ขอเพียงเอ่ยว่ารัก ตอนพิเศษ ขอย้ำคำว่ารัก (รับวันลอยกระทง) ในช่วงกลางสัปดาห์ ถึงแม้ว่าจะเข้าเดือนสิบเอ็ดแล้ว ทว่าบริษัทที่ดูแลด้านการขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ก็ยังคงงานยุ่งไม่ว่างเว้น ทั้งๆ ที่วันนี้มีเทศกาลพิเศษที่ปีหนึ่งจะเวียนมาเพียงหนึ่งครั้ง
เมื่อเข้าช่วงบ่ายคล้อย เกื้อวรุณที่เพิ่งออกไปทำธุระข้างนอกก็กลับเข้าบริษัทมาทำใบเสนอราคาให้ลูกค้า ความจริงแล้วตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปเช่นเขา จะสั่งให้พนักงานคนอื่นทำให้แล้วค่อยเอามาตรวจสอบความถูกต้องก็ได้ แต่เพราะว่าพนักงานฝ่ายขายต่างก็ทำงานกันแทบไม่ทันอยู่แล้ว เขาจึงไม่คิดจะไปรบกวนใครและทำสิ่งที่รู้ว่าทำเองได้เร็วกว่าไปเลย
ขณะที่กำลังเช็คข้อมูลในใบนำเสนอราคาว่าถูกต้องหรือไม่ แม่บ้านประจำบริษัทก็เดินถือถาดพลาสติกขนาดกะทัดรัดมาวางให้บนโต๊ะ บนถาดมีกาแฟร้อนกับขนมเค้กวนิลาประดับเชอร์รี่สีแดงสด ชายหนุ่มจึงเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
"คุณคริษฐ์ให้พี่เอามาให้ค่ะคุณเกื้อ"
คำอธิบายนั้นทำให้เรียวคิ้วของคนสงสัยผ่อนคลายลง พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นบนมุมปาก "อ้อ...งั้นขอบคุณครับพี่เอี่ยม"
พอแม่บ้านวัยกลางคนเดินจากไป เกื้อวรุณจึงค่อยเบนสายตาลงมองขนมเค้กและถ้วยกาแฟที่ควันกรุ่นด้วยนัยน์ตาอ่อนโยน พลันโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะก็ส่งสัญญาณว่ามีข้อความเข้า
‘ได้ขนมเค้กหรือยัง’
ชายหนุ่มหัวเราะเสียงเบากับข้อความนั้น ก่อนจะค่อยจรดปลายนิ้วพิมพ์ตอบ
‘ทำไมไม่เอาขึ้นมาให้เอง’
เพราะเมื่อกี้ตอนเขากลับเข้ามาที่บริษัทก็สวนกันที่ชั้นหนึ่งแท้ๆ... หลังจากส่งข้อความไปไม่ถึงหนึ่งนาที สัญญาณเตือนว่ามีข้อความเข้าก็ดังอีกครั้ง
‘ติดงานอยู่นี่นา
’
คนอ่านได้แต่ยิ้มกับข้อความที่ได้รับ ยังไม่ทันจะได้พิมพ์อะไรตอบ เสียงโทรศัพท์สายในก็ดังขึ้น พอเขาปรายตามองก็พบว่ามาจากหมายเลขประจำโต๊ะของกรรมการผู้จัดการ จึงรีบหยิบหูฟังมาตอบรับทันที
“ครับพี่มนตรี”
“เกื้อมาหาพี่ที่ห้องหน่อยสิ พอดีทิพย์เขาเอาเอกสารมาให้เซ็นต์บางตัวที่ตัวเลขมันดูแปลกๆ”
