ผมถีบจักรยานออกมาจากกองร้อยที่พ่อทำงานอยู่ด้วยความไม่เร่งรีบเท่าไรเพราะว่าผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะรีบกลับไปทำไมบ้าน กลับไปก็ไปนั่งจมอยู่กับความทุกข์ของตัวเอง แม้ปากของผมจะบอกว่าไม่คิดอะไร ไม่เป็นไร แต่ความจริงแล้วในใจมันก็ยังมีบ้างมันเจ็บแป๊บขึ้นมาทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องของผมกับมัน แม้ว่ามันจะไม่เจ็บมากเหมือนกับตอนเกิดเรื่องใหม่ๆ
ในใจลึกๆ ผมยังเคยหวังอยู่ว่าสักวันเฟคมันจะขี่รถมาจอดที่หน้าบ้านของผม แล้วมาง้อผม ให้ผมยกโทษให้มันแล้วเราก็คืนดีก่อนที่เราจะกลับมาเหมือนเดิม แต่มันก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง เวลาที่ผ่านมาเกือบเดือนไอ้เฟคมันก็หายเข้ากลีบเมฆไปเลยไม่เคยแม้แต่จะโทรมาขอโทษหรือว่าอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ระหว่างที่ผมคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้นผมก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าผมรีบกลับบ้านดีกว่าแล้วแต่งตัวออกไปในเมืองไปดูหนังสักรอบดีกว่า ผมจะมาทนทุกข์อยู่ทำไมกับความเศร้า
ผมคิดได้อย่างนั้นผมก็เร่งความเร็วขึ้นมาอีกเพื่อจะได้กลับให้ถึงบ้านเร็วๆแต่ขากลับมันต้องถีบขึ้นเนินเยอะผมเลยเหนื่อยมากกว่าขามาหน่อย
พอผมเข้ามาถึงบ้านก็เห็นว่ามีรถจอดอยู่หน้าบ้านอยู่แล้วคันหนึ่งแต่ผมก็ไม่ได้สนใจว่ารถใครก็คงเป็นคนรู้จักของแม่แน่ๆ ผมเลยแค่จูงจักรยานผ่านไปเท่านั้น พอเอารถจักรยานไปจอดไว้ที่เดิมเสร็จผมก็เลาะไปเข้าทางหลังบ้านเพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องผ่านห้องรับแขก พอเข้ามาได้ปุ๊บผมก็รีบขึ้นห้องไปทันที แล้วอาบน้ำแต่งหล่อออกจากบ้าน ผมมองหน้าตัวเองในกระจกตอนแต่งตัว รู้สึกว่าตัวเองดูแย่ลงกว่าเดิมมาก ไม่ใช่ที่หน้าตา แต่สายตา และแววตาของผมมันดูไม่สนใสเหมือนเก่า มันดูกระด้างขึ้น แววตาที่เหมือนคนที่มีพร้อมทุกอย่างยกเว้นความสุข ไม่เคยคิดเลยว่าแค่คน คนเดียวจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตผมได้มากขนาดนี้
พอแต่งตัวเสร็จผมก็เดินลงมาจากบ้านแล้วไปหยิบกุญแจรถของผมแล้วขี่ออกไปแต่ก่อนออกไปก็บอกแม่หน่อยดีกว่า เดี๋ยวจะเป็นห่วงกันอีก ผมมองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นแม่อยู่ในครัวหรือหลังบ้านแต่ผมยังเห็นรถที่จอดอยู่สงสัยแม่ยังคุยอยู่กับแขกแน่เลย เอาอย่างนี้ดีกว่าผมว่าผมออกไปก่อนดีกว่าแล้วค่อยโทรมาบอกแม่ที่หลังไม่อยากเข้าไปกวนแม่ตอนที่ท่านกำลังมีแขก
ผมจึงเดินไปที่โรงจอดรถ แล้วลากฟีโนคันโปรดของผมออกมาไม่ได้ขี่ตั้งนานไม่รู้ว่าเครื่องจะติดหรือเปล่า ผมจึงลองดู ครั้งแรกไม่ติด จนมาครั้งที่สามนั้นแหละจึงติด สงสัยเสียงรถของผมมันจะดังแม่จึงเดินออกมาดู
“บีมจะไปไหนลูกถึงเอารถออก”
