มาแปะต่อแล้วค่า ...รออีกเกือบสิบวัน~ หลังจากแพคของส่งหนังสือเรียบร้อยก็เป็นอิสระแล้ว~ จะได้เริ่มปั่นนิยายต่อสักที หุ ๆ (ถึงจะเหนื่อยแต่เวลาได้ทำหนังสือที่เราเีขียนจบด้วยตัวเองมันก็สนุกดีนะคะ)
อ้อ! นอกเรื่องอีกละ ก่อนอื่นต้องขออภัยนักอ่านที่รออ่านนะคะ แปะไม่ค่อยเป็นเวลาเลย บางทียุ่ง ๆ ก็ทำให้ลืมได้ค่ะ แต่ก็จะพยายามแปะทุกวันนะคะ (ใกล้จบแล้วล่ะนะ เรื่องนี้ไม่ยาวเน้อ)
=====
บทที่ 14
=====
ยูคิกำลังนอนกึ่งหลับกึ่งตื่น อยู่ภายในห้อง จู่ ๆ ก็ได้รับรู้ถึงน้ำหนักของร่าง ๆ หนึ่ง ที่ทรุดนั่งลงมาบนเตียงซึ่งเขานอนอยู่ ก่อนจะตามมาด้วยสัมผัสอ่อนโยน จากมือใหญ่ที่ลูบไล้เส้นผมอ่อนนุ่มบางเบา
“อืม” ร่างบางพลิกกายหลบ แม้จะรู้สึกสบายกับสัมผัสนั้นแค่ไหน แต่ความง่วงที่มีอยู่ ก็ทำให้เขาไม่อยากให้ใครมาขัดจังหวะการนอนอันแสนสุขอยู่ดี
“ขนาดหลับยังจะดื้อเลยนะ!” น้ำเสียงทุ้มนุ่มกระซิบดุเบา ๆ ข้างหู พลางจับร่างบางพลิกกายให้หันหน้ากลับมาทางเขาอีกครั้ง ก่อนจะมอบจุมพิตนุ่มนวลที่ริมฝีปากนั้นแผ่วเบา
“อื้อ...อืม” ร่างบางที่กำลังเคลิ้มหลับ เริ่มมีปฏิกิริยาตอบรับ แขนเรียวทั้งสองข้างเริ่มยกขึ้นไขว่คว้าคอร่างสูง พลางแอ่นกายเบียดชิดร่างเข้าไปใกล้ด้วยความเคยชิน
“น่ารักเสมอเลยนะ ยูคิ” ริวยะพึมพำด้วยความพอใจ แต่ก็จำต้องแกะแขนที่ยึดเหนี่ยวร่างของเขาออกไปอย่างเสียดาย ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้ว เขาอยากจะทำต่อยิ่งกว่านั้นแท้ ๆ แต่ก็สงสารคนรักตัวน้อย ที่ไม่ค่อยจะมีเวลาพักผ่อนอย่างเพียงพอเท่าไหร่นัก
“ครั้งนี้จะยอมเว้นให้สักครั้งนะ ไว้เธอแข็งแรงดีเมื่อไหร่ คราวนี้ฉันไม่ปล่อยไว้แน่!”
