ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน
ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0***********************************************
“เฮ้ยพวกแก!! รีบไปกันไอ้บลูไว้เร็ว”
เสียงสั่งการของผู้เป็นหัวหน้าทีมบาสตะโกนบอกกับลูกทีมทั้งสี่คนโดยเป้าหมายอยู่ที่ชายรูปร่างสูงโปร่ง ผมสีดำซอยสั้นรับกับหน้าตาที่หล่อเหลากระชากใจทั้งนักเรียนหญิงและชาย(?)ที่มายืนเกาะขอบสนามดูอย่างใจจดใจจ่อยิ่งกว่าตอนเรียนในห้องเรียน
ในมือของชายคนนั้นกำลังเลี้ยงลูกบาสหลบฝ่ายตรงข้ามอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่สุดท้ายก็มาจนมุมตรงหน้าแป้น ใบหน้าหล่อๆ เริ่มแสดงออกมาซึ่งความหงุดหงิด
ไม่ใช่เพราะโดนดักทางได้
แต่เป็นเพราะ...
“กูชื่อกรีนโว๊ย ไอ้สัดฟาง!!” ตะโกนด่ากลับไปแต่ก็ไม่มีผลอะไรต่อคนที่เรียกคนอื่นผิดเลย หนำซ้ำสิ่งที่ส่งกลับมาคือ ใบหน้าทะเล้นๆที่ไม่ได้บ่งบอกว่ามีความรู้สึกผิดใดๆ แม้แต่น้อย
กรีนได้แต่ทำหน้าเซ็งแล้วเริ่มพาสติกลับมาอย่างเร็ว สายตาเริ่มมองหาเพื่อนที่ว่างอยู่แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทันหมดทำให้ไม่เจอคนในทีมแม้แต่คนเดียว
ตอนนี้ร่างโปร่งเริ่มคิดไม่ตก
...เอาไงดี เวลาก็ใกล้หมดแล้วด้วย... คิดอย่างเจ็บใจแต่ก็ทำได้แต่กัดฟันกรอด ...โธ่เว้ย!!อีกแค่คะแนนเดียว...
“ชิ” ทำเสียงขึ้นจมูกอย่างหมดหนทาง
แต่ทันใดนั้น สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นพื้นที่ว่างที่มีอีกร่างหนึ่งยืนอยู่โดยที่ไม่มีฝ่ายตรงข้ามยืนประกบ
ร่างที่มีรูปร่างสูงกว่าเขานิดหน่อย..แต่ใบหน้านั้นกลับเหมือนกับเขาราวกับแกะ!!
มุมปากของคนที่ครองลูกเริ่มเชิดยิ้มขึ้นก่อนจะส่งลูกไปทางที่ร่างนั้นยืนอยู่ทันที
หมับ!
คนตัวสูงกระโดดรับลูกที่เพิ่งถูกส่งมา แล้ววิ่งเลี้ยงลูกตรงไปที่แป้นทันที โดยที่ฝ่ายตรงข้ามยังคงยืนเอ๋ออยู่กับที่โดยเฉพาะกัปตันทีมอย่างฟางที่ยืนอ้าปากค้างเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่า...ตรูลืมมันไปได้ยังไงง!!
แต่ก็นะ รู้ตัวตอนนี้ก็สายไปแล้วล่ะ...
สวบ! ปี๊ด!!
“หมดเวลาการแข่งขันแล้วค่ะ ผลการแข่งขันบาสเกตบอลระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ผลปรากฎว่าห้อง 6/3 ชนะห้อง 6/2 ไปด้วยคะแนน 54 ต่อ 53 ค่ะ”
..............................
..................
...
“ไอ้บลู!!” เสียงตะโกนดังมาจากข้างสนามทำให้เหล่านักกีฬาที่กำลังยินดีกับชัยชนะที่เพิ่งได้มาหันไปมองที่ต้นตอของเสียง ชายผมสีน้ำตาลวิ่งยิ้มร่าตรงเข้ามาก่อนจะ...
