกายฟรีนะแจจุง ชั้นว่ามันคุ้มดี เราลองไปตรวจกันมั้ย?" นึกว่าห่วงเพื่อน ที่แท้ก็ชอบของฟรี... แม้จะแอบน้อยใจเพื่อนรักตัวเล็กอยู่นิดหน่อย แต่ในวันนี้นางฟ้าแจจุงก็ไม่ได้ถือสา

"ไม่เป็นไรหรอกจ้ะเพื่อนที่แสนน่ารักของชั้น" แจจุงร่ำ พลางเอื้อมมือไปหยิกแก้มยุ้ยๆ ของจุนซูอีกซักที "ก็แค่เป็นโรคหัวใจนิดหน่อย คิกๆ" และแล้วเพื่อนสาวก็ร้องออกมาพร้อมกัน ทั้งยังทำท่าประกอบ "โรคหัวใจกำเริบเลิฟ ละ..ละ..เลิฟยู อิ๊ววววววววว" ทำเอายูชอนผู้ซึ่งนั่งมองอย่างคลางแคลงมานานถอนหายใจออกมาปลงๆ... ไอ้ดูโอ้ ดูแล้วอ้วกคู่นี้ น่าจะส่งมันไปออกอัลบั้มแข่งกับลาล่า-ลูลู่ซะให้รู้แล้วรู้รอด เฮ้อ...

คิดอยู่ได้ไม่ทันไร แจจุงก็ลุกพรวดพราดขึ้นจากโต๊ะม้าหินโต๊ะประจำที่พวกเขามักมานั่งอยู่บ่อยๆ พลางก้มดูนาฬิกาจากโทรศัพท์มือถือ "นี่...เดี๋ยวชั้นกลับก่อนนะเพื่อนๆ พอดียุนโฮฝากให้ไปรับจุงโฮที่สถานรับเลี้ยง" พอพูดถึงชื่อยุนโฮเท่านั้นล่ะ ใบหน้าหวานก็ไล่เฉดสีม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง วูบวาบๆ ขึ้นมาในบัดดล

"เอ้อ ตามสบายเถอะครับคุณแม่ วันนี้กระผมก็มีแผนจะพาจุนซูไปดินเนอร์ใต้แสงเทียน กินปูอลาสก้ากับเนื้อปลาวาฬทะเลอยู่เหมือนกัน คุณแม่ไม่อยู่จะได้ไม่ต้องมาเป็นมารขวางคอหอยกระผมไงครับ โคตรสุขเลยครับ...โคตรสุข!" แม้น้ำเสียงจะมีถ้อยทีเสียดสีประชดประชันอย่างเต็มล้น แต่ยูชอนก็ยังคงทำหน้าทะเล้น ทำเอาแจจุงนางฟ้าชะงักไปได้หลายวิฯ

แต่แค่นั้นยังน้อย เมื่อเทียบกับดีกรีแม่พระในกระแสเลือด แจจุงยังไม่หลุดภาพนางงาม หันมายิงฟันยิ้มกว้างให้เพื่อน...ผิดแต่ยิ้ม...มันออกแนวจะกินเลือดกินเนื้อ พิกลนะนั่น "มิได้...มิได้...ไอ้เพื่อนยาก! ไปที่ชอบที่ไม่ชอบที่ไหนก็เชิญเหอะนะ ชั้นขอตัว!"

"บ๊ายบายแจจุง แล้วเจอกันนะ" จุนซูโบกมือลาเพื่อน ยิ้มจนแก้มปริ

"บ๊ายบายที่รัก กินปูเผื่อด้วยนะ แล้วอย่าลืมหาว็อทก้าซักขวดกรอกใส่ปากแฟนนายด้วย เผื่อความร้อนกับปริมาณแอลกอฮอล์ในนั้นจะช่วยเผาฟาร์มสุนัขในปากมันให้ตาย โหงไปได้บ้าง" ถลึงตาใส่ยูชอนเป็นการทิ้งท้ายอีกซักที ก่อนจะวิ่งข้ามถนนไป แต่ยังไม่วายหันมาส่งนิ้วกลางให้ลอยละลิ่วปลิวลมมาถึงยูชอน พร้อมทำปากบุ้ยใบ้ว่า 'ขอให้ก้ามปูติดคอตาย ไอ้กร๊วก!'

