การหันหลังให้หมอปีย์ในครั้งนี้ของผม เหมือนกับเข็มนับพันทิ่มแทงหลังของผม มันรู้สึกเจ็บแปลบๆจนทำให้ต้องหันหลังกลับไปมองหมอปีย์
ภาพของชายหนุ่มร่างกายสูงโปร่งกำยำ ที่ผมคุ้นตา บัดนี้กลับกลายเป็นเหมือนราชสีห์ที่ถูกเหล่านายพรานล่ามโซ่แห่งความหวังดีเอาไว้
เป็นเพราะผม หมอปีย์ถึงได้ตกอยู่ในสภาพแบบนี้ เป็นเพราะผม พวกโจรจัญไรนั่นถึงได้มีเครื่องมือในการต่อรองบังคับขู่เข็ญหมอปีย์
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะผม
ผมมันตัวซวย ตัวปัญหา อยู่ที่ไหนก็รังแต่จะนำความเดือดร้อนมาให้เขาไปหมด ผมมันไม่น่าจะเกิดมาบนโลกนี้เลย ทำไมภาระปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นกับผม ต้องถูกทุ่มใส่ให้คนอื่นเสมอ โดยที่ผมแทบไม่ต้องรับผิดชอบ รับรู้ หรือแม้แต่ แตะต้องความเจ็บปวดเหล่านั้นเลย
“กูมันตัวเหี้ย” เสียงคำรามในลำคอที่อัดแน่นไปด้วยความคับแค้นใจนั้นส่งผ่านออกมา ภาพของหมอปีย์ค่อยๆหายหลับไปในความมืด พร้อมๆกับความเป็นคนของผมที่ค่อยๆเหือดหายไป ผมกัดฟันกรอดจนเส้นเลือดปูดขึ้นหน้า มือกำแน่น ก่อนจะทรุดตัวลงบนพื้นหญ้า ก้มหน้าตัวสั่นเทา เฝ้าคิดวนเวียนอยู่แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับหมอปีย์
ภาพหมอนั่นไปประกันตัวผมที่คุก
ภาพหมอนั่นพาผมวิ่งหนีพวกโจรอั้งยี่
ภาพหมอนั่นคอยดูแลผมเมื่อไม่สบาย
ภาพหมอนั่นอยู่ข้างๆเมื่อครั้งที่ผมต้องสูญเสียแดง
ภาพเขาป้อนข้าว
ป้อนน้ำ
เช็ดตัว
หัวเราะ
สั่งสอน
อ่านหนังสือ
เดินรอบบ้าน
หรือแม้แต่
แววตาที่จ้องมองผม
มันคอยตามหลอกหลอนให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัวเสียเต็มประดา
น้ำตาจากความคับแค้นใจ ความอัดอั้นใจที่ช่วยอะไรหมอนั่นไม่ได้หลั่งรินนองหน้า
ผมไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญ
ไม่มีเสียงสะอึกสะอื้น
ร่างกายภายนอกแค่สั่นเทิ้ม แต่ภายในนั้นกลับมอดไหม้จนเกือบจะเหลือแต่เถ้าถ่าน
“หมอออออออออออออออออออออออออออออออออ” ผมตะโกนออกมาอย่างสุดกลั้น
ป่าทั้งป่าเงียบลงไปทันทีที่ฝูงนกแตกฮือ เพราะเสียงตะโกนของผม ผมยังคงทรุดตัวอยู่อย่างนั้น จนปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไร ตอนนี้ตัวไปชาไปหมด ไม่สิ
ยังมีอีกส่วนที่ยังคงรู้สึก มือข้างขวาของผม ผมรู้สึกเจ็บแปลบที่มือข้างนั้น และเหมือนจะมีน้ำบางอย่างซึมออกมาจากอุ้งมือ
“เลือด” ผมหงายมือออกและพบว่ามีเลือดซึมออกมา แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ดึงความสนใจของผมไป
“สร้อยนี่นา” ใช่ สร้อยตะหากที่ทำให้ผมต้องสงสัยว่าหมอปีย์ยัดสร้อยที่มีจี้เพชรเป็นรูปหัวใจให้ผมทำไม