ผัวะ!! ตรงเข้าไปตบหัวหนึ่งในฝาแฝดของทีมจนอีกฝ่ายถึงกับหน้าแทบกระแทกกับพื้นคอนกรีต
“วันนี้มึงเล่นได้สุดยอด” คนผมน้ำตาลกล่าวชม รอยยิ้มประดับบนใบหน้ายังคงไม่ลบเลือนไป
“ใช่ๆถ้าไม่ได้มึงนะ 20 คะแนนลอยไปให้ไอ้พวกห้องสองแล้ว”
“เจ๋งโคตร!!”
และอีกหลายคำชมที่ดังตามมาเรื่อยๆพร้อมกับมือหลายมือยื่นมาขยี้ผมบ้าง ล็อคคอบ้าง คนที่โดนประทุษร้ายเริ่มออกอาการเส้นเลือดตรงขมับเต้นตุบเหมือนจะแตกได้ตลอดถ้าไอ้เพื่อนเวรพวกนี้มันยังไม่เอามือออกไปจากหัวเขา!
“ไอ้พวกควาย กูอยู่นี่! ไอ้ที่พวกมึงกำลังลูบอยู่น่ะ พี่กู!!”
เมื่อบลูตัวจริงเฉลย ทุกการกระทำก็ชะงัก ก่อนที่จะมีใครคนหนึ่งพูดออกมาเบาๆว่า
“อ้าวหรอ”
ปิ๊ด! และความอดทนสุดท้ายก็ขาดสะบั้นลง
นาทีต่อมานักเรียนที่เดินผ่านไปมานอกหอประชุมโรงเรียนที่เพิ่งใช้เป็นที่แข่งขันบาสของนักเรียนชั้นม.6 ก็ต้องพากันสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดดังสั่นออกมา
พร้อมพากันสงสัยว่า...
ไอ้พวกม.6มันทำอะไรกันอ่ะ?
.............................
..................
........
“โอ๊ย เจ็บๆๆ” เสียงทุ้มร้องครวญโอยเป็นจุดสนใจให้กับนักเรียนที่ยังคงเหลืออยู่ในโรงเรียนเป็นอย่างดี เนื่องจากการแข่งบาสของสายชั้นม.6 จัดแข่งตอนเย็นหลังจากคาบเรียนหมดแล้วทำให้มีนักเรียนจำนวนไม่มากที่ยังคงอยู่ภายในโรงเรียน และส่วนใหญ่ก็เป็นนักเรียนจำพวกอยู่เล่นกีฬากันบ้าง นั่งคุยกันเป็นกลุ่มบ้าง หรือรอพ่อแม่มารับทั้งนั้น
“มือมึงเนี่ยหนักอย่างกับตีน” เสียงเดิมยังคงบ่นกระปอดกระแปดต่อไป ส่งผลให้ร่างโปร่งผมดำที่เดินมาด้วยกันชักจะเริ่มรำคาญขึ้นมา
อยากหาอะไรมาอุดปากมันชะมัด ให้ตายเหอะ
“ก็ใครให้มึงหาตบหัวกูก่อนล่ะ”
ร่างสูงผมน้ำตาลหยุดบ่นแล้วหันมาเลิกคิ้วอย่างชงนให้ “อ้าว กูก็นึกว่ามึงเคืองกูเรียกที่เรียกมึงผิด”
“เรื่องนั้นน่ะ มันก็ใช่อยู่” กรีนพูดแล้วหันมาเอานิ้วจิ้มหน้าผากคนเดินข้างๆ จนหน้าหงอยไปข้างหลังแบบโอเวอร์แอคติ้ง “แต่ที่เคืองกว่าคือโดนตบหัวโว๊ย! พ่อแม่มึงไม่เคยสั่งเคยสอนรึไงว่าไม่ให้ตบหัวคนอื่นไอ้เวรนี่”
คนตัวสูงเห็นท่าทางแยกเขี้ยวของเพื่อนก็อดหัวเราะก๊ากออกมาไม่ได้
“มึงจะหัวเราะทำเหี้_ไรวะ ไอ้เชน!”
