ไม่อยากบอกเลยว่าคิดถึง แฮ่ๆ
เอาเป็นว่าเอาใบแทรกที่พิมพ์ค้างมาส่งก่อน แล้วคุยกันต่อ
***************************************************************************
ใบแทรก ว่าที่แฟนของพี่สาว
ผมเคยเกริ่นไว้เมื่อนานแล้วแหละ ว่าพี่สาวผมคือพี่เคทเนี่ยน่าจะมีหนุ่มมาจีบเพราะว่าดูจะน่ารักผิดปกติ คึคึ แต่ป้าแกเล่นไม่ยอมเล่าให้ทางบ้านฟัง พอผมถามเข้ามากๆ เจ๊จะว่างี้เลย
“ ชั้นจะตีฉิ่ง เหมือนที่แกชนช้างกับข้าวกล้องไง ” ผมก็จะคิดกันไปว่าป้าแกไม่พร้อมจะบอก จนวันที่ผมได้เจอกับคนๆนั้นก็มาถึง
ช่วงนั้นเป็นวันหยุดยาวครับ วากดิษอุตส่าห์เคลียร์งานจนดึกจนดื่น เพื่อมารอดูบอลกับผมตอนในวันหยุด แต่ปรากฏว่ากลางดึกพ่อผมก็โทรมาบอกว่าเช้ามืดจะพาผมไปกรุงเทพ
“ อะไรอะคิม ทำไมพ่อทำงี้ล่ะ ”
“ เราว่า เรางงน่าจะมากกว่าดิษนะ ” คือจะให้ผมไปด้วย ทำไมบอกมันล่ะ
“ ไม่รู้ล่ะ พี่จะไปด้วย ” ตอนนั้นวากดิษเริ่มมีอาการป่วยแล้วครับ แต่ยังไม่หนักเท่ากับช่วงที่ผ่านมานี้
“ โทรหาพ่อก่อนนะ ” วากดิษทำหน้ามุ่ยละครับ เหอะๆๆ
“ โทรก็โทรไปสิ มานั่งนี่ ” พี่วากดึงผมไปนั่งตรงหว่างขา คงจะอุ่นมั้งเนอะ ฮึ่ยยย
“ ดีครับพ่อเลี้ยง จะหิ้วลูกไปไหน ”
“ เองเตรียมตัวหรือยัง ข้าโทรไปย้ำข้าวกล้อง เพราะคิดว่ามันต้องไม่บอกเอง ”
“ ย้ำเรื่อง ” ย้ำอะไรอะ
“ ข้าบอกมันเมื่อวานว่าพรุ่งนี้จะไปเยี่ยมเคท มันตอบส่งๆ ข้าเลยบอกมันว่าคิมอะของเองคนเดียวหรือไง ” วากบ้ามันคงได้ยินด้วยอะครับ มันกระซิบข้างๆหูผมว่า ไม่จริงๆ
“ มิน่าล่ะหวงชิบหายเลยครับ ” พ่อของผมหัวเราะฮ่าๆ ก่อนจะบอกให้ผมเก็บเสื้อผ้า ว่าจะนอนคืนนึง
“ พี่เคทป่วยอะดิษ ” พอวางสายผมก็ต้องเจอสายตาหมาจะถูกทิ้งอีก ฮ่าๆๆ
“ ก็ใช่ ..... นานๆจะได้หยุดยาวนะ ”
“ เคลียร์งานให้เรียบร้อย กลับมาค่อยนั่งเล่นกันนะ ” วากบ้ายิ้มกว้างให้ผม ถึงตอนนี้แค่มีเวลานั่งเล่นที่บ้านแบบไม่เอาอะไรมาใส่หัวก็ยากอยู่แล้วครับ เพราะอะไรๆที่เปลี่ยน ทำให้เราต้องทำอะไรมากขึ้นเรื่อยๆ
เช้ามืดถัดมาไม่กี่ชั่วโมง พ่อของผมก็มายืนรอที่หน้าบ้านของวากบ้า (บ้านหลังที่อาพ่อวากดิษเคยอยู่นั่นแหละครับ)
“ ให้ข้าเอาไปกี่วัน ” พ่อถามไปที่ดิษ ผมก็ยืนงงดิครับ