ริวยะกระซิบบอกเบา ๆ และเดินจากไป เหลือก็แต่เพียงเด็กหนุ่มที่ยังคงนอนเคลิ้มหลับ คิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝันเท่านั้น
ยูคิลืมตาตื่น ยันกายลุกขึ้น พลางบิดกายนิด ๆ อย่างเกียจคร้าน
“เฮ่อ! หลับเต็มอิ่มจริง ๆ”
เพราะได้นอนรวดเดียวจากบ่ายยันเช้า จึงทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกสดชื่น แข็งแรงอีกครั้ง
เจ้าตัวมองดูนาฬิกา เพิ่งจะแค่หกโมงเช้า เขายังมีเวลาเตรียมตัวอีกมากก่อนไปโรงเรียน อย่างน้อยก็คงพอจะมีเวลาเดินเล่นออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ในยามเช้าได้บ้างหรอก
ตัดสินใจได้แล้วก็ลุกขึ้นเดินออกไปนอกห้องทันที แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นร่างสูงที่คุ้นเคย กำลังเดินเล่นอยู่ในสวน ก่อนหน้าที่เขาจะออกไปอยู่แล้ว
“คะ...คุณริวยะ”
ยูคิอุทานด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตื่นเช้าเช่นกัน และเมื่อใบหน้าคมเข้มหันมามองยังเขา ก็ทำให้ใบหน้าของเด็กหนุ่มอดที่จะร้อนผ่าวไม่ได้
“ตื่นแล้วหรือยูคิ เมื่อคืนหลับสบายไหม”
ริวยะเอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเล็กน้อย จนคนมองต้องรีบหลบตา ไม่กล้าสู้หน้า เพราะกลัวอีกฝ่ายจะรับรู้ถึงอาการเขินอายของเขา
“คะ...ครับ” วิธีตอบโดยไม่ยอมสบตานั้น ทำให้ร่างสูงถึงกับหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ พลางสืบเท้าเข้าไปหาร่างบางที่กำลังยืนลังเล ไม่แน่ใจว่าจะเดินเข้าไปหา หรือหลบเลี่ยงชายหนุ่มไปอีกทางดี
“คิดจะหนีฉันอีกแล้วล่ะสิ”
ร่างสูงที่เข้ามาประชิดกายตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบทำเอายูคิสะดุ้ง แล้วก็ต้องหน้าแดง เมื่อถูกดึงร่างเข้าไปซบกับอกกว้างของอีกฝ่าย
“เมื่อคืนฉันนอนไม่ค่อยหลับเลยรู้ไหม”
ริวยะบอกขณะที่อ้อมแขนกระชับร่างบางให้แนบชิดกับตัวเขา
“ทะ...ทำไมล่ะครับ”
เด็กหนุ่มถามเสียงอู้อี้ เนื่องจากใบหน้าถูกกดให้แนบไปกับอกกว้าง
“ก็ไม่ได้กอดเธอยังไงล่ะ”
คำตอบที่ตามมาทำเอาคนฟัง ใบหู หน้า ลำคอ แดงก่ำไปหมด จนคนมองชักจะเริ่มอดใจไว้ไม่ไหว
“หยุดเรียนอีกสักวันดีไหม หือ?” น้ำเสียงกรุ้มกริ่มถาม ในขณะที่แววตาคมกริบนั้น เริ่มส่องประกายอย่างเจ้าเล่ห์
“มะ...ไม่เอาครับ...ไว้เสาร์ หรือ อาทิตย์ดีกว่านะครับ”
ท้ายประโยคเด็กหนุ่มลดเสียงลงดุจกระซิบ ใบหน้าหวาน ๆ ยิ่งแดงหนักเข้าไปอีก จนคนมองต้องถอนหายใจยาว และยอมปล่อยร่างในอ้อมกอดออกอย่างสุดแสนเสียดาย
“ก็ได้ เห็นแก่ที่เธอทำตัวน่ารักเมื่อ 2 – 3 วันที่ผ่านมานี้นะ ไม่งั้นฉันไม่ยอมแน่!”
“คะ...ครับ” ยูคิก้มหน้าตอบอุบอิบ และ พยายามจะเดินเลี่ยงไปทางอื่น แต่ก็ถูกริวยะล็อคตัวเอาไว้ในอ้อมกอดอีกครั้งหนึ่ง
“จะไปไหนกัน” น้ำเสียงเข้มเอ่ยถามดุ ๆ
“กะ...ก็ จะไปเดินเล่นยังไงล่ะครับ”
ยูคิอธิบายเสียงอ่อย ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกดีกับอ้อมกอดของอีกฝ่าย แต่ขืนปล่อยให้ริวยะอยู่ใกล้ ๆ เขามากไปกว่านี้ มีหวังชายหนุ่มจะต้องหาเรื่องผิดสัญญาอีกแน่ ๆ
“เดินด้วยกันก็ได้นี่นา” ริวยะบ่น แถมยังไม่ยอมคลายอ้อมกอดอีกต่างหาก
“แต่กอดแบบนี้ จะเดินได้ยังไงล่ะครับ” เด็กหนุ่มแย้ง และพยายามทำสีหน้าอ้อน ๆ ขอร้อง ซึ่งแทนที่จะสำเร็จกลับยิ่งทำให้คนมองกอดแน่นเข้าไปอีก
“เด็กบ้า! ทำหน้าตาน่ารักแบบนี้ใส่ฉัน แล้วฉันจะควบคุมตัวเองไหวได้ยังไงกันล่ะ!”
