ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายนิดหน่อย เลยไม่ว่างต่อเลย แต่ก็เว้นช่วงนานไปหน่อยแล้ว เลยขอเอาที่เขียนค้างไว้มาแปะไปก่อนนะคะ ขออภัยที่ต่อช้าค่ะ
ส่วนเนื้อเรื่องที่บอกว่าจะแก้ ตอนนี้ตัดฉากจูบออกไปแล้วนะคะ ถ้าเจอตรงไหนยังเหลืออีกแจ้งได้ค่ะ จะได้ทวนอีกรอบ พอดีไม่มีเวลาทวนทั้งหมด เดี๋ยวต่อไม่ทัน
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ค่ะ ^^
=============================
(part 3)
กว่าพวกเราจะเดินมาถึงโรงเรียน มันก็สายจนได้ หลังจากโดนทำโทษเก็บขยะรอบโรงเรียนไปหนึ่งรอบ ก็ได้รับอนุญาตให้เข้าชั้นเรียนได้เสียที เจ้านัทยังคงเดินตามผมมาต้อย ๆ โดยไม่พูดไม่จา
พอลอบหันกลับไปมอง ก็ดันสบตาอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง เจ้านั่นยิ้มให้ราวกับมองผมอยู่ชนิดไม่คลาดสายตาเลยทีเดียว ในแววตากระตือรือร้นไม่ได้มีวี่แววของความโกรธอยู่เลยที่มาสายจนต้องโดนทำโทษก็เพราะผม
“นายตามฉันมาเองนะ ถึงได้สาย ไม่ใช่เพราะฉันสักหน่อย” ผมเปรยดักคอขึ้นก่อนเบา ๆ
“ใช่ เพราะฉันรอนายเอง ก็เลยมาสาย ไม่ใช่ความผิดของนายหรอก” เจ้านัทยอมรับง่ายดายเกินคาด ด้วยใบหน้าที่ยังคงยิ้มแย้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่กลับเป็นผมเอง ที่ความอดทนต่ำกว่า
“แล้วนายจะรอฉันมาทำไมกันเล่า นั่งชูคอบนรถให้คนขับขับมาส่งอย่างทุกวันก็สบายไปแล้ว ฉันไม่เข้าใจนายเลยจริง ๆ”
“ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่านายโกรธฉันเรื่องอะไร” คนฟังยังคงพูดต่ออย่างใจเย็น ดวงตาคมมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า จนผมชักเริ่มรู้สึกแปลก ๆ
“ก็นาย…ไม่เคย…” ผมเผลอหลุดประโยคเดิมออกมาอีก
“ไม่เคยทำอะไร” เจ้านัททวนคำผมอย่างลุ้นกว่าเก่า เมื่อกี้ผมก็ไม่ยอมบอกมัน ก็คงอารมณ์ค้างนั่นแหละ สมน้ำหน้า!
ดวงตาคมเข้มที่มองมาเริ่มดูจริงจังจนทำให้ผมหวั่นไหวอีกแล้ว บ้าจริง! ผมชักจะอารมณ์สาวน้อยเกินไปแล้วนะเนี่ย!
