.
..
...
...............................
ตอนที่๒๔ น้องสาว
‘พี่ดอนคะ น้องรุ่งอยากไปที่สวน...’
‘เดี๋ยวน้องรุ่งกินแอปเปิลอีกสองชิ้นแล้วพี่ดอนจะพาไปนะคะ’ หนุ่มลูกครึ่งผิวขาวจัดรูปร่างสูงโปร่งสะดุดตาในเชิ้ตขาวที่ปล่อยชายเสื้อออกนอกกางเกงตามสบาย ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตนกำลังเป็นที่สนใจจากสายตาหลายคู่ของคนที่เดินผ่านไปผ่านมาในโถงทางเดินนี้ได้พักใหญ่ๆแล้ว ด้วยเหตุที่เจ้าตัวมัวแต่ยืนเข้าภวังค์จนเกือบจะชิดกับผนังกระจกใสที่กั้นระหว่างทางเดินด้านในตัวอาคารกับสวนหย่อมเล็กๆที่ถูกจัดอยู่ด้านนอก ซึ่งโรงพยาบาลศีลเวชจัดให้เป็นสวนที่พอจะให้ผู้มารับบริการรวมถึงญาติที่มาเยี่ยมและมาเฝ้าสามารถออกมานั่งเล่นผ่อนคลายได้
สวนหย่อมที่ว่าตั้งอยู่บนพื้นที่ตรงกลางระหว่างตึกสีครีมรูปตัวแอล(L) สองตึกที่ตั้งหันหน้าเข้าหากัน ห้องตรวจของแผนกผู้ป่วยนอกที่อรุณรุ่งต้องเดินไปก็อยู่ที่ตึกหน้า เพียงเดินไปจนสุดโถงทางเดินช่วงแรกหรือสุดผนังกระจกนี่ก็ถึงแล้ว
นายแพทย์วัชระ เวชชากร ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาเป็นรอบที่สิบภายในเวลาครึ่งชั่วโมง เพราะจากที่คุยกับดอว์นตอนขึ้นรถไฟฟ้าจนตอนนี้ก็เลยเวลาที่ควรจะมาถึงไปเกือบยี่สิบนาทีแล้ว คุณหมอที่ภายนอกแสดงออกเรียบเฉยยิ้มแย้มน้อยๆตามปกติกับผู้ร่วมงานตอนนี้ในใจกลับตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่อรุณรุ่งเป็นฝ่ายมาหา แถมยังเป็นการมาหาถึงที่ทำงานด้วย
แม้ใจหนึ่งนายแพทย์วัชระจะอดกังวลไม่ได้กับข่าวที่จะต้องไปถึงหูพ่อกับแม่แน่ๆว่าวันนี้มีแขกมาหาถึงห้องตรวจ เพราะการทำงานที่ตรงนี้ก็เท่ากับอยู่ภายใต้สายตาของท่านเจ้าของที่ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลด้วยเป็นธรรมดา แล้วในเมื่อพี่ชายคนโตและพี่สาวอีกสองคนต่างก็แต่งงานมีครอบครัวกันหมดแล้ว ลูกคนเล็กอย่างชายหนุ่มที่ยังไม่เคยแม้แต่พาผู้หญิงสักคนมาแนะนำให้ครอบครัวรู้จักจึงถูกจับตามองแทบทุกฝีก้าว
แต่ถึงจะรับรู้อย่างนี้ เจ้าความรู้สึกภูมิใจว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะมาหาเองเมื่อพลาดจากการไปรับก่อนบ่ายตามที่คุยกันไว้เมื่อคืนก็กลับมีน้ำหนักมากกว่าความกังวลเรื่องอื่นจนแทบทำให้ลืมเลือนไปเสียด้วยซ้ำ