“ได้ครับ ไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ”
เกื้อวรุณเก็บโทรศัพท์มือถือลงลิ้นชัก จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องของกรรมการผู้จัดการซึ่งอยู่ด้านในสุดของชั้นสี่ เขานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเมื่ออีกฝ่ายผายมือให้ จากนั้นก็เหลือบตาลงมองเอกสารในแฟ้มที่ถูกยื่นมาตรงหน้า ความคุ้นเคยทำให้มองปราดเดียวก็เห็นจุดที่ผิดพลาดทันที
“อื๋อ? ใบเสนอราคาพวกนี้...ยังไม่ได้รวมภาษีเข้าไปด้วยนี่ครับ”
ผู้สูงวัยกว่าเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางถอนหายใจอย่างหน่ายๆ “ใช่ไหมล่ะ? พี่ก็เคยบอกเจ้าพวกเซลส์ที่เข้ามาใหม่ๆ แล้วนะว่าถ้าทำโควทราคาเสร็จให้ส่งให้เกื้อเช็คก่อน ไม่ใช่รวบรวมส่งให้เลขาพี่เอามาให้เซ็นต์กันแบบหลับหูหลับตา สงสัยคงต้องเรียกมาอบรมกันสักที ว่าบริษัทนี้มีผู้จัดการทั่วไปให้ดูดำดูดีอยู่อีกคน”
ประโยคสุดท้ายของนายใหญ่ทำให้เกื้อวรุณทำได้เพียงยิ้มอ่อนๆ เนื่องจากทำงานกันมาหลายปีตั้งแต่สมัยที่มนตรียังเป็นเจ้านายของเขาที่บริษัทเก่า เกื้อวรุณจึงรู้ว่าผู้สูงวัยไม่ได้ตั้งใจกระทบกระเทียบที่เขาไม่ทำตัวให้พนักงานใหม่เกรงใจกันมากกว่านี้ กระนั้นเขาก็รู้ดีว่าบุคลิกของตัวเองเนิบนาบเกินไป ถึงแม้ว่าจะทำงานได้ไร้ข้อบกพร่อง แต่ก็ยังไม่น่าเกรงขามพอที่พนักงานใหม่ไฟแรงทั้งหลายจะให้ความเคารพ
“ผมผิดเองแหละครับที่ไม่ได้กำชับพวกเด็กๆ ให้ส่งใบเสนอราคามาให้ตรวจก่อน ไว้เดี๋ยวผมเรียกคุยเองดีกว่า ไม่ต้องให้ถึงพี่มนตรีหรอกครับ”
เกื้อวรุณเอ่ยพลางปิดแฟ้มลง นายใหญ่ของบริษัทมองรอยยิ้มของเขาแล้วก็ส่ายหน้า
“เพราะเกื้อชอบยิ้มแบบนี้น่ะสิ ใครๆ เขามองแล้วถึงได้นึกว่าคงเป็นพวกใจดี ด่าว่าใครไม่เป็น ยังไงก็น่าจะหัดเก๊กหน้าดุๆ ให้พวกเด็กๆ มันกลัวกันซะมั่ง”
เกื้อวรุณกะพริบตาปริบๆ เมื่อโดนทัก จริงอยู่ว่าใบหน้าของเขาดูอ่อนวัยจนแทบไม่มีใครเชื่อว่าอายุสามสิบแล้ว แถมยังเป็นคนที่บุคลิกเรียบๆ ไม่ก้าวร้าว แต่นับตั้งแต่เริ่มทำงานเป็นต้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่มีใครบอกให้เขาทำหน้าดุดูบ้าง
ถ้าหมอนั่นมาได้ยินประโยคเมื่อกี้ จะพูดว่าอะไรนะ...