“ คืนช้าผมขับไปเอากลับนะพ่อ ”
“ เว้ยๆ ผมคนนะครับ ฮุ้วว ” แรกๆเหมือนจะโมโหกัน ทีงี้ล่ะมารวมหัวแซวผม ฮึ้ยย
“ ข้าอยากไปดูมันหน่อย ตั้งแต่ไปกรุงเทพ ข้าไม่เคยไปหาเลย ” คราวนี้เป็นผมหันกลับมาแทน
“ ว่าไงนะพ่อ ไม่เคยไปหาอะ ”
“ ขึ้นไปคุยบนรถเถอะ ท่าจะยาว ” วากดิษดันๆผมขึ้นไปบนรถตู้ ผมมองผ่านกระจกข้าง ก็เห็นสองพ่อลูกคุยกันนิดหน่อย พ่อผมตบไหล่สองสามทีแล้วเดินขึ้นมานั่งกับผม ส่วนคนขับก็ไอเพื่อนคนที่ขับรถมาให้พ่อผมครั้งก่อน
“ พ่อไม่เคยไปหาพี่แคทจริงอะ ”
“ อืม แปลกใจอะไร ” ดูๆ
“ แบบนี้ไม่งอนตายเลยเหรอ ” พ่อผมส่ายหน้า
“ ทุกคนห่วงเองกันหมด ข้าก็ห่วงเองมากด้วย ” พักนี้ พ่อผมจะดูอารมณ์อ่อนไหวครับ ตั้งแต่ที่ผมกับดิษเปิดเผยตัวเองมากขึ้น ดูพ่อผมจะเป็นคนอ่อนโยนไปเลย
“ เอาเรื่องไร่ดีกว่า เฮียเค้าเป็นไงมั่งอะ ” ผมเลยคุยเรื่องอื่นแทนครับ เราคุยกันไปก็พักงีบกันไป ชวนเพื่อนผมคุยไป ไม่นานเราก็ถึงกรุงเทพ แต่ผมมัวแต่คิดเรื่องอื่นจนลืมถามว่าทำไมเราต้องเดินทางกันดึกๆดื่นๆ ทั้งๆที่มาถึงนี่ก็ยังไม่เช้าดีเลย
“ พ่อ ทำไมมาเช้าจังล่ะ ” พ่อของผมยิ้มเจ้าเล่ห์มาก แล้วก็เดินนำผมไป
ผมเดินตามพ่อไปเรื่อย เห็นผมสีขาวบนหัวของพ่อแล้วจนมันสั่นๆครับ ไม่รู้เพราะอะไร ตอนผมจำความได้ พ่อของผมยังเดินต้อนวัวกลับคอกอยู่เลย เวลานี่น่ากลัวขนาดนี้เชียวเหรอ เฮ้อ
“ อ๊าวววว !!!! พ่อ อีคิม ” พอพ่อของผมเปิดห้องไป ก็เจอพี่แคทนอนอยู่บนเตียง
“ ............ ” แต่สายตาผมไม่ได้มองที่พี่แคทหรอกครับ เห็นบ่อยละ คนที่มองน่ะเป็นอีกคน
“ เอ่อ สวัสดีครับ พ่อน้องแคท น้องด้วยครับ ” คนที่ว่าเป็นผู้ชายครับ หน้าตานี่คุณชายสุดขั้ว ใสมากๆ สูงปานกลาง ชุดที่ใส่นี่แค่เห็นก็อึ้งละครับ แว่บแรกรู้เลยว่ารวย เหอะๆๆๆ
“ อ๋อ เออ คุณเป็นใครเหรอ ทำไมอยู่ห้องของลูกสาวผม ”
“ พี่เค้าเพิ่งมาน่ะพ่อ ”
“ ข้าถามว่า .... ” คือพ่อผมเนี่ย ถึงจะอยู่บ้านไร่ แต่ถ้าไล่เหตุผลพ่อผมไม่เพี้ยนครับ พ่อผมถามว่าทำไมอยู่ที่นี่
“ ผมเพิ่งมาอะ หิวข้าว พี่ไปกินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อยนะ ”
“ อีคิม แกจะทำอะไร ” จะบอกดีไหมว่า พ่อจะฆ่าเจ้าชายนั่นด้วยสายตาอยู่ละ ฮ่าๆ