ผมนั่งนิ่งมองสร้อยอยู่ครู่หนึ่ง บัดนี้จิตของผมเพ่งอยู่ที่จี้เพชรรูปหัวใจ มันนิ่งและสงบลง เหมือนจี้ที่ไม่ไหวติง และเมื่อจิตของผมนิ่งผมก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“หมอ รอชั้นนะเว้ย ชั้นจะกลับไปช่วยนายเอง”
ความมืดเข้าปกคลุมป่าแทบจะเรียกได้ว่าทันทีที่พระอาทิตย์ตกดิน แต่โชคยังดีที่คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง และป่าที่นี่ไม่ทึบมากนัก จึงทำให้มองเห็นรอบๆได้ไม่ยากนัก
ความเงียบสงัดวังเวงเริ่มทำให้บรรยากาศไม่น่าไว้วางใจมากขึ้น อาจเป็นเพราะเหล่านกกาที่บินกลับมาจากหากินต่างพากันจับจองที่กันเรียบร้อยแล้ว เมื่อไร้วี่แววของพวกมัน ป่านี้ก็เหมือนป่าช้า
ผมเดินย้อนกลับมาตามเส้นทางเดิมตอนที่แยกกับหมอนั่น ใช้สัญชาตญาณนำทางว่าหมอนั่นจะพาพวกโจรไปทางไหน ผมเข้าใจวันนี้นี่เองว่าทำไมหมอนั่นถึงต้องคอยบอกให้เดินเบาๆ เพราะตอนนี้นั่น ทุกฝีก้าวของผมระมัดระวังอย่างมากที่จะไม่ให้เกิดเสียงดังแม้แต่เสียงเหยียบใบไม้แห้ง
“อยู่นี่นี่เอง” ผมจ้องเขม็งไปที่แสงไฟสลัวๆจากตะเกียงที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ภาพของกลุ่มคนเหล่านั้นถึงจะไม่ชัดเจนนักแต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าชายรูปร่างสูงโปร่งคนนั้นคือ..................หมอปีย์
“หมอ” ผมว่าก่อนจะสอดส่ายสายตามองไปรอบๆเพื่อหาทางวิ่งไปดักหน้าพวกนั้นให้เร็วที่สุด
ในที่สุดผมก็วิ่งมาอยู่หน้าพวกนั้น มือกำสร้อยไว้แน่น ถึงเหงื่อจะออกมือ ใจจะเต้นรัวอย่างไร แต่ผมก็สู้ จะตายจะรอดก็ช่างหัวแม่ง เกิดหนเดียวตายหนเดียว ตายซะที่นี่ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยๆก็ได้ตายเพราะตอบแทนหมอปีย์ก็คุ้มแล้ว
“เฮ้ย ไอ้เสือเผือก” ผมกระโดดขวางหน้าพวกนั้น เสือเผือดไม่มีสีหน้าสะทกสะท้านใดๆทั้งสิ้น ต่างจากลูกสมุนของมันที่มีอาการชะงัก ส่วนหมอปีย์นั้น เขาส่ายหัวไปมายากจะคาดเดา
“พวกมึงเป็นโจรได้ยังไงวะ โง่บัดซบ ฮ่าๆๆ” ผมสวมบทบ้าระห่ำหัวเราะลั่นป่า ไม่กลัวตายแล้ว
“โดนไอ้หมอบ้านั่นหลอกเข้าซะเต็มเปาเลย ชั้นจะบอกอะไรให้เอาบุญนะเว้ย บ้านที่หมอนั่นพูดถึงน่ะ ไม่มีของมีค่าอะไรหรอก ขนาดครกกะสากมันยังต้องหอบเอามาจากพระนครเล้ย แล้วนับประสาอะไรกับของมีค่า” ผมกอดอกวางมาดเป็นผู้อยู่เหนือเกมส์
“ถ้าพวกมึงอยากได้ของมีค่านะ” ผมมองไปที่หมอปีย์ สีหน้าของเขาเคร่งเครียดและเหมือนกำลังส่งสายตาบอกว่า อย่าแม้แต่จะคิดที่จะทำเชียว แต่ไม่มีทางเลือกแล้วหมอ
“ชั้นขอโทษ” ผมพูดเบาๆ
“มันอยู่นี่” ผมชูมือที่กำสร้อยขึ้นก่อนจะปล่อยให้สร้อยห้อยลงมา พวกนั้นมองกันเป็นตาเดียว
