
แหะ แหะ ทำปากเก่งไปงั้นแหละครับ เอาจริง ก็ไม่ทำหรอก
ผมอาจดูเหมือนเจ้าชู้ แต่จริง ๆ แล้ว ผมเป็นคนรักษาคำพูดและคิดมากนะครับ
ผมไม่ชอบทำร้ายความรู้สึกของคนที่เรารัก ไมชอบเห็นเขาทำหน้าเศร้าเพราะเราเป็นต้นเหตุ
ซึ่งเรื่องนี้ ทั้งคุณชายและเพื่อนผมหลายคน มักชอบว่าผมอยู่เรื่อยว่า ระวังอย่าให้มีผู้หญิงคนไหนจับจุดนี้ได้
คุณชายเขาถึงระแวงผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เพราะเขารู้ว่า ผมไม่รู้สึกอะไรกับผู้ชายสักเท่าไหร่
อีกอย่าง ผมก็รู้สึกวูบวาบกับแฟนผมคนเดียว เคยลองไปเที่ยวบาร์เกย์มาแล้ว ก็ไม่เห็นจะรู้สึกอะไรกับผู้ชายอื่น
แถมยังรู้สึกแสยงปนสยองยังไงไม่รู้ เวลาถูกผู้ชายอื่นมาโดนตัว แต่กับแฟนผมนี่ ไม่ต้องให้เขาเข้ามาใกล้
ผมก็แถไปหาเขาเองแล้วครับ ยิ่งเวลาเขาอาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ เนี่ย อืม.....เซ็กซี่ เร้าอารมณ์มากกกกก

เว้นก็แต่ในเล้านี้ ที่เขากลัวว่า ผมจะแอบทำตามสมัยนิยม คือ หากิ๊กในนี้
(อันนี้เป็นความเข้าใจของเขาฝ่ายเดียว ซึ่งผมพยายามแก้อยู่)
ซึ่งสาเหตุก็มาจากผมไม่ได้บอกเขาตั้งแต่แรก แต่เขามาจับได้เอง ก็อย่างที่เคยเล่าไปแล้วน่ะแหละ
ถึงตอนนี้ เขาจะเพลา ๆ การสำรวจตรวจตราพฤติกรรมผมลงไปมากแล้ว แต่ก็ยังแอบระแวงอยู่
เพียงแต่คุณชายเขาฉลาดและเข้าใจผมดีว่า ผมไม่ชอบให้แสดงอาการหึงหวงออกนอกหน้ามากเกินไป
ก็เลยแอบเหล่อยู่ห่าง ๆ เพราะฉะนั้น ตอนที่เขาอยู่บ้าน ผมเลยไม่ค่อยเข้ามาในนี้เท่าไหร่ กลัวเขาไม่สบายใจ
แต่วันนี้เข้ามาเจ๊าะแจ๊ะได้ เพราะเขาไม่อยู่ หนู(ปุ้ม)เลยร่าเริง