ผมหันกลับไปยิ้มให้แม่ก่อนที่จะพูดว่า
“ผมจะออกไปดูหนังหน่อยนะแม่ แล้วจะออกไปเที่ยวกับพี่ก้องเลย แม่ไม่ต้องรอเปิดประตูนะครับ ผมจะค้างที่บ้านพี่ก้องเลย”
ผมบิดรถออกไปทันทีไม่ได้ฟังว่าแม่พูดอะไรอีกได้ยินแต่เสียงตะโกนเท่านั้นแต่ผมนะบิดหน้าตั้งไปแล้ว ส่วนเรื่องไปค้างที่บ้านพี่ก้องนี่ไม่ต้องห่วงเลยครับช่วงนี้ผมไปประจำอยู่แล้วและแม่ก็ไว้ใจพี่ก้องว่าจะไม่พาผมเสียคน เพราะว่าแม่รู้ดีว่าพี่ก้องไม่เอาอนาคตของตัวเองมาเสี่ยงหรอกครับ เพราะอย่างที่รู้ๆ ใครนะเป็นผู้บังคับบัญชาพี่ก้อง
ผมขับรถเข้าไปในเมืองแล้วขับรถวนไปวนมาในตัวเมืองนั้นแหละ ไม่ได้เข้ามาที่นี่นานมากแล้ว เมื่อสมัยที่ผมเรียนมัธยมผมก็เรียนโรงเรียนที่อยู่ในตัวเมืองนี่แหละครับ ดังนั้นทุกซอกทุกมุมผมก็พอจะรู้ว่าอะไรอยู่ที่ไหนบ้าง ผมขับรถวนไปดูตามสถานที่ต่างๆ ที่ผมเคยไปนั่งกินข้าวกับเพื่อนบ้าง เคยไปนั่งเพื่อนๆ ที่นัดกันไว้ว่าจะไปติวหนังสือบ้างแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไปติวกันแต่ไปกินเหล้ากันแทน....อันนี้ไม่ควรเอาอย่างนะครับ
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะย้อนอดีตได้สักเท่าไร ฝนเจ้ากรรมมันก็เริ่มตกลงมาเสียอย่างนั้น จนผมตัดสินใจต้องหาที่หลบฝนแล้วล่ะและผมก็ได้ที่หลบฝนเป็นบ้านของเพื่อนของผมคนหนึ่งเป็นร้านอาหาร เมื่อก่อนผมกับมันสนิทกันมากจนต่างคนต่างแยกย้ายไปเรียนที่ต่างๆ นั้นแหละจึงห่างๆ กันไป ผมเข้าไปเรียนที่กรุงเทพ ส่วนมันไปเรียนหมออยู่ที่ขอนแก่น
ผมแวะที่นี่เพราะว่ามันใกล้ที่สุด และอีกอย่างผมก็ถือโอกาสไปไหว้พ่อกับแม่ของเพื่อนเสียหน่อยหลังจากที่ไม่ได้เข้าไปเสียนาน ผมเข้าไปในร้านบรรยากาศเดิมๆ กลับมาอีกครั้งมันอบอุ่น พอแม่ของเพื่อนเห็นผมท่านก็ทักอย่างดีใจที่เห็นผมกลับมา ผมเดินเข้าไปไหว้ท่านก่อนที่เราจะนั่งคุยกัน ทำให้ผมรู้ว่าเพื่อนของผมเพิ่งกลับขนแก่นไปเมื่อเช้านี่เอง ทำให้ผมไม่เจอกับมัน ผมแอบเสียใจลึกๆ เหมือนกัน ผมนั่งคุยกับแม่ของเพื่อนจนฝนหยุดตกผมจึงลาท่านแล้วตรงไปยังห้างเพื่อจะไปดูหนังอย่างที่ตั้งใจเอาไว้
ผมไปเลือกดูหนังที่อยากดู พอเข้าไปบรรยากาศของคนที่เขามาดูหนังเป็นกลุ่มหรือเป็นคู่ๆ มัรทำให้การมาดูหนังคนเดียวมของผมเหงาเหมือนกัน เมื่อก่อนผมจะชอบไปดูหนังกับเพื่อนๆ พอมาช่วงหลังๆ มานี่ผมมักจะไปดูหนังกับไอ้เฟค ไม่รู้ทำไมผมถึงต้องคิดถึงมันอีกแล้วทั้งๆ ที่ผมเองตัดสินใจว่าผมจะตัดมันออกจากชีวิตของผมให้ได้
ไอ้น้ำตาเจ้ากรรมมันก็ดันไหลออกมาอีกจนผมต้องรีบเช็ดน้ำตาออกเพราะกลัวว่าคนที่นั่งข้างๆ ผมจะคิดว่าผมนะบ้าที่อยู่ดีๆ ก็นั่งร้องไห้ซะงั้นทั้งๆ ที่มันไม่ใช่หนังเศร้าเลยสักนิด
ผมออกมาจากโรงหนังก็ดึกพอสมควรผมจึงโทรไปหาพี่ก้องว่าพี่ก้องเดินทางมาถึงหรือยัง
“พี่ก้องพี่อยู่ไหนเนี๊ยผมจะถึงแล้วนะ”
“ใกล้ถึงแล้วครับน้องบีม...”
