สนุกดีจังครับ ได้ความรู้ด้วย ในบรรดาวรรณคดีไทยนี่ อิเหนาเป็นเรื่องที่ไม่เคยอ่านเลย เพราะคิดว่าคำยาก ชื่อคนก็ยาก ชื่อเมืองก็ยาก เพราะมีกลินอายมาจากทางใต้ ทั้ง ๆ ที่มีหนังสือเรื่องนี้อยู่ในบ้านแท้ ๆ
ทำให้คิดไปถึงเรื่องอื่น ๆ ด้วยนะครับ ว่าจะมีอะไรแบบนี้ด้วยหรือเปล่า
แต่มีความเห็นแย้งอยู่หน่อยเรื่องการใช้ตัวละคนหญิงเล่นบทชายทำให้ต้องบรรยายออกมาให้ตัวพระดูอ้อนแอ้นไม่สมกับความเป็นชายน่ะ ผมว่ามันก็ฟังดูไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลนะ เข้าใจว่าที่แย้งนี่แย้งอาจารย์ ผู้เขียนบทความใช่ไม๊ครับ แหะ ๆ เพราะตอนเรียนมหาวิทยาลัย ต้องได้แสดงละครการกุศลทุกปี แล้วอาจารย์ก็มักจะเลือกละครนอกมาเล่น
มันก็จะกลับกันนะครับ คือละครในใช้ผู้หญิงล้วนเล่น พอมาเป็นละครนอกก็ใช้ผู้ชายล้วนเล่น อ่าน ๆ บท ผมว่าเค้าก็ไม่ได้เขียนให้ตัวนางของละครนอกดูห้าว ๆ เป็นทอมบอยเท่าไหร่ แต่คิดอีกทีก็มีความเป็ฯไปได้เรื่องความละเมียดละไมในการประพันธ์ ละครใน ก็แสดงในวัง ผู้ชมก็มักจะเป็นคนชั้นสูง เชื้อพระวงศ์ หรือหน้าพระพักตร์ด้วยซ้ำ ก็ต้องมีความาพิถีพิถันมากกว่า ในขณะที่ละครนอกเล่นกันนอกวัง เอาสนุกสนานเป็นหลัก ก็เลยอาจจะไม่ค่อยซีเรียสในรายละเอียดมากนักก็ได้
แต่แอบชอบชื่อบทความนะครับ 55 อิเหนาเป็นเอง ชัดเจนเลยแฮะ
ปล.มีนวนิยายไทยเรื่องหนึ่งชื่อ หลังม่านนางรำ มั้งครับ เล่าถึงชีวิตนางเอกในคณะละครนอกนี่ล่ะ ที่มีหนุ่ม ๆ มารุมรัก อ่าน สนุกได้ความรู้ แล้วก็ วายกระจาย (ทำมือด้วย เหมือนดาวกระจาย หุหุ)
คือบทพระราชนิพนธ์อิเหนาในรัชกาลที่ 2 เนี่ย ทรงเอาโครงเรื่องมาจากอิเหนาเล็กที่แต่งสมัยกรุงศรีอยุธยาน่ะค่ะ เรื่องอิเหนาเล็กเจ้าฟ้ามงกุฎผู้แต่งท่านก็ทรงเอาโครงเรื่องมาจากนิทานของชวาที่นางกำนัลชาวปัตตานีเล่าถวายมาแต่งเหมือนกัน แต่ถึงโครงเรื่องและชื่อตัวละครจะมาจากนิทานชวา แต่สภาพสังคม วัฒนธรรม โดยเฉพาะฉากที่ใช้บรรยายกรุงกุเรปันบ้านอิเหนา ถ้าสังเกตดีๆ ถ่ายแบบมาจากพระนครกรุงรัตนโกสินทร์ดีๆ นี่เองค่ะ
จริงๆ แล้วน้องมิคิดว่าเรื่องการบรรยาภาพพระเอกให้อรชร อ้อนแอ้น มันเป็นขนบมากกว่า ถ้าเคยอ่านลิลิตพระลอซึ่งเป็นวรรณคดีสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น พระลอก็งาม อ้อนแอ้น อรชร เอวกลมอ่อนอันแท่งไม่แพ้พระเพื่อน พระแพงหรอกค่ะ เผลอๆ อาจสวยกว่าด้วยซ้ำ เพราะใครๆ ที่ได้เห็นก็ต่างหลงรูปโฉมพระลอทั้งนั้นไม่ว่าหญิงหรือชาย
