ตอนที่ 31 เข้าบ้าน
“พรุ่งนี้ไปไหนหรือเปล่า” ผมเปิดประตูออกมาถามคนที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น หลังจากผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว
“เปล่า” กรละสายตาจากจอโทรทัศน์ แล้วตอบ พอเขาตอบ ผมก็หันกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง แล้วเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า เพื่อหยิบกระเป๋าสะพายสีดำใบไม่ใหญ่มากที่อยู่ในตู้ชั้นบนสุดลงมา
“เก็บเสื้อผ้าไปไหนอ่ะ” กรเดินเข้ามานั่งลงที่ปลายเตียง ก่อนจะถามผม
“ค้างที่บ้าน” ผมตอบ พร้อมกับหยิบเสื้อผ้าของกรออกมาจากในตู้ ก็มีแค่เสื้อกับกางเกงที่เขาจะใส่พรุ่งนี้ ส่วนชุดนอนกับของใช้ เดี๋ยวเอาของผมที่บ้าน
“ต้องค้างด้วยหรอ” เขาถาม แล้วพับเสื้อของเขาที่ผมส่งให้ไปด้วย ส่วนผมก็พับกางเกงแล้วใส่ลงในกระเป๋า ก่อนจะหันไปเปิดลิ้นชักหยิบบ๊อกเซอร์บริฟส์สีขาวของคนที่นั่งอยู่ปลายเตียงออกมา และใส่ลงกระเป๋าไป ผมก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่า ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ผมดูแลเรื่องพวกนี้ให้กร จากทำให้บ้างนานๆ ที จนตอนนี้ชักบ่อย ก็ทำแค่เตรียมให้ ถ้าเรื่องซักรีดมีแม่บ้านมาทำให้ พูดตรงๆ ผมไม่มีปัญญาทำเอง
“ก็กว่าจะไปกว่าจะกลับ” ผมตอบ โดยไม่ถามความเห็นของกรว่ารู้สึกอะไรยังไง พูดง่ายๆ งานนี้เขาถูกมัดมือชก
“เฮ้ย!! อย่าทำหน้าแบบนั้นดิ ไม่มีอะไร ไปกินข้าวเฉยๆ” ผมพูดเมื่อเห็นเขาดูเงียบๆ ไป
“มาเร็ว” ผมยื่นแขนสองข้างออกไปข้างหน้าเหมือนที่เขาชอบทำบ่อยๆ เวลาอยากให้ผมเข้าไปหา แล้วเรียกให้อีกคนลุกขึ้นมา พอเขาลุกขึ้นมาผมก็รวบแขนกอดเขาไว้เบาๆ แล้วปล่อยตัวเขาออก ก่อนจะคว้ากระเป๋ามาสะพายแล้วพากันออกจากห้อง
……………………………………………….
“พ่อแม่ สวัสดีครับ” ผมพูดกับพ่อแม่ พร้อมยกมือไหว้ เมื่อเดินเข้ามาหาทั้งคู่ที่นั่งดูข่าวอยู่ในห้องนั่งเล่น ส่วนกระเป๋าก็ส่งให้คนเอาไปเก็บตั้งแต่ก้าวเข้าบ้านมาแล้ว
“สวัสดีครับ” กรที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ทำเช่นเดียวกันกับผม แม่ผมที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวยิ้มให้แล้วยกมือรับไหว้ ส่วนพ่อที่นั่งอยู่ที่โซฟาอีกตัวที่ติดกันก็ทำเช่นเดียวกัน ผมเดินไปนั่งข้างแม่ และทำท่าบอกให้กรนั่งลงบนโซฟาด้านข้างผมที่ว่างอยู่
“พ่อแม่ นี่กร” ผมจงใจแนะนำแค่ชื่อ โดยไม่มีคำต่อท้าย
“จ้ะ แล้วนี่ยังไงเราคราวที่แล้วเป็นอะไร มาถึงบ้านไม่ทันไรก็กลับ” พอผมนั่งลงปุ๊บ แม่ก็ยิงคำถามใส่ผมทันที เพราะตั้งแต่วันที่ผมไปหัวหินก็ยังไม่ได้คุยกับแม่ พอมาเจอหน้าก็โดนซักเลย
“มีธุระด่วนนิดหน่อย กันต์เลยต้องรีบออกไป ไม่ได้บอก” ผมตอบ แล้วหันไปมองหน้ากรแว๊บนึง
“หิวข้าวกันหรือยังลูก นี่ก็จะทุ่มนึงแล้วแม่ว่าไปกินเลยดีกว่า” แม่มองไปทางกรแล้วถาม ก่อนจะตอบเองเสร็จสรรพ
.
