บันทึกของคิม ใบแทรก
อย่างที่รู้กันครับ ว่าช่วงทีผ่านมาสองสามอาทิตย์ ผมต้องไปสอบไล่มา เรื่องนั้นผ่านไปแล้วครับ แต่หลังจากผมสอบเสร็จปุบ ก็ได้ทราบข่าวที่ไม่สู้ดีนักจากทางบ้านผม ข่าวที่ว่าคือ พ่อของวากดิษน็อคหมดสติไปสองวันแล้ว แต่ที่ไม่ได้บอกผมเพราะกลัวว่าผมจะกังวล
“ ...... ” หลังจากรู้เรื่องกันเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา วากดิษหันมาทำหน้ามู่ทู่ใส่ผมแบบไม่มีเหตุผล
“ ทำหน้าแบบนี้หมายความว่าไงอะ ” ตอนนั้นเรายังอยู่ที่กรุงเทพอยู่ครับ เพราะผมสอบเสร็จก็ปาเข้าไปหกโมงเย็นแล้ว
“ พ่อพี่ป่วยหนักแบบนี้ เราทำยังไงกันดี ” หน้าตาวากบ้าหมองลงอีกหลายส่วนเลยครับ
“ เราไปหาพ่อดีปะ ”
“ แล้วที่ทำงานล่ะ ยังไม่ได้ลาเลย คิมเองก็ลามาเยอะแล้วด้วย เค้าจะว่าเราหรือปล่าว ” เกรงใจคนอื่นเป็นด้วยครับ เหอะๆๆ
“ เดี๋ยวจัดการให้ ขับรถไปแล้วกัน ”
ระหว่างทางกลับไปไร่ของพ่อผม ผมโทรแจ้งหัวหน้าบุคคลว่าต้องไปทำธุระประมาณสองวัน รบกวนให้แจ้งคนอื่นๆแทนด้วย แล้วจะส่งแฟกซ์ใบลาไปให้ ทางนู้นพอรู้ว่าพ่อดิษอาการแย่ก็ไม่รบเร้าอะไรครับ คงเพราะพ่อวากดิษเป็นหุ้นส่วนด้วยแหละ
“ เฮ้ยๆๆๆ ” แต่ที่น่าหวาดเสียวคือ วากบ้ามันขับรถไม่ค่อยระวังเลยครับ
“ โทษที ” มันหลายโทษไปแล้วครับ ผมว่ามันใจลอยอะ
“ จอดรถก่อนดีกว่าปะ ตั้งแต่นั่งมา ดิษไม่คุยกับเราเลยนะ ” ดิษหันมามองผม
“ ก็มันไม่มีเรื่องคุยนี่ ” ผมหลุดหัวเราะเลยครับ เห็นอยู่ว่ามันกังวลเรื่องพ่อ
“ มา เราขับเอง ” วาดบ้าขมวดคิ้ว
“ จะไม่พาพี่แวะข้างทางที่ไหนนะ ??? ” ทำหน้ากวนอีกอะ
“ ไม่มีทาง มาเปลี่ยนกัน ” จากนั้นก็เป็นผมสองคนสลับกันขับครับ พอเปลี่ยนเป็นผมมาขับ วากบ้าก็เริ่มพูดบางอย่างออกมา
“ ตั้งแต่เด็กๆ พี่ยังไม่เคยไปไหนมาไหนกับพ่อเลย ”
“ หมายความว่าไง ” ผมแอบเหลือบมองวากบ้า เค้าดูเศร้ามากจริงๆครับ
“ ตอนเด็ก พี่เหมือนโดนขังในบ้าน พ่อชอบบอกว่าพี่ชอบสร้างความเดือดร้อน แล้วก็ไปไหนมาไหนกับแม่ใหม่กับน้องคนเล็กของพี่ หึ ” รันทดรายสัปดาห์อีกล่ะ
“ ไม่เอาน่า เรื่องเก่าขนาดนั้น ยังอยากเก็บมาใส่ใจอีกเหรอ ”
“ ก็จริง แต่อย่างที่พูดไง พี่ไม่เคยได้ไปไหนมาไหนกับพ่อ ” พอจบบทสนทนานี้ วากบ้าก็นอนหลับเฉยเลยครับ
กว่าผมจะขับรถมาถึงไร่ ก็ดึกมากแล้วครับ ส่วนนึงเพราะผมขับรถช้า บางครั้งยังมีอาการกลัวอยู่เหมือนกัน แต่รวมๆแล้วดีกว่าตอนที่ถูกชนใหม่ๆมาทีเดียว
“ เองมากันทำไมวะเนี่ย เพิ่งสอบเสร็จไม่ใช่เหรอ ” พ่อผมเดินมารับ
“ จุ๊ๆๆ ” ผมหันไปทำปากจุ๊ๆใส่พ่อ แกก็ทำหน้างง
“ มีอะไร ”