ยูชอนหัวเราะก๊ากๆ ที่ในวันนี้สามารถด่าทอเพื่อนได้สำเร็จโดยที่อวัยวะยังอยู่ครบ 32 เขาโอบไหล่จุนซูเข้ามาใกล้ตัวอย่างสบายอกสบายใจ เล่นเอาจุนซูต้องขมวดคิ้วอย่างงุนงง... คนอะไร๊ โดนด่าแล้วมีความสุข... จุนซูเริ่มกลัวผู้ได้ชื่อเป็นแฟนหนุ่มของตนขึ้นมาตะหงิดๆ

"ยิ้มอะไรนักหนาน่ะยูชอน?" ใช้นิ้วชี้จิ้มที่แก้มของยูชอน เสียงเล็กเอ่ยถาม

"จุนซูไม่รู้สึกเหรอ...ว่าเพื่อนเรากำลังมีความรักน่ะ?"

"อ..เอ๋? หมายถึงแจจุงน่ะเหรอ?" ทางนี้แสดงสีหน้าแปลกใจเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว มองตามหลังไวๆ ของแจจุงที่เพิ่งจากไปกำลังสวิงกิ้งจิงกาเบลท่ามกลางสายลมเย็นก็อดยิ้มตามมา ไม่ได้ "จริงๆ ด้วยสินะ เหมือนคนกำลังมีความรักเลย นานๆทีจะเห็นแจจุงมีความสุขแบบนี้ซักที ดีจังเลยเนอะยูชอน"

ยูชอนพยักพเยิด "ใช่... ว่าแต่ใครกันที่เป็นผู้โชคร้าย ได้รับบิ๊กแจ็คพ็อตไปเต็มๆ"

"ต้องเรียกว่าผู้โชคดีต่างหาก" จุนซูยิ้มระรื่น สำหรับเขาแจจุงเป็นคนที่น่ารัก น่าคบ ที่สุดในโลกเสมอมา "หมู่นี้ก็ไม่เห็นพูดถึงใครเลยนี่ นอกจากยุนโฮกับเจ้าหนูจุงโฮเท่านั้นแหละที่ชมอยู่ไม่ขาดปาก ร..หรือว่า!?"

คู่รักนิ่งไปพร้อมๆกัน นัยน์ตาเบิกกว้าง ไม่กล้าที่จะเชื่อในความคิดที่จะว่าไปมันก็แทบเป็นอื่นไปไม่ได้

แล้วถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาล่ะ!?

เรื่องใหญ่เชียวนะเฮ้ย...

"ร..หรือว่า..." ยูชอนละล่ำละลักปากคอสั่น จนปากล่างที่ดูจะมีความอิ่มเอิบผิดมนุษย์มนานั้นตีพั่บๆ ด้วยความตื่นตะลึง

"จ..จะ...จะ..จะเป็น..." จุนซูหน้าซีดเผือดราวกับโดนผีหลอก

"จ..........จะ...จะ...จะ..จะ...จะ...จ..จ...จะ.......จะ..จะ...จอง....... จอง...จอง.....จอง..จอง...จอง..งง..งงงง.....จะ...จอง...จอง จุงโฮ!?"

และแล้วคนทั้งคู่ก็ประสานเสียงกรีดร้องออกมาพร้อมๆ กันในแบบอะแคปเปล่า เสียงสูงคน เสียงต่ำคน เสนาะโสตสะเทือนขวัญดีนักแล

"แจจุงจะพรากผู้เยาว์!! ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก"

แต่เอ่อ...ก็นะ...คิดไปด๊าย.......

.
.
.

แจจุงกระชับอุ้มเด็กชายจอง จุงโฮเข้ากับเอว ก่อนจะพาหอบข้าวหอบของหนีตายออกมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กอันแสนน่าขนพองสยอง เกล้าสุดๆ แม้จะยังไม่แน่ใจว่าคนเป็นพ่ออย่างยุนโฮไว้ใจเอาลูกชายที่เฝ้าฟูมฟักเลี้ยง ดูอย่างกับไข่ในหินมาฝากเลี้ยงที่นี่ได้อย่างไร แต่ในวันนี้...วันที่มีโอกาสได้มารับน้องจุงโฮกลับบ้านด้วยตัวเอง ก็ทำให้แจจุงรู้ถึงสาเหตุที่ยุนโฮพยายามหลีกเลี่ยงการมารับลูกด้วยตัว เองอย่างแจ่มชัด

นึกถึงสายตาของชายร่างกำยำบึกบึนในชุดเสื้อกล้ามกับกางเกงรัดติ้วไส้ติ่ง เวลาถามถึงคุณพ่อของน้องจุงโฮ ก็ชวนให้ขนอ่อนทั่วทั้งกายลุกเกรียวกราวขึ้นมาได้อีกรอบ ยังไม่พอกับน้ำเสียงของแม่เจ้าพะคุณรุนช่องอันมีอำนาจแม่เหล็กมากพอที่จะทำ ให้ขนหัวลุกจนแทบจับไข้หัวโกร๋น คิดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองหน้าแลหลัง กลัวจะเจอของดีดักอยู่ อูย... แจจุงกึ่งเดินกึ่งวิ่งหอบจุงโฮปุเลงปุเลงออกมาอย่างไม่คิดชีวิต