.
.
“อาทิตย์หน้าประชุมโรงงาน พ่อจะเข้าไปหรือเปล่า” ผมหันไปคุยกับพ่อ ตั้งแต่ผมเข้ามาทำงานแทนพ่อก็ให้อำนาจการตัดสินใจกับผมเต็มที่ นอกจากอะไรที่ผมไม่แน่ใจก็จะมาคุยกันอีกที และนานๆ ทีพ่อผมจะเข้าไปฟังประชุมด้วย พอเจอหน้าเลยถามดู
“ไม่เข้า กันต์ก็ดูเอาแล้วกัน ถ้าติดอะไรตรงไหนค่อยมาถามพ่อ แล้วอาทิตย์หน้าพ่อกับแม่จะขึ้นไปหาปู่กับย่า” พ่อผมพูด ส่วนปู่กับย่าผมย้ายไปอยู่เชียงใหม่ได้สักสี่ห้าปีแล้ว พ่อแม่ และผมเองก็ขึ้นไปหาอยู่เรื่อยๆ
“กรเป็นยังไงบ้างลูกกับข้าวถูกปากหรือเปล่า” แม่ชวนกรคุย ระหว่างที่ผมคุยกับพ่อ
“อร่อยมากเลยครับ” พอตอบแบบนี้แม่ผมเลยยิ้มซะหน้าบาน
“ถ้าแม่ถามแบบนี้แสดงว่าทำกับข้าวเอง ดีนะชมว่าอร่อย ไม่งั้นมีงอน” ผมพูด ถ้าพ่อกับแม่อยู่กันสองคนส่วนใหญ่จะให้แม่ครัวทำให้ นอกจากเวลาที่ผมกลับมาบ้านแม่จะเป็นคนทำกับข้าวเอง ก็กินกันง่ายๆ ไม่ได้ทำอะไรยุ่งยากมากมาย อย่างวันนี้ก็มี แกงเลียงกุ้งสด ผัดผักรวม ทอดมันกุ้ง แล้วก็น้ำพริกปลาทูของโปรดผม
“นี่ขนาดทำมั่วๆ นะ” แม่ผมพูด กรก็ยิ้มๆ ให้ ไม่ค่อยจะคุยเลยแม่ผม มีเชิ่ดใส่ผมอีก แม่ผมก็เป็นแบบนี้แหละ เหมือนจะดูนิ่งๆ ดุๆ แต่เอาเข้าจริงเฮฮามาก จนผมเคยออกปากแซวขำๆ ว่ามีแม่ติ๊งต๊อง แต่แม่ก็ไม่ได้อะไรนะ เพราะคุยเล่นกันเฉยๆ
“อร่อยก็กินเยอะๆ นะ ไม่ต้องเกรงใจ กรจะเติมข้าวอีกไหม” แม่ยังพูดต่อ
“พอแล้วครับ” กรตอบ
“เดี๋ยวแม่มีผลไม้อีก แม่ปลอกส้มเช้งไว้ให้”
.
.
.