ชายหนุ่มอดคิดถึงเจ้าของขนมเค้กที่วางอยู่บนโต๊ะไม่ได้ ป่านนี้กาแฟที่ยังไม่ได้จิบสักอึกก็คงหายร้อนไปแล้ว
“เอาเถอะ เรื่องงานก็ส่วนเรื่องงาน พี่มั่นใจว่าเกื้อคงรับผิดชอบได้ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ดึงตัวมาตั้งแต่ตอนเริ่มเปิดบริษัทหรอก”
ประโยคนั้นค่อยทำให้คนฟังยิ้มออก เกื้อวรุณจึงค้อมศีรษะน้อยๆ “ขอบคุณครับพี่มนตรี”
ช่วงเวลาที่เกื้อวรุณเคยทำงานภายใต้บังคับบัญชาของมนตรีที่บริษัทเก่านั้นสั้นเพียงสองปี และนั่นก็เป็นบริษัทแรกที่เขาได้เข้าทำหลังเรียนจบ จากวันที่มนตรีตัดสินใจแยกตัวมาเปิดบริษัทเองโดยชักชวนเขามาด้วยก็ผ่านมาหกปีแล้ว แม้ปีแรกๆ จะล้มลุกคลุกคลานบ้าง แต่ปัจจุบันนี้บริษัทขยายธุรกิจได้ถึงขั้นที่ต้องจ้างพนักงานเพิ่มหลายตำแหน่ง
“จะว่าไป...ช่วงนี้หลานพี่เป็นไงมั่งล่ะ? ยังทำตัวเกเรน่ารำคาญอยู่หรือเปล่า?”
คำถามนั้นทำให้เกื้อวรุณเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ก็พยายามควบคุมการแสดงออกจนอีกฝ่ายไม่ทันสังเกต
“คริษฐ์เขาเปลี่ยนไปเยอะแล้วครับพี่มนตรี ไม่เกเรเหมือนสมัยยังเป็นนักศึกษาฝึกงานแล้วล่ะครับ”
เกื้อวรุณตอบพร้อมกับยิ้มอ่อนๆ เช่นเคย เขารู้ดีถึงความเป็นห่วงของมนตรีที่มีต่อหลานชายจอมพยศเพียงคนเดียว ซึ่งความเป็นห่วงนั้นก็เผื่อแผ่มาถึงเขาที่คบกับหลานชายคนที่ว่าด้วย เพราะแรกเริ่มที่ได้รู้จักกันเมื่อเกือบสองปีก่อนนั้น อาจเรียกได้ว่าคริษฐ์เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเขาก็ว่าได้ ทว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์พลิกผันที่เกื้อวรุณเองก็ไม่อยากจดจำเท่าไหร่ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองเปลี่ยนไป คริษฐ์กลับเป็นคนแรกที่ไม่คิดจะปกปิดเรื่องที่พวกเขาคบหากันกับผู้เป็นอา หรือคนอื่นๆ ในบริษัทแม้แต่น้อย
"ได้ยินอย่างนั้นก็ดี ว่าแต่พี่ก็ไม่อยากทักหรอกนะเพราะมันเป็นเรื่องของรสนิยม แต่ช่วยบอกหลานพี่หน่อยว่าให้ทำหน้าโหดให้มันน้อยลงมั่ง แค่ที่ทุกวันนี้สกินเฮดกับเจาะหูข้างเดียวนี่ก็ดูนักเลงจะแย่อยู่แล้ว"
คราวนี้เกื้อวรุณหัวเราะอย่างไม่กลั้นเสียง เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมนตรีถึงได้บ่นเรื่องนี้ เพราะขนาดเขาเอง ตอนแรกที่ได้เห็นทรงผมใหม่ของคริษฐ์เมื่อเดือนก่อนก็อึ้งไปเหมือนกัน แต่เจ้าตัวกลับอธิบายสั้นๆ ว่ารำคาญที่ต้องไปร้านตัดผมบ่อยๆ เลยให้ช่างไถเกรียนเสียเลย แถมยังซื้อปัตตาเลี่ยนมาไว้ให้เขาคอยช่วยเล็มผมเวลาที่เริ่มยาวออกมาอีก ส่วนหูข้างขวานั้นเจ้าตัวเจาะมาตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาแล้ว แต่ที่ทำให้ต่างหูแบบห่วงซึ่งใส่เป็นประจำเด่นขึ้นจนเตะตาก็เพราะผมทรงนี้นี่เอง
ถ้าหากไม่ใช่ว่าได้มาทำงานในบริษัทของอาแท้ๆ ก็น่าคิดเหมือนกันว่าคริษฐ์จะทำตัวแหกคอกแบบนี้ไหม...แต่ดูพื้นนิสัยที่ไม่ชอบเอาใจใคร...หมอนั่นอาจจะทำก็ได้...