“ พี่ไปเป็นเพื่อนน้องก็ได้ครับ ..... คุณพ่อ ”
“ อ๋อ ผมไม่ทานข้าวเช้า ” บอกดีไหมว่าพ่อผมกินข้าวเช้าเยอะมาก หึหึหึ
“ งั้นฝากน้องด้วยนะคะ ..... อีนี่แรด ” ฟังจากคำพูด พี่สองคนคงสนิทกันพอตัวเลยครับ ถึงแซวผมต่อหน้า เจ้าชายของเราก็ได้แต่ยิ้มๆ ไงดีล่ะ ยิ้มน่ารักอะครับ
ผมพาพี่เจ้าชายออกมาจากห้อง แล้วก็มองหามุมเหมาะตรงชั้นนั้น ก่อนจะหยุดยืนเฉยๆ
“ น้องไม่ได้หิวข้าวใช่ไหมครับ ” บอกดีไหมว่าหิวอะไร คึคึคึคึคึ
“ ครับ ผมคิมน้องพี่เคท ”
“ พี่ชื่อจิวครับ ” ชื่อแปลกเหมาะกับมาดดีนะ หึหึ
“ พี่มาหาพี่สาวผมเช้าๆแบบนี้ทุกวันเหรอครับ ” พี่จิวขยับแว่นนิดนึง เริ่มจะยิ้มอีกล่ะ
“ ครับ ”
“ ผมว่า ...... คนปกติไม่ทำกันมั้งครับ ” พี่เค้ายิ้ม แล้วถอนหายใจยาววววว
“ พี่ดูง่ายขนาดนั้นเลยเหรอครับ ”
“ ไม่ง่ายหรอกครับ คือ ผมกับพี่เคทสนิทกันมาก ถ้า ..... ”
“ เคทเล่าถึงคิมให้พี่ฟังบ่อย แต่ไม่คิดว่าตัวจริงจะสูงขาวน่าตาดีแบบนี้ ” รวมๆคือหล่อแหละ ก่ากๆๆ
“ เอาเรื่องพี่ก่อน ตกลงยังไงครับ ” ปกติผมก็ไม่ชอบไล่ต้อนคนแบบนี้หรอกครับ แต่อาการพี่จิวดูอึดอัดๆ
“ พี่ชอบเคท ”
“ ตรงดีพี่ ”
“ แต่เคทไม่ชอบพี่ ”
“ เฮ้ย ” ผมตกใจครับ เหอะๆๆ
“ เป็นอะไรคิม ” อยากบรรยายให้ชัดขึ้นอีกหน่อยครับ คือ พี่สาวผมอะ บอกตรงๆว่าจับเข้าคู่กับพี่จิวยากมาก พี่จิวดูพร้อมทุกเรื่องเลยทั้งหน้าตาอาจจะรวมถึงฐานะซึ่งเอาไว้ค่อยถาม ถ้าผมนะจะ .... เหอะๆๆๆ
“ พี่รู้ได้ไงว่าพี่สาวผมไม่ชอบพี่ ”
“ อ่ะ ....... ดูสิ ” พี่จิวเอาภาพที่ไปเที่ยว ทำงาน และอีกหลายอย่างที่ทำร่วมกับพี่เคทให้ดู ในนั้นพี่เคทจะพูดเสมอว่าไปกับเพื่อน พี่จิวคือเพื่อน เพื่อน กับเพื่อน แล้วยังจะด่าคนที่เชียร์ว่าเค้าเห็นเพื่อนเป็นเพื่อน ไม่สนว่าใครจะคิดอะไร
“ อืมๆ ” เวลาพี่จิวเล่าเรื่องก็จะยิ้มตลอดเวลา นี่มันหนักเข้าขั้นนะเนี่ย
“ เคทน่ะไม่ยอมไปไหนสองคนกับพี่ ถึงมีโอกาสก็จะโพล่งไม่หยุดว่าพี่เป็นเพื่อนที่ดี ”
“ นานหรือยังครับ ” ผมถาม
“ ซัก ..... ปีเกือบสองปีแล้ว ”
“ โหพี่ พี่ก็ทนให้พี่สาวผมปั่นเล่นมาปีสองปีแล้วเนี่ยนะ ” พี่จิวกระพริบตาปริบๆ
“ ปั่น ..... ปั่นหัวพี่เหรอ ”
