หัวใจขายแพงๆ 9 โดย mamเช้านี้ผมเดินออกมาจากห้องเห็นนพนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่กับคุณลุง ดูท่าทางเขาดีขึ้นมากแล้วถึงจะไม่ยิ้มสดใสเหมือนเดิมก็เถอะ
“นพ วันนี้ไปร้านหนังสือกันมั้ย?” ผมเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ แล้วชวนทันที
“พี่ธรอยากได้หนังสืออะไรเหรอครับ?”
“ก็หาหนังสืออ่านเล่นน่ะ คุณล…เอ่อ…คุณพ่อไปด้วยกันมั้ยครับ?”
“ไม่ล่ะ ขี้เกียจเดิน แก่แล้วเดินมาก ๆ ปวดหลัง”
“….ผม….” ดูเหมือนนพจะยังลังเลอยู่
“ไปให้พี่หน่อยเถอะนพ ขืนปล่อยให้ไปคนเดียวทั้งวันคงไม่กลับ นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในร้านนั่นล่ะ ไปช่วยลากกลับบ้านแทนพี่หน่อย”
อ้าว!!~ ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ
“ครับ”
อยู่ ๆ ก็มีเสียงรถขับมาจอดหน้าบ้าน รู้สึกคนขับจะหัวเสียค่อนข้างมากเสียงจอดดังสนั่น เสียงจอดรถยังไม่เท่าเสียงเดินปึงปังขึ้นเรือนมา
“ไอ้ยะ!!! มึง……”
พูดได้เท่านั้นเพราะสายตาคนพูดค้างอยู่ที่คนข้าง ๆ ผมที่ยังคงก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์ พอนพเงยหน้าขึ้นมองคุณคมสันก็ประชิดตัวแล้ว
“ขอโทษนะครับป๋า ขอโทษนะครับคุณธร” อยู่ ๆ คุณคมสันก็ลากตัวนพลงจากเรือนราวกับพายุ นพร้องเรียกยังไงก็ไม่ยอมหยุด
“เอ่อ…” ผมจะทำยังไงดีล่ะ เป็นห่วงจัง คุณคมสันคงไม่ทำอะไรรุนแรงนะ หมอนั่นตบบ่าผมเบา ๆ
“เรื่องของเขาสองคนให้เคลียร์กันเองดีกว่า เราอย่าไปยุ่งกับเขาเลย”
นั่นสินะ มันคงจะไม่ดีเท่าไหร่ถ้าผมจะเข้าไปวุ่นวายด้วย
“มันอะไรกันน่ะไอ้สองคนนี้?” ดูเหมือนคุณลุงจะยังงงอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น
“สองคนนี่มันทะเลาะกันน่ะพ่อ เดี๋ยวคงจะดีกันได้”
“เหรอ… อย่างนี้ธรก็ไม่มีเพื่อนไปซื้อหนังสือเลยน่ะสิ”
ว่าแล้วก็นึกขึ้นได้ ไอ้หมอนี่มันว่าผมเข้าร้านหนังสือไม่ยอมออก “เมื่อกี้คุณว่าจะให้นพไปช่วยลากใครกลับบ้านนะ?”
หมอนั่นปากบิดเลยครับ จะอะไรผมหยิกสีข้างเข้าน่ะสิ หนอย…มาว่าผมนั่ง ๆ นอน ๆ ในร้านหนังสือ
“โอย~….. โธ่~ ผมล้อเล่นหรอก เผื่อว่านพจะไปกับคุณไง อูย~”
ผมบิดซะอีกทีจนเจ้าตัวร้องจ๊ากนั่นล่ะถึงจะปล่อย
“ทีหลังอย่ามาว่าผมอีกนะ”
ผมขยับกลับไปนั่งข้าง ๆ คุณลุง “คุณพ่อทานอะไรรึยังครับ?”