“อ้าวทำไมช้าจังล่ะครับ”
“ก็พี่เสียเวลาแวะไปรับน้องบีมไงครับจะออกมาก่อนก็ไม่บอกพี่”
เสียงพี่ก้องตอบแบบงอนๆ ก็...นะคนมันลืมอ่ะ ว่าจะโทรบอกอยู่แล้วเชียวก่อนที่จะเข้าไปดูหนัง แต่พอฝนตกกว่าจะได้ดูหนังก็เลยลืมไปเลย
“แฮ่...ข้าน้อยยอมรับผิดครับ ผมลืมจริงๆ ครับ”
“อืม..จะยกโทษให้ดีหรือเปล่าน๊า...”
“โถ..พี่ก้องครับคนมันลืมกันได้ยกโทษให้น้องตาดำๆ คนนี่เถอะครับ”
สรุปว่าพี่ก้องก็ต้องยอมให้ผมเหมือนเดิม
ช่วงเวลาที่ผ่านไป ทำให้ผมทำใจได้มากขึ้นอีกอย่างตอนนี้ผมเกาะพี่ก้องแกแจเลย พี่เขาก็ใจดีครับยอมให้ผมทุกอย่างไม่รู้ว่าที่ยอมนี่เพราะว่าผมเป็นลูกของพ่อหรือเปล่าจนเวลาผ่านไปจวนจะเปิดเรียนอยู่แล้ว พวกไอ้อ้นมันก็โทรมาเร่งผมหยิกๆ ว่าเมื่อไรผมจะกลับกรุงเทพเสียที ผมก็พลัดมันไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็พลัดไม่ได้อีกแล้ว ผมต้องกลับไปสู้ความจริงเสียที
ผมชวนพี่ก้องไปกับผมด้วยเพื่อจะได้ช่วยย้ายของและหาหอพักใหม่ พี่ก้องก็ใจดีครับยอมไปกับผมเพราะว่าเป็นวันหยุดของพี่เขาพอดี ผมต้องขอบคุณพี่เขาอย่างสูงที่ยอมเสียสละเวลาที่ควรพักผ่อนมากับผม
ผมเดินทางเข้ากรุงเทพมาพร้อมกับพี่ก้อง โดยที่พี่ก้องเอารถกระบะมาด้วยเพราะจะได้ขนของได้สบายขึ้น แต่ผมไม่ได้บอกหรอกว่าผมย้ายหอทำไม พี่ก้องพาผมตะเวณไปตามหอพักต่างๆ จนได้ที่พักที่ถูกใจนั้นแหละครับค่าเช่าพอประมาณไม่แพงมาก ฟอนิเจอร์พร้อมแถมเป็นห้องแอร์อีกด้วย ผมตกลงใจเช่าทันที ที่เห็นห้องแถมมันไม่ไกลจากมหาลัยด้วย เดินไปกลับยังได้ ผมรีบวางเงินมัดจำก่อนที่จะพาพี่ก้องไปกินอะไรง่ายๆ ก่อนที่จะไปช่วยกันขนของ ของผมที่คอนโดของไอ้เฟค
ผมคำนวณเอาไว้แล้วว่าไอ้เฟคมันคงไม่อยู่หรอกตอนนี้เพราะยังเป็นเวลางานของมันอยู่ ไปตอนนี้ไม่เจอมันชัวร์
ผมเข้าไปที่คอนโดดเจอยามเขาก็ยิ้มให้เพราะพี่เขาคงจำผมได้ ผมไม่ได้แวะทักเพราะกลัวจะเสียเวลา ผมเพียงแต่ยิ้มรับก่อนที่จะขึ้นไปบนห้อง
ผมลองขยังลูกบิดดูปรากฏว่ามันยังล็อคอยู่โล่งใจไปหน่อยที่มันยังไม่กลับ
“เป็นอะไรไปบีมถอนหายใจอย่างนี้ แน่ใจนะว่ามาถูกห้อง ที่นี่หรูน่าดูเลยนะ”
