ช่วงวันหยุดปลายปีอย่างนี้คือช่วงเวลาพักผ่อนสำหรับผม และผมก็มีแพลนเอาไว้ว่าผมจะพาคนของผมไปพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศที่เชียงใหม่ และมันก็เป็นเรื่องบังเอิญที่เพื่อนรักของผม มันก็จะพาคนของมันไปพักผ่อนที่นั้นเหมือนกัน ผมนั่งมองคนของผมกำลังจัดเตรียมเสื้อผ้าทั้งของผมและของเขาลงใส่ในกระเป๋า
มันทำให้ผมนึกถึงวันที่ผมและเขาเจอกันในครั้งแรก
วันที่ผมเจอกับขิงนั้นมันเป็นเพียงเรื่องร้ายกาจที่ผมคิดขึ้นมาเพื่ออะไรก็ไม่รู้ ผมรู้เพียงแต่ว่า ผมอยากทำให้เด็กคนนี้รู้สึกสำนึกเสียบ้างว่า ชีวิตของคนเรา มนไม่ใช้ของเล่นที่จะเอามาซื้อขายกันได้ วิธีการที่ผมใช้สังสอนเขา มันก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แต่ผลที่ได้รับมันแตกต่างกัน ครั้งแรกที่ผมมีอะไรกับขิง มันทำให้ผมรู้ว่าผมทำผิดอย่างมากไปแล้ว ผมขาดสติ ขาดความยั่งคิด ผมคิดจะแก้แค้นและสั่งสอน แต่วิธีของผมมันก็ไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไร
คำว่าขืนใจเกิดขึ้นเมื่อขิงเองก็ไม่ได้ยินยอม จนกระทั้งขิงเองหายออกไปจากบ้านเพราะความไม่ได้เรื่องของลูกน้องของผม ผมเฝ้ามองถึงพฤติกรรมของเด็กคนนี้อยู่ตลอดเวลา แล้วผมก็ได้พบกับมุมมองใหม่ๆ ที่ขิงแสดงให้ผมเห็น มันทำให้ผมเกิดความสนใจในตัวเด็กคนนี้ แม้ว่าตอนนั้นผมจะชอบคนอื่นมากกว่า
จนวันหนึ่งผมก็ได้ขิงมาอยู่ในกำมือจนได้ ตอนแรกที่เขายื่นข้อเสนอนั้นมาให้กับผม ผมก็อึ้งไปเหมือนกัน แต่ด้วยความอยากเอาชนะเขา ผมจึงตกลงกับเขาไป ผมยอมรับว่าตอนนั้นผมเองไม่ได้รักหรือชอบขิงหรอก ผมแค่สนใจเท่านั้น แต่หลังจากที่เขามาอยู่กับผมแล้วความรักความหวงใยมันก็ผุดขึ้นมาเองโดยที่ผมเองก็ไม่ทันรู้ตัวมาก่อน
แต่ขิงเองก็เป็นคนที่ไม่ยอมใครเหมือนกันเขาจะมีอาการพยศอยู่เรื่อยๆ ทำให้ผมต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อปราบเขาเอาไว้ จนผมได้รู้จักเขามากขึ้น ขิงเองต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ชีวิตตัวเองรอด และก็ยังต้องเผื่อไปถึงคอบครัวด้วย แม้ว่าดูภายนอกขิงจะเป็นคนที่เข้มแข็งจนดูกร้าวและกร้านกับโลก แต่จริงๆ แล้วภายในขิงเป็นคนที่อ่อนแอมาก เขาหวาดกลัวและไม่กล้ามอบความไว้ใจไว้กับใครเพราะเขากลัวการถูกหักหลัง ไม่เหมือนกับบีม ที่ภายนอกดูอ่อนแอ แต่ภายในนั้นกลับตรงกันข้าม สมกับเป็นลูกชายของนายทหารแห่งกองทัพ
กว่าที่ผมจะดูแลให้ขิงยืนมาได้จนถึงวันนี้ผมต้องมอบทั้งความรักและความเอาใจใส่ขิงอย่างมากๆ เพราะเด็กคนนี้คือแก้วร้าวที่พร้อมจะแตกได้อยู่ตลอดเวลา