“ไม่รู้ว่ะ” หยุดหัวเราะนิดก่อนจะปล่อยก๊ากลูกใหม่ออกมา “มันไม่มีเหตุผล”
“ประสาทจริงๆ กูคบกับมึงมาได้ไงเนี่ย” กรีนถึงกับเอามือกุมขมับที่เริ่มปวดแปล่บขึ้นมา ตาสีน้ำตาลเข้มเหล่มองไปยังเชนที่ยังคงหัวเราะไม่หยุดราวกับคนบ้า อยากรู้เหลือเกินว่า...มันจะหัวเราะอะไรของมันฟะ
แต่ทันใดนั้นคนที่กำลังหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังกลับหยุดเอาซะดื้อๆ คิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากันพลางทำหน้าเคร่งเครียด กรีนมองเพื่อนที่ทำหน้าเครียดด้วยแววตาสงสัย
“เป็นไรไป”
ร่างผมน้ำตาลส่ายหัววืด ชักสีหน้าที่กรีนมองก็รู้ว่าแสร้งยิ้ม
“เปล่าๆ เราไปกันต่อเหอะ กูอยากกินติมหน้าโรงเรียน” ว่าเสร็จแขนใหญ่ก็คล้อยรอบคอเพื่อนพยายามลากออกมาจากบริเวณนั้น คนโดนลากเริ่มสงสัยหนักปัดแขนที่คล้อยคอออกแล้วตวัดสายตามองไปรอบๆ โดยมีเชนคอยพยายามที่จะห้าม
แต่ดูเหมือนจะไม่ทัน
ตาสีน้ำตาลชะงักกึกเมื่อไปเห็นภาพหนึ่งเข้า ชายผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายเขาและมีศักดิ์เป็นน้องชายร่วมสายเลือดกำลังนั่งกระหนุงกระหนิงอยู่กับผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก
เชนเห็นเพื่อนยืนนิ่งก็อดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้
“กรีน...มึงเป็น...” ถามยังไม่ทันจบ ร่างโปร่งของนักกีฬาบาสก็วิ่งผละออกไปจากบริเวณที่ยืนอยู่ทันที เชนตกใจ รีบวิ่งตามเพื่อนไปด้วยความเป็นห่วง
ขาสองข้างเริ่มวิ่งเร็วขึ้น พอๆกับใจที่เต้นรัวเร็วด้วยความเจ็บร้าวแสนสาหัส
ไม่เข้าใจตัวเอง...ไม่เข้าใจหัวใจของตัวเอง...
ทั้งๆที่ควรจะชินกับภาพแบบนั้นซะที...แต่ทำไม
...ใจดวงนี้กลับเจ็บจนเกินจะทานทน...
“เฮ้ยๆ กรีน ใจเย็นก่อน” เชนวิ่งมาทันเพื่อน มือรั้งแขนคนที่วิ่งออกมาก่อนไว้แน่น ร่างผมดำได้แต่ยืนก้มหน้านิ่ง นานเป็นนาทีจนเพื่อนเริ่มลำบากใจ
“..ทำไม” เสียงเบาเอ่ยออกมา “ทำไม...กูถึงทำใจกับภาพแบบนั้นไม่ได้ซะที”
“..ก็เพราะมึง’รัก’ไม่ใช่หรอ” ตอบกลับพลางมองร่างโปร่งสูงของเพื่อนที่ยืนทำตาเหม่อลอย คนผมน้ำตาลถอนหายใจ มือยื่นไปตบบ่า “ถึงปากมึงบอกกูว่าตัดใจแล้วก็เหอะ แต่ใจของมึงน่ะมันแสดงออกมาสวนกับคำพูดเลยนะว่า ยังตัดใจไม่ได้”
จบคำ กรีนหัวเราะหึในคอแล้วหันกลับไปมองทางที่ตนเพิ่งวิ่งมาด้วยสายตาที่เชนคิดว่า เพื่อนคนนี้กำลังเจ็บปวดถึงที่สุด
“กูไม่น่าเกิดมาเป็นพี่น้องกับมึงเลย” กระซิบออกมาเบาๆ เหมือนกับจะให้สายลมพัดพาคำพูดนี้ส่งไปถึงบุคคลคนนั้น กรีนหลับตาแน่นเมื่อรับรู้ถึงกระแสร้อนผ่าวที่ดวงตา ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ยอมแสดงความอ่อนแอออกมาเด็ดขาด
เชนมองการกระทำของเพื่อนที่พยายามข่มน้ำตาไว้ด้วยสายตาเห็นใจ ไม่อาจรับรู้ความรู้สึกของเพื่อนได้เพราะตนเองก็ไม่เคยเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้เหมือนกัน ใบหน้าคมคายเงยหน้ามองท้องฟ้าสีออกส้มตามเวลายามเย็น สมองเริ่มย้อนกลับไปคิดถึงเมื่อ2ปีก่อน
...เหตุการณ์ที่เขานั้นลืมมันไม่ลง...