“ ดิษอยากมาหาพ่อน่ะครับ มันดูห่วงพ่อมากเลย ”
“ อ่อ ..... แต่ตอนนี้พ่อมันอยู่ในตัวจังหวัดนู้นนะ ข้าให้คนงานไปเฝ้า พรุ่งนี้ก็จะไปเยี่ยม รอพรุ่งนี้แล้วกัน ” พอคุยกันเสร็จ ผมกับวากบ้าก็มาที่เรือนของผม
พอมาถึง วากบ้าทำท่าจะจุดบุหรี่ ผมรีบปรี่เข้าไปดึงทันที
“ ทำอะไรอะ ”
“ กินข้าวต้นมัดมั้ง ” โฮ่ๆๆ ดูมันพูด
“ พอเลย ไหนว่าจะหยุดสูบไง ” มันทำหงิกอีกแล้วครับ เหอะๆๆ วันนี้มันดูน่าสงสารมากเลยครับ
“ มวนเดียวก็ไม่ได้เหรอ ”
“ กี่มวนก็มีค่าเท่ากันแหละ เอามาๆ ” วากบ้ายอมส่งให้โดยดีครับ จากนั้นมันก็เดินเข้ามาใกล้ผม
“ แล้วนั่นทำอะไร ...... อุ๊บ ” จู่ๆมันก็จูบปากผมเฉยเลย
“ สอบคราวนี้ ทำเครียดจนพี่ไม่กล้าถามอะไรเลยนะ ” เชี้ย จูบเสร็จก็ถามต่อ ไม่เว้นช่องให้กูอายเลย
“ ก็ ..... ก็ มันเครียดจริงๆ ” สอบคราวนี้เครียดมากครับ ยอมรับเลย
“ สองอาทิตย์นี้ พี่ไม่ได้ทำอย่างว่าเลย ”
“ แล้วจะให้ทำไง ...... นี่ขออยู่ใช่ไหมนิ ” มันยิ้มกว้างขึ้นมา จากนั้นก็ลากผมไปที่เตียง แล้วก็ ...... นะ
หลังจากถูกวากบ้าวิสามัญเรียบร้อย ผมก็นอนมุดอยู่ที่เตียง เพราะวากบ้ามันทำเอาผมหมดแรงลุกไม่ขึ้นเลย งื้ออ
“ โอเคไหม ”
“ โอเคแบบไหนล่ะ เราหรือดิษ ” มันหัวเราะแฮะๆใส่ผม ผมเงยหน้ามองมัน ตอนนี้สีหน้ามันดูสดใสขึ้นนิดหน่อยครับ เฮ้อ ทำแบบนี้เพื่อแลกรอยยิ้มของมัน ถึงเหนื่อยก็คุ้มมั้งเนอะ
“ เรายังไม่ได้กินข้าวกันเลย ”
“ ยังไม่อิ่มอีกเหรอ ” ผมแซวมันครับ เพราะผมจุกมาก เหอะๆๆ
“ ก็ได้ งั้นนอนนะ ” คืนนั้นวากบ้าก็กอดผมแน่นเลยครับ เฮ้อ ฝันดีนะวากบ้า
เช้ามืดวันต่อมา วากบ้ารีบลุกจากที่นอน ผมก็เลยสะดุ้งตื่นครับ เห็นวากบ้าแต่งตัว เลยพาลคิดไปว่าพ่อของมันเกิดอาการทรุดหรือปล่าว
“ ไปไหนอะ ”
“ ไปซื้อของสดมาทำกับข้าวให้คิมไง ” ดูเป็นสุภาพบุรุษดีนะ
“ งั้นเราไปด้วย ..... โอ๊ะ !!!! ” อาการแบบนี้ คงไม่ต้องบอกนะครับว่าเป็นอะไร วากบ้ามันหันมายิ้มๆ
“ นอนพักผ่อนเถอะ สายๆเราค่อยไปเยี่ยมพ่อของพี่ ” ผมพยักหน้าหงึกๆๆ พอเห็นว่ามันไม่ใจร้อนจะไปเยี่ยมพ่อก็รู้สึกดีครับ ไม่ใช่เพราะดีใจที่มันไม่ห่วงพ่อหรอกครับ แต่แค่ไม่อยากให้มันกลุ้มใจมากไปกว่านี้
ที่ผมบอกว่าไม่อยากให้กลุ้มใจ คือ ก่อนหน้าที่พ่อวากดิษจะป่วยขนาดนี้ มันก็ชอบหงุดหงิดใส่ผมบ่อยๆ บางครั้งก็ว่าพ่อผมนิดหน่อย หาว่าพ่อผมไปให้ท้ายพ่อเค้า ให้ไม่ต้องรักษาตัว ทั้งๆพ่อของวากดิษเองที่ไม่อยากรักษาอะไรอีกแล้ว
สายๆของวันนั้น แม่ของผมก็เดินมาหาที่เรือน บอกผมว่าอยากให้ผมไปดูน้องคิงให้หน่อย เพราะรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้ใช้เงินเก่ง แต่งตัวมากขึ้น