“นั่งยิ้มอะไรอยู่ไอ้กันต์ ไม่เคยคิดจะมาช่วยจัดของลงกระเป๋าเลยหรือไง ของก็ของพี่ทั้งนั้น แต่ไม่เคยคิดจะมาช่วยเลย คนเรา เอาแต่นั่งมองแล้วยิ้มกวนประสาทอยู่ได้"
เสียงบ่นของขิงเรียกความสนใจกับไดอารี่ตรงหน้าของผมไป ผมมองเห็นขิงกำลังจัดของแล้วดึงออกเหมือนไม่รู้ว่าอะไรจำเป็นหรือไม่จำเป็นดีที่จะขนไปจนผมต้องส่ายหัวให้กับอาการของคนขี้บ่น แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจหรอกครับ ขิงเขาเป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้วไม่เคยมีใครไปแก้นิสัยเขาได้ ผมได้แต่เพียงยอมรับและเข้าใจในตัวของเขาพร้อมกับปรับตัวไปหาเขาให้ได้
เสียงคนขี้บ่นยังต่อว่าผมอยู่ที่ผมไม่สนใจจะไปช่วยเขาดังอยู่ไม่ขาดระยะ จนผมต้องหาวิธีเพื่อหยุดเขาเสียแล้วผมเดินเขาไปนั่งด้านหลังของผมอย่างเงียบๆ พอขิงหันกลับมาเพื่อที่จะต่อว่าผมอีกเขาจึงชนเข้ากับหน้าผมเต็มๆ จนตัวเขาเองผงะไป
“เอ๊ย...มาได้ไงอ่ะ..ตกใจหมด มาเลยมาช่วยกัน ผมไม่รู้ว่าอันไหนพี่จะเอาไปบ้าง”
“ถ้าไม่รู้ก็ไม่ต้องเอาไปหรอก แค่เสื้อผ้าที่อยู่ที่นู๊นก็พอใช้แล้วล่ะ จะขนไปอีกทำไม เอาเวลามาทำอย่างอื่นดีกว่า”
แล้วผมก็เทเสื้อผ้าในกระเป๋าออกทั้งหมด พร้อมกับกอดขิงเอาไว้เต็มอก แต่คนอย่างขิงมีหรือครับที่จะยอมง่ายๆ ขิงเองก็ดิ้นไปมา
“ปล่อยเลยไอ้กันต์ไอ้หื่นเอ๋ย...แล้วทำไมไม่บอกแต่แรกว่าไม่ต้องเอาเสื้อผ้าไป ปล่อยให้ผมจัดทำไม”
ขิงดิ้นไม่ดิ้นเปล่ายังมีการทุบผมด้วย แต่มีเหรอคนอย่างผมจะปล่อยขิงไปง่ายๆ ผมอุ้มขิงไปอยู่บนเตียงก่อนที่ผมจะไซ้ที่ซอกคอของเขาจากเสียงบ่นด่า กลายเป็นเสียงอีกเสียงหนึ่งแทน เสียงที่ผมได้ยินแล้วมันเร้าอารมณ์ของผมจริงๆ
ไอ้กันต์ตื่นได้แล้วสายแล้วนะ นัดกับไอ้เฟคกับบีมไว้กี่โมง”
ผมถูกกวนให้ตื่นจากเสียงของคนขี้โวยวายประจำบ้านนั้นเอง ผมลืมตาขึ้นมาช้าๆ ก็เห็นว่าตอนนี้คนขี้โยวายวิ่งหายเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยนแล้ว ผมจึงหลับตาต่อเพื่อพัก ขออีก ห้านาทีเถอะ ผมเพลียเหลือเกิน ไม่รู้ว่าผมหลับต่อไปอีกนานแค่ไหนแต่ผมก็ต้องตกใจตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำมือของขิงนั้นแหละ และการปลุกในครั้งนี้ก็มีการลงไม้ลงมือกันด้วย
“ไอ้กันต์ บอกให้ตื่นไง ไปอาบน้ำกลับมาก็ยังไม่ยอมตื่น นัดกับไอ้เฟคไว้กี่โมง แล้วนี่กี่โมงแล้ว”
ขิงทุบผมด้วยมือจนผมต้องเบ๊หน้าด้วยความเจ็บพร้อมกับชี้นิ้วไปที่นาฬิกา
“ไม่เป็นไรหรอก เราเอารถไปเองจะกลัวอะไรล่ะ พี่ขออีกนิดนะครับ พี่รู้สึกเพลียเหลือเกิน ก็ใครไม่รู้ดูดเอาพลังของพี่ไปหมดเลย”
ผมเห็นขิงหน้าแดงขึ้นมานิดนึงหลังจากที่ผมพูดจบ นานๆ ครั้งที่ผมจะเห็นขิงมีอาการเขินอย่างนี้