คุณหมอเพชรตัดสินใจไม่รออยู่ในห้องตรวจ เมื่อเป็นบ่ายที่โล่งขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจพาตัวเองเดินออกไปรอรับคนพิเศษแถวหน้าตึกจุดที่คาดว่าอรุณรุ่งจะต้องเดินผ่านเสียเอง แต่แค่เดินพ้นห้องตรวจผ่านเก้าอี้นั่งรอสำหรับผู้มารอรับการตรวจที่มีคนนั่งอยู่แค่สองสามคนสายตาคมกริบของคุณหมอหนุ่มก็พบกับร่างสูงโปร่งของคนที่กำลังยืนหันหน้าออกไปทางนอกตึก
ร่างที่เห็นจากเพียงด้านหลังนั้นนิ่งสนิทจนแทบจะเหมือนรูปปั้นไร้ชีวิต จนหมอเพชรมาหยุดยืนมองห่างออกมาไม่ถึงสามก้าว จึงได้เห็นการเคลื่อนไหวเชื่องช้าราวไม่แน่ใจของมือขาวซีดที่ยืดออกมาจนปลายนิ้วแตะเข้ากับกระจกใส ก่อนที่มือข้างนั้นจะทาบลงไปทั้งฝ่ามือ
ร่องรอยแห่งความเศร้าที่เห็นได้ชัดเจนเมื่ออยู่ในระยะเพียงเอื้อมมือถึงทำให้วัชระไม่สนใจว่าจะมีใครจับตาอยู่อีกต่อไป ชายหนุ่มสอดฝ่ามืออุ่นจัดเข้ากับมือข้างซ้ายที่ปล่อยอยู่ข้างตัวของคนที่ตัดขาดโลกภายนอกหนีเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัว และแค่เพียงสัมผัสแรกอรุณรุ่งก็สะดุ้งขึ้นราวกับขวัญลอย
หมอเพชรยึดมือที่เย็นเฉียบไว้แล้วบีบกระชับ แววตาหม่นเศร้าของเด็กน้อยหลงทางพลันกระจ่างวาบเมื่อเบือนมาพบว่าผู้อุกอาจเข้าถึงตัวโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงคือใคร
“.....เพชร.....ผม.....”
“ไปคุยกันในห้องทำงานพี่นะครับ ดอว์นหน้าซีดมากเลยรู้มั้ย...”
นายแพทย์วัชระออกเดินกลับห้องตรวจโดยจูงเด็กน้อยหลงทางให้ก้าวตามต้อยๆ ไม่สนใจสายตาอยากรู้อยากเห็นของใคร ในขณะที่คนเดินตามก็จับสายตาอยู่เฉพาะแผ่นหลังกว้างภายใต้เสื้อกาวน์สีขาวสะอาดเท่านั้น
เมื่อปิดประตูห้องตรวจหมายเลขสี่ วัชระก็นำคนที่จูงมือมาตลอดทางไม่ยอมปล่อยไปนั่งลงบนเก้าอี้ของตัวเอง หากพอจะผละไปกดน้ำดื่มมาบริการแขกพิเศษมือขาวที่ตอนนี้เริ่มอุ่นสมกับเป็นคนมีเลือดมีเนื้อกลับคว้าจับแขนเสื้อของชายหนุ่มไว้แล้วออกแรงรั้งให้เขยิบเข้าไปหา
“แป๊บเดียวนะดอว์น พี่จะไปเอาน้ำมาให้”
ใบหน้าขาวซีดเซียวประดับแว่นกลับส่ายไปมาน้อยๆเป็นการปฏิเสธ และแทนที่คำพูดอรุณรุ่งกลับใช้การกระทำบอกกับคุณหมอหนุ่มแทนว่าเจ้าตัวไม่ต้องการดื่มน้ำแต่ต้องการอะไร