เกย์เฒ่าเขย่าโลก! ไม่มีคำใดจะจำกัดความไปได้ดีกว่านี้อีกแล้ว พระเจ้ายังปราณีที่สิ่งมีชีวิตประเภทนี้ไม่กินเด็ก! ไม่งั้นล่ะก็ไม่อยากจะคิดภาพตาม... น้องจุงโฮคงนอนหงายกลายเป็นศพหมกอยู่หลังตึกซะแล้วมั้งเนี่ย... คุณแม่จำเป็นอย่างคิม แจจุงอดที่จะจินตนาการภาพตามไม่ได้

เนื่องจากสถานรับเลี้ยงเด็กที่เอาจุงโฮมาฝากไว้ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลหมู่ บ้านที่พวกเขาอาศัยนัก ทำให้ใช้เวลาในการเดินเท้าไม่มาก แดดอ่อนๆ สายลมเย็นๆ ประกอบกับไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่ปลูกเรียงรายไว้ริมถนนจึงทำให้บรรยากาศน่า เดินเล่นเถลไถลเป็นที่สุด

"ฮ้า...ถึงแล้วน้าจุงโฮ" แจจุงถอนหายใจ ริมฝีปากสีกลีบกุหลาบคลี่ยิ้มออกโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นประตูหน้าบ้านถูกเปิด แง้มค้างเอาไว้... นี่ก็เพิ่งสี่โมงเย็น... ยุนโฮทำข้อสอบเสร็จเร็วกว่าที่คิด เห็นทีคงจะเคี้ยวหมู ฟาด A อีกวิชาเป็นแน่

"ดาดิ๊ ดาดิ๊"

เจ้าหนูร้องเรียกพ่อแจ้วๆ ทำท่าโบกมือโบกไม้ชอบใจใหญ่ เห็นอย่างนี้แจจุงจึงไม่ลังเลที่จะผลักประตูเข้าไป "ยุนโฮ! กลับมาแล้ว..ร...เหรอ..." แต่บุคคลที่หวังจะได้พบหาได้ใช่ยุนโฮอย่างที่คิดไว้แต่แรกเสียที่ไหน ทว่า...กลับกลายเป็นคนที่แจจุงไม่อยากจะพบหน้าเป็นที่สุดในเวลานี้เลยก็ว่า ได้

"ไฮ...ฮันนี่"

"ม..มิสซาลทิส..."

 

////////////////////////////////////// TBC...

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ ณยฎา

  • ขอเพียงมีเธออยู่คู่ฉัน แม้นหลับก็มิฝันถึงสิ่งใด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-3
Go! Daddy (7) END PART

ริมฝีปากที่ถูกฉาบไว้ด้วยลิปสติกเนื้อดีสีแดงเข้มคลี่บางๆ หญิงสาวหันมายิ้มให้ พร้อมกับถอดแว่นตากันแดดที่หล่อนสวมอยู่ออก เผยให้เห็นใบหน้าสวยเฉี่ยวที่จะเป็นใครอื่นไปอีกไม่ได้ "ไฮ...ฮันนี่" หล่อนทัก ดวงตาสีเขียวเข้มมองมาทางแจจุงเหมือนครั้งแรกที่เจอกัน ทว่ากลับให้ความรู้สึกแตกต่างอย่างลิบลับ

"ม..มิสซาลทิส" แก้วนัยน์ตาสีมรกตสะกดให้แจจุงตัวนิ่งแข็ง รู้สึกว่าเลือดในกายพากันเหือดหายไปหมด มือเย็นเฉียบและสั่นรัว จุงโฮในอ้อมกอดตัวกระตุก หันมาโอบรอบคอคุณแม่ตัวปลอมไว้แน่น... ใช่...คุณแม่ตัวปลอม เพราะคุณแม่ตัวจริงกำลังยืนอยู่ตรงหน้านี้แล้วไม่ใช่หรือ?

"เฮ้ ทำไมเห็นพี่แล้วต้องตกใจขนาดนั้นด้วยล่ะจ๊ะ" หล่อนถามเสียงหวาน ทว่าแจจุงไม่แน่ใจว่าเป็นการแสดงออกที่จริงใจหรือไม่

"ค..คือ...ยุนโฮฝากให้ผม...ผะ..ผ..ผม..."

"ไม่ต้องแก้ตัวหรอกจ้ะ" หล่อนยกมือปราม พยักหน้าเนิบๆ ช้าๆ ดูเยือกเย็นจนน่ากลัว "ยุนนี่ของเราสารภาพให้พี่ฟังหมดแล้ว"

จงใจย้ำคำว่า 'ของเรา' เสียงหนักแน่น แจจุงแทบหยุดหายใจ... หรือว่าตาบ้านั่น...!?!