คำพูดที่ทำเอาคนฟังสะดุ้ง เพราะดูท่าทางแล้ว อีกฝ่ายน่าจะพูดจริง ไม่ใช่ล้อเล่นแน่ ๆ
“ดะ...เดี๋ยวก่อนสิครับ คุณริวยะ ผมไม่ได้ตั้งใจจะ...อุ๊บ”
ริมฝีปากบางถูกประกบปิดด้วยริมฝีปากหนานุ่ม ศีรษะถูกมือใหญ่จับให้แหงนจากด้านหลัง เงยหน้าขึ้นรับจูบของเขาให้กระชับแนบแน่นยิ่งขึ้น
“อืม....”
วินาทีที่ริวยะถอนริมฝีปากออกมา ร่างบางในอ้อมกอด ก็แทบจะทรุดลงกับพื้น ต้องอาศัยอ้อมแขนแข็งแกร่งคอยประคองเอาไว้ ทั้งนี้ก็เพราะแขนขาที่จู่ ๆ มันพาลหมดแรงเอาเสียเฉย ๆ นั่นเอง
“ฉันจะให้ทาคุโทรไปลาหยุดให้อีกวันนะ...” น้ำเสียงทุ้มนุ่มกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหู ยูคิรีบสั่นศีรษะปฏิเสธ แต่ก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นไปเสียอย่างนั้น
ในขณะที่ริวยะกำลังอุ้มเด็กหนุ่มกลับเข้าห้องนอน ทาคุที่เพิ่งจะปรากฏตัวขึ้นก็เดินตรงมาหาพวกเขา และยังมีชายหนุ่มแปลกหน้าที่ยูคิไม่เคยเห็นเดินตามมาด้วย
“อ้าว! นี่ผมมาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่าครับเนี่ย”
น้ำเสียงร่าเริงกล่าวทักทายขึ้น ยูคิซึ่งยังคงอยู่ในอ้อมแขนของริวยะ มองชายแปลกหน้าด้วยความประหลาดใจ เพราะรู้สึกว่าใบหน้าของอีกฝ่ายคุ้น ๆ ตา เหมือนดังจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อนสักแห่ง
“มาหาแต่เช้ามีธุระอะไรกันแน่ ริวจิ!”
ริวยะทักเสียงเข้ม ยูคิชำเลืองมองสีหน้าชายคนรัก ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยพอใจเท่าไรนักที่เห็นผู้ชายที่ชื่อริวจิ คนนี้
“ก็มาเยี่ยม...” แววตาแฝงไว้ด้วยความสนุก เหลือบมาทางยูคิ ก่อนจะกล่าวต่อ “...พี่ริวยะยังไงล่ะครับ”
“อย่ามาโกหก!”
ริวยะตวาดใส่ อารมณ์พิศวาสที่ก่อตัวเมื่อครู่สลายไปหมด ตั้งแต่ที่เห็นหน้าชายหนุ่มแล้ว
“คุณริวยะครับ” ทาคุกล่าวเบา ๆ เตือนสติ เมื่อเห็นริวยะอารมณ์เสีย และยูคิซึ่งชายหนุ่มกำลังอุ้มอยู่ตัวสั่นนิด ๆ ด้วยความกลัว
“ยูคิ...” ริวยะเรียกชื่อร่างบางในอ้อมแขนเบา ๆ แล้วจึงถอนหายใจยาว ก่อนจะส่งร่างนั้นต่อให้ทาคุ
“พาไปที่ห้องญี่ปุ่น เดี๋ยวฉันจะตามไปทีหลัง”
ทาคุที่รับร่างบางของเด็กหนุ่มมา พากันเดินไปทางห้องญี่ปุ่น ทั้ง ๆ ที่ยูคิอยากจะบอกว่า เขาเดินเองได้ไม่ต้องอุ้ม แต่ก็เกรงว่าริวยะ ที่ดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนักในยามนี้จะโกรธเอา
“อื้อหือ? ไม่อยากจะเชื่อเลยพี่ นึกว่าเป็นแค่ข่าวลือ แต่ดันเป็นของจริงซะอีก นั่นเหรอ ว่าที่พี่สะใภ้ของผม”
ชายหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้าร่าเริงจนอีกฝ่ายเริ่มหงุดหงิด
“นายมาหาฉันมีธุระอะไรกันแน่ริวจิ บอกมาเสียดี ๆ ก่อนที่จะไม่ได้พูด!”