อรุณรุ่งเลื่อนเก้าอี้ล้อเลื่อนที่นั่งอยู่เข้าไปจนชิดตัวคนที่ยังยืนงงก่อนจะเอนตัวแตะหน้าผากที่มีผมสีน้ำตาลบางส่วนปกคลุมแนบเข้ากับลำตัวของหมอเพชรบริเวณต่ำกว่าช่วงอกลงมาเล็กน้อย.....อ้อนขออ้อมกอดและไออุ่น ในขณะที่มือข้างหนึ่งยังเกาะติดกับแขนเสื้อของคุณหมอไม่ยอมปล่อย ส่วนข้างที่เหลือก็กำขยำลงกับกางเกงตัวเองจนข้อนิ้วขึ้นขาว
วัชระลูบมือข้างหนึ่งลงบนเส้นผมอ่อนนุ่ม ในขณะที่อีกข้างซึ่งยังโดนยึดแขนเสื้อไม่ยอมปล่อยทำได้แค่วางลงบนบ่าของเด็กขี้อ้อนแล้วลูบประโลมไปมาเบาๆ เดี๋ยวเดียวอรุณรุ่งก็เงยหน้าขึ้นสบตาแล้วส่งยิ้มอ่อนๆมาให้ เห็นอย่างนั้นคุณหมอตัวโตจึงก้มตัวลงแล้วเท้ามือทั้งสองข้างลงกับที่วางแขนเก้าอี้ สบตาค้นคว้าราวจะอ่านความในใจจากนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเชื่อมคู่นั้นแทน
“มีเรื่องไม่สบายใจอะไรรึเปล่า....ที่พี่บอกว่าพูดกับพี่ได้ทุกเรื่องนั่นพี่หมายความตามนั้นจริงๆนะครับ ไม่ได้พูดไปพล่อยๆเพราะจะจีบเด็กแถวนี้หรอกนะ” รอยยิ้มอ่อนๆตรงหน้าเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบรรจุความเขินอายและอารมณ์รักในทันที และก่อนที่วัชระจะได้ทันขยับทำอะไร มือขาวๆสองข้างที่เปลี่ยนไปประสานกันแน่นอยู่บนตักของเจ้าตัวก็เลื่อนขึ้นมาประคองที่แก้มสองข้างของคุณหมอแล้วรั้งเข้าหา พร้อมกับที่เด็กน้อยเซื่องซึมเมื่อครู่ยืดตัวขึ้นอีกนิดแล้วแตะจูบแผ่วเบาบนริมฝีปากที่ขยับพูดอยู่เมื่อครู่อย่างรวดเร็ว ผละออกมามองตาอีกนิดแล้วระหว่างที่คนถูกจู่โจมกะทันหันยังไม่ทันหายตลึง ริมฝีปากที่ยื่นย้อยน้อยๆสีสายไหมนั่นก็เลื่อนเข้ามามอบจูบหนักๆอีกครั้ง
วัชระรู้สึกมึนๆลอยๆคลับคล้ายกับเวลาเมาเหล้าทั้งที่แตะไปแค่แก้วสองแก้วเพราะโดยธรรมชาติชายหนุ่มเป็นคนคออ่อน ทั้งที่จูบที่ได้รับมามันก็จูบเด็กน้อยธรรมดาๆที่ต่างไปจากเลื่อนปากมาชนนิดเดียวแท้ๆ
คุณหมอผู้หลุดจากมาดนิ่งๆเนี้ยบๆทีไรก็มีสาเหตุมาจากเด็กลูกครึ่งขี้อ้อนตรงหน้าคนนี้ทุกทีเข้าใจดีว่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความช่ำชองเชี่ยวชาญของคนจูบหรอก แต่ที่ตนรู้สึกไปได้ขนาดนี้นั่นเป็นเพราะสัมผัสที่นุ่มนิ่มแบบเด็กๆนี่มาจากการกระทำของคนตรงหน้าต่างหาก
.....ถ้าเป็นคนอื่น ยังไงก็ไม่มีทางทำให้รู้สึกดีได้แบบนี้แน่ ความรู้สึกที่แค่สัมผัสนิดๆก็ทำให้ลมหายใจติดขัดแบบนี้ มีแต่คนพิเศษสุดเท่านั้นที่ทำให้เป็นได้ “จับปล้ำเสียเลยดีมั้ย.....ฮื้ม?”