"เข้ามาสิจ๊ะ พี่มีเรื่องจะคุยด้วย"

.
.
.

"ทำไมต้องหน้าซีดขนาดนั้น? กลัวอะไรนักหนาหืม?" มิสซาลทิสเอ่ยกลั้วหัวเราะ ในขณะที่ทั้งหล่อน แจจุง และจุงโฮ นั่งกันอยู่พร้อมหน้าที่ห้องรับแขก แจจุงก้มหน้างุดไม่กล้าสบตาหล่อน โบราณว่ากันว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ หากว่าการหลบตาไม่ให้เจ้าของยุนโฮตัวจริงจับพิรุจในดวงตาเขาได้ แจจุงก็ยินดีที่จะตาตี่เสียตั้งแต่วันนี้

หญิงสาวมองแจจุงยิ้มๆ อย่างเข้าใจทุกอย่างดี "ยุนโฮกล้ามาก ที่โทรมาบอกพี่ว่าเขารักหนู...แจจุง"

เหมือนกับถูกทุบหนักๆ ที่ท้ายทอย แจจุงมึน พูดอะไรไม่ออก

มิสซาลทิสว่าต่ออย่างไม่อยากให้เสียเวลา "ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกลัวอะไร พี่มีอะไรจะบอกเธอ เกี่ยวกับจุงโฮ" ปรายตาไปมองเด็กน้อยที่ยังคงนั่งอ้อแอ้อยู่บนตักแจจุง "...แล้วก็ยุนโฮ เขาเป็นบอยเฟรนด์ของพี่ก็แต่ชื่อ ที่จริงแล้วพี่ก็รักเขาเหมือนน้องชายคนหนึ่ง เขาก็รักพี่เหมือนพี่สาวคนหนึ่งเท่านั้นเอง"

"ห..หา?"

"ที่สำคัญ...จุงโฮไม่ใช่ลูกชายแท้ๆของพี่ แล้วก็ไม่ใช่ลูกชายแท้ๆของ จอง ยุนโฮ คนนี้ด้วย"

"ห๊าาาาาาาา!?" แจจุงอ้าปากค้าง อย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เป็นครั้งแรกที่เขาสะดุ้งพรวดขึ้นมองหน้ามิสซาลทิสอย่างไม่กลัวบาปกรรมอีก ต่อไป จงใจให้เธอย้ำคำพูดให้เขาฟังชัดๆ อีกซักทีเสียด้วยซ้ำ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!?

แววตาของหญิงสาวดูเศร้าหมองลงไป เธอมองจุงโฮผู้ไม่รู้เดียงสาเหม่อๆ ก่อนถอนหายใจออกมาเบาๆ "แม่แท้ๆ ของจุงโฮน่ะ คือแพทริเซีย-แอนน์ ซาลทิส น้องสาวแท้ๆ ของพี่เองค่ะ ส่วนพ่อของเขาก็คือจอง ยุนโฮ... ยุนโฮคนที่มีทั้งชื่อแซ่ แล้วก็หน้าตาเหมือนกับยุนโฮคนนี้อย่างกับแฝดคนละฝา แต่ทั้งแพ็ท ทั้งยุนโฮนั้น...เสียชีวิตไปแล้ว"

"เมื่อก่อนเราทั้งซาลทิสมีบ้านที่อบอุ่นในโตรอนโต้ แคนาดา ยุนโฮเป็นนักธุรกิจหนุ่มชาวเกาหลี เขารักกับแพ็ทน้องสาวของพี่ที่ในตอนนั้นเปิดร้านเบเกอรี่เล็กๆ ทั้งคู่อยากมีลูกมาก แต่แพ็ทไม่ค่อยแข็งแรงเลยทำให้มีลูกยาก แต่ทั้งคู่ก็พยายามนะ ทั้งบำรุงโน่นนี่ ทั้งทำกิ๊ฟท์ หมดเงินไปหลายแต่ก็คุ้มค่าที่ได้จุงโฮมา..." หล่อนคลี่ยิ้มเศร้า

"เคราะห์ร้ายของเด็กนะคะ แพ็ทน่ะเป็นโรคเลือดตั้งแต่เกิด เธอช็อคไปตอนคลอดจุงโฮ โชคดีที่เด็กปลอดภัย แต่อีกเดือนเดียวถัดมาสุขภาพของยุนโฮก็ทรุด กระทั่งเสียไปในที่สุด ทิ้งจุงโฮไว้กับพี่..."