“สร้อยในมือชั้น นี่แหละ มีค่าที่สุดแล้ว สร้อยนี่ประเมินค่าไม่ได้ ชั้นจะยกให้หากพวกมึงปล่อยหมอนั่นไป”
“เอาไงดีพี่เผือด ข้าว่าไอ้เจ๊กนั่นพูดก็มีเหตุผล อย่าหวังน้ำบ่อหน้าเลยพี่ ข้าว่าเอาสร้อยไปจากมันแล้วเรารีบหนีกันเถิด นี่ก็ใกล้เขตเรือน เอ่อ เรือน...........”โจรที่ขาเจ็บพูดขึ้น และ กระอักกระอ่วนเมื่อพูดถึงเรือน..........ใครสักคน
“หึหึ ข้ามีแผนที่ดีกว่านั้น เอ็งไปเอาสร้อยในมือมัน ไป๊” เสียงเสือเผือดตวาดลั่น จนผมสะดุ้งโหยง ดูท่าแผนการณ์จะไม่เป็นไปตามที่ผมคิดเสียแล้ว
“เจ้าบ้า วิ่งหนีไป วิ่ง” เสียงหมอปีย์ตะโกนสุดเสียง ผมลังเลอยู่ชั่วครู่
“ก็เอาสิ หากเอ็งคิดแม้แต่จะก้าวขาเพียงก้าวเดียว ข้าบั่นคอไอ้นี่แน่ อย่างน้อยพวกข้าก็มีแต่ได้กับได้ จักได้มากได้น้อยก็แค่นั้นเอง ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะของพวกนั้นบาดลึกเข้าไปในสมอง ผมกำหมัดแน่น กัดฟันกรอดด้วยความโมโห นี่ถ้าผมมีปืน ผมคงไม่รีรอที่จะเหนี่ยวไกยัดกระสุนฝังสมองไอ้พวกบ้านั้นไปแล้ว
“ไปเอามาเร็วๆสิวะ” เสือเผือดตวาดลูกน้องขาเป๋ เขาเดินกะโหผกกะเหผกเข้ามาหาผม ดูเหมือนเขาดูลังเลในที
“เอามาให้ข้า แล้วเอ็งก็หนีไป ข้าสัญญาจะไม่ทำอันตรายเจ้าหนุ่มนั่น” ทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงเขาใกล้ๆ ก็ทำให้ผมคุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก
ผมค่อยๆยื่นสร้อยไปให้เขาอย่างช้าๆ ในใจสับสันอยู่กับสองสิ่ง วินาทีเป็นวินาทีตายได้เริ่มขึ้น
หากผมให้สร้อยมันไปแล้ววิ่งหนี ผมก็รอด
แต่หากไม่ล่ะ อะไรจะเกิดขึ้น
“ผั๊วะ!!!” ผมฟาดท่อนไม้ที่แอบอยู่ด้านหลังเข้าไปที่กกหูของโจรนั่นอย่างเต็มแรงจนเขาล้มตึงทั้งยืน พวกที่เหลืออ้าปากค้างตกใจกับสิ่งที่เห็น แต่ก็ไม่นาน สมุนอีกคนของเสือเผือดชักดาบพุ่งตรงเข้ามาหาผม หมอปีย์นั้นเมื่อเหลือตัวต่อตัวกับเสือผาดเขาก็สู้อย่างเต็มกำลัง
“เฟี้ยวววววววววววววว” เสียงปลายดาบแหวกอากาศแล่นผ่านหน้าผมไปอย่างเฉียดฉิว ผมกระโดดถอยหลังออกมาทัน ก่อนจะฟาดท่อนไม้ไปที่ต้นคอของโจร แต่มันก็ว่องไวไม่แพ้ผม หลบไปได้ เราจดๆจ้องๆกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่โจรนั่นจะฟาดดาบลงมาที่ผม
“ฉับ”
โชคยังดีที่ท่อนไม้ที่ผมถือมานั้นทนพอที่จะต้านทานคมดาบนั่นไว้ได้ เมื่อจังหวะนี้มาถึง มันเปิดช่องว่างช่วงหน้าอกไว้ ผมจึงไม่รอช้าถีบเข้าที่หน้าอกอย่างจัง จนมันล้มลงไม่เป็นท่า ผมไม่รอช้าปรี่เข้าฟาดไม้ไปที่หัวของมันอย่างสุดกำลังจนมันสลบเหมือดคาที่ไปอีกคน
“เฮอ เฮอ เฮอ” ผมหายใจหอบอย่างหนัก ทันทีที่ล้มโจรอีกคนนึงได้ แต่ยังไม่ทันจะหายเหนื่อย