คนที่ถูกจูบแบบเด็กๆดึงความสนใจไปจนหมดยื่นหน้าแตะปลายจมูกเข้ากับปลายจมูกแหลมๆที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้มแล้วส่ายหน้าให้ปลายจมูกเสียดสีกันไปมา อดใจไม่ไหวที่จะเบี่ยงหน้านิดหนึ่งเพื่อฝังปลายจมูกลงกับแก้มชมพูนุ่มนิ่มที่อุ่นจนเกือบจะร้อน
และยิ่งเกินคาดเมื่อกระต่ายตื่นตูมที่คอยแต่จะเลี่ยงหนีเมื่อคราวก่อนกลับเลียนแบบการกระทำได้โดยไม่ผิดเพี้ยน ที่ต่างไปก็แค่วัชระสูดกลิ่นแก้มแล้วก็อยากจะมองตาหวานๆที่ทอประกายวิบวับนี่นานๆ แต่อรุณรุ่งกลับเลือกที่จะซุกหน้าซ่อนลงตรงซอกคอกรุ่นกลิ่นเปลือกไม้สดชื่น ในขณะที่มือทั้งสองข้างก็เลื่อนสอดผ่านใต้ท่อนแขนหนาแล้วโอบกอดแนบแน่นอยู่กับแผ่นหลังของคุณหมอตัวโต
“เดี๋ยวพี่ไปล็อคประตู ดอว์นไปหลังม่านขึ้นเตียงรอเลยนะ ตกลงมั้ย?”
--ปึ้ก—
“โอ๊ยยยยยย.....ใจร้าย แฟนใครก็ไม่รู้ใจร้ายชะมัด....อั้ก....หึๆๆ ตกลงว่าไง เอาเหอะ นะ เดี๋ยวพอพี่ไปล็อคห้อง....อูย....ดอว์นก็ไปถอดเสื้อผ้า.....อู้ยยยยย รอพี่บนเตียง.....อุก....เลยนะครับ....” “ทะลึ่งแล้วคุณ เล่นอย่างงี้เรื่อย.....”
“ดอว์น....ทำไมถึงคิดว่าพี่เล่นล่ะ รู้มั้ย แค่คนดีตอบตกลงคำเดียว......”
วัชระพูดประโยคเว้าวอนออดอ้อนนั้นไม่ทันจบ ริมฝีปากยกขอบที่ยังเผยอน้อยๆก็ถูกนิ้วมือเรียวยาวแตะเบาๆเป็นเชิงห้าม ก่อนที่ดวงตาสีอ่อนหวานเชื่อมจะเงยขึ้นสบประสาน แล้วคนถูกขอทีเล่นทีจริงเอาดื้อๆจะกระซิบเสียงแผ่ว
“....ก็...ผมยังไม่พร้อม.....”
“ตกลงครับ พี่รอได้....เอ๊...หรือที่ยังไม่พร้อมนี่เพราะจะให้ไปขอก่อน?”
ชายหนุ่มห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ ยิ่งคนน่ารักตรงหน้าเขินอายจนหน้าแดงก็ยิ่งกระตุ้นความรู้สึกอยากยั่วแหย่ อยากกลั่นแกล้ง
“เอ๊.....ก็บอกว่าอย่าล้อไง”
การเย้าแหย่ของคุณหมอก็ได้ผลตอบแทนทันทีทันควัน แถมเกินความคาดหมายเสียด้วย เพราะแทนที่ดอว์นจะอายม้วนเป็นกุ้งตัวแดงๆแบบครั้งก่อน คราวนี้กลับแดงไปม้วนไป แล้วแถมมือไม้ก็ทุบลงมาบนบ่าคุณหมอเน้นๆอีกด้วย
“โอเคๆ ไม่ทำร้ายร่างกายแฟนนะครับ มือก็ไม่ใช่เบาๆ เกิดพี่ช้ำในตายไปดอว์นจะแย่เอาน้า”
“......จะเลิกมั้ย ไม่เลิกผมจะกลับ”
วัชระอยากจะหัวเราะออกมาดังๆกับน้ำเสียงทั้งเบาทั้งสั่น แถมคนพูดยังหรุบตาลงมองแต่พื้นกระเบื้องยางสีขาวเหมือนจะหาเศษเหรียญที่ดูอย่างไรก็ช่างขัดกับข้อความข่มขู่นั้นเสียจริง
“ขอโทษคร้าบบบบบ งั้นเอางี้ คราวนี้เรื่องจริงจังแล้ว.....เรียนจบแล้วจะเอาไงต่อ เรียนหรือทำงาน? ถ้าจะทำงานแล้วตอนนี้ไปหย่อนใบสมัครงานที่ไหนไว้บ้างรึยัง?”