น้ำเสียงสั่นเครือในลำคอของมิสซาลทิสทำเอาหัวใจของแจจุงหล่นวูบ เขาเลื่อนฝ่ามือมากุมมือของเธอไว้ให้กำลังใจ ตั้งใจฟังเรื่องราวเหล่านั้นต่อไปโดยไม่ขัดจังหวะ

"พี่ย้ายไปนิวเจอร์ซี่ย์ แล้วก็ขายบ้านเก่าที่โตรอนโต้ งานก็ยุ่งไม่มีเวลาดูหลานจนถึงขั้นต้องกระเตงเขาไปด้วยทุกที่ แจจุง...หนูรู้มั้ยว่าวันที่พี่ได้พบยุนนี่ พี่แทบลืมหายใจ เป็นวันหิมะตกที่จุงโฮร้องไห้ไม่หยุด ยุนนี่ยังเป็นเด็กผู้ชายอายุย่างสิบเก้า เขาหล่อมากๆ ถึงหน้าตาจะดูเกเรเกตุง แต่จริงๆแล้วก็อ่อนโยนมาก เขาเดินเข้ามาเล่นกับจุงโฮ... จุงโฮหยุดร้องไห้ทันที" น้ำตาปริ่มจนหญิงสาวต้องใช้หลังมือกำจัดมันออกไป "เรื่องที่น่าตกใจไม่ใช่แค่นั้นหลังจากเขาแนะนำตัวกับพี่... จอง ยุนโฮ... เหมือนทั้งชื่อ ทั้งหน้าตา อย่างกับคนคนเดียวกัน แตกต่างกันก็ตรงอายุเท่านั้นเอง ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยล่ะ..."

"ถึงจะฟังดูไม่น่าเชื่อ...แต่ผมเชื่อครับ" แจจุงบีบมือหล่อนแน่นขึ้นไปอีก เรียกรอยยิ้มสวยๆ จากมิสซาลทิสได้กว้างขึ้น ผิดจากแจจุงที่มีสีหน้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด

"ยุนนี่เค้าเหงา มาอยู่ที่วู้ดบริดจ์คนเดียวไม่มีใคร เลยแวะมาเล่นกับจุงโฮทุกวัน พี่กับเค้าจากคนไม่รู้จัก ก็กลายเป็นคนคุ้นเคย มีความสุขมากๆ เหมือนได้น้องชายคืนมาเลยล่ะ" สาวผิวแทนว่าต่อ "...ยุนนี่บอกว่าถูกชะตากับจุงโฮ พอดีกับระยะนั้นเขามีปัญหากับเพื่อนที่หอพัก พี่ก็เลยชวนให้เค้ามาอยู่ด้วยกันซะเลย แล้วก็ตอบแทนค่าที่อยู่โดยการเลี้ยงจุงโฮให้... กระทั่งเจ้าหนูพูดคำแรก เขาเรียกยุนนี่ว่าพ่อ เป็นคำแรกที่พูดได้ พี่อาจจะไม่เข้าใจความรู้สึกของยุนนี่นักหรอก แต่เขาถึงกับน้ำตาซึมเชียวนะ ตอนนี้เองที่พี่กับยุนนี่คิดว่าเด็กเค้ายังต้องการครอบครัว สุดท้ายเลยกลายเป็นยุนนี่เป็นคุณพ่อ แล้วจุงโฮก็ได้ผู้หญิงไม่เอาไหน เลี้ยงเด็กไม่ได้ งานบ้านไม่เป็นอย่างพี่เป็นแม่... ยุนนี่เค้าน่ารักเนอะ ว่ามั้ย?"

"ครับ น่ารักมาก" แจจุงพยักหน้าช้าๆ รู้สึกผิดอยู่ลึกๆ ที่เขาเคยมองยุนโฮผิดไป...มาก ไม่อยากคิดเพิ่มเติมให้ปวดใจไปมากกว่านี้ว่าหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งที่ยอมแสดง ตัวว่าเป็นพ่อของเด็กน้อยตัวเล็กๆ จะต้องสูญเสียอิสระในการใช้ชีวิตไปมากแค่ไหน ยังไม่วายต้องมาถูกคนใจแคบมองเป็นแมงดาเกาะผู้หญิงกินอีก คิดเท่านี้ก็เกลียดตัวเองแล้ว

"พี่รักยุนนี่นะ แต่ก็รักเหมือนน้องชายคนหนึ่ง เห็นหน้าแล้วก็อดให้นึกถึงน้องเขยตัวเองไม่ได้ ถึงแม้นอนเตียงเดียวกันมันจะหลอนๆ พิกลก็เหอะ" ถึงตรงนี้สาวสวยหัวเราะแห้งๆ "แต่รายนั้นก็ช่างเอาใจคนแก่ เห็นพี่เมื่อย ทำงานหนัก ก็เลยนวดจับเส้นให้บ่อยๆ"

"นวดจับเส้น!?"