ด้า....ผมไม่เห็นด้วยว่า การหาแฟนในโลกไซเบอร์ จะทำให้เจอรักแท้นะครับ เพราะคนเราไม่ใช่ปลากัด
แค่พูดคุยกันไม่เห็นหน้าตา ก็รักกันได้ เพียงแต่การพูดคุยกัน เป็นขั้นตอนการคัดกรองขั้นหนึ่งเท่านั้น
ว่า คนที่เราคุยด้วยมีความชอบหรือทัศนคติใกล้เคียงกับเรามากน้อยแค่ไหน ขั้นต่อไป ยังไงมันก็ต้องพบเจอหน้ากัน
เพื่อจะกลั่นกรองต่อไปว่า ความสัมพันธ์จะดำเนินไปในรูปแบบไหน
จะสานต่อไปเป็นคนรักกัน หรือเป็นเพื่อนกัน หรือหยุดไว้แค่นั้น ไม่สานต่อ
คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า รูปร่าง หน้าตา ก็เป็นปัจจัยหนึ่งเหมือนกัน ว่า เห็นหน้าแล้ว ถูกตา ถูกใจด้วยหรือเปล่า
กิริยามารยาทของคนนั้น มันต้องกับสารเคมีหรือบรรทัดฐานของเราหรือไม่ พื้นฐานครอบครัวและการเลี้ยงดูก็เป็นสิ่งสำคัญ
ซึ่งมันก็เหมือนกันทั้งแฟนที่เป็นผู้หญิงและผู้ชายแหละครับ
พระพุทธองค์ ก็เคยตรัสไว้เรื่องการครองคู่ของคฤหัสถ์ว่า ต้องมีความเสมอกัน ทั้งทางความคิดและจิตใจ
ไม่งั้น ก็ไปกันไม่รอดหรอกครับ ถ้ามีความแตกต่างกันมากเกินไป
แรก ๆ อาจจะพออดทนกันไปได้ แต่คนเราจะทนกันไปได้มากแค่ไหน ก็ย่อมมีขีดจำกัดของความอดทนอยู่
ผมแนะนำว่า ด้าควรจะหาเวลาออกไปพบปะกับคนอื่นบ้าง หรือทำอะไรที่แตกต่างไปจากชีวิตประจำวันบ้าง
จะได้ไม่หมกหมุ่นกับคนใดคนหนึ่งมากเกินไป เหตุที่เป็นอย่างนั้น เพราะด้ามีเพื่อนน้อยไงครับ ก็เลยยึดเหนี่ยวเอาไว้
ถ้าลองทำอะไรที่แตกต่างไปจากที่เคย เช่น การไปเปลี่ยนทรงผม เปลี่ยนลุคในการแต่งตัว หรือปรับบุคลิกบางอย่าง
เพื่อให้เรามีความมั่นใจในเข้าสังคมเพิ่มขึ้น หรือจะไปเรียนส่งเสริมวิชาชีพยามว่าง
อย่างที่เขาประกาศเปิดรับสมัครในหนังสือพิมพ์อยู่บ่อย ๆ ก็ไม่เลวนะครับ ได้ความรู้ ได้วิชาชีพ ได้เพื่อนด้วย
ผมยังเคยไปเรียนทำขนมอบ เพราะอยากทำเค้กวันเกิดให้แฟนผมเลย
อย่างหลานชายผม ตอนที่กลับมาจากอังกฤษใหม่ ๆ มันก็ไม่มีเพื่อน เพราะไปเรียนตั้งแต่เด็ก
พ่อแม่เลิกกัน ต่างฝ่ายต่างมีครอบครัวใหม่ ไม่มีเวลาดูแลลูก ก็ส่งไปอยู่โรงเรียนประจำที่นั่น
กลับมาก็ไม่มีเพื่อนที่ไทยเพราะขาดการติดต่อไปนาน ผมก็ให้มันไปวิ่ง ไปเดินเล่นออกกำลังกายที่สนามกีฬาฯ แถวรามคำแหง
ตอนนี้ เขาก็มีเพื่อนเล่นเตะบอลกันเกือบทุกเย็น หรือการไปฟิตเนส ก็จะทำให้เรารู้จักคนอื่นเพิ่มมากขึ้น
และทำให้เรามีความมั่นใจในการเข้าสมาคมกับคนอื่นมากขึ้นด้วย
การไปท่องเที่ยวบ้างตามโอกาสอันควร ก็จะได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ ๆ
หรือแม้แต่ การไปนั่งตามร้านกาแฟ แล้วนั่งสังเกตุดูพฤติกรรมคนที่อยู่ในร้าน หรือคนที่เดินผ่านไปมา
ก็ทำให้เราได้พบเห็นและเรียนรู้อะไรมากขึ้นนะครับ
คิง....ยังปูเสื่อรอคิงเล่าเรื่องที่กระทู้ด้าอยู่นะครับ อย่าทำเนียนแกล้งลืมล่ะ อิอิ
ส้ม+กุ้ง+มายด์ ถ้าอายุเกิน 35 แล้วยังไม่แต่งงาน ผมยินดีบริจาคให้นะครับ อิอิ ^_^
กอดทุกคนที่เหลือครับ

โดยเฉพาะน้องที หลายหน้าไปหลายเพลาแล้ว คิดถึงจัง ไจฟ์ปล่อยมาให้พี่ๆ ชื่นใจบ้างดิ