ยังจำได้ว่าในเวลานั้นเป็นช่วงที่ดึกมากแล้วและเขาก็กำลังนอนกรนคร่อกอย่างสบายอารมณ์อยู่บนเตียงในห้อง แต่แล้วโทรศัพท์มือถือก็ดันดังขัดจังหวะความสุข ตาปรือขึ้นอย่างยากลำบาก มือเอื้อมไปที่โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียง แล้วกรอกเสียงไปแบบคนสลึมสลือสุดๆ เป็นกรีนที่โทรมาหาและน้ำเสียงของเพื่อนนั้นบ่งบอกว่าเครียดและกังวลมากจนทำให้อาการง่วงหายไปได้เยอะ
“ไอ้เชน กูว่า...กูชอบบลูมันว่ะ”
“……………” แค่คำพูดสั้นๆกลับทำให้เขานั่งเอ๋อรับประทานเป็นนาทีจนกรีนต้องตะโกนเรียกถึงค่อยรู้สึกตัว
“มึง..ล้อกูเล่นใช่ป่ะ?”
“ควายเหอะ เรื่องแบบนี้กูจะถ่างลูกกะตาโทรมาล้อมึงเล่นทำแป๊ะอะไรฟะ!”
“เฮ้ยจริง แต่มึงกับมันเป็น...”
“เป็นพี่น้องกันแถมยังเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่อีก กูรู้” เสียงตามสายโทรศัพท์พูดขัดขึ้นก่อนเขาจะพูดจบ
“นี่..มึงเป็นเกย์หรอ?..” คำถามที่ถามออกไปนั้นทำให้คนปลายสายถึงกับเงียบไปนาน มือเขากำโทรศัพท์แน่นรอคำตอบ เสียงที่ตอบกลับมานั้นสั่นเครือจนน่าใจหาย
“กูไม่รู้...ไม่รู้...ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร...ฮึก...ไม่รู้ว่าทำไมต้องชอบบลูมัน...ฮึก...กูไม่รู้...”
ร้องไห้!! ไม่น่าเชื่อคนอย่างไอ้กรีนร้องไห้ แปลว่ามันต้องเครียดกับเรื่องนี้มากแทบรับไม่ไหวแน่ แต่ว่า...มือกำโทรศัพท์แน่นไปอีก เจ็บใจที่ไม่อาจช่วยอะไรเพื่อนได้ เสียงสะอึกสะอื้นในโทรศัพท์ยังคงดังต่อไป นานเท่าไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าก่อนวางสายเขาได้นัดคุยกันเพื่อที่จะเคลียร์เรื่องนี้ให้รู้เรื่อง ซึ่งอีกฝ่ายก็ตกปากรับคำ
พอรุ่งเช้าเขาก็ทำการ ‘ลาก’ ร่างโปร่งของเพื่อนมาที่ลับตาคนทันที กรีนได้เล่าว่าไม่รู้ว่าชอบบลูมันตอนไหน พออยู่บ้านเวลานั่งดูทีวีที่โซฟาถ้าบลูเดินมานั่งใกล้ๆ หัวใจที่เต้นสม่ำเสมอก็จะเปลี่ยนจังหวะเป็นแซมบ้า(?)ตลอด และอีกเหตุการณ์คือตอนที่กรีนเจอไอ้บลูตอนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินออกมาจากห้องน้ำโดยมีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กพันไว้รอบเอว หน้าก็จะแดงแปร๊ดปากก็จะเริ่มสั่นเหมือนคนจับไข้ ยิ่งไอ้ก้อนเนื้อในอกเนี่ยแทบจะกระชากตัวมันเองออกมาเลยก็ว่าได้ จนคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องเดินมาถามด้วยความเป็นห่วงที่เห็นอาการของพี่ชายฝาแฝด
เขานั่งมองเพื่อนที่นั่งก้ม ปิดใบหน้าแดงระเรื่อของตนเมื่อเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เขาฟัง จำได้เลยว่าตอนนั้นเขาได้แต่ยิ้มแห้งๆ เพราะจากที่ฟังเหตุการณ์มาเนี่ย ไม่ต้องไปคิดให้ยุ่งยากเลย หมอเชนคนนี้ขอฟังธง...