“แล้วใครบอกให้ทำเล่า ไม่เอาแล้วผมไปแต่งตัวดีกว่า แล้วก็ลุกไปอาบน้ำได้แล้วให้เวลาแค่สิบนาทีนะ ถ้าไม่เสร็จโดนแน่”
ขิงคงอายนะครับถึงรีบเปลี่ยนเรื่อง แล้วขิงก็ลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมนอนมองตามแผ่นหลังนั้นไป ผมเห็นแผ่นหลังนั้นที่ไรก็ทำให้ผมรู้สึกสงสารขิงไม่ได้ทุกที และมันก็ทำให้ผมยอมและตามใจขิงมาจนทุกวันนี้ รอยที่มาจากการทารุณนั้นเอง แม้รอยมันจะไม่ชัดเจนมากนัก แต่รอยที่อยู่ในใจของเขานั้นมันฝั่งลึกจนผมเกือบลบมันออกไปไม่ได้
“ครับ..ได้ครับพี่จะรีบลุกไปอาบน้ำตามคำสั่งของท่านครับ”
“ไม่ต้องมาทะเล้นเลยรีบ...นะเข้าใจบ้างไหม”
“งั้นพี่ขอกำลังใจก่อนไปอาบน้ำหน่อยแล้วกัน”
ว่าแล้วผมก็รีบลุกขึ้นไปหอมแก้มของขิงก่อนที่จะวิ่งหนีไปอาบน้ำก่อนที่ผมจะโดนขิงต่อยเอาได้ ผมออกมาจากห้องน้ำอีกครั้งก็พบว่าขิงหายออกไปจากห้องนอนพร้อมกับกระเป๋าใบเล็ก ขิงคงออกไปรอผมนอกห้องแล้วแน่เลย ผมจึงรีบแต่งตัวให้ไวที่สุด
ผมออกมานอกห้องหลังจากที่ผมแต่งตัวเสร็จก็เห็นขิงกำลังคุยอยู่กับลูกน้องของผม พอลูกน้องของผมเห็นว่าผมออกมาจากห้องเขาก็รีบทำความเคารพก่อนที่จะขอตัวออกไปจากห้องเพื่อเตรียมรถ วันนี้ผมนัดกับไอ้เฟคไว้ตอนสิบโมงเช้าที่คอนโดของมันแล้วเราจะได้ขับรถไปด้วยกัน
“เสร็จแล้วครับ ไปกันได้แล้ว”
ผมเดินไปหาขิงพร้อมกับโอบไหล่ของเขาแล้วพากันเดินไปที่รถ ที่ลูกน้องของผมเตรียมเอาไว้แล้ว
ผมใช้เวลาไม่มากหนักเพื่อที่จะเดินทางมาให้ถึงคอนโดของไอ้เฟค ก่อนมาถึงผมก็โทรบอกให้สองคนนั้นลงมารอได้แล้วเพราะไปถึงเราจะได้ออกเดินทางกันเลย
พอไปถึงคอนโดผมก็เห็นไอ้เฟคกับบีมยืนรออยู่แล้ว พอบีมเห็นรถผมก็รีบโบกมือให้พร้อมกับยิ้มทักทายมาก่อนผิดกับไอ้เฟคเพื่อนผมที่ยืนบอกบุญไม่รับ พอรถผมจอดบีมก็รีบวิ่งมานั่งด้านหลังทันทีพร้อมกับชวนให้ขิงมานั่งด้วยกัน ไอ้คนของผมก็บอกง่ายเหลือเกินรีบปีนข้ามไปที่เบอะหลังทันที ดังนั้นจึงเหลือที่ให้ไอ้เฟคต้องนั่งกับผมที่ด้านข้างคนขับ
“พี่กันต์สวัสดีครับ”
เสียงของบีมบอกสวัสดีกับผมดูร่าเริงสดใส ผมจึงพยักหน้าให้หน่อยนึงก่อนที่จะหันไปมองไอ้เฟคที่กำลังขึ้นมาบนรถ
“ไอ้กันต์เด็กมึงเม่งไร้มารยาทว่ะ ดูซิเห็นกูยังไม่เคยหวัดดี”
พอมาถึงไอ้เฟคมันก็เริ่มกวนประสาทขิงทันที หลังจากที่ขิงมาอยู่กับผมหลายปี ขิงกับไอ้เฟคก็กลายมาเป็นคู่กัดกัน มันคงเริ่มจากความที่ไอ้เฟคมันปากไม่ดีไปต่อว่าขิงแรงๆ ในช่วงแรกๆ ที่ขิงมาอยู่กับผม แล้วไอ้คนของผมมันก็ปากร้ายพอกัน
“พี่เฟคมึงจะเงียบไม่ต้องเห่าจะได้ไหม คนกำลังอารมณ์ดีไม่อยากมีเรื่องว่ะ”
“ใช่...พี่เฟคอย่าทำให้เสียเรื่อง ไปกันดีกว่าพี่กันต์ เชียงใหม่รอเราอยู่แล้ว”