“ถูกดิพี่ก้อง แต่ผมไม่แน่ใจว่ารูทเมทเก่าผมจะอยู่หรือเปล่า ผมย้ายออกไม่ได้บอกกับมันไว้ กลัวมันจะต่อว่าเอา”
พี่ก้องยิ้มให้ผมเป็นอันว่าเข้าใจ...ผมไขกุญแจเข้าไปในห้อง ทุกอย่างเกือบจะเหมือนเดิมหลังจากที่ผมเดินออกไปวันนั้น ผมเดินตรงไปที่ห้องนอนเพื่อเก็บหนังสือเรียนและเสื้อผ้าที่เหลือของผม พี่ก้องก็เดินตามมาแต่เปิดประตูไว้เพื่อที่ว่าจะได้มีคนเห็นว่าเราเข้ามาและไม่ได้หยิบอะไรที่เป็นของมันไปด้วย
แต่พี่ก้องตามมาแค่หน้าห้องนอนเท่านั้น ผมเดินเข้าไปช้าๆ คิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาที่ผมเคยทำรวมกับมันมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา จนทำให้น้ำตาซึมขึ้นมาอีกครั้งที่กลับมาเห็นสภาพเก่าๆ ที่ผมเคยมีความสุขกับมัน ผมนั่งลงบนที่นอนค่อยๆ เอามือลูบไปเบาๆ เพื่อเก็บความทรงจำดีๆไว้
“น้องบีมครับเสร็จหรือยังครับเดี๋ยวกลับไปถึงหอมืดนะครับ”
เสียงพี่ก้องเรียกผมอยู่หน้าห้อง ทำให้ผมลุกขึ้นยืนแล้วลงมือเก็บหนังสือแล้วขนออกไปให้พี่ก้องขนลงไปข้างล่างก่อน
“เอ่อ...พี่ก้องตามยามที่อยู่ข้างล่างมาด้วยนะครับ ให้พี่เขามาเป็นพยานว่าเราไม่ได้เอาอะไรไปนอกจากของ ของผม”
พี่ก้องพยักหน้าก่อนที่จะยกลังหนังสือของผมไป ผมจึงเดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งเพื่อเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าที่ผมเตรียมมา ผมเปิดเสื้อผ้าแล้วดึงเสื้อผ้าที่เป็นของผมลงจากไม้แขวน แต่ผมก็เพิ่งเริ่มเห็นสิ่งผิดปกติเสื้อผ้าที่อยู่ในตู้ไม่ใช้ของผมทั้งหมด อีกครึ่งหนึ่งมันมีเสื้อผ้าของใครก็ไม่รู้แขวนอยู่ มันไม่ใช่ของผมและที่แน่ๆ ไม่ใช่ของไอ้เฟสด้วย
ผมอึ้ง.....ไปชั่วขณะ ใช้สมองคิดจนได้คำตอบออกมาเมื่อไม่ใช้ของผม ไม่ใช่ของไอ้เฟคนั้นก็ต้องเป็นของคนอื่น ผมหันไปมองรอบๆ ห้องบางอย่างเปลี่ยนไป ของใช้บนโต๊ะเครื่องแป้งเปลี่ยนไปไม่ใช้ของผม ตอนที่เข้ามาผมกำลังเสียใจอยู่เลยไม่ทันสังเกตสิ่งที่เปลี่ยนไป