“ แม่ น้องมันหน้าตาดี ปล่อยมันเถอะ ” ผมบอกแม่
“ คิงไม่เหมือนคิมนะ เค้าไม่เคยถามว่าใช้เงินไปเท่าไร แม่ห่วงว่าคิงจะเหลิง ” คือ ตอนผมเรียน ผมจะถามตลอดว่าผมใช้เงินเท่าไรแล้ว ถ้าเกินผมก็จะไม่ขออีกครับ
“ ก็ได้แม่ๆ เดี๋ยวผมจะไปดูให้ แต่คงต้องหลังเดือนนี้ เพราะผมลามาสอบเยอะแล้ว ” แม่ของผมลูบหัวผมเบาๆ
“ ใครจะคิดว่า เด็กดื้อของแม่จะเป็นคนรับผิดชอบได้น้า ..... ต้องขอบใจข้าวกล้องใช่ไหม ” วากบ้ากำลังนั่งเพลินๆ พอถูกถามถึงกับสะดุ้งเลย เหอะๆๆ
“ ไม่ขนาดนั้นหรอกครับแม่ ”
“ มาเถอะ ไปเยี่ยมพ่อของข้าวกล้องกัน ” จากนั้นผมสี่คนก็เดินทางไปเยี่ยมพ่อของวากดิษครับ
เราเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงโรงพยาบาล ขณะนั้นโรงพยาบาลเปิดให้เข้าเยี่ยมแล้ว พอวากดิษเห็นสภาพของพ่อ มันถึงกันหน้าซีดเลยครับ ผมต้องเดินไปกอดมันเอาไว้ มันตัวสั่นนิดหน่อยด้วย
“ ทำไม ...... ถึงอาการหนักขนาดนี้ครับ ” ที่เราเห็นคือพ่อของวากดิษที่มาสภาพผอมลงอย่างมากครับ ท่านกำลังนอนหลับอยู่
“ หมอบอกว่า ..... เองรอถามเองดีกว่า ” ผมพอจะเดาสิ่งที่พ่อต้องการพูดได้ครับ ท่าทางจะหนักจริงๆ
“ ผมเข้าไปได้ไหมครับ ” วากดิษถามพยาบาล
“ ได้ค่ะ ไม่ทราบว่า ..... ”
“ เค้าเป็นลูกชายผู้ป่วย ” พ่อผมบอกนางพยาบาลครับ
“ เชิญค่ะ ”
“ เองอยู่กับพ่อนี่แหละคิม ” ผมถอยออกมาด้านนอก วากดิษมองหน้าผมแล้วจากนั้นก็เดินไปข้างใน
“ พ่อ อาการของอาเป็นยังไงบ้าง ” ผมถามไป ตาก็มองที่วากบ้า มันเดินไปหยุดที่เตียงแล้วก็นิ่งอยู่
“ เฮ้อ ความจริงมันพูดด้วยซ้ำว่าถ้ามันเป็นอะไร ให้มันไปเลย ไม่ต้องพามารักษา แต่ข้าไม่ยอม เลยพามันมาเมื่อสามสี่วันก่อน หมอบอกว่ามันไม่สนองตอบอะไรอีกแล้ว นอกจากพอพูดอะไรได้บ้าง ”
“ แล้วยังไงต่อล่ะครับ ”
“ ข้าบอกกับแฟนมันแล้ว เค้าว่าต้องรอให้อาการคงที่กว่านี้ แล้วจะรีบมารับกลับไปที่บ้าน ”
“ หมายความว่าอะไรล่ะพ่อ ” พ่อของผมถอนหายใจ
“ มันคงมีเวลาไม่มาก หมอบอกว่ายังไม่ได้ทำอะไรก็ขอให้ทำ ” ผมใจหายวาบเลยครับ ผมหันกลับไปมองวากดิษ มันยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“ พ่อ ผมขอเข้าไปได้ไหม ”
“ ไม่ต้องเล่าให้ข้าวกล้องมันฟังนะ ให้หมอมาพูดดีกว่า ” ลักษณะแบบนี้ แสดงว่าแม่เลี้ยงของวากดิษก็คงยังไม่ยอมบอกความจริงให้วากดิษรู้
ผมเปิดประตูห้องเข้าไปหาวากบ้า ผมค่อยๆเดินไปด้านข้างแล้วมองที่ร่างของพ่อวากดิษ ซึ่งยังนอนหลับอยู่ แต่พอหันกลับมามองวากดิษ ก็ต้องตกใจครับ เพราะวากบ้ากำลังร้องไห้น้ำตาไหลพรากเลย