เสียงของขิงและบีมที่พากันเล่นงานไอ้เฟคจนมันเองก็ต้องยอมแพ้ให้กับสองคนนี้ ไอ้เฟคมันหันมาเบ้หน้าใส่ผมนิดหน่อยก่อนที่ผมจะออกรถเพื่อมุ่งหน้าไปสู่จุดหมายของวันนี้
หลังจากออกจากกรุงเทพได้สักชั่วโมงเสียงพูดคุยกันด้านหลังจากสองนกแก้วก็เงียบลงผมมองจากกระจกมองหลังก็เห็นว่าพากันหลับไปแล้ว ในมือยังมีขนมคากันอยู่เลย เลี้ยงง่ายกันจริงๆ
เมื่อผมเห็นว่าสองคนนั้นพากันหลับไปแล้วผมจึงเอ๋ยปากถามถึงเรื่องที่ผมอยากรู้จากเพื่อนของผม
“ไอ้เฟคมึงเป็นอะไรไปว่ะ ทำไมเงียบจัง แล้วตอนที่กูไปรับมึงทะเลาะกับบีมไช่ป่ะ”
ไอ้เฟคมันเงียบเหมือนกำลังใช้ความคิดก่อนที่มันจะหันมาตอบผม
“เออ...กูทะเลาะกันนิดหน่อยก็เรื่องเดิมๆ นั้นแหละ”
“แล้วมึงจะไปชวนบีมมันทะเลาะทำไมว่ะ มึงก็รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”
“ก็กูระแวงไง...มึงก็รู้ว่าสองคนนี้เคยเป็นอะไรกันมาก่อนที่จะมาเจอกูกับมึงอ่ะ”
“กูก็รู้แต่มึงจะระแวงให้ได้อะไรขึ้นมาว่ะทุกวันนี้สองคนนั้นเขาก็เป็นแค่เพื่อนกัน มึงดูกูซิยังไม่เคยคิดระแวงอะไรขิงเลย ถ้าเขาจะกลับไปเป็นเหมือนก่อนกูก็คงห้ามไม่ได้ แต่นี่กูไม่เคยเห็นขิงกับบีมจะทำตัวให้ระแวงสักนิด”
ไอ้เฟคมันมีเรื่องกังวลก็คือ มันกลัวว่าขิงกับบีมจะหันกลับไปคบกันเองอีก เพราะสองคนนี้เคยมีอะไรกันมาก่อน และเรื่องนี้มันก็ทำให้ไอ้เฟคกับบีมทะเลาะกันประจำ ดีว่าผมไม่เคยคิดมากกับเรื่องนี้ ถ้าผมบ้าไปกับมันอีกคนขิงมันคงต่อยปากผมแตกไปแล้ว
“กูไม่รู้ว่ะ กูว่าสองคนนั้สนิทกันเกินไปแล้วเมื่อวันก่อนก็พากันไปเที่ยวสองคน ถามว่าไปเที่ยวไหนกันก็ไม่บอก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้กูคิดมากได้ไง”
“กูว่ามึงควรไว้ใจคนของมึงนะไอ้เฟค มึงคิดดูนะถ้าบีมคิดจะไปมีใครอื่นจริงๆ ทำไมบีมจะต้องมาเลือกคนใกล้ๆ ตัวด้วยล่ะ กูไม่เข้าใจ”
“แต่...”
“มึงไม่ต้องแต่หรอกมึงควรไว้ใจคนของเราไว้มากๆ นะโว๊ย...”
“แล้วเรื่องไอ้หมวดกิจหมวดก้องนั้นอีก เม่งขยันโทรมาหากันเกินไปแล้ว กูก็ไม่รู้จะพูดอย่างไงดีว่ะ”
“บีมเขาก็ต้องมีสังคมของเขานะมึง ถ้ามึงปิดกันเขาทุกอย่างกูว่าไม่นานบีมมันคงเป็นบ้าว่ะ เอาน่า...มาเที่ยวกันมึงอย่าเก็บเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาใส่ใจเลย”
“ก็ได้ว่ะเพื่อน แต่ตอนนี้มึงหาปั๊มจอดให้กูไปเข้าห้องน้ำหน่อยกูกลั้นจนจะทนไม่ไหวแล้ว”
“ไอ้เวรแล้วก็ไม่บอกกูตั้งแต่แรก”
“555ก็ตอนนั้นกูไม่ค่อยสบายใจนี่หว่า แต่ตอนนี้สบายใจแล้วกูก็เลยปวดไง กูจะเชื่อมึงนะว่ากูต้องไว้ใจบีม”
“อย่างนั้นแหละเพื่อน”
แล้วผมก็แวะเข้าปั๊มที่อยู่ใกล้ที่สุด