ไอ้นี่มันแอบรักน้องชายตัวเอง 1000%!!
พอกรีนได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจให้เขาฟังออกมาแล้วก็ทำหน้าสบายใจออกมาบ้าง เลยต้องถามออกไป ว่าจะทำอะไรต่อและจะบอกบลูหรือเปล่า? เพื่อนผมดำส่ายหน้าและบอกว่า กลัวไอ้บลูจะรับไม่ได้ ขอแค่ได้ชอบอยู่ห่างก็เป็นพอแล้ว ถึงตรงนี้เขาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ คงจะทำได้แต่อือออตามน้ำไป คงไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาค้านแน่
นับตั้งแต่นั้นมาหลังจากที่กรีนมันได้สารภาพกับเขาแล้วก็ไม่เคยมีวันไหนที่เขาจะไม่เห็นกรีนทำหน้าอมทุกข์เลยซักวัน นั่นเพราะนิสัยเจ้าชู้ขั้นเทพของน้องชายฝาแฝดทำให้เพื่อนเขาต้องมานั่งตีหน้าเศร้าอยู่ที่โต๊ะเรียนตัวเองทุกครั้ง เป็นแบบนี้นานวันเข้าจนกระทั่งเขาทนเห็นสภาพนั้นไม่ได้จึงบอกมันว่าให้พยายามตัดใจจากไอ้บลูมันซะ แต่ไอ้คนดื้อด้านก็ยังคงรั้นต่อไปทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องเจ็บแค่ไหน
จากนั้นก็ผ่านมาปีกว่าได้ที่เขาได้เอ่ยปาก เหตุการณ์นั้นก็เกิดขึ้น จำได้ว่าวันนั้นเขาก็เดินเข้าโรงเรียนมาตามปกติแต่ด้วยอะไรไม่รู้มาดลใจให้ต้องเงยหน้าขึ้นไปมองที่ดาดฟ้าของตึกอาคารเรียนหลังหนึ่ง ตาของเขาเริ่มเบิกกว้างลูกตาก็แทบจะถลนออกมา เพราะที่บนดาดฟ้านั้นที่ทุกวันมักจะว่างเปล่าในตอนเช้ากลับมีร่างของเพื่อนสนิทตนยืนเกาะรั้วกั้น ทอดสายตามองมาข้างล่างเหมือนคนที่ตัดสินใจจะจบชีวิตตัวเอง เมื่อสติเริ่มกลับมาเขารีบวิ่งไปที่อาคารแล้วก้าวขึ้นบันไดอย่างเร็ว หัวใจแทบจะตกไปถึงตาตุ่มพลางภาวนาให้ตัวเองรีบขึ้นไปให้ทันก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ฝ่าเท้ายันโครมเข้าที่ประตูไม้ผุของชั้นดาดฟ้าแล้วรีบวิ่งไปกระชากเจ้าคนที่ยังคงยืนเกาะรั้วนิ่งออกมาทันที
“มึงไปยืนถ่ายMVอะไรของมึงห๊า!” ตะคอกออกไปแล้วทรุดตัวลงนั่งหอบหายใจกับพื้น เหนื่อยแทบขาดใจแต่แรงโกรธทำให้พูดออกมา ”มึงก็รู้ว่ารั้วมันเก่าสนิมเขรอะขนาดนั้นยังเสือกไปยืนเกาะมันทำไม! อยากตายขนาดนั้นเลยหรอ!?”