"ใช่จ้ะ" ยิ้มตอบ พลางทำท่าประกอบ "มือหนักตีนหนักอย่างกับควาย แต่มันก็หายปวดสนิทดีนะ"

แจจุงยิ่งสงสัยหนักไปใหญ่ อ๋อ...ที่แท้ต้นตอของเสียงดังโหยหวนครวญครางนั่นก็มาจากการนวดแผนโบราณตำรับ ยุนโฮเองเรอะ ถึงว่า...มันฟังดูทรมานพิลึก เหะ... แต่ก็ยังมีอีกปมที่ค้างคาในหัวอก แจจุงนั่งนิ่งๆ มึนๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจถามออกไป ตายเป็นตายวะงานนี้ "อ..อ่า...แล้วที่...จ..จูบกัน?"

มิสซาลทิสนิ่งไปสามวินาที ก่อนจะกรี๊ดเสียงแหลมจนแจจุงยังสะดุ้ง "อู๊ยยยยยยยยยยยย" หล่อนเอามือตบๆ ไปบนหมอนอิงข้างตัว "มันก็แค่ kissๆ กันตามประสา ตามธรรมเนียมน่า ไม่ได้เน้นๆ deepๆ เหมือนอย่างหนูแจจุงหรอกจ้ะ" กระทุ้งแขนกระเซ้า เรียกสีเลือดที่เคยซีดหายกลับมาจนซ่านใบหน้าหวานของหนุ่มหน้าสวย...

ตาบ้านั่นสารภาพทุกอย่างหมดแล้ว? ...นี่มันคงจะสารภาพทุกอย่างจริงๆ!!

"เอ่อ...แล้วสรุปมิสซาลทิส..ก็ยังโสด?"

"เยส!"

"ยุนโฮ...ก็...ก็ยังโสด?"

"That's right."

สวรรค์ทรงโปรด... แจจุงค่อยๆ ฉีกยิ้มระรื่นออกมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่ สีหน้าของมิสซาลทิสที่มองมาอย่างหยอกล้อนั่นทำเอาทนนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต้องดิ้นไปดิ้นมาบนโซฟาให้สะใจ แจจุงกระชับกอดจุงโฮก่อนจะหอมหัวเหน่งเจ้าหนูไปทีหนึ่ง เขาสัพยอก "แสบนักนะพ่อเราน่ะ"

"คิกๆ"

.
.
.

ยุนโฮเดินเซๆ ราวกับปูนาขาเกตัวใหญ่ซะไม่มี... สมองของพ่อหนุ่มออกจะทำงานได้ผิดปกติจากเดิมไปซักหน่อย เนื่องด้วยเพราะถูกข้อสอบต่อยจนแทบน็อค แหม่...ถ้าแอนตาซินอยู่แถวนี้ คงจะแจกทองให้เขาแล้วเข็มละสลึง บนท้องฟ้าแจ่มใสในมุมมองนี้มีดวงพร่างพราวระยิบเชียว วัตถุแม่สีเคลื่อนไหวอยู่รอบกาย โลกสีน้ำเงินใบโตที่ทุกวันเคยเหยียบ ในวันนี้มันกลับเปลี่ยน position มาหมุนติ้วๆอยู่บนไหล่ หลังจากออกจากห้องสอบก็ตระหนักดีว่า ไม่ดี.ด๊อก ก็คงได้โซ้ยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเอฟเอฟย้อมใจเกรดเฉลี่ยเทอมนี้เป็นแน่แท้ คิดแล้วกลุ้ม!

ทันทีที่สองขาพาเอาร่างกายเหี่ยวๆ กลับมาถึงหน้าประตูบ้าน ก็ผลักโพละเข้าไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย... เสียงหัวเราะร่วนดังแว่วๆ มาจากด้านใน ยุนโฮยักไหล่ไม่คิดม๊าก... เสียงผีบ้านผีเรือนล่ะมั้ง ชายหนุ่มคิดสยองๆ ถอดรองเท้าเตะไปทาง โยนกระเป๋าไปทาง หมายใจจะตะกายไปให้ถึงตู้เย็นหาเบียร์ซักกระป๋อง ทว่าเมื่อหยุดฝีเท้าลงที่หน้าห้องนั่งเล่นยุนโฮก็ถึงกับต้องชะงักเพราะสายตา ทั้งสามคู่ที่มองมายังเขายิ้มๆ

หนุ่มหล่อที่เพิ่งถูกข้อสอบข่มขืนมาหมาดๆ ไม่อาจเข้าใจความนัยที่ส่งผ่านมาจากสายตาเหล่านั้น... สมเพชตูล่ะสิ! สมเพชตูใช่ม้ายยยยยย?