“ม่ะ…ไม่ ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ ฉันจะเข้าห้องแล้ว” ผมตัดบทก่อนรีบก้าวไปยังประตู หากยังไม่ทันเดินไปถึง มือแข็งแรงก็คว้าตัวผมไว้เสียก่อน แล้วจับพลิกกลับมาประจันหน้ากันเสียอย่างนั้น ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างเฝื่อน ๆ เจ้านี่มันคิดจะทำอะไรกัน…
ยังไม่ทันแย้งอะไร เจ้านัทก็จับหน้าผากผมแตะกับหน้าผากตนเองหน้าตาเฉย แล้วพูดเองเออเองต่อไปว่า
“ฉันว่านายตัวร้อนล่ะ ต้องไม่สบายแน่ ๆ เลย”
“หา…?” ผมเริ่มตั้งตัวไม่ถูก แต่ที่แน่ ๆ วันนี้ผมแกล้งป่วยการเมือง ไม่ได้ป่วยจริงสักหน่อย ตัวก็ไม่ร้อนด้วย ยัยน้ำหวานน้องสาวตัวดีของผมทดสอบมาเรียบร้อยแล้วเมื่อเช้านี้
“ต้องไปห้องพยาบาลแล้ว มาสิ” ว่าพลางแขนแข็งแรงนั่นก็รวบตัวผมขึ้น อุ้มราวกับเป็นเจ้าสาวเสียอย่างนั้น แถมตอนนั้น เรามาถึงหน้าห้องเรียนพอดีเสียด้วย เจ้านัททำหน้าซีเรียส ก่อนโผล่เข้าไป ตอนนั้นอาจารย์กำลังเริ่มสอนแล้ว เพราะเรามาสายกัน
“ขอโทษครับอาจารย์ ณภัทรไม่สบายมาก ผมขอพาเขาไปห้องพยาบาลนะครับ”
ภาพที่เจ้าบ้านัทอุ้มผมอยู่ คนทั้งห้องก็เห็นกันเต็ม ๆ ทำเอาสาว ๆ ในห้องแอบกรี๊ดกร๊าด ซุบซิบกันเป็นการใหญ่ คราวนี้ล่ะพวกนั้นคงจับคู่ให้ผมจนปวดหัวไปอีกเป็นเดือนแน่ ไม่รวมถึงแฟนคลับของเจ้าบ้านี่ ที่คงจะหมั่นไส้ผมไปเป็นเดือนอีกเหมือนกัน หากผมก็ได้แต่ซุกอยู่ในอ้อมแขนนั้น โดยไม่กล้ากระดุกกระดิก อายจนหน้าแดงฉานต้องหลับตาแน่น ตอนอาจารย์อนุวัตร อาจารย์ประจำชั้นของพวกเราเดินเข้ามาดูอาการผม
“หน้าแดงเชียว ท่าจะไข้สูงนะนั่น” มือของอาจารย์เอื้อมมาใกล้ แต่คนอุ้มกลับเบี่ยงตัวเล็กน้อยหลบก่อนตอบว่า
“ผมรีบพาไปห้องพยาบาลนะครับ ปล่อยไว้นานไม่ดี”
“อืม ฝากด้วยแล้วกันนะ ขอบใจมาก” อาจารย์อนุวัตรว่าง่าย ๆ ก่อนหันกลับมาปรามเด็กในชั้น ที่เริ่มซุบซิบกันเป็นการใหญ่ แถมหัวข้อคงหนีไม่พ้นผมกับเจ้าบ้านี่แหง ๆ
อาจารย์ช่างไร้เดียงสาจริงจริ๊ง โดยเจ้านัทหลอกหน้าตายแบบนี้ได้ไง!!!
ผมแอบคิดในใจอย่างหงุดหงิด แต่ไม่กล้าที่จะลืมตา ด้วยกลัวว่าความจะแตก แล้วเราสองคนก็จะซวยกันอีกรอบ ไม่ใช่เพราะว่าผมห่วงมันหรอกนะ ผมห่วงตัวเองต่างหากล่ะ
ระหว่างมัวแต่เกร็งด้วยกลัวว่าความจะแตกจนพูดไม่ออก สองเท้าที่ก้าวยาว ๆ พาผมเดินลิ่ว ๆ อย่างไม่รู้สึกหนักเลยสักนิดนั่น ก็เดินเลี้ยวไปยังลิฟต์สำหรับอาจารย์แล้ว
ตึกเรียนของพวกเราสูงห้าชั้น และตอนนี้เราอยู่ชั้นสาม เจ้านั่นคงไม่อยากอุ้มผมลงบันไดไปชั้นล่าง ที่เป็นห้องพยาบาล เลยขึ้นลิฟต์แทน ถ้าอ้างแบบเดิม เจออาจารย์ขึ้นมาด้วยคงไม่มีใครว่า
ผมลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกอีกเล็กน้อย ที่ได้อยู่กันสองคนอีกครั้งสักที เจ้าบ้าทำอะไรไม่คิดนี่ทำผมหัวใจแทบวายเลยทีเดียว
พอขยับจะบอกให้อีกฝ่ายปล่อยผมลง ผมก็ต้องตกใจอีกครั้ง ที่ลิฟต์ดันไม่ลง แต่ขึ้นแทนเสียนี่
“นาย…จะไปไหนน่ะ ลิฟต์มัน…” ผมพยายามจะแย้ง
เจ้านัทไม่ตอบคำ จนลิฟต์ขึ้นไปชั้นสูงสุด ร่างคล่องแคล่วก็อุ้มผมก้าวออกมา ก่อนเดินขึ้นบันไดสั้น ๆ ตรงไปดาดฟ้าเสียอย่างนั้น
ไม่ได้ไปห้องพยาบาลเหรอเนี่ย…
ผมดิ้นรนอีกครั้ง ก่อนพูดเสียงเข้ม “ปล่อยนะ ฉันไม่ได้ป่วยสักหน่อย” แต่พูดได้แค่นั้นก็เสียววูบ เพราะมองลงไปจากบันไดแล้วน่ากลัวพิลึก
“อย่าดิ้นน่าเนย เดี๋ยวก็ได้ตกบันไดพอดีหรอก ก็เพราะนายไม่ได้ป่วยน่ะสิ ฉันถึงพามาที่นี่แทนไง” ว่าพลางก้าวถึงขั้นสุดท้ายพอดี แขนนั่นจึงยอมปล่อยผมลง
ผมได้ยืนด้วยขาตัวเองอีกครั้งแล้วในตอนที่เจ้านัทต้อนให้ผมเข้าไปที่ดาดฟ้า ผ่านประตูฝืด ๆ ที่ถูกเปิดออก หรือจะพูดให้ชัดก็คือ ผมแทบจะโดนผลักให้เข้าไปเลยด้วยซ้ำ ท่าทางที่ดูซีเรียสกว่าเดิมของเจ้านัท ทำให้ผมงุนงงขึ้นบ้างแล้ว
“นาย…จะทำอะไรน่ะ” ผมถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจนัก
“ฉันต่างหาก ที่จะต้องถามนาย แล้วฉันก็พยายามถามมาหลายหนแล้วด้วย ว่านายโกรธอะไรฉัน ฉันไม่เคยทำอะไรงั้นรึ?…” ประโยคหลังเริ่มออกแนวคาดคั้น เจ้าบ้านี่ยังจำประโยคหลุด ๆ ที่ผมพูดไปได้แม่นซะจริง
ผมกัดฟันแน่นอย่างเคือง ๆ มันใช่เรื่องที่เจ้านี่ต้องมาทำเสียงเข้มคาดคั้นผมด้วยเรอะ ทั้ง ๆ ที่ความผิดทั้งหมด ก็เป็นเพราะเจ้านัทบ้านี่แท้ ๆ
“ฉันไม่บอก นายมีสมองก็หัดคิดเอาเองบ้างเซ่” ผมเริ่มเสียงเข้มใส่มันบ้าง
คนฟังนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนใบหน้านั้นจะเริ่มมีรอยยิ้มแบบแปลก ๆ ร่างแข็งแรงก้าวเข้าหา ดูน่ากลัวจนผมอดไม่ได้ต้องถอยหลังหนี หากขยับถอยไปได้ไม่เท่าไหร่ แผ่นหลังก็ชนกับลูกกรงกั้นของดาดฟ้าเสียแล้ว ผมมองไปด้านหลัง ที่ไม่มีทางไปอีกก่อนหันกลับมามองคนตรงหน้า อย่างรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
ผมก็รู้อยู่หรอก ว่าคุณหนูอย่างเจ้านัท มันมีนิสัยเอาแต่ใจ แถมไม่เคยสนใจว่าใครจะเดือดร้อนหรือลำบากก็เพราะมัน
แต่มันคงไม่ทำ…
หน้าที่ซีดเผือดเล็กน้อยของผม ทำให้อีกฝ่ายก้าวเข้ามาอีกก้าวเสียอย่างนั้น มือคล่องแคล่วปลดเข็มขัดที่คาดเอวนั้นออกมา
ผมมองเข็มขัดนั่นอย่างตกใจ “เฮ้ย..นายจะทำอะไรเนี่ย!”
มันคงไม่ได้คิดจะเล่น SM กับผมตรงนี้หรอกใช่มั้ย?
(TBC)