“เมื่อกี้เจ้าป๋องมันเอาเต้าฮวยมาให้ถ้วยนึง”
พูดยังไม่ทันขาดคำป๋องก็ยกถาดเต้าฮวยมาอีก 2 ถ้วย
“คุณยะ คุณธรทานเต้าฮวยก่อนสิครับ เพิ่งทำยังร้อนอยู่เลย”
กลิ่นน้ำขิงหอมดีจัง ตั้งแต่ออกจากวังมาผมยังไม่เคยกินอีกเลย หมอนั่นนั่งลงข้าง ๆ ผมแล้วรีบจัดการเต้าฮวยกับปาท่องโก๋จนหมดถ้วย คนอะไรกินเร็วจริง ๆ ผมเพิ่งกินไปได้ไม่กี่คำเอง
“เดี๋ยวผมจะรีบไปทำงาน ถ้างานยังไม่เสร็จก็คงต้องอยู่ทำต่อ อาจจะกลับมืดไม่ต้องรอกินข้าวนะ”
ใครจะรอ ขืนรอก็หิวตาย เฮ้ย!! อยู่ ๆ ไอ้บ้านั่นก็ชะโงกหน้ามาหอมแก้มผมแล้วรีบลงเรือนไป นี่ถ้าผมเร็วกว่านี้อีกนิดคงจะได้สาดเต้าฮวยใส่คนบ้านี่แล้ว
“นอนก็นอนห้องเดียวกันแล้วยังจะมาอายกับเรื่องแค่นี้อีก” คุณลุงพูดแล้วก็พับหนังสือพิมพ์เก็บแล้วเดินกลับห้องไป
เฮ่อ~… ผมล่ะอยากเอาหัวโขกโต๊ะตาย นึกแล้วก็แค้นไอ้บ้านี่ คนอยู่กันเต็มเรือนแถมยังต่อหน้าคุณลุงอีก โธ่~
ผมหันไปมองรอบ ๆ กลุ่มคนรับใช้มุงเริ่มสลายตัวเหลือแต่ต้อยที่ยังนั่งหัวเราะคิกคักกับต้องที่จัดการตัดแต่งต้นมะลิหน้าห้องผมอยู่
ผมเพิ่งจะสังเกตว่าต้นมะลิต้นนั่นโตเร็วมาก แถมยอดที่แตกออกมาใหม่ก็เป็นดอกเลยไม่ใช่ยอดอ่อน ต้องดูแลได้อย่างดีเลยทีเดียว
“แตกดอกเยอะเหรอ?” ผมไปยืนข้างหลังต้อง
“..ครับ..” ต้องตอบอ้อมแอ้ม ผมสังเกตเห็นหูแดง ๆ …คงจะเห็นเหตุการณ์เมื่อกี้ อย่าว่าแต่ต้องอายเลย ผมยิ่งอายหนักกว่าต้องอีก
“วันนี้ว่างมั้ย?”
“ว่างครับ คุณธรจะใช้อะไรผมบอกได้เลยครับ”
ผมจะใช้งานนี่มันน่ากระตือรือร้นตรงไหนเนี่ย
“ไม่มีอะไรหรอก ผมอยากไปหาหนังสืออ่านเล่นน่ะ แต่ไม่อยากขับรถ”
ครับ… ผมขับรถเป็นแต่ขับไม่แข็ง กลัวจะไปชนท้ายรถคนอื่นเขาเข้า
“ได้ครับคุณธร”
หนังสือแต่ละเล่มย่อมมีคุณค่าในตัวของมันเอง แล้วแต่ว่าคนอ่านจะรับรู้ถึงคุณค่าของมันแค่ไหน ผมเองก็ไม่ใช่คนที่รู้คุณค่าของหนังสือได้ดีนักแต่ผมมีความสุขที่ได้อ่านได้รับรู้ถึงสิ่งที่คนเขียนต้องการจะสื่อออกมา ไม่ว่าจะเป็นงานเขียนหรือวรรณกรรมมันสามารถบ่งบอกถึงความเป็นจริงของสังคมมนุษย์ นักเขียนบางคนถ่ายทอดได้ไม่ดีนักแต่บางคนก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างลึกซึ้งเลยทีเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมานั่นน่ะรวมอยู่ในหนังสือที่ผมชอบ
ผมเลือกหนังสือได้หลายเล่มแล้ว ต้องเองก็คอยจะแย่งหนังสือที่ผมเลือกไปถือเองซะหมดทั้ง ๆ ที่ตอนแรกชวนให้เข้าร้านมาด้วยกันก็ไม่อยากจะมาต้องเรียกให้มาช่วยถือหนังสือนั่นล่ะถึงจะยอม
หลังจากได้หนังสือมาถุงใหญ่ผมก็ชวนต้องลงไปเดินที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต ผมอยากจะได้ขนมขบเคี้ยวไปฝากต้อยซะหน่อย วันนี้มาไม่ได้ชวนคงจะงอนแย่แล้วแต่ถ้าชวนมาแล้วใครจะอยู่รับใช้คุณลุงล่ะ
“มีอะไรเหรอต้อง?” ผมเห็นเขามองไปทางด้านที่ขายของแช่เย็นนานแล้ว
“ไม่มีอะไรครับ”
ไม่มีได้ยังไงก็เห็นมองนานแล้ว ผมลองเดินไปดูใกล้ ๆ ถึงได้เข้าใจ เขาติดป้ายลดราคาไอศครีมนี่เอง คงจะคิดถึงน้องเพราะรู้สึกว่าต้อยจะชอบมากอยู่เหมือนกัน ผมเดินไปหยิบมา 2-3 กล่อง
“คุณธร!!~”
“เอาไปฝากต้อยซักหน่อยก็ดี เห็นว่าชอบ”
“แต่….”
คงจะเกรงใจ “ไม่เป็นไรหรอก ผมก็อยากกินอยู่เหมือนกัน”
พอได้ขนมกับไอศครีมเรียบร้อยแล้วเราก็กลับบ้านอย่างรวดเร็วด้วยเพราะกลัวไอศครีมจะละลาย กลับไปถึงบ้านป๋องก็มารับไปจัดการตักใส่ถ้วยให้เรียบร้อยแถมยังแต่งหน้าตาไอศครีมซะจนสวย
“มันไม่ดูเป็นอาหารภัตตาคารไปหน่อยเหรอป๋อง?”
“ไม่หรอกครับคุณธร แต่งนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วดูน่ากินมากกว่าเดิมอีกนะครับ”
มันก็ใช่หรอก แต่ผมคิดว่าผมไม่กล้ากินมันน่ะสิ เสียดาย… แต่งซะออกจะสวย ไอศครีมตักเป็นก้อนราดด้วยช็อกโกแล็ตกับเวเฟอร์ที่เรียงเป็นแถวราดครีมสีคาราเมล ผมคิดว่าถ้าผมซื้อขนมกลับบ้านบ่อย ๆ ผมคงจะต้องกลิ้งไปไหนมาไหนแทนการเดินแน่ ๆ
“ป๋อง…. ผมขอเป็นไอศครีมอย่างเดียวได้มั้ย? ผมไม่ค่อยชอบช็อกโกแล็ต”
ป๋องทำหน้าตื่น “คุณธรไม่ชอบช็อกโกแล็ตเหรอครับ แย่จริง ผมต้องขอโทษด้วย… เดี๋ยวผมจะทำมาให้ใหม่นะครับ…” ป๋องพูดรัวจนลิ้นแทบจะพันกัน
“ป๋อง!! ๆ ไม่ต้องจัดอะไรมากหรอกนะ เอาแค่ไอศครีมใส่ถ้วยมาก็พอแล้ว แล้วยังไงเดี๋ยวป๋องช่วยจัดสวย ๆ ไปเสิร์ฟให้คุณท่านในห้องอีกถ้วยนึงนะ”
ป๋องรับคำแล้ววิ่งไปจัดการทันที
“…จานนี้คุณธรไม่ทานเหรอคะ?”
“ไม่ล่ะ ผมไม่ชอบช็อกโกแล็ต แต่ถ้าต้อยไม่ถือว่าเป็นของเหลือผมต้อยเอาไปก็ได้”
ต้อยยิ้มกว้าง “ต้อยไม่ถือหรอกค่ะ ถึงจะเป็นข้าวที่คุณธรทานเหลือต้อยก็กินต่อได้”
อะไรจะขนาดนั้น… ต้อยรีบหยิบจานไอศครีมไปแต่ยังไม่ทันไรก็โดนพี่ชายแย่งไป
“อ๊า!~ พี่ต้องอ่ะ เอาของต้อยคืนมานะ!~”
“ก็ต้อยกินไปแล้วนี่ จานนี้ก็ของพี่สิ”
สองพี่น้องยื้อแย่งกันวิ่งลงเรือนไป เฮ่อ~ พี่น้องคู่นี้นี่…..
บางครั้งการที่เราอยู่ในที่ ๆ ที่ล้อมรอบด้วยธรรมชาติมันก็ทำให้เรารู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าดี แต่จะดีกว่านี้ถ้าผมได้นอนห้องตัวเอง…..
“ธร…คุณมานอนเถอะ ไปยืนชมต้นไม้อยู่แบบนั้นมันมีอะไรให้ดู” หมอนั่นตบที่ข้าง ๆ ตัวเรียกผมไปนอนอย่างกับจะให้อาหารหมาอย่างนั้นล่ะ
“มีเยอะแยะ คุณก็นอนไปสิผมยังไม่ง่วง”
ที่จริงก็ง่วงหรอกแต่ผมจะรอให้หมอนั่นหลับก่อน ผมเอาที่นอนพับมาซ่อนไว้ใต้เตียงพอหมอนั่นหลับผมจะได้เอาออกมานอนข้างล่าง อยู่ ๆ หมอนั่นก็ลุกขึ้นมายืนข้าง ๆ ผม
“ไม่เห็นมีอะไรเลย มีแต่ต้นไม้กับสวน”
ยุ่งจริงแฮะหมอนี่ เฮ้ย!!~ ไอ้บ้านั่น!! มันอุ้มผมขึ้นเตียง!!
“คุณยะ!! จะบ้าเหรอ! ทำอะไร!!? ปล่อยผมลงนะ”
หมอนั่นปล่อย แต่ปล่อยผมให้นอนบนเตียง
“เด็กดื้อไม่ยอมนอนต้องให้บังคับ”
“ผมนอนก็ได้ แต่ปล่อยก่อน!!”
“นอนก็ได้แล้วให้ปล่อยทำไมล่ะ?”
“ผมจะนอนข้างล่าง”
“ทำไม?” หมอนั่นทำหน้างง
จะมางงอะไรเล่า!! ผมรีบกระดกตัวขึ้นนั่ง
“ก็คุณต้องไปทำงานแต่เช้า นอนไม่ถนัดเดี๋ยวก็ไปหลับที่ทำงาน งานการไม่เป็นอันทำกันพอดี”
หมอนั่นหัวเราะแล้วกดผมลงไปนอนอีก “ไม่หลับหรอกน่า ได้นอนกอดคุณออกจะหลับสบาย”
“คุณยะ!! ไม่เอา!! ปล่อยผมก่อน!!”
“นี่คุณ!! ถ้าคุณไม่นอนนิ่ง ๆ ผมไม่รับรองนะว่าผมจะนอนเฉย ๆ ได้”
จะขู่หรือไม่ขู่ผมว่าผมควรจะกลัวไว้ก่อน อารมณ์คนบ้าเอาแน่เอานอนไม่ได้… หมอนั่นล้มตัวนอนข้าง ๆ เอามือท้าวหัวมองผม
“…ใช่~…ต้องอย่างนี้สิ~ ยิ่งคุณนอนดิ้นไปดิ้นมาเท่าไหร่คุณยิ่งทำให้ผมไม่อยากนอนเฉย ๆ รู้มั้ย?..” หมอนั่นเอามือลูบแก้มผมไปมาพูดเสียงเบา
ผมหันไปมองหน้าเป็นเชิงขู่แต่สิ่งที่ตอบกลับมาทำเอาผมอึ้ง สายตาอ่อนโยนที่มองผมมัน….. มันไม่ควรจะเป็นสายตาแบบนี้ สายตาแบบนี้มันไม่ใช่สายตาที่มองลูกจ้างหรือว่าสายตาที่มองเพื่อนเลยแม้แต่น้อย
ผมว่าผมไม่ได้คิดไปเองแน่ ๆ ที่หมอนั่นโน้มหน้าเข้ามาใกล้ผมและดูเหมือนจะยังไม่ยอมหยุดด้วย แต่นั่นไม่แปลกเท่าทำไมผมถึงไม่ขยับตัวหนี ทำไม? จะว่าขยับไม่ได้ก็ใช่ จะว่าไม่อยากขยับก็…….
มาลงให้แล้วนะจ๊ะ
พอดีคนโป๊ดเปื่อยเล็กน้อย