“ผมจะทำงานเลย”
“ถ้างั้น....คุณอรุณรุ่งสนใจตำแหน่งนักกายภาพบำบัดประจำโรงพยาบาลศีลเวชมั้ยครับ?” นายแพทย์วัชระยืดตัวขึ้นยืนตรง ก่อนจะใช้เท้าเขี่ยๆเก้าอี้กลมมีล้อเลื่อนเข้าหาตัวแล้วนั่งลงเผชิญหน้ากับเด็กแว่นที่มองตามการเคลื่อนไหวของคุณหมอตัวโตแต่พอเห็นคุณหมอหันกลับมาก็เสหลบตาก้มมองหาเหรียญบนพื้นอีกแล้ว
“.......................”
“แค่ดอว์นมาหย่อนใบสมัครทิ้งไว้ก็พอ ว่าไงครับ ไม่สนเหรอ เป็นบุคลากรโรงพยาบาลศีลเวช เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า....เงินเดือนเริ่มต้นก็ไม่ขี้เหร่ โรงพยาบาลเรามีนโยบายปรับอัตราเงินเดือนทุกหกเดือนด้วยนะครับ ไม่ใช่แค่ปีละครั้ง.....และสำหรับนายอรุณรุ่งคนนี้ ยังแถมโปรโมชั่นทานอาหารกลางวันพร้อมแฟน แถมด้วยมื้อเย็นฟรีในวันที่นายแพทย์วัชระไม่ต้องไปทำธุระนอกโรงพยาบาล แล้วยังมีคนขับรถชื่อเพชรไปส่งถึงบ้านด้วย....”
“แต่ผมไม่อยากเป็นเด็กเส้น” รอยยิ้มที่แย้มออกทีละน้อยของหนุ่มลูกครึ่งแว่นหนาตามคำโฆษณาชวนเชื่อไม่รอดพ้นไปจากสายตาคมๆของหมอเพชร แต่ทั้งที่คิดตามแล้วก็มีรอยยิ้มกระจ่างออกขนาดนั้น อรุณรุ่งก็ยังอุตส่าห์ส่งเสียงค้านอุบอิบๆตามประสาเด็กแว่นคิดเยอะให้คุณหมอตัวโตถึงกับปล่อยหัวเราะออกมาจนได้
“ฮ่าๆๆๆๆ พี่ไม่ได้เส้นใหญ่ขนาดนั้นสักหน่อย แค่ให้มาสมัครไว้ เอ...พี่ก็ไม่แน่ใจนะ แต่เหมือนว่าบุคคลเขาจะมีสัมภาษณ์แล้วก็มีสอบวัดระดับภาษา ประมาณว่าความสามารถในการสื่อสารกับชาวต่างชาติ เพราะศีลเวชมีคนไข้ที่เป็นนักท่องเที่ยวเยอะ อืม...ต้องผ่านขั้นนี้ก่อน แล้วเขาถึงจะส่งไปให้หัวหน้าแผนกสอบอีกที ซึ่งพี่ก็ไม่รู้รายละเอียดเหมือนกัน ไหนขอถาม....ดอว์นจบเกรดเท่าไหร่ครับ?”
“3.37”
“แล้วมันจะเป็นเด็กเส้นไปได้ไงล่ะ พวก PT(*) นี่สามขึ้นก็หรูแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ที่จริง3.37 นี่มันก็เกียรตินิยมอันดับสองแล้วไม่ใช่เหรอ”
คุณหมอตัวโตที่นั่งโน้มตัวไปด้านหน้าเท้าศอกสองข้างกับหน้าขาตัวเอง เถิบตัวไปด้านหน้าจนชิดกับเด็กแว่นขี้กังวลแล้วเลยขยี้ผมนุ่มนิ่มเหมือนขนแมวเล่นอย่างมันมือ
“ก็จริงแหละ แต่เพื่อนที่เกรดดีกว่าผม เก่งกว่าผมมันก็บอกจะมาสมัครกันนี่ แล้วตามที่ดูประกาศศีลเวชก็รับแค่ตำแหน่งเดียวเองด้วย....”