คนโดนกระชากออกมายังคงก้มหน้านิ่ง เขานั่งหอบอยู่สักพักก็เริ่มหายใจได้เป็นปกติ
“นิ่งทำไมล่ะ ตอบกูดิ...เฮ้ย!” เขายังพูดไม่ทันจบก็โดนคนผมดำโถมตัวเข้ามากอดจนแทบล้มครูดพื้นไปทั้งคู่ คนโดยประทุษร้ายสบถออกมา มือใหญ่ยกขึ้นหมายจะยันไอ้เพื่อนเวรที่พุ่งหลาวมาแบบไม่บอกกล่าวล่วงหน้า แถมตัวมันก็ไม่ใช่น้อยๆ เลยด้วย ความเปียกชื้นบริเวณเอวทำให้ความคิดหยุดชะงักเมื่อรู้ว่าคนที่กำลังกอดตนนั้นร้องไห้ออกมาอย่างหนัก จากที่จะด่าก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นปลอบแทน
กรีนได้เล่าให้ฟังทั้งน้ำตา ว่าเมื่อวานพอพ่อโทรมาบอกว่าจะไม่กลับบ้านเพราะต้องไปทำธุระกับแม่ตัวเองก็รีบตรงดิ่งกลับบ้านพร้อมหยิบมือถือโทรบอกไอ้บลูแต่ปรากฏว่าไม่รับสาย ตัวเองก็ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะเจ้าตัวอาจจะไปเที่ยวกับเพื่อนเลยปิดเครื่องเอาไว้ก็ได้ เมื่อกลับถึงบ้านกลับเห็นไฟในห้องคนที่เพิ่งคิดถึงเปิดอยู่จึงคิดไปอีกว่าคงกลับมาแล้ว และพอเข้าบ้านมาได้สักพักหูดันได้ยินเสียงอะไรแปลกคล้ายเสียงคนครางอื้ออาจนเก็บความสงสัยไม่ไหวลุกขึ้นจากโซฟาที่ห้องรับแขก เดินขึ้นบันไดบ้านตามที่มาของเสียงนั้น พอได้ยืนฟังดีๆก็รู้ว่าต้นตอของเสียงดังมาจากห้องน้องชายสองขาเลยพาตัวเองเดินไป เห็นประตูห้องที่ไม่ได้ล็อคอีกจึงค่อยๆ แง้มดูว่าไอ้น้องชายฝาแฝดเขามันทำอะไรอยู่ พอกรีนเล่าถึงตรงนี้ก็กลับไปร้องไห้สะอึกสะอื้นต่ออย่างหนักจนเขาเริ่มสงสารเลยบอกให้หยุดเล่าก่อนที่เพื่อนมันจะคิดสั้นกระโดดลงจากตึกอีกรอบ
เป็นเวลานานกว่าจะปลอบให้หยุดร้องไห้ได้ซึ่งก็ต้องแลกกับเวลาคาบเช้าทุกคาบ แต่ยังไงเขาก็ไม่สนอยู่แล้ว มองดูเพื่อนที่หลังจากร้องไห้อย่างหนักเปลี่ยนมาเป็นนั่งกอดเข่าซึมกระทือแผ่ออร่ามืดมนสุดๆ ออกมาอย่างหนักใจ ไม่รู้ว่าจะช่วยยังไงดีคราวนี้ ไอ้ครั้นจะบอกให้เลิกชอบบลูมันซะก็คงจะทำร้ายจิตใจในตอนนี้เกินไป
โว๊ย! อยากเอาหัวโขกรั้วจริงให้ตายดิ
“เชน” อยู่ๆ คนที่นั่งเงียบมาหลายนาทีก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง
“กู..โง่มากเลยซินะ”
“เออ” เขารีบตอบ
คนโดนเพื่อนสวนกลับนั่งหัวเราะหึในคอ เขาหรี่ตามอง เริ่มที่จะคิดว่ามันเริ่มเสียสติเพราะเสียใจหรือเปล่าวะ
“กูตัดสินใจแล้ว” พูดแล้วลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นออกจากกางเกง กรีนหันกลับมามองที่เขา แววตามันในตอนนั้นแสดงถึงความเด็ดเดี่ยวแต่ก็ยังแฝงด้วยความปวดร้าวลึกๆ อยู่
“กู...จะตัดใจจากมัน”
เชนถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ถ้าเป็นเมื่อปีที่แล้วก็คงจะเชื่อคำพูดนั้นอยู่หรอกนะ แต่ว่าตอนนี้...