คำตอบมันแสดงให้เห็นอยู่แล้วว่าไอ้เฟคมันเอาคนอื่นมาอยู่แทนที่ผมแล้วความรู้สึกแรกอึ้งก่อนที่จะเสียใจที่มันทำอย่างนี้กับผม นี่ผมโง่ใช่ไหมที่ปล่อยให้ใครบางคนเข้ามาแทนที่ผม ไอ้เฟคเองมันก็คงรอเวลานี่อยู่แล้ว เขี่ยผมออกไป แล้วเอาเด็กคนนั้นเข้ามาอยู่แทน ผมหันไปเห็นรูปบนหัวเตียง ที่เคยมีรูปของผมกับมันตั้งอยู่ ตอนนี้มันได้เปลี่ยนไปแล้ว กลายเป็นรูปของมันกับเด็กคนนั้นกำลังแสดงความรักกันอย่างสุดซึ้งที่ชายทะเล
ตลอดเวลาเกือบเดือนที่ผมรอคอยมัน ที่ผมเสียใจ .....ไม่มีคำอธิบายจากมันแถมมันยังมีความสุขกับคนของมันอีก...ความรู้สึกสุดท้ายของผมจึงกลายมาเป็นโกรธและเกลียดมัน ผมหยิบรูปถ่ายนั้นขึ้นมาก่อนที่จะขว้างมันไปที่กำแพง ผลที่ออกมาก็คือมันแตกกระจายไปทั่ว....กูขอให้มึงมีความสุขกันตลอดไปนะไอ้ชั่ว.....ผมเขียนคำนี้ไว้ที่กระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง พอกันทีกับคนอย่างมึง
ผมสั่นไปหมดทั้งตัว มันแน่นจนหายใจแทบไม่ออก ผมไปเก็บของที่เป็นของผมใส่กระเป๋าจนเกลี้ยงไม่ให้เหลือก่อนที่จะออกไปรอพี่ก้องที่หน้าห้องของมัน ผมทนอยู่ในห้องนี้ไม่ได้อีกแล้วมันรู้สึกขยะแขยงจนเกือบทนไม่ได้
พี่ก้องกลับมาพร้อมยามคนนั้น พอเห็นผมยืนอยู่หน้าห้องก็ไม่พูดอะไร มาแย่งกระเป๋าในมือของผมไปถือเอง ผมหันไปคุยกับยามว่า
“พี่ครับ..นี่กุญแจห้องนี้นะครับฝากไว้ให้กับเจ้าของห้องด้วยนะครับ แล้วพี่จะดูของในกระเป๋าหรือเปล่าครับว่าผมไม่ได้เอาของเจ้าของห้องไป ผมเอาแต่เส้อผ้าของผมไปครับ”
“ไม่เป็นไรครับ...คุณคงไม่ได้มาลักหรือขโมยอะไรไปหรอกครับผมเชื่อใจ ส่วนกุญแจผมรับฝากครับ”
ผมยื่นกุญแจให้พี่เขาไปพร้อมกับเงินอีกจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นสินน้ำใจให้กับพี่เขาด้วย
ตลอดเส้นทางที่กับหอพัก ผมเงียบไปตลอดทาง พี่ก้องก็แสนดีครับไม่ถามไม่วุ่นวายแถมมาถึงก็ขนของมาให้ผมอีก
ถ้าบอกว่าโลกมันกลมผมก็คงต้องเชื่อครับ หลังจากที่ผมเก็บของเข้าที่แล้วมันก็มืดพอดี ผมจึงชวนพี่ก้องไปกินสุกี้ในห้างใกล้ๆ มอ นั้นแหละครับเพื่อเป็นการตอบแทนพี่เขาที่ช่วยผมทุกอย่าง
พี่ก้องก็ตามใจผมเหมือนเคย เราสองคนจึงเดินทางไปยังร้านสุกี้กว่าจะได้โต๊ะก็นั่งรอหลายนาทีอยู่ พอได้ที่นั่งผมก็ให้พี่ก้องสั่งของได้ตามสบายเลย เพราะว่าผมไม่มีอารมณ์จะสั่งอะไร ชีวิตมันหดหู่พิกล พี่ก้องก็สั่งของไปสี่ห้าอย่างครับระหว่างที่รอ ผมก็หันไปมองนั้นมองนี่เรื่อยจนไปพบกับคำว่าเกลียดอะไรก็จะได้สิ่งนั้น ไม่อยากเจอใครก็ได้เจอคนนั้นแหละครับ