“ ไม่เชิงอะพี่ เวลาที่ใครบอกว่าพี่เป็นเพื่อน พี่ก็เป็นเพื่อนให้ ง่ายงั้นเลยเหรอพี่ พี่สาวผมเป็นคนยังไงพี่คงรู้ดี ถ้าพี่แน่จริงพี่ต้องกล้าบอกสิว่าพี่ไม่ได้คิดกับพี่สาวผมแค่เพื่อน ”
“ แต่ถ้าบอกไปแล้ว เค้าโกรธหาว่าพี่ทรยศล่ะ ” ไปๆมาๆ ผมลืมไปแล้วนะเนี่ยว่า เราเจอกันไม่ถึงชั่วโมง แต่คุยกันไปลึกมาก
“ กล้าป่ะล่ะ กลัวก็กลัวต่อไป ” พี่จิวมองหน้าผม แล้วค่อยๆยิ้มออกมา
“ ได้ ...... พี่จะลองดู ”
“ ผมถามได้ปะเนี่ย ว่าพี่ทำงานอะไร ” พี่จิวบอกว่าจบกฎหมายแบบผม แต่เรียนมหาลัยเอกชน พ่อเป็นเจ้าของพวกโปรดักชั่น เลยให้มาสืบทอดกิจการ ส่วนที่ไปเจอพี่ผมได้ไง ก็สวนกันที่มหาลัยตอนพี่สาวผมเรียนปริญญาโท
“ พี่ผมขออย่างนึง ”
“ บอกมาเลย ”
“ เกิดพี่สาวผมยอมรับ ห้ามบอกว่าผมแนะนำพี่ ” พี่จิวขมวดคิ้ว
“ เป็นเรื่องดีออกนะ ทำไมห้ามล่ะ ”
“ ได้ไหมล่ะ ” พี่จิวหัวเราะออกมา
“ คิมเด็ดขาดดีนะ ตกลงตามนี้ ” พอคุยเรียบร้อย ผมก็เดินกลับเข้ามา ปรากฏว่าพ่อของผมโทรสั่งให้คนเอาข้าวมากินกับพี่เคท รายนั้นบ่นว่ากับข้าวโรงพยาบาลจืด ปกติจะเป็นพี่จิวที่หาซื้อมาให้ แต่ผมดันลากพี่จิวออกไป เลยโทรไปสั่งมากินแทน
จากนั้นพี่จิวบอกว่าต้องไปทำงานแล้ว เลยขอตัวกลับ พอดีกับที่พ่อผมบอกว่าจะไปหาเดินยืดเส้นสาย ทำให้ตอนนี้ผมอยู่กับป้าเคทสองคน
“ ป้าเล่นตัวมากไปปะ ”
“ พูดอะไรยะ เดี๋ยวก็ตีตาย ” พี่สาวผมตัวเล็กๆ แต่น่ารักนะครับ ชอบพูดเสียงดังกลบเกลื่อนความสูง ก่ากๆๆ
“ คนนี้ไม่ชอบเลยเหรอ ”
“ ทำไมสเป็คแกหรือไง นึกว่าชอบสูงๆ หุ่นนายแบบๆ ” แซวข้าวกล้องมันอีกล่ะ
“ เอาจริงป้า อยู่แค่สองคน ” ป้าเคทเม้มปากแน่น แสดงว่าความจริงก็อึดอัดมากไม่แพ้พี่จิว
“ แกคุยกันซักพักแล้ว คิดไงล่ะ ”
“ ชอบเค้า แต่ไม่รู้ว่าเค้าจะโอไหมเหรอ ” ป้าเคทตาโตเลยครับ
“ แกนี่ ร้ายกาจ ”
“ ป้า ป้าจะรอเพื่ออะไร ป้าเคยมีแฟนป่ะเนี่ยถามจริง ”
“ มีย่ะ ...... แต่ไปกันไม่ได้ ” ผมขยับตัวขึ้นไปกอดพี่สาวข้างๆ
“ พี่เคท ผมไม่บอกอะไรพี่ แต่พี่ใช้ใจตอบไปเลยว่าคิดยังไง เลิกคิดไปเอง ก่อนที่ ..... ” ป้าเคทมองผมสายตาซึ้งมากๆ
“ ก่อนอะไรคิม ”
“ ก่อนขึ้นคานอะดิ ถามได้ ฮ่าๆๆๆ ”
“ อีบ้า แกนี่กับคนป่วยก้จะแกล้ง ฮือ ” ผมไม่รู้ว่าพี่ผมร้องไห้ทำไมนะ แต่พี่ไม่ได้โกรธผม จากนี้ผมคงได้แต่รอฟังข่าวต่อไป