ความคิดของชายหนุ่มสะดุดลงเมื่อประตูกระจกของห้องกรรมการผู้จัดการถูกเลื่อนเปิดอย่างแรง เรียกสายตาของคนสองคนในห้องให้หันไปมองพร้อมกันด้วยความประหลาดใจ และคราวนี้มนตรีรู้สึกเหมือนเส้นชีพจรบนขมับเต้นตุบจนต้องยกนิ้วขึ้นนวด ความจริงแล้วเขาเป็นชายวัยห้าสิบที่ดูกระฉับกระเฉงกว่าอายุมาก แต่ดูเหมือนตั้งแต่รับหลานชายคนเดียวมาอยู่ในความดูแลเมื่อสองปีก่อน เรือนผมที่เคยดกดำก็จะเผยบางส่วนที่เปลี่ยนเป็นสีดอกเลาให้เห็นชัดเจนจนคร้านจะไปย้อมทับ
“นักเลงไม่พอ ตายยากอีกต่างหาก”
ถึงแม้เสียงของคนพูดจะเบา แต่ถ้าใครไม่ได้หูตึงหรือยืนอยู่ห่างไปเป็นสิบเมตรก็ต้องได้ยิน ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ใส่เสื้อยืดคอกลมกับแจ็กเกตที่พับแขนขึ้นถึงข้อศอกจึงเลิกคิ้วข้างหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์
“อาหมายถึงผมเหรอครับ?”
น้ำเสียงของคนพูดแฝงแววหงุดหงิดจนเกื้อวรุณแปลกใจ พอมองสบตากับมนตรีที่เอนพิงเบาะแล้วมองเขาอย่างเหนื่อยๆ เหมือนจะขอร้องว่า ‘ช่วยจัดการให้หน่อย’ ชายหนุ่มจึงหันกลับไปหาคนตัวใหญ่เป็นยักษ์ปักหลั่นที่ยืนอยู่หน้าประตู
“คริษฐ์มีธุระกับคุณมนตรีเหรอ?”
ดูเหมือนน้ำเสียงอ่อนโยนดุจสายน้ำไหลจะช่วยบรรเทาความร้อนระอุของอารมณ์คนถูกถามได้บ้าง นัยน์ตาสีนิลลึกล้ำซึ่งเบนมาทางเกื้อวรุณจึงคลายความกร้าวลงเล็กน้อย
“พอดีแบ่งงานของคนขับรถที่ต้องไปส่งของต่างจังหวัดวันนี้หมดแล้ว ผมก็เลยเอารายงานขึ้นมาให้อา”
มนตรีได้ยินดังนั้นจึงค่อยเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็รับรายงานที่หลานชายปริ๊นท์ใส่แฟ้มมาพลิกดู นัยน์ตาคมกริบลอบเหลือบขึ้นสังเกตชายหนุ่มสองคนที่กำลังส่งยิ้มอ่อนๆ ให้กัน จากนั้นผู้สูงวัยก็กระแอมนิดหนึ่งก่อนจะปิดแฟ้มดังปัง
“ขอบใจที่เอาขึ้นมาให้เอง คราวหลังฝากให้แม่บ้านเขาเอามาให้ก็ได้ ถ้าไม่มีธุระอะไรอีกก็ไปทำงานต่อได้แล้ว”
คนถูกไล่หน้าตึงขึ้นมาทันที แววตาดุดันจนถ้าใครได้เห็นก็คงรีบถอยห่าง แต่สำหรับเกื้อวรุณแล้ว ภาพนั้นกลับทำให้เขานึกถึงเด็กเล็กๆ ที่กำลังขัดใจเพราะโดนไล่ให้ไปทำการบ้านเสียมากกว่า
"คริษฐ์ไปคุมงานต่อก่อนเถอะ เผื่อข้างล่างเขาจะมีเรื่องให้ช่วยจัดการ นะ?"