ริวยะกล่าวเสียงเหี้ยมเกรียม เสียจนคนฟังคราวนี้เปลี่ยนมาเป็นยิ้มแหย ๆ แทน
“ไม่เอาน่าพี่ชาย จะทำร้ายน้องชายที่น่ารักได้ลงคอเชียวหรือครับ?”
“ถ้านายยังไม่เลิกกวนประสาทฉันล่ะก็นะ!” ริวยะเหยียดยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่ริวจิสาบานได้เลยว่าไม่อยากเห็นมันสักนิด
“โอเค ๆ ผมไม่แหย่เล่นแล้ว คือว่า พ่อกับแม่ ให้ผมมาดูว่าที่พี่สะใภ้ เอ่อ...เด็กคนนั้นน่ะ”
ริวยะขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนทวนคำ “พ่อกับแม่ใช้นายมา?”
“ก็อย่างนั้นล่ะสิ ไม่งั้นผมจะโผล่มาขัดจังหวะทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพี่จะโกรธจนแทบจะฆ่าผมแบบนี้งั้นเรอะ!”
ริวจิรีบกล่าวเสริมทันที แต่เมื่อเห็นริวยะเงียบขรึมไป เขาจึงกล่าวกับพี่ชายอย่างเป็นการเป็นงานกว่าเดิม
“อย่าคิดมากน่ะพี่ ...ผมว่า พ่อ กับ แม่ ก็แค่ตื่นเต้นอยากเห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้เท่านั้นล่ะมั้ง”
ริวยะเหลือบสายตามองน้องชายคนเดียวของเขา ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“กับคนที่พยายามยัดเยียดหาคู่ดูตัวเป็นคุณหนูของตระกูลต่าง ๆ ให้ฉันนั่นน่ะเหรอ ที่ตื่นเต้นอยากจะเห็นหน้ายูคิเท่านั้นน่ะ!”
ริวจิกลืนน้ำลายลงคอพลางยิ้มเจื่อน ๆ ให้ ริวยะดูออกทุกอย่าง พ่อกับแม่ของเขาโกรธจัดทีเดียวเมื่อรู้ว่า ลูกชายคนโตที่มีตำแหน่งเป็นถึงผู้นำของตระกูลคนปัจจุบัน จะแหกคอกมารักชอบผู้ชาย และเลี้ยงดูอย่างออกหน้าออกตาแบบนี้ แม้จะสร้างภาพบังหน้าต่อคนอื่น ๆ ว่าแค่รับเด็กหนุ่มเป็นลูกบุญธรรมเท่านั้นก็ตาม
“โธ่ ๆ พี่ก็รู้ ว่าพ่อกับแม่หวังเอาไว้มาก ว่าอยากให้พี่แต่งกับคุณหนูมีตระกูลที่ทางเราจะได้อิงฐานอำนาจให้ยิ่งใหญ่มากขึ้นต่อไปยังไงล่ะ”
“กับแค่อำนาจ ของแค่นั้นฉันสร้างเอาเองก็ได้”
ริวยะบอกน้องชายด้วยน้ำเสียงเย็นชาไม่เปลี่ยน
“ผมรู้ว่าพี่ทำได้...แต่พี่กับเด็กนั่น ก็สร้างทายาทที่เป็นสายเลือดของมุราคามิไม่ได้ไม่ใช่หรือไง?”
ท้ายประโยค คนพูดมีสีหน้าแดงเรื่อนิด ๆ ซึ่งพอได้ฟัง ริวยะก็ตอบกลับไปอย่างไม่คิดมาก
“นายกับสึมิเระ ก็สร้างเอาเองสิ ทายาทน่ะ!”
ชายหนุ่มหมายถึง ซากุระซากิ สึมิเระ คู่หมั้นวัย 16 ของริวจิ น้องชายของตนเอง
“เฮ่ย! สึมิเระ แค่ 16 เองนะพี่ อีกอย่างผมเองก็ยังเรียนไม่จบ จะสร้างได้ยังไงกันทายาทน่ะ!”