ประโยคโต้ตอบที่ยาวที่สุดในวันนี้ของอรุณรุ่งไม่ทันจบดีก็มีเสียงเคาะประตูห้องตรวจดังขึ้น ก่อนคุณพยาบาลหน้าห้องของนายแพทย์วัชระจะโผล่หน้าเข้ามารายงานว่าอีกประมาณห้านาทีจะมีคนไข้ใหม่
ขณะคุณพยาบาลสุมาลีจะถอยออกไปหลังเก็บรายละเอียดแขกของคุณหมอเพชรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มีเสียงกลั้วหัวเราะแสดงออกว่าเจ้าตัวกำลังอารมณ์ดีอย่างไม่ปิดบังของคุณหมอบุตรชายท่านเจ้าของโรงพยาบาลเรียกเอาไว้ก่อน
“พี่สุครับ”
“คะ คุณหมอ”
“นี่น้องดอว์น......ต่อไปคงได้เจอบ่อยๆ ถ้าน้องมาก็ให้เข้ามาหาผมได้เลยนะครับ ไม่ต้องนัด ไม่ต้องขออนุญาต” คุณสุมาลีผู้เป็นคนเก่าคนแก่ตั้งแต่สมัยทำงานกับนายแพทย์คุณพ่อของหมอเพชรเข้าใจทันทีว่าคุณหมอที่เห็นมาตั้งแต่เล็กตั้งใจจะบอกอะไร
.....น้องดอว์น หนุ่มน้อยลูกครึ่งคนนี้เป็นคนพิเศษของคุณหมอแน่ๆ ตกใจที่คนพิเศษของคุณหมอเป็นเด็กผู้ชายไม่พอ ท่าทีเปิดเผยถึงระดับความสัมพันธ์ยังทำให้คุณสุมาลีเข้าใจทะลุถึงความต้องการของคุณหมอเพชรอีกต่างหาก ว่าถ้ายังไงเอาข่าวนี้ไปรายงานคุณพ่อคุณแม่ให้ผมด้วยก็ดีนะครับ!!! “ดอว์น....นี่พี่สุ เห็นแบบนี้นี่เป็นคนสำคัญของโรงพยาบาลศีลเวชเลยนะ”
“สวัสดีครับพี่สุ”
ในสายตาของคุณสุมาลี น้องดอนคนนี้ดูน่ารักไม่มีพิษมีภัย แถมยังไม่มีท่าทางนุ่มนิ่มให้ต้องรู้สึกลำบากใจที่จะคุยด้วยเลยสักนิด ท่าพนมมือไหว้ก็นอบน้อมงดงาม น่าแปลกทั้งที่เป็นเด็กลูกครึ่งหน้าตากระเดียดไปทางฝรั่งชัดเจนขนาดนั้นแท้ๆ
ตอนแรกที่เห็นหมอเพชรจูงมือเดินลิ่วๆเข้าห้องมาก็ไม่ได้คิดว่าสองคนจะเป็นอย่างอื่นไปได้นอกจากเพื่อนไม่ก็รุ่นพี่รุ่นน้อง แถมตนเองยังนึกชมด้วยซ้ำไปว่ารุ่นน้องคนนี้ของหมอเพชรหน้าตารูปร่างดี๊ดี อย่างนี้ถ้าสนใจคงเป็นนายแบบได้สบาย ต่อเมื่อพินิจดูอย่างตั้งใจคุณสุมาลีก็รู้สึกคุ้นเคยกับบางสิ่งบางอย่างในตัวน้องดอนอย่างประหลาด
“อ่า....สวัสดีค่ะน้องดอน ไม่ต้องไหว้พี่ก็ได้”
