หนังสือเล่มนั้นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ผมหยิบออกมาจากห้องที่รกร้าง
ผมบรรจงวางมันลงเป็นโต๊ะกระจกในห้องรับแขก ก่อนจะทิ้งตัวลงเหม่อมองแสงอาทิตย์ยามใกล้ค่ำด้วยใจหดหู่
“หมอ ชั้นคิดถึงนาย” ในสมองพร่ำเพ้อแต่คำนี้ ยิ่งคิดว่าชาตินี้จะไม่ได้เจอเขาอีก มันยิ่งเจ็บปวดใจจนแทบจะหยุดหายใจ
“อ้าวปอ ไปไหนมาทั้งคืน” เสียงแม่ดังขึ้น เสียงที่แข็งกระด้างอย่างที่ควรจะเป็นทำให้ยิ่งแน่ใจว่า ภพนี้คือภพแห่งความจริงแน่ แม่ผมที่อ่อนโยนคนก่อนเป็นเพียงภาพในจินตนาการเท่านั้นเอง
“ไปฟัดกับหมาที่ไหนมาอีก เนื้อตัวดูไม่ได้ ชั้นหล่ะเอือมแกจริงๆ ส่งไปร่ำไปเรียนก็ไม่จบ กลับมายังไม่ทันไรสร้างปัญหาอีกแล้ว แล้วนี่....................”
“แม่” ผมพูดแทรกออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“แม่เคยรักผมบ้างมั๊ย” ผมถามอย่างเลื่อนลอย สายตายังคงเหม่อมมองออกไปไกลสุดไกล
แม่นิ่งไปครู่หนึ่ง คงคาดไม่ถึงว่าผมจะถามอะไรอย่างนี้
เธอนั่งลงใกล้ผม
ก่อนจะตอบเพียงสั้นๆว่า
“ถามอะไรไร้สาระ” ด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
นึกอยู่แล้วว่าแม่ต้องตอบแบบนี้
“นี่หนังสืออะไร” เธอหยิบหนังสือที่ผมเอาออกมาจากเรือนครัวก่อนจะพลิกดู
“อ๋อ นี่หนังสือที่ยายแกฝากไว้ให้แกนี่นา”
ผมหันไปมองแม่อย่างไม่เข้าใจ สีหน้าที่แสดงท่าทีสงสัยนั้นทำให้แม่เริ่มเล่า
“ยายแกกำชับว่าให้เก็บไว้ให้แก เพราะว่ามีคนฝากไว้ให้แก ชั้นก็ลืมไปสนิท ดีนะที่แกเห็นเสียก่อนไม่งั้นคงเอาไปชั่งขายแล้ว”
แม่พูดอะไรอีกมากมาย แต่ผมไม่สนใจจะฟัง คำที่ผมอยากฟังเธอกลับไม่พูด ทำไมนะ ทำไมคนเราถึงไม่พูดความรู้สึกจริงๆจากใจออกมา
ผมหยิบหนังสือเล่มนั้น
“ผมรักแม่นะครับ” ก่อนจะเดินขึ้นห้องไปเงียบๆ
ผมทรุดตัวลงนั่งบนเตียงอย่างอ่อนแรง เปิดหนังสือเล่มนั้นอย่างแผ่วเบา
หมอปีย์เอาหนังสือมาฝากไว้ให้ผม เขายังมีชีวิตอยู่และรอผมจริงๆ
คิดได้อย่างนั้นแล้ว ยิ่งรู้สึกบีบหัวใจจนแทบจะหายไม่ออก
หน้าแล้วหน้าเล่าของหนังสือถูกเปิดอย่างเบามือ
มันเปลี่ยนไปมากจริงๆ
ทั้งเก่า ซีด เหลืองและบางครั้งตัวหนังสือก็เลอะเลือน แต่ถึงมันจะเก่าอย่างไร หนังสือเล่มนี้ก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เก็บความทรงจำของผมไว้
“กระดาษ?”
ผมเปิดมาเจอเศษกระดาษแผ่นนั้นอีกครั้ง
ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาอ่านอย่างเบามือ
กระดาษที่เดินทางผ่านกาลเวลามากว่าร้อยปี
ทำหน้าที่รอคอยแทนเจ้าของที่จากไป
มันทำหน้าที่ของมันสิ้นสุดแล้ว
บัดนี้ กระดาษได้มาอยู่ในมือผู้รับแล้ว
“หมอ ชั้นได้รับข้อความจากนายแล้วนะ”
...........
...
.
.
.
.
.