“ผั๊วะ”
“โอ้ย”
ความรู้สึกจุกแน่นแล่นผ่านกลางหลัง ตอนนี้ผมพบว่าตัวเองล้มนอนนิ่งอยู่บนพื้นดินโดยที่มีโจรขาเป๋ที่ผมตีสลบไปครั้งแรกยืนเอาเท้าเหยียบหน้าอกผมไว้
“ข้าบอกเอ็งแล้วว่าให้หนีไป หากมิเชื่อคำกันในคราแรก ก็อย่าหาว่าข้าใจดำก็แล้วกัน” เขาเงื้อดาบขึ้นสุดแขน หัวใจผมสั่นรัว สายตาพร่ามัวไปด้วยเหงื่อ เมื่อความตายมารออยู่ตรงหน้า ความกลัวก็แล่นพล่านไปทั่วตัว ผมตัวสั่นเทา หลบตาโจรนั่น แต่ทันใดนั้น สายตาผมก็พลันไปพบเข้ากับสิ่งหนึ่ง ที่ทำให้คำตอบในข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวโจรคนนี้กระจ่างก่อนที่ผมจะตาย
“มึง” ผมเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง “มึงเป็นคนไข้ที่หมอปีย์ทำแผลให้ตอนอยู่บนเรือนี่”
“รู้ตอนนี้แล้วเจ้าจักทำอะไรได้ บุญคุณไว้ตอบแทนกันชาติหน้าเถิด ชาตินี้ข้าจำเป็นต้องทำ มิขอให้เจ้ากับหมอนั่นอโหสิดอก หลับตาเสีย ข้าจักฆ่าเจ้าในดาบเดียว มิทันให้สะดุ้ง”
ผมสูดหายใจเฮือกสุดท้ายอีกครั้งอย่างสิ้นหวัง ก่อนจะกลั้นหายใจ การตายของผมในครั้งนี้หากมองในแง่ดีก็อาจทำให้ผมถูกดึงกลับสู่ภพปัจจุบัน แต่หากมองในแง่ร้าย ผมก็อาจกลายเป็นวิญญาณที่ติดอยู่ระหว่างสองภพสองภูมิไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดก็ได้
“อ๊ากซ์!!!!” เสียงโจรนั่นตะโกนลั่น ผมหลับตานอนรอความตาย ลาก่อนหมอปีย์ นี่คือคำพูดสุดท้ายที่ผมจะพูด
“ฉึก!!!”
เสียงของมีคมแล่นผ่านร่างกายนั้นผมได้ยินชัดเจน แต่กลับไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด นี่ละมั้งที่โจรนั่นบอกว่าจะฆ่าผมในดาบเดียว ผมหลับตาอยู่อย่างนั้นรอคอยว่าเมื่อไหร่จะมีใครมาบอกให้ผมลุกไปสวรรค์หรือไม่ก็นรก แต่กลับไม่มี มีเพียงหยดน้ำที่ไหลลงมาจากเบื้องบนที่ไหนสักแห่งลงมาบนท้องน้อยของผม
“เจ้าบ้า เจ้าบ้า” เสียงนี่คุ้นๆ หรือจะเป็นเสียงของยมบาล ดูเถิด ขนาดยมบาลยังเรียกผมว่าเจ้าบ้าเลย
“เจ้าบ้า ตื่น ตื่น เป็นอะไรรึป่าว”
“เจ้าบ้า........................ตื่น................เพี๊ยะ”
เฮ้ยอะไรวะ ยมบาลตบหน้ากันได้ด้วยเหรอ
ผมค่อยลืมตาขึ้น ไม่ได้หวังว่าจะอยู่สวรรค์หรอก แต่ทันทีที่ลืมตา ภาพยมบาลที่คาดไว้กลับกลายเป็น
“หมอ”
ผมอึ้งไปชั่ววินาที ก่อนจะโผเข้ากอดหมอนั่นแน่นด้วยความดีใจ น้ำตาไหลอีกครั้ง มันเหมือนกับฝันร้ายได้จบลงไปแล้ว และผมตื่นขึ้นมาและพบว่าหมอปีย์ยังอยู่ข้างๆ
“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”เขาถามน้ำเสียงห่วงใย ผมเหลือบตาไปมองโจรที่จะฆ่าผม ก็พบว่าร่างของเขานอนคว่ำหน้าโดยที่มีดาบปักอยู่ที่หลัง