"ฮัลโหล แด๊ดดี้" ทั้งสามประสานเสียง พร้อมกับยิ้มจนแก้มปริ

"ฮัลโหล" ยุนโฮตอบมึนๆ พร้อมๆ กับที่แจจุงโถมตัวเข้ามาสวมกอดเขาไว้แน่นๆ ก่อนหอมแก้มอีกฟอดใหญ่ เล่นเอายุนโฮผู้ทำอะไรไม่ค่อยจะถูกอยู่แล้ว วางตัวเก้ๆกังๆเข้าไปอีก "จ..แจ?"

"ชั้นรักนายที่สุดเลย ยุนโฮ"

"อ..อะไรกันเนี่ย?" ชายหนุ่มเกาหัวแกรก จากที่เคยฉลาดก็กลับกลายเป็นโง่เง่าเต่าตุ่นไปซะงั้น "แล้วดวอน... งานเสร็จแล้วเหรอ? ทำไมงวดนี้กลับเร็วจังครับ?"

ดวอน-มารีย์ยิ้ม หล่อนตอบด้วยน้ำเสียงเจือหัวเราะ "ยังหรอก คืนนี้จะบินไปปารีสต่อ งวดนี้ไปยาวสามเดือนเลย เลยแค่กลับมาเอาของ กับมอบกรรมสิทธิ์ให้ใครบางคน"

"กรรมสิทธิ์?" ยุนโฮโหมดโง่ยกกำลังสอง

"พี่ยกเธอกับจุงโฮให้หนูแจจุงไปแล้วนะ ต่อไปนี้ก็อยู่กันสามคน พ่อแม่ลูก พี่จะได้หมดห่วงซ๊ากที" หญิงสาวแถลงไข

"เห..." ยุนโฮเลิกคิ้ว หันมาสบตาแจจุงที ก่อนจะได้รับจุมพิตเบาๆ ที่ริมฝีปากเป็นรางวัล ร่างสูงหัวเราะ "ผมงงจริงๆครับ ตามไม่ทันเลยเนี่ย..."

"ไม่ต้องงงแล้วคุณพ่อ" แจจุงกระซิบ ร่างบางกระชับกอดคนที่ถูกกระแซะเย้าว่าคุณพ่อแน่นขึ้นอีก กระทั่งยุนโฮยอมกอดตอบ "ต่อไปนี้จะอยู่ให้นายกอดทุกวันเลย... เนอะ..จุงโฮ"

"ดาดิ๊! มามะ! คิกๆๆ" หนูน้อยจุงโฮดูจะมีความสุขมากเป็นพิเศษ ตะกายไปนั่งบนตักป้าดวอน ก่อนจะตบไม้ตบมืออย่างถูกอกถูกใจ มองดูคุณพ่อคุณแม่แลกจูบกันหวานหยดจนมดแทบแตกรัง เจ้าตัวเล็กอดไม่ได้ที่จะวาดภาพครอบครัวอันแสนสุขในสมองที่กำลังเจริญเติบโต ด้วยความรัก...

ครอบครัวของน้องจุงโฮ... แด๊ดดี้ยุนนี่... หม่ามี๊จุงจี้... กับน้องจุงโฮ... โอ๊ะ! แล้วที่ลืมไม่ได้... ป้าดวอน พี่มิกกี้ กับพี่จุนซูผู้น่ารัก คิกๆ

.
.
.

หกเดือนผ่านไป ไวเพราะฟิคโกหก

ปัง! ปัง! ปัง!

เสียงเคาะประตูแบบไม่เกรงใจชาวบ้านชาวช่องนั้น ปลุกยุนโฮกับแจจุงที่กำลังนอนกกกอดกันอย่างสบายใจอยู่บนเตียงนุ่มในเช้าวัน หยุดให้ตื่นขึ้น เจ้าหนูจุงโฮซึ่งถูกบำรุงอย่างครบครันด้วยหลากหลายเมนูฝีมือแจจุง ตัวโตขึ้นมากภายในระยะเวลาไม่นานนั่งเล่นของเล่นอยู่กับพื้นข้างเตียงคน เดียวไม่ขี้แย เด็กชายหันมามองแด๊ดดี้ตัวดีที่เพิ่งขยับตัวลุกขึ้นจากเตียง ก่อนจะกลับมาเล่นของเล่นต่อไม่สนใจ

"มอร์นิ่งครับจุงโฮ" ยุนโฮทักลูกชาย

"มอร์นิ่ง..." เสียงเล็กตอบชัดถ้อยชัดคำ

ยุนโฮวิ่งลงบันได เร่งฝีเท้าไปให้ทันเสียงเรียกจากประตูซึ่งดูจะยิ่งทวีความหนักหน่วงรุนแรงใน การเคาะขึ้นทุกชั่วขณะจิต กระทั่งมาถึง ชายหนุ่มยื่นมือออกไปดึงประตูให้เปิดออก พร้อมๆ กับที่แจจุงอุ้มจุงโฮลงบันไดตามมา ภาพเบื้องหน้าและเสียงที่แผดลั่นเข้ากระทบแก้วหูก็ถึงกับทำให้ต้องอ้าปาก ค้าง

"อุแว้! อุแว้!"