ผมหันไปเจอไอ้เฟคกับเด็กคนนั้นเดินหัวเราะเข้ามาด้วยกัน ตาต่อตาประสานกันไอ้เฟคมันอึ้งหยุดหัวเราะลงทันทีแต่ยังไม่ทันที่มันหรือผมจะได้ทำอะไรสักอย่าง คนที่เดินตามหลังมันมาก็พูดเสียงดัง
“เฮ๊ย...นั้นบีมนี่...ไปไงมาไงไม่เจอกันตั้งนานโทรไปก็ไม่ติด”
เสียงของขิงเองครับขิงมากับพี่กันต์ครับเพราะว่าผมเห็นพี่กันต์เดินตามมาด้วย และไม่ต้องสงสัยว่าพวกนี้มาด้วยกันได้อย่างไง ก็พี่กันต์กับไอ้เฟคมันเพื่อนกันนี่ครับ
“ผมยิ้มให้ขิงกับพี่กันต์แต่คนอื่นเมินเสียเถอะ เจ็บแล้วจำ ผมถือว่ามันเป็นอากาศที่มองไม่เห็นเสีย
“ไอ้กันต์..ผมไปคุยกับบีมสักครู่นะครับเดี๋ยวผมไปนั่งด้วยสั่งของรอผมเลย”
เสียงขิงบอกกับพี่กันต์ พี่กันต์ก็ยิ้มรับผมว่า สองคนนี้ดูห่วงใยกันมากกว่าแต่ก่อนอีกนะเนี๊ย...หรือว่าผมตกข่าวอะไรไป ขิงเดินแยกมาหาผมปล่อยให้พวกนั้นเดินตามพนักงานไปนั่งที่โต๊ะ ตลอดเวลาผมเห็นไอ้เฟคมันมองผมตลอดแต่ผมไม่ได้สนใจมันสักนิดเดียวจนมันหน้าจ๋อยลงไปทันตาเห็น เด็กของมันพูดอะไรมันก็พยักหน้ารับเท่านั้น
“เป็นไงเนี๊ยไปอยู่ไหนมาหายตัวไปเลยนะเราก็เป็นห่วงแทบแย่ กลับจากเชียงใหม่ก็หายตัวไปเลย บีมยังติดเลี้ยงเหล้าเราเมาหนึ่งนะจำได้ไหม”
พอขิงเดินมาถึงก็มานั่งข้างผมเลย
“จำได้...เอาเป็นวันนี้เลยไหมล่ะ”
ที่ผมชวนเพราะวันนี้ผมอยากเมาจะได้ลืมๆ ใครบางคนเสียมันเล่นมองผมอยู่อย่างนี้ แล้วอีกอย่างก็จะได้เลี้ยงพี่ก้องไปด้วย
“ดีเลย...กำลังหาเจ้ามืออยู่...เออ..บีมแล้วคนเนี๊ยใครล่ะ”
ผมมั่วแต่คิดเรื่องของตัวเองลืมแนะนำให้พี่ก้องรู้จักกับขิงเลย
“โทษ..ที นี่พี่ก้องเป็นคนสนิทของพ่อเรานะ ว่าที่ผู้พันเชียวนะคนเนี๊ย”
“น้องบีมก็พูดเกินไป”
พี่ก้องพูดขึ้นมาอย่างอายๆ นะครับ พอขิงรู้ว่าพี่ก้องอายุมากกว่าก็ยกมือไหว้พี่เขาทันที ผมกับขิงก็คุยกันต่ออีกนิดพนักงานก็มาตามขิงให้กลับไปที่โต๊ะ
“ไปก่อนนะบีมโดนตามตัวแล้ว เดี๋ยวเจอกันสามทุ่มนะ”
ว่าแล้วขิงก็เดินไปทันที รู้สึกว่าขิงจะเกรงใจพี่กันต์มากขึ้นแฮ่ะ....