คนตัวสูงตวัดสายตาไปที่ร่างโปร่งที่ยังยืนเหม่ออยู่ที่เดิม...เฮ้อ~
“มึงเนี่ยน้า ตัดใจไม่ได้จริงๆ สินะ”
“..คงอย่างงั้น” กรีนพยักหน้า “แต่มึงไม่ต้องห่วงหรอก กูบอกแล้วว่าจะตัดใจก็ต้องทำให้ได้อย่างที่พูด”
คนผมน้ำตาลขมวดคิ้ว “หมายความว่าไง?”
คนข้างๆไม่ตอบ เพียงแต่ก้มเปิดกระเป๋าจาคอบ มือล้วงเข้าไปค้นเหมือนต้องการหาอะไรสักอย่างและสักครู่ก็หยิบกระดาษจำนวนหนึ่งออกมายื่นให้คนที่ทำหน้างงอยู่ใกล้ๆ ดู
เชนก้มหน้าอ่านเอกสารที่ยื่นมาให้ สีหน้าเริ่มฉายแววตื่นตกใจ
“นี่มันอะไรกัน..ตั้งแต่เมื่อไหร่” เสียงที่เปล่งออกมาสั่น มือคว้าไหล่เพื่อนมาเขย่าจนหัวคลอน กรีนมีความรู้สึกว่าเหมือนหัวตนจะหลุดให้ได้ถ้ามันไม่เลิก
“ไอ้เชน หยุดเขย่าก่อนเด้เฮ้ย กูจะอ้วก!” เชนปล่อยมือออก
“มึงใจเย็นดิ”
“จะให้กูใจเย็นไงไหววะ ทำไมมึงถึงไม่บอกกูล่ะ กูไม่ใช่เพื่อนมึงหรอ”
“บอกให้ใจเย็นไงเล่า กูก็จะอธิบายอยู่เนี่ย” ร่างสูงใหญ่เริ่มสงบลง เขาจึงเริ่มอธิบาย
“กูก็เพิ่งรู้วันนี้เหมือนกัน อันที่จริงกูก็ขอไปตั้งนานแล้วแหละ ขอโทษด้วยล่ะกันที่ไม่ได้บอก กะว่าจะเก็บไว้เซอไพรส์ทั้งมึงและคนที่บ้าน”
“...แล้วอีกกี่วัน”
“ประมาณอีกสองอาทิตย์”
“เร็วขนาดนั้นเชียว” บ่นออกมา ความโกรธที่มีเริ่มหายไป “เอาเหอะยังไงก็เป็นความคิดของมึงกูขัดไม่ได้อยู่แล้ว แล้วจะบอกพ่อกับแม่วันไหน”
“วันนี้ กลับไปก็บอก คิดว่าอีกสองสามวันจะขอจัดงานเลี้ยงส่งก่อนไป มึงมาด้วยล่ะ” พูดชวนแกมบังคับอีกฝ่ายจนเขาอดที่จะยิ้มไม่ได้
“อยู่แล้ว” พูดตอบแล้วส่งของที่อยู่ในมือคืน
“เพื่อนจะไปเรียนต่อนอกทั้งที กูจะไม่ไปได้ไง”