เสร็จธุระเรียบร้อย พ่อของผมก็ชวนกลับบ้าน
“ ไหนว่าจะอยู่นี่วันนึงไงพ่อ ” พ่อของผมหัวเราะ
“ เองว่าไอดิษมันจะทำหน้ายังไงตอนเองไปยืนอยู่หน้าบ้าน ”
“ โห พ่อ เดี๋ยวมันก็หัวใจวายหรอก ” พ่อผมส่ายหน้า
“ เดี๋ยวพอถึง เองก็บอกมันว่าถ้าคิดถึงก็ออกมามองหาที่ท้องฟ้าสิ รับรองมันต้องแทบกระโดดลงจากระเบียงมาหาเองเลย ” ผมได้แต่ส่ายหน้าดิครับ
“ ไปคิดมุขแบบนี้มาจากไหนเนี่ย ”
“ คิดว่าของแบบนี้เพิ่งมามียุคเองเหรอ ยุคข้าก็ทำกัน ”
“ เอาเหอะ ”
“ ฮ่าๆๆๆ ”
****************************************************************************
เรื่องต่อจากที่เล่าไปก็คือ พี่สองคนดันไปปาร์ตี้ไรไม่รู้ พี่จิวดันอดใจไม่ได้ ไปตุบตุบพี่สาวผม ผมเลยมารู้ตอนนั้นว่า ..... พี่ผมเนี่ย ครั้งแรก แฮะๆ ในที่สุดทั้งสองคนมาขอขมาพ่อ แต่คนที่เดือดแทนดันเป็นตัวผม เกือบต่อยพี่จิวที่ชิงสุกก่อนห่าม ท้ายสุดผมพี่น้องทุกคนเลยไปเคลียร์ใจกัน ตอนนั้นถึงรู้ว่าพี่สาวผมรักพี่จิวมากแค่ไหน ถามว่ายอมไหมไม่ได้ยอม แต่เห็นว่าเป็นพี่จิวๆแน่ๆเลยเฉยไป ณ วันนี้ ผมก็ได้พี่เขยแล้ว ส่วนที่มันคั่นๆกันกับที่ผมเล่าไปก่อนหน้าก็คือ พ่อผมป่วยอาการไม่ดี เลยไม่ได้ทำตามประเพณี พ่อผมดีขึ้นถึงได้ทำพิธี
ส่วนเรื่องต่อท้าย ก็เป็นเรื่องเศร้าครับ คืออาม่าของวากดิษ ท่านเสียชีวิตไปเมื่อกลางเดือนที่แล้ว วากดิษเสียใจมาก ถึงขนาดกลางคืนมีเพ้อด้วย เรื่องที่ผมจะเล่าคือ วันก่อนที่ท่านเสียประมาณสองวัน
ช่วงที่อาม่าป่วย ดิษกับผมจะสลับกันไปเยี่ยมท่านเช้าเย็นทุกวัน เป็นแบบนี้มาประมาณสองเดือน จนมีวันนึงก่อนผมกลับ อาม่าที่นอนอยู่ที่ห้องไอซียู มีสายต่อที่ตัวมากมาย บอกผมว่า
“ อาคิม พรุ่งนี้ให้ข้าวกล้องมาพร้อมกันนะ ”
“ คิดถึงหลานตัวจริงขนาดนั้นเลยเหรอครับ ” ผมแซว แต่อาม่ากลับน้ำตาไหล ไม่หัวเราะเหมือนเคย ผมเลยไม่พูดต่อ แค่รับปากว่าจะพาวากดิษมา
พอผมเล่าให้ดิษฟัง ดิษก็กระวนกระวายจะมาหาอาม่าให้ได้ แต่ตอนนั้นหมดเวลาเข้าเยี่ยม เราเลยรอมาหาอาม่าตอนบ่ายของอีกวัน ก่อนเข้าห้อง ผมดึงมือวากดิษไว้
“ ห้ามร้องไห้นะ ทำได้ปะ ”
“ อืม ” อาการของอาม่าวันนี้แย่มากเลยครับ ท่านหายใจอ่อน แต่เร็วมาก