พอมาถึงสมัยรัชกาลที่ 2 พอทรงพระราชนิพนธ์กลอนบทละครสำหรับเล่นละครในซึ่งตามพระราชนิยมตั้งแต่ครั้งอดีต ใช้นักแสดงหญิงล้วน เพราะเป็นละครที่เล่นเพื่อสำราญพระราชหฤทัยของพระมหากษัตริย์ในเขตพระราชฐานยามเสร็จสิ้นพระราชภารกิจซึ่งบางทีเป็นช่วงเวลามืดค่ำ ธรรมเนี่ยมในวังเขาห้ามผู้ชายอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นในยามค่ำคืน ด้วยเหตุนี้กระมังละครในจึงนิยมใช้ผู้หญิงแสดงทั้งหมด
ด้วยขนบในการแต่งประกอบกับธรรมเนียมในวังนี้เองเลยทำให้บทพระราชนิพนธ์ละครในสมัยรัชกาลที่ 2 ยังคงสร้างให้รูปลักษณ์ของพระเอกให้อรชร อ้อนแอ้น เพื่อให้เลือกตัวนางละครมาสวมบทบาทได้ง่ายด้วย
^
^
^
"โอ้ว่าพี่ อิเหนา ของเรานี้
ใยจึงมี ฤทัย ดั่งนิลสี
เพียงสบพักตร์ เห็นน้อง เป็นชาตรี
มิใยดี ทิ้งขว้าง เสียกลางคัน
พี่คงลืม เสียกระมัง เมื่อครั้งก่อน
ผู้ใดนอน แนบข้าง มิอ้างถึง
โอ้...อิเหนา ท้าวเธอ โปรดคำนึง
พี่เคยถึง ซึ่งรสรัก นั้นกับใคร
สังคามา ระตา คือน้องนี้
มิได้มี เจตนา พาลหาเหตุ
เพียงอยากถาม ว่าพี่เสร็จ ได้ไฉน
หากมิใช่ ด้วยศึกรัก ร่วมกับเรา
แต่ช่างเถิด กรรมแท้ เป็นแต่ชู้
รู้ทั้งรู้ ว่าอิเหนา เนาแนบแอบสมสู่
ทั้งสียะตรา จรกา มาพันตู
จำตัดใจ อดสู แต่ผู้เดียว"
ปล.แต่งเองสดๆ ได้แรงบันดาลใจ จากชีวิตของ สังคามาระตา (ท่าทางตอนถูกทิ้งลงที่เดิม อารมณ์คงค้างสุดๆเนาะ)
เจ้าคารี่สีคารมนักนะคะพี่นิว
แต่เอ่อ...ในตัวบทเขาไม่ได้บอกนะคะว่า "เสร็จ" หรือ "ไม่เสร็จ" เขาบอกแค่ว่ากอดจูบลูบคลำพอหนำใจ เฉยๆ
กรี๊ดดดดดดดดดด
มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรอคะ
รู้สึกรักวรรณคดีไทยขึ้นมาทันที
+1ให้คุณน้องมิเลยค่า
ขอบคุณมากนะคะพระสนม
มีอีกบทนึงนะคะ ตอนศึกกะหมังกุหนิง
หลังจากที่วิหยาสะกำตายแล้วน่ะค่ะ
บทแสดงความเสียใจที่อิเหนามีต่อวิหยาสะกำ
ตรัสพลางย่างเยื้องยุรยาตร องอาจดังไกรสรสีห์
สองระตูตามเสด็จจรลี ไปที่วิหยาสะกำตาย
มาเห็นศพทอดทิ้งกลิ้งอยู่ พระพินิจพิศดูแล้วใจหาย
หนุ่มน้อยโสภาน่าเสียดาย ควรจะนับว่าชายโฉมยง
ทนต์แดงดั่งแสงทับทิม เพริศพริ้มเพรารับกับขนง
เกศาปลายงอนงามทรง เององค์สารพัดไม่ขัดตา
กระนี้ฤๅบิดามิพิศวาส จนพินาศด้วยโอรสา
แม้นว่าระตูจรกา งามเหมือนวิหยาสะกำนี้
จะมิได้ร้อนรนด้วยปนศักดิ์ น่ารักรูปทรงส่งศรี
ตรัสแล้วลีลาขึ้นพาชี กลับไปยังที่พลับพลาพลัน
นั่นเลยค่ะเพื่อนรัก 555
บทนี้ก็ชวนคิดนะคะเนี่ย