“ชั้นยังเก็บสร้อยนายไว้นะ นี่ไง” ผมยกมือขึ้นอย่างอ่อนแรง น้ำเสียงบ่งบอกว่าผมหมดแรงและกำลังจะหมดสติแล้ว
“เจ้าบ้าเอ้ย” หมอปีย์ยิ้มอีกครั้ง รอยยิ้มที่ผมคิดว่าชาตินี้คงจะไม่ได้เห็นมันอีกแล้ว ผมน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว
“เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ เรามิได้เป็นห่วงสร้อยนั่นดอก สิ่งที่เราเป็นห่วงคือเจ้า หากเราบอกให้เจ้าหนีไปโดยไม่มีของมีค่าที่เจ้าคิดว่ามีความหมายต่อเรามาก เจ้าก็คงไม่หนี แต่เราเข้าใจผิด เจ้ามันโง่กว่าที่เราคิดนัก เจ้าบ้าเอ้ย” เขายิ้มก่อนจะค่อยๆประคองผมไว้ในอ้อมกอด
“หมอ” ผมเรียกชื่อเขาเบาๆด้วยความซาบซึ้ง
“ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าบ้า เราจักปกป้องเจ้าเอง”
“หมอ”
“หมอ”
“หมออออออออออออออออออ!!!” แต่แล้วน้ำเสียงนั้นก็กลับแปรเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงที่ตกใจ ผมร้องตะโกนเรียกชื่อหมออย่างสุดเสียง ทันทีที่เห็นร่างทะมึนดำมืดของเสือผาดยืนอยู่ด้านหลัง ในมือของเขาถือท่อนไม้มหึมา เขากำลังเงื้อมือขึ้นสูง
“หมอออออออออออออออออออออออออ!!!”
“ปั่กกกกกกกกกกกกกกกกก!!!”
.
.
.
.
.
.
.
.
. หมอปีย์แน่นิ่ง
แววตาเบิกโพรง
ปากอ้ากว้าง
เขาจ้องมองมาที่ผมอย่างไม่กะพริบตา ผมนั้นขยับเขยื้อนตัวไม่ได้แม้แต่น้อย เรี่ยวแรงทั้งหมดไม่มีเหลือ เลือดสีแดงฉานค่อยๆไหลออกมาจากหัวของหมอปีย์ จากหยดเล็กๆ ค่อยไหลมากขึ้น มากขึ้น จนเหมือนสายน้ำแห่งสายเลือดที่ไม่มีวันเหือดแห้ง
บัดนี้ใบหน้าของหมอปีย์แดงฉานไปด้วยเลือด แต่เขายังคงกอดผมไว้แน่นไม่ปล่อย ร่างของผมยังคงอยู่ภายใต้การปกป้องของหมอปีย์
“ปั่กกกกกกกกกกกกกกกกกก”
“อย่า อย่าทำหมอ” ผมได้แต่คำรามในลำคอด้วยความเจ็บปวดที่เห็นหมอปีย์ถูกตีครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงแม้จะพยายามดิ้นรนเพียงใด แต่ผมทำได้แค่ขยับนิ้วเท่านั้น
ปั๊กกกกกกกกกกกกกกกก
“อย่า อย่าทำหมอ ฮือๆๆๆ อย่า”
ปั๊กกกกกกกกกกกกกกกกก
“หมอ ฮือๆๆ หมอ” เลือดของหมอปีย์ไหลลงมาอาบหน้า และเนื้อตัวของผม กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปหมด
“ปักกกกกกกกกกกกกก”
และแล้วหมอปีย์ก็หมดแรงจะทานไหว เขาทิ้งตัวลงบนร่างผมพร้อมกับเลือดท่วมตัว
“หมอออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ” ผมรวบรวมพละกำลังทั้งหมด ตะโกนออกไปจนสุดเสียง ก่อนที่สติค่อยๆเลือนหายไป หายไป
.
.
.
.
.
.
.
“เฮ้ย หยุดนะเว้ย หยุด” เสียงตะโกนดังแว่วมาจากชายป่า และนั่นคือเสียงสุดท้าย........................ที่ผมได้ยิน