“ดีแล้วล่ะดอว์น ฝากเนื้อฝากตัวไว้ เผื่อจะมาสมัครงานที่ศีลเวชจริงๆพี่สุจะได้ช่วย เป็นเด็กเส้นพี่สุนี่รับรองเลยนะว่าได้งานแน่ เพราะพี่สุเส้นใหญ่....มาก”
คุณสุมาลีขว้างค้อนใส่คุณหมอเพชรวงโต ก่อนจะปรายตามาเห็นรอยยิ้มกระจ่างสดใสบนหน้าของหนุ่มแว่นที่นั่งเงียบๆไม่มีปากมีเสียง แล้วจึงเริ่มเข้าใจว่าทำไมคุณหมอที่ไม่เคยพาใครไม่ว่าหน้าไหนมาที่นี่และให้ความสำคัญแบบนี้จะเลือกหนุ่มน้อยคนนี้ในที่สุด
....น่ารักแบบนี้นี่เอง นี่ถ้าคุณพ่อคุณแม่ทราบเรื่องแล้วไม่ยอมรับขึ้นมาพี่สุจะช่วยยังไงล่ะคะคุณหมอ น้องดอน...เฮ้อ... คุณสุมาลีขอตัวออกไปประจำหน้าที่ตามปกติแล้ว และอรุณรุ่งก็ถอยไปหยิบตำราบนตู้ติดผนังเกี่ยวกับไมเกรนลงมาอ่าน
เด็กหนุ่มทำตัวเหมือนเป็นเฟอร์นิเจอร์ประดับห้องชิ้นหนึ่ง และถอยเข้าไปรอในส่วนที่ลึกเข้าไปเมื่อคนไข้ใหม่ของนายแพทย์วัชระเข้ามารับการตรวจและคำปรึกษา ในใจคิดไปถึงข้อเสนอแนะของเพชร....มาสมัครงานที่ศีลเวช เป็นบุคลากรของศีลเวช ได้เจอเพชรเป็นประจำ กลางวันก็กินข้าวด้วยกันได้ เย็นก็กลับบ้านพร้อมกันได้
อรุณรุ่งที่ค้นพบมานานแล้วว่าตัวเองเสพติดการสัมผัส ทั้งการกอดการหอมหรือแม้แต่แค่การจูงมือกับคนที่รักรู้สึกว่าการได้ทำงานที่ศีลเวชมีข้อดีที่ยั่วใจเหลือเกิน แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็มีเงื่อนไขหนึ่งพ่วงมาด้วย....ถ้ามาทำงานที่นี่ ก็คงอดไม่ได้ที่จะคิดถึงวันเก่าๆที่เคยมีน้องแฝดอยู่ข้างๆ มีคนที่คอยดูแล คนสำคัญที่สุด มากกว่าแค่คนในครอบครัว
....ต้องคิดถึงน้องรุ่งทุกวัน ในที่ที่น้องรุ่งตั้งใจจะมาในวันนั้น วันสุดท้ายของชีวิต วันนั้นทั้งๆที่ไม่ได้มีนัดตรวจ แต่น้องรุ่งบอกกับพี่ดอนว่าจะไปที่โรงพยาบาลศีลเวช เพราะเป็นวันเกิดของพี่หมอที่เป็นคนใจดีที่สุด น้องรุ่งอยากไปบอกพี่หมอว่า ‘Happy birthday’ กับตัวพี่หมอเอง
พอพี่ดอนถามว่าพี่หมอคนไหน? เพราะคุณหมอประจำตัวของน้องรุ่งคือคุณป้าหมอวิผู้ใจดี ที่ดูแลน้องรุ่งมาตั้งแต่แบเบาะ แล้วพี่หมอนี่ใคร มาจากไหน แล้วมาสนิทกับน้องรุ่งได้ยังไงกัน?