"ย..ยูชอน!?"

ยูชอนกับจุนซูยืนหน้าซีดเผือด เหงื่อแตกพลั่กอยู่ตรงนั้น ในอ้อมแขนของหนุ่มร่างสูงทรงถั่วงอกปลูกในที่มืดอันแสนคุ้นตาอุ้มทารกแรก เกิดไว้อย่างระมัดระวัง แต่ถึงกระนั้นก็ยังดูเก้กังพิการพิกลอยู่ดี ยูชอนยิ้มเจื่อน ผิดกับจุนซูที่มีคราบน้ำตานองหน้า ยุนโฮผู้ซึ่งแบกรับความสงสัยไว้เต็มประดาโพล่งถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

"ย..ยูชอน นายเอาลูกใครมาอุ้มน่ะ?"

ผู้ถูกถามเค้นเสียงตอบช้าๆ ผ่านลำคออันแห้งผากประดุจเอากระดาษทรายมาครูดหิน "หลานชั้น... ชื่อชางมิน... ลูกพี่ลูกน้องเอามาฝากเลี้ยงเจ็ดวัน ส่วนตัวเค้าไปเที่ยวฮ่องกง"

"ชั้นเลี้ยงเด็กไม่เป็น" จุนซูสารภาพ น้ำหูน้ำตาไหลพราก หน้าแดงก่ำไม่แพ้ทารกที่สุดที่รักของเธออุ้มอยู่เล้ย...

"แล้วพวกนายจะทำยังไง?" แจจุงถามบ้าง ในขณะที่เขาอุ้มน้องจุงโฮมายืนอยู่ข้างหน้าเพื่อนรักบ้านใกล้ทั้งสองคน ไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไรว่าทารกผู้แสนบริสุทธิ์นี้จะมีชีวิตรอดไปได้ ภายในระยะเวลาเจ็ดวันอันตรายใต้เงื้อมมือเพื่อนของเขาสองคนนี้

จุงโฮดูจะตื่นตาตื่นใจ เอื้อมมือไปจิ้มๆ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในกกผ้าสีขาวที่พี่มิกกี้ของเจ้าหนูกำลังพยายามกล่อม อยู่ ตัวอะไรหว่า? เกิดมาเพิ่งเคยเห็น...

สิ้นคำของแจจุง ยูชอนกับจุนซูก็ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าต่อหน้ายุนโฮกับแจจุงในทันที เล่นเอาทั้งคุณพ่อและคุณแม่ตกอกตกใจกันยกใหญ่

"โปรดรับการคารวะจากเราด้วยเถอะยุนโฮ" ยูชอนอ้อนวอนอย่างจนปัญญา ก่อนที่จุนซูจะร้องออกมาจนสุดเสียง

"รับเราเป็นศิษย์ด้วยเถอะนะ แจจุง!! ขอร้องงงงงงงงงงงงง"


////////////////////////////////////// The End

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ณยฎา

  • ขอเพียงมีเธออยู่คู่ฉัน แม้นหลับก็มิฝันถึงสิ่งใด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-3
TALK

ก็จบไปแล้วสำหรับเรื่องสั้นทั้งหลายของคุณตองที่เราได้ขออนุญาตมาลงไว้ที่นี่เพื่อแบ่งปันนิยายดีๆให้เพื่อนๆได้มีโอกาสอ่าน

ต่อไปก็คงเป็นโปรเจคฟิคของตัวเองบ้าง ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับความรักของหลายๆคนที่มีต่อฟิคเหล่านี้

 :pig4:

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586

ออฟไลน์ wisky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 529
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-18
อ๊าก..ยุนแจที่รัก >_<เรื่องสุดท้ายน่ารักมากอ่ะอบอุ่นที่สุด

ออฟไลน์ IöLIKE

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 993
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-6

ออฟไลน์ senaria

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ถึงกับต้องคารวะกันเลยทีเดียวอะ แบบว่าเข้าใจนะว่าเลี้ยงเด็กมันยากมว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ Sohso

  • You are my precious thing And I will always love you.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1373
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
ชอบเรื่องสุดท้ายทีสุด อยากให้มีต่อจริงๆครับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด