จะมาต่อตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
แต่เน็ตเจ๊งอ่ะ
เพิ่งเข้าได้เมื่อกี้เอง

หัวใจขายแพงๆ 3 โดย mamวันนี้ผมต้องนั่งเซ็งอยู่กับบ้านหลังใหญ่ทั้งวัน ก็มันไม่มีอะไรจะทำ สำรวจบ้านก็ทำแล้ว ลงไปดูต้นไม้จนรอบบ้านก็แล้ว นี่ผมคงจะต้องทำความสะอาดทั้งเรือนเลยล่ะมั้งผมถึงจะมีอะไรให้ทำตลอดวัน
ผมนอนเอนไปเอนมาบนเตียงจนเมื่อยหันไปมองนาฬิกาที่ข้างเตียง เกือบ 2 ทุ่ม โทรทัศน์ก็ไม่รู้จะดูอะไร ข่าวพวกนั้นมันไม่เคยอยู่ในความสนใจของผมซักนิด
ดูหนังเหรอ? ผมแนะนำว่าอย่าเลย มันจะทำให้คุณรู้สึกเบื่อยิ่งกว่าดูโทรทัศน์ซะอีก เพราะอะไรน่ะเหรอ? เพราะหนังที่หมอนี่มีเก็บไว้ในตู้มันมีแต่หนังชีวิตลำเค็ญ ถึงชีวิตผมจะตกต่ำแค่ไหนผมก็ไม่คิดจะสนใจชีวิตอันตกต่ำของชาวบ้านคนอื่นเขาหรอก อย่างผมมันต้องดูแนวผจญภัยหรือว่าบู๊ระห่ำโลกกันไปเลย แบบว่าโดดหนีออกจากรถลัมโปกินี่หรือซุ่มย่องออกจากบ้านหลังนี้ต่างหาก
เฮ่อ~ ก็แค่คิด… ผมจะทำได้ยังไงในเมื่อผมไม่ใช่เฉินหลงหรือว่าสตอลโลนซักหน่อย เสียงรถ!? รถใคร? หมอนั่นเหรอ?
“คุณธรคะ คุณยะกลับมาแล้วค่ะ”
ผมไม่ต้องหาคำตอบที่ไหน คนรายงานรีบวิ่งขึ้นมารายงานถึงที่ กลับมาแล้วก็ดี ผมว่าผมคงต้องมีอะไรคุยกับหมอนั่นซักหน่อย แต่พอเดินออกมาหน้าห้องผมก็ต้องเก็บเรื่องคุยของผมไปไว้ทีหลังเพราะไม่รู้หมอนั่นไปหิ้วหนุ่มที่ไหนมา หน้าตาตี๋ ๆ แว่น ๆ เหมือนคนเป็นหมอ
“ไอ้ยะ กูไม่คิดเลยว่ะว่ามึงจะเป็นได้ขนาดนี้” สองคนนั่นยังเดินคุยกันมาเรื่อย ๆ ไม่ได้มองผม
“เออ… งั้นมึงก็คิดได้แล้ว นี่พสุธรแฟนกู”
ผมคิดว่านายคนนี้คงเป็นเพื่อนกับนายยะนี่เพราะภาษาที่ไม่ค่อยใช้กับคนทั่วไปมันออกมาชัดเจน
“สวัสดีครับ” ผมทักไปแต่นายคนนั้นมองผมนิ่งจนผมต้องหันไปหาคนช่วยเรียกสติ
“ไอ้สัน! นี่แฟนกู” มือหนา ๆ ตบไหล่ดังบึ้ก
“อะ! เอ่อ สวัสดีครับ ผมคมสันครับเป็นเพื่อนเจ้ายะมัน” นายคมสันนั่นแนะนำตัวกับยื่นมือมาจะจับมือผมแต่โดนหมอนั่นคว้ามือไปจับซะเอง
“สวัสดีครับ นี่ธรแฟนผมครับ”
“เชิญนั่งก่อนสิครับ” ผมเชิญเขาไปนั่งที่โซฟาอยู่บริเวณยกพื้นอีกมุมหนึ่งของเรือน มุมนั้นมีต้นจำปีส่งกลิ่นหอม
“เจ้ายะมันไม่ค่อยบอกผมเรื่องพวกนี้น่ะครับ ผมก็เลยคิดว่ามันจะโสดไปตลอดชีวิต”
ผมได้แต่ยิ้มตอบไป จะให้ผมพูดอะไรล่ะเพราะตัวผมเองก็คิดจะโสดเหมือนกัน แต่โดนใครบางคนแถวนี้มาทำให้โดนเข้าใจว่าไม่โสดไปซะก่อน อยู่ ๆ โทรศัพท์ของหมอนั่นก็ดังขึ้นมา
“คุยกันไปก่อนนะ เดี๋ยวมา… ไอ้สัน…แฟนกู อย่ารุ่มร่าม” เตือนคนอื่นแต่ตัวเองน่ะรุ่มร่ามจนน่าเกลียด พอผมนั่งปุ๊บต้องมานั่งเบียดจนแทบจะคว้าผมไปนั่งตักอยู่แล้ว
“ขอโทษครับ ผมอยากจะขอเสียมารยาทถามอะไรซักหน่อย”
“ครับ?”
“คุณธรเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายครับ?”
อ้าว~ นี่ดูไม่รู้เลยรึไง!?
“เอ่อ…คือ…คุณธรดูเหมือนพวกสาวหล่อหรือหนุ่มสวยอะไรแนว ๆ นั้นน่ะครับ ผมเลยไม่แน่ใจ…”
คิดได้ยังไงน่ะนายคนนี้
“ผมเป็นผู้ชายครับ”
นายคมสันนั่นยังทำหน้าไม่แน่ใจ
“…ขอโทษนะครับ…” เขาโค้งขอโทษแล้วก็ขยับเข้ามาจับแขนจับไหล่ผม
“เฮ้ย!!! บอกว่าอย่ารุ่มร่ามไง!!!~” หมอนั่นกลับเข้ามาแล้วดึงมือเพื่อนออกจากไหล่ผมแทบจะยกตัวผมให้ห่างออกมา
“ไอ้เวร!~ กูแค่อยากรู้ว่าคุณธรเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“ก็กูบอกมึงแล้วไงว่าผู้ชาย”
“ก็กูไม่แน่ใจนี่หว่า หน้าตาออกจะน่ารัก” หมอนั่นทำท่าจะทะเลาะเป็นเรื่องเป็นราวให้ได้
“พอเถอะน่าคุณยะ เรื่องแค่นี้”
“ใช่ ๆ เรื่องแค่นี้” นายคมสันรีบสนับสนุน
หมอนั่นทำหน้าไม่ค่อยพอใจนักแต่ก็ไม่ยอมลุกไปไหน นั่งทำหน้าเหมือนเทวรูปหน้าวัดอยู่ข้าง ๆ ผมนี่แหล่ะ
ระหว่างที่เราคุยกันต้อยกับป๋องก็จัดการตั้งโต๊ะอาหารจนเสร็จเรียบร้อย
“คุณธรนั่งสะดวกมั้ยคะ? ให้ต้อยไปเอาเบาะให้มั้ย?” ต้อยคลานเข้ามาถามเบา ๆ ด้านหลังผม
“ไม่เป็นไรต้อย ผมนั่งได้” ต้อยยิ้มแล้วก็ถอยออกไป
“โห ไอ้ยะ คนใช้บ้านมึงสุดยอดเลยว่ะ”
“เออเด่ะ ขนาดกูยังไม่ถามเลย” นายนั่นยังคงทำหน้านิ่งอยู่
ในเมื่อเขาไม่พูดอะไรผมก็จะพูดแค่ที่จำเป็นก็แล้วกัน เวลานายคมสันถามอะไรขึ้นมาผมจะได้ไม่หลุดแผน
“ท่าทางคนใช้บ้านนี้จะรักคุณธรมากนะครับ”
ผมยิ้มตอบไปนายนั่นก็ยิ้มมา แล้วก็มีอีกคนยิ้มด้วยยิ้มจนข้าวแทบจะติดคอ
“อะแฮ่ม คุณคมสันครับมึงกรุณาอย่าหลีแฟนกูครับ”
“กูหลีที่ไหน มึงก็เห็นว่าคุณธรเป็นคนน่ารักขนาดคนใช้ยังคอยเอาใจ กูก็เลยอยากคุยด้วย”
“อาการคุยด้วยกับอาการหลีมันไม่เหมือนกันนี่หว่า ไอ้ที่มึงทำอยู่เนี่ยเค้าเรียกหลี”
“หลีบ้าอะไรวะ มึงอคตินี่หว่า”
“เออ กูอคติ อคติตั้งแต่มึงเริ่มขยับเข้ามานั่งใกล้แฟนกูนี่แหล่ะ มึงกรุณาถอยกลับไปนั่งที่เดิมของมึงเลย”
:confuse:หือ? จริงด้วยสิผมเองก็เพิ่งจะสังเกต เขาขยับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?
“ถอยก็ได้วะ” คุณคมสันถอยกลับไปนั่งที่เดิมแล้วยิ้มให้ผมอีก
“คุณธรไม่ค่อยพูดนะครับ หรือว่าผมพูดอะไรให้ไม่พอใจ?”
“เปล่าครับ ผมแค่…ไม่รู้จะพูดอะไร”
“เหรอครับ… คุณธรสนใจเรื่องอะไรล่ะครับ เผื่อเราจะสนใจเรื่องเดียวกัน”
“คุณธรสนใจเรื่องกูครับไอ้คุณสัน มึงพยายามอย่าให้กูมีเรื่องที่น่าสนใจไปคุยกับคุณพยาบาลฝึกหัดคนสวยดีกว่ามั้ย?”
พอพูดจบนายคมสันนั่นทำปากขมุบขมิบ พยาบาลฝึกหัดที่ว่าคงจะเป็นแฟนเขาล่ะมั้ง
ผมนั่งฟังทั้งสองคนคุยกันอีกพักใหญ่คุณคมสันก็ขอตัวกลับไปโดยไม่ลืมทิ้งท้ายว่าถ้าป่วยเป็นโรคอะไรให้ไปหาเขาที่โรงพยาบาลได้จะรักษาให้ฟรี ผมรู้สึกว่าผมสงสารคุณพยาบาลฝึกหัดคนนั้นขึ้นมาจับใจเลยทีเดียว
“ขอโทษที่ไม่ได้โทรมาบอกก่อน เจ้าสันมันอยากเห็นคุณมากก็เลยขอตามมาด้วย”
“เขาไม่รู้เหรอ?”
“รู้เรื่องอะไร?”
“ก็เรื่องที่ผมไม่ใช่….”
หมอนั่นทำหน้าอ๋อ
“ไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากผมกับคุณ”
คงจะกลัวความแตกเอามาก ๆ ถึงขนาดเพื่อนสนิทยังไม่ยอมเล่า
“ว่าแต่….คุณล่ะเป็นยังไงบ้าง? คุ้นกับบ้านนี้ขึ้นบ้างรึยัง?”
“ก็ดี…แต่..…ช่างมันเถอะ” ที่จริงความชอบส่วนตัวผมคงไม่เหมาะที่จะเอามาเสนอความคิดเห็นน่ะนะ
“อะไร?”
“ช่างเถอะ”
ผมจะเดินกลับเข้าห้องเขาก็คว้ามือผมไว้
“อะไร?….”
“คือ…มันก็แค่ความคิดเห็นเท่านั้นน่ะ คือผมคิดว่าไอ้อ่างอาบน้ำจากุซซี่นั่นมันไม่เหมาะกับเรือนไทยเลยซักนิด”
หมอนั่นยิ้มปนหัวเราะนิด ๆ
“ผมก็คิดอย่างนั้น แต่ว่าพ่อผมท่านชอบน่ะนะ แม่กับผมลงความเห็นกันว่าเราชอบถังไม้หอมมากกว่า เวลาใส่น้ำอุ่นแล้วกลิ่นไม้หอมมันจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ดีทีเดียว”
ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นซักหน่อย หมอนี่ไม่รู้จักคำว่าพอดีหรือไงนะ
“ผมว่าแค่โอ่งมังกรก็น่าจะเหมาะแล้ว หรือถ้าไม่สะดวกแค่ฝักบัวก็พอจะไปกันได้บ้าง”
นายนั่นหัวเราะดังมาก นี่เขากำลังกวนประสาทผมนะ….
“คุณนี่เป็นมัณฑนากรได้เลยนะนี่”
“เหรอ… ขอบคุณ” ผมหันกลับจะเดินเข้าห้องเขาก็จับไว้อีก
“ขอโทษ ผมล้อเล่น ก็เห็นว่าคุณสนใจบ้านดี” เขาเดินกลับไปนั่งที่โซฟาทั้งที่ยังจับมือผมอยู่ผมก็เลยต้องเดินตามไปด้วย
“อีกซักวันสองวันพ่อผมคงจะมาที่นี่ คุณคงต้องระวังตัว”
ระวัง?

“ระวังอะไร? พ่อคุณเป็นเสือรึไง?”
“ใครก็อยากเป็นทั้งนั้นล่ะถ้าคุณแต่งตัวแบบนี้บ่อย ๆ “
แต่งตัวแบบนี้เนี่ยนะ!? ก็แค่เสื้อยืดกางเกงขาสั้น
“คุณนี่โรคจิตชะมัด ก็แค่ชุดลำลอง”
“ผมรู้ แต่ผมอยากให้คุณใส่กางขายาวมากกว่า ขาสั้นไว้ใส่ตอนจะนอนก็พอ แค่หน้าตาคุณก็เหมือนทอมจนเจ้าสันมันเข้าใจผิดแล้ว อย่าแต่งตัวเหมือนทอมเด็กเลย”
ทอมเด็ก? คืออะไร? ดูเหมือนหมอนั่นจะรู้ว่าผมไม่เข้าใจแต่เจ้าตัวก็ไม่ยอมอธิบายเพิ่ม
“เอาน่า ตกลงตามนี้ล่ะ หมอนั่นลุกเดินเข้าห้องไป แล้วผมจะเข้าใจด้วยดีมั้ยเนี่ย? เฮ่อ~… ทั้งนายคมสัน นายสุริยะ น่าปวดหัวพอ ๆ กัน