“ ข้าวกล้อง ...... คิม ” เสียงอาม่าตอนนี้แผ่วเบามาก ผมสองคนรีบขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆ
“ อาม่าใกล้จะกลับไปทำขนมแล้วใช่ไหมครับ ” วากดิษพูดขึ้น
“ เฮ้ออ ..... ข้าวกล้องมีอะไรอยากบอกพ่อไหม ” พอได้ยินคำนี้ วากดิษช็อคไปชั่วครู่ ผมรีบสะกิดวากดิษพร้อมทั้งพยักหน้าให้
“ ผม ...... รักพ่อ ” วากดิษกลั้นน้ำตาสุดๆแล้วครับ ผมเห็นท่าไม่ดี เลยส่งสายตาให้ดิษออกไปก่อนก็ได้ พอวากดิษไป อาม่าก็กุมมือผมไว้
“ คิม ...... อาม่าถามตรงๆ ได้ไหม ”
“ ครับ ถามได้เลย ” อาม่าหลับตาแล้วพูดขึ้น
“ ชาติหน้ายังอยากเป็นแฟนข้าวกล้องไหม ”
“ อยากครับอาม่า ”
“ แล้ว ..... แล้ว ..... ” ผมเห็นอาม่าหายใจเต้นแรง ผมเลยหันไปหาพยาบาล แต่อาม่ากลับกุมมือผมแน่นอีก
“ ถ้าเลือกได้ ...... จะเกิดเป็นผู้หญิงไหม ” ผมจำได้ดีว่าผมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ ไม่ครับอาม่า ผมอยากเป็นผู้ชาย แล้วก็เป็นแบบนี้ด้วย ” น้ำตาของอาม่าค่อยๆไหลออกมา แล้วปล่อยมือผมออก
“ ข้าวกล้อง .... อาม่าไม่ห่วงแล้วลูก อาคิมอาม่าจะนอนแล้วนะลูก ” แล้วนั่นก็เป็นประโยคสุดท้ายที่อาม่าพูด เพราะหลังจากผมออกมาจากโรงพยาบาลไม่ถึงชั่วโมงท่านก็จากไป ในช่วงงานศพซึ่งมีพิธีจีนเยอะมาก วากดิษจะร้องไห้ไม่หยุด พอถามก็ได้ความว่า
“ ตอนเล็ก พี่ป่วยมาก พ่อของพี่ต้องวิ่งหางานหาเงินไปขอแม่ มีแค่อาม่าที่ขอรับไปเลี้ยง ญาติคนอื่นแม้แต่อาม่าแท้ๆยังไม่รับพี่เลย พี่คิดว่า ซักวันพี่อยากทำให้ท่านภูมิใจ อยากให้เห็นว่าพี่ยืนหยัดต่อได้หลังจากไม่มีพ่อ แต่พี่ก็ทำไม่ทัน ” ผมเลยตัดสินใจเล่าเรื่องก่อนท่านเสียให้ดิษฟัง รายนั้นถึงยิ้มออก
“ ยิ้มอะไรครับพี่วาก ”
“ ไม่บอก แบร่ ” เดี๋ยวนี้หัดแลบลิ้นด้วยไง เหอะๆๆ
อาการป่วยของดิษดีแล้วนะครับ เมื่อวานยังไล่เยาะเย้ยที่ผีแดงตกรอบอยู่เลย เหอะๆ หลังจบงานวุ่นๆ เพิ่งมีโอกาสหายใจ ที่จริงวันนี้วันหยุดผมมีคิวไปทำงานอีกที่ แต่ผมปฏิเสธ เพราะตอนนี้วากดิษกลุ้มใจเรื่องเสียคนที่รักไปอีกหนึ่ง ยอมถูกว่าละครับ คนอื่นทำกันบ้างเนอะ
หวังว่าจะไม่หนีผมไปน้า ผมยังไม่ไปไหนนะ พิมพ์เท่าที่พิมพ์ได้ครับ ขอบคุณที่มารอกันเน้อ
ขอบคุณครับ