“ ดิษ ” ผมขยับไปจับมือวากบ้า มันเอามือกุมปากตัวเองด้วย ตอนแรกผมรู้สึกไม่ดีอยู่แล้ว พอเห็นแบบนี้อีกยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่
“ .... ” ผมยืนอยู่อย่างนั้นไม่ได้พูดอะไรกันอีกครับ
จากนั้นช่วงบ่าย พ่อของวากดิษตื่น เราเลยได้พูดกันบ้าง แต่พ่อของวากดิษพูดได้ไม่นานก็หอบ ต้องพักเป็นระยะ แต่ท่านก็พยายามจะคุยกับพวกเราตลอดเวลา ยอมรับว่าเป็นการสนทนาที่หดหู่มากถึงมากที่สุดเลยครับ มันเหมือนกับการสั่งลา ผมเคยแต่ได้ยินเค้าพูดกันว่าสั่งลาๆ ไม่คิดว่าจะได้มาเจอเหตุการณ์แบบนี้จริงๆ
“ คิม ..... มาหาอาหน่อยลูก ” ผมเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ
“ อาขอโทษที่เคยว่าคิมนะลูก ”
“ อาครับ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ” อาพยายามยิ้มครับ แต่แค่ยิ้มก็ยากแล้ว ผมได้ยินเสียงสะอื้นด้วยอะ ไอวากบ้ามันร้องไห้อีกแล้วแน่เลย
“ อาฝากคิมเรื่องเดียวได้ไหมลูก ”
“ ครับ ” อาทำท่าเรียกให้ผมเข้าไปใกล้ๆ สงสัยจะฝากผมคนเดียว
“ รักข้าวกล้องมากๆ ...... อย่าทิ้ง อย่างทำร้ายมัน เหมือนอานะ ” ผมมองหน้าของอา ท่านน้ำตาซึม
“ ครับ ผมสัญญา ” จากนั้นเราก็ปล่อยให้ท่านพักผ่อน
วันนั้นทั้งวัน วากบ้าอยู่แต่ในห้องของพ่อ ไม่กินข้าวแม้แต่คำเดียว พอกลับมาที่ไร่ ผมต้องรีบทำกับข้าวให้เค้ากิน ต้องถึงขนาดบังคับเลยแหละครับ
ต่อมา เมื่อวันอังคาร แม่ของวากดิษ นำรถมารับพ่อของวากดิษกลับมาโรงพยาบาลที่บ้าน เพราะอาการไม่ดีขึ้น ตัวผมเองก็เพิ่งกลับมาถึงตอนดึกของเมื่อคืนที่ผ่านมานี้เองครับ วันนี้ผมเข้าทำงาน ส่วนวากดิษยังลาต่อ ผมได้ยินว่า พ่อของวากดิษขอร้องว่าอยากออกไปเดินเล่นกับวากดิษซักครั้ง เช้าวันนี้ วากดิษออกไปก่อนผม ส่วนผมจะตามไปตอนเที่ยง
ภาพที่เห็นเรียกว่าสร้างความประทับใจจริงๆครับ เพราะพ่อของวากบ้าต้องออกมาที่ห้างโดยมีทั้งสายน้ำเกลือและผ้าปิดปาก ส่วนทางวากดิษก็มากันทั้งครอบครัวครับ ทางบ้านผมก็มาเหมือนกัน พ่อผมบอกว่าจะอยู่จนกว่าพ่อวากดิษจะไป
พ่อของวากดิษเคยบอกกันผมว่า
“ มีอย่างนึงที่อาไม่เคยทำ คือพาข้าวกล้องไปเที่ยว อาเสียใจที่สุดในชีวิตก็คือเรื่องนี้ อาอยากให้ข้าวกล้องให้อภัย ”
ณ ตอนนี้ ท่านยังมีชีวิตอยู่ครับ แต่ไม่สามารถไปไหนได้อีกแล้วครับ พวกผมทุกคนตอนนี้อยู่ในสภาพหดหู่มากๆ ที่ผมมาบอกเล่าให้ฟัง ไม่ได้อยากทำให้เครียดนะครับ แค่อยากมาถ่ายทอดบ้าง แล้วแต่ว่าใครจะเข้าใจว่าอย่างไรนะครับ
ผมไม่กล้าคาดเดาล่วงหน้า แต่หากเกิดเหตุการณ์อะไรในช่วงนี้ จะมาบอกข่าวนะครับผม