แทนที่สาวน้อยวัยสิบเจ็ดจะตอบพี่ชายที่อายุห่างกันไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่ไม่เคยมีเรื่องปิดบังกันเลยตั้งแต่เด็ก น้องรุ่งกลับเม้มปากแน่นแล้วส่ายหน้าไม่ยอมพูด แก้มแดงๆของน้องสาวฝาแฝดทำให้พี่ดอนในวันนั้นนึกรู้ว่าน้องสาวกำลังมีความรักตามแบบฉบับสาวน้อยมัธยมปลายเป็นครั้งแรก
ตอนแรกพี่ดอนจะขอตามไปเป็นเพื่อนแต่น้องรุ่งไม่ยอม ถึงอย่างนั้นความที่ถูกสอนให้ดูแลปกป้องน้องที่อ่อนแอกว่ามาตั้งแต่รู้ความพี่ดอนจึงแอบตามน้องไปห่างๆ จากเพชรเกษม102 มันไม่ใช่ใกล้ๆที่จะไปโรงพยาบาลศีลเวช แต่ที่น้องรุ่งไปรับการรักษาที่นั่นเป็นประจำก็เพราะตั้งแต่เกิดแพทย์ก็พบว่าน้องรุ่งมีความผิดปกติที่หัวใจ และเป็นชนิดที่เมื่อโตขึ้นอาการก็จะค่อยหายไปเอง และแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านที่พี่ดอนกับน้องรุ่งเกิดก็แนะนำให้ปะป๊าหม่าม้าพาน้องรุ่งไปพบคุณหมอที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และแพทย์หญิงวิลาสินีที่ประจำอยู่โรงพยาบาลศีลเวชก็เป็นอาจารย์หมอที่คุณหมอท่านนั้นเขียนชื่อแนะนำให้มา
เมื่อยังเล็กอยู่มากโรงพยาบาลศีลเวชแทบจะเป็นบ้านหลังที่สองของเด็กหญิงรุ่งอรุณ โพเวลล์ พี่ดอนที่ยังเล็กมากมักต้องนอนกับปะป๊าที่บ้านแค่สองคน ในขณะที่หม่าม้าทำหน้าที่อยู่เป็นเพื่อนน้องรุ่ง หากพอโตขึ้นความถี่ในการนอนโรงพยาบาลของน้องรุ่งก็ลดลง
แต่ถึงจะต้องขาดเรียนเพราะปัญหาสุขภาพแทบจะเดือนเว้นเดือนในช่วงประถมศึกษา พี่ดอนที่ได้รับหน้าที่เรียนเผื่อน้องก็ไม่เคยปล่อยให้น้องรุ่งต้องเรียนซ้ำชั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว จนเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น น้องรุ่งก็แทบไม่ต้องนอนโรงพยาบาลอีกเลย เหลือแค่การนัดตรวจสุขภาพเป็นประจำเดือนละครั้งเท่านั้น
พี่ดอนจำได้ว่าเช้าวันนั้นก็เป็นเช้าธรรมดาๆ ทั้งสองคนเพิ่งสอบปลายภาคเทอมสุดท้ายของม.๖ เสร็จไปเมื่อวาน และทั้งพี่ดอนกับน้องรุ่งก็รู้แล้วว่าก้าวต่อไปจะใช้ชีวิตนักศึกษาที่สถาบันไหนและเรียนเพื่อไปประกอบอาชีพอะไร เพราะต่างก็สอบได้โควตากันทั้งคู่โดยไม่ต้องรอสอบเข้ามหาวิทยาลัยพร้อมกันทั่วประเทศ อนาคตช่างสดใสเหมือนกับท้องฟ้าสีฟ้าใสที่ไม่มีเมฆเลยแม้แต่ก้อนเดียวของเช้าวันนั้น
เมื่อเดินออกไปถึงหน้าปากซอยพี่ดอนมองเห็นน้องรุ่งที่ปล่อยผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อนยาวประบ่าในชุดเอี๊ยมกระโปรงยีนส์ยาวครึ่งแข้ง เสื้อตัวในสีชมพูอ่อนลายจุดสีขาวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูที่หน้าจอเหมือนจะดูเวลา จากนั้นก็มองซ้ายมองขวาก่อนจะเดินข้ามถนน
และนั่น....คือภาพสุดท้ายที่เด็กหนุ่มได้เห็นคนคนเดียวที่แบ่งปันแม้กระทั่งลมหายใจกันมาตลอดสิบเจ็ดปีมีชีวิต...........................................................
..โปรดติดตามตอนต่อไป..
* หมายเหตุ PT = Physical Therapist = นักกายภาพบำบัด ค่ะ ^^