คนตัวใหญ่เบนสายตามาหาเกื้อวรุณ จากนั้นริมฝีปากบางก็เม้มแน่นก่อนจะเดินออกจากห้อง แต่เกื้อวรุณคลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นประกายของความน้อยใจในแววตาสีนิลคู่นั้น ทว่าก็ไม่ได้สบตากันนานพอที่จะฟันธงให้แน่ใจ
"นอกจากเธอแล้วคริษฐ์มันไม่ฟังใครจริงๆ นะเนี่ย ขนาดพี่เป็นอามันยังไม่ค่อยฟังเลย"
เสียงของมนตรีดึงสายตาเกื้อวรุณกลับมาจากแผ่นหลังของคนที่เพิ่งเดินออกไป เขาจึงพยายามพูดให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น
"ท่าทางคงอารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่แล้วน่ะครับ พี่มนตรีอย่าคิดมากเลย"
อีกครั้งที่น้ำเสียงเรียบเย็นของคนพูดทำให้คนฟังผ่อนคลายจิตใจลงได้ มนตรีมองหน้าชายหนุ่มที่เขาเอ็นดูเหมือนกับเป็นลูกหลานอีกคน แล้วก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจยาว
"ถึงตอนแรกพี่จะไม่ค่อยเห็นด้วยที่คริษฐ์มันมาคอยเกาะแกะเกื้อก็เถอะ แต่ตอนนี้พี่คงต้องบอกว่าขอบคุณที่มันไม่ได้ตาถั่วแล้วไปคว้าใครก็ไม่รู้มาทำให้คนเป็นอาลำบากใจ เพราะถ้าไม่ใช่เกื้อ พี่ก็ไม่รู้ว่าใครจะเอาไอ้คนหัวแข็งแบบนั้นไหวอีกแล้ว"
เกื้อวรุณฟังแล้วก็ยิ้มบาง จริงอยู่ว่าเขาไม่เคยเล่าให้ใครฟังว่าจุดพลิกผันที่ทำให้เขากับคริษฐ์คบกันนั้นเกิดจากอะไร แต่ด้วยอุปนิสัยใจร้อน ปากไว ช่างหาเรื่องที่เมื่อก่อนคริษฐ์เคยเป็นหนักกว่านี้เสียอีก จึงไม่น่าแปลกที่มนตรีจะแสดงความเป็นห่วงเป็นใยเขาโดยไม่คำนึงด้วยซ้ำว่าเขากับหลานชายเป็นผู้ชายเหมือนกัน
"พี่มนตรีก็พูดเกินไปแล้วล่ะครับ งั้นถ้าไม่มีอะไร ผมขอไปทำงานต่อนะครับ"
ชายหนุ่มขอตัวออกมาจากห้องทำงานของนายใหญ่แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะซึ่งอยู่อีกฟากของชั้นเดียวกัน แต่แล้วเมื่อนั่งลงก็ต้องแปลกใจที่พบว่าถ้วยกาแฟบนโต๊ะยังคงมีควันกรุ่น ทั้งๆ ที่นับจากเวลาซึ่งเขาเข้าไปคุยงานกับมนตรี กาแฟก็น่าจะเย็นชืดไปแล้วแท้ๆ
และที่สำคัญ...ลายบนถ้วยกาแฟก็ไม่ใช่ลายเดียวกับใบที่แม่บ้านยกมาให้ด้วย...
เกื้อวรุณรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่เขายังไม่ออกมาจากห้องของกรรมการผู้จัดการ และเพื่อไม่ให้คนที่อุตส่าห์ไปชงกาแฟถ้วยใหม่มาให้ต้องเสียน้ำใจ เขาจึงจัดการกาแฟร้อนถ้วยนั้นและขนมเค้กอย่างรวดเร็วก่อนจะยกถาดเข้าไปล้างในห้องครัว
++------++