ริวจิท้วงอย่างตกใจ ใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อยด้วยความขัดเขิน
“ตัวเองทำไม่ได้ ก็อย่ามาคาดคั้นคนอื่น!” ริวยะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างไม่คิดจะใส่ใจ แล้วจึงเดินไปทางห้องญี่ปุ่น โดยที่ริวจิได้แต่ยืนเกาศีรษะด้วยความกลัดกลุ้ม ไม่กล้าเดินตามไป เพราะกลัวว่าพี่ชายจะฟิวส์ขาด เล่นงานเขาเข้าจริง ๆ อย่างที่เจ้าตัวเคยคิดจะทำก่อนหน้านั้น
ยูคินั่งรอริวยะอยู่ที่ห้องรับแขก พลางชำเลืองมองทางประตูเลื่อนเป็นระยะ ๆ จนทาคุที่อยู่ด้วยกันเผลออมยิ้มน้อย ๆ
“เดี๋ยวคุณริวยะก็ตามมาครับ”
ยูคิสะดุ้งที่ถูกอีกฝ่ายอ่านความคิดได้ เจ้าตัวมีสีหน้าเขินอายนิด ๆ แต่สักพักก็กลับมาเป็นปกติ ก่อนจะเริ่มต้นอ้อมแอ้มถามคนตรงหน้าด้วยความสงสัย
“ทาคุ คน ๆ นั้น ใครงั้นหรือ?”
“คุณริวจิ น้องชายคนเดียวของคุณริวยะครับ” ทาคุตอบเรียบ ๆ แต่ก็สร้างความตกใจให้แก่เด็กหนุ่มได้พอสมควร
“น้องชาย! คุณริวยะมีน้องชายด้วยหรือ?”
“ครับ คุณริวจิเป็นน้องที่อายุค่อนข้างห่างกับคุณริวยะอยู่หลายปีทีเดียว และตอนนี้คุณริวจิก็ยังเป็นนักศึกษาอยู่ชั้นปี 2 ของ ม.โตเกียวครับ”
ยูคิกลืนน้ำลายลงคอทันทีเมื่อฟังจบ
“โฮ่! เด็ก ‘โทได’ งั้นเหรอ?”
... คนตระกูลนี้มันสุดยอดกันทั้งตระกูลหรือยังไงนะ ...
เด็กหนุ่มคิดต่อในใจ เพราะไม่เคยทราบเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวของชายคนรักมาก่อน แถมพอเวลาเขาถามถึงเรื่องนี้ ริวยะก็ยังมีสีหน้าเหมือนไม่อยากตอบ จนเขาไม่กล้าที่จะซักไซ้อะไรชายหนุ่มมากไปกว่านี้
“อยากรู้เรื่องครอบครัวของคุณริวยะจังเลย ทาคุเล่าให้ฉันฟังได้ไหม?”
ยูคิหันมาอ้อนชายหนุ่มซึ่งกำลังส่งยิ้มให้เขาอย่างเอ็นดู
“ทำไมคุณไม่ไปถามคุณริวยะเองล่ะครับ น่าจะดีกว่ามาถามผมนะครับ”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะตอบกลับไปด้วยสีหน้าค่อนข้างบึ้ง
“ก็เคยถามแล้วเขาไม่ยอมบอกนี่! แถมยังทำหน้าดุยังกับยักษ์ใส่อีก ฉันก็ไม่กล้าถามต่อน่ะสิ!”
“งั้นลองถามใหม่ก็ได้นี่ บางทีคราวนี้ อาจจะยอมเล่าให้ฟังก็ได้นะ”
น้ำเสียงทุ้มกลั้วหัวเราะ กล่าวขัดขึ้นจากเบื้องหลัง จนคนที่กำลังนินทาสะดุ้งโหยง
“คะ...คุณริวยะ” เรียกชื่อคนรักเบา ๆ แล้วก็ต้องตวัดสายตากลับมายังชายหนุ่มอีกคนอย่างเอาเรื่อง โทษฐานที่อีกฝ่ายนั่งหันหน้าให้กับประตูหน้าห้อง แต่ดันไม่ยอมเตือนให้เขารู้ตัวว่าริวยะมายืนฟังอยู่ได้สักพักแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปบอกให้ทางครัว เตรียมอาหารเช้าเลยนะครับ”
ทาคุลุกขึ้นโค้งให้ริวยะและยูคิ ก่อนจะปลีกตัวออกไปอย่างว่องไว แต่ยูคิก็ยังคงสังเกตเห็นใบหน้ายิ้ม ๆ ของอีกฝ่ายอยู่ดี
…เจ้าเล่ห์พอกันทั้งนาย ทั้งลูกน้องเลยนะ! …
====
TBC
====