พอกินข้าวกันเสร็จแล้ว ก็ย้ายกลับมานั่งในห้องนั่งเล่นเหมือนเดิม แต่คราวนี้ผมย้ายลงมานั่งกับพื้นหน้าโซฟาตัวเดิมที่นั่งตอนแรก ส่วนพ่อ แม่ แล้วก็กรนั่งลงที่เดิม สักพักก็มีคนยกจานใส่ส้มเช้งแช่เย็นมาให้
“กินเลยลูก กินเยอะๆ นะ” แม่ผมพูด ผมก็หันไปมองหน้ากร เหมือนชวนให้กินได้แล้ว
“อืม หวานดี” ผมพูด หลังจากกลืนส้มลงไปแล้ว
“นี่ เจ้ากันต์นะ กินผลไม้อยู่ไม่กี่อย่างหรอก ไอ้นู่นก็กินไม่เป็น ไอ้นี่ก็ไม่ชอบ บางอย่างก็ว่าเปรี้ยวไป ถ้าเป็นมะละกอ น้อยหน่าก็บอกว่าเละ แม้แต่น้ำมะพร้าวยังไม่กินเลย จะกินก็แต่ส้ม” แม่เริ่มบ่นเรื่องที่ผมไม่ค่อยชอบกินผลไม้ให้อีกคนฟัง
“ไม่กินน้ำมะพร้าวด้วยหรอ” กรถาม แล้วไม่กินน้ำมะพร้าวนี่มันแปลกตรงไหน
“มันเหมือนมีรสเปรี้ยว ๆ แปลก ๆ บอกไม่ถูก ก็เลยไม่กิน” ผมตอบ
“ไม่น่าล่ะ” กรพูดแล้วก็ทำหน้ายิ้ม ๆ
“ไม่น่าอะไร” ผมถาม
“ไม่น่า ไม่เคยเห็นซื้อผลไม้มากิน” กรก้มลงมามองหน้าผมที่ยังคงนั่งอยู่กับพื้น แล้วพูด
“นั่นแหละ รายนี้ยิ่งโตยิ่งกินยาก เล็ก ๆ กันต์ไม่เลือกกินขนาดนี้นะ” แม่ผมพูด ผมเลยเงยหน้าขึ้นไปมอง เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมโดนแม่บ่นบ่อยมาก
“ไม่ต้องมองหน้าแม่เลยแม่พูดเรื่องจริง”
“หึหึ” กรหัวเราะเบา ๆ ผมเลยหันหน้าไปมองเขา แล้วทำหน้าดุใส่นิดหน่อย เขาเลยหยุดหัวเราะ รายนี้ก็เหมือนกันชอบซื้อผลไม้เข้าบ้าน ก็บอกแล้วว่าไม่กินๆ
ผมว่านี่ก็เป็นข้อดีของที่บ้านผมนะคือ จะไม่เคยถามอะไรซอกแซกเวลาผมพาใครมาที่บ้าน อย่างพวกเพื่อน ๆ ผมสามคนก็เหมือนกัน แม่ก็จะไม่เคยถามว่าแต่ละคนทำอะไรที่ไหน ลูกเต้าเหล่าใคร นอกจากนานๆ เข้าแล้วสนิทกันมากขึ้น ก็รู้จักกันมากขึ้นไปเอง เวลาที่ผมพาใครมาบ้านพ่อกับแม่ก็จะสรุปเลยว่าเป็นเพื่อนผม ไม่ต้องแนะนำอะไรกันมาก แล้วให้ความเป็นกันเองเหมือนกันหมด จะเรียกว่าเขาเคารพการตัดสินใจของผมก็ได้ คงเชื่อว่าผมเลือกคบคนได้ดีในระดับหนึ่ง เลยทำให้ผมตัดสินใจได้ง่ายขึ้นที่จะพากรมาที่บ้าน
“กันต์แล้วบ้านไปถึงไหนแล้ว พ่อว่าจะถามก็ลืม” พ่อผมพูดขึ้นมาบ้างหลังจากนั่งเงียบ ดูหนังสือกอล์ฟอยู่นาน พ่อผมนี่ถ้าสนใจกับอะไรอยู่ละก็จะเงียบหายไปแบบนี้ ยิ่งเรื่องกอล์ฟด้วยแล้ว บางทีแม่เรียกแล้วไม่ได้ยิน จนถูกงอนเข้าให้ก็มี
“ข้างนอกเสร็จหมดแล้ว เหลือแต่ทาสีในบ้าน แล้วก็ซื้อของเข้าไป” ผมหันไปตอบพ่อ แล้วหยิบส้อมจิ้มส้มในจานตรงหน้าเข้าปาก
“พ่อกับแม่อยากได้โซฟาแบบไหน หรือจะไปเลือกเอง” ผมถาม เผื่อว่างๆ ผมจะได้ไปเดินดู
“กันต์ก็เลือกเอาเลย แม่ตามใจ อยากได้แบบไหนก็ทำไปเลย” แม่ตอบ ก่อนจะหันไปเรียกพ่อให้ขึ้นบ้าน
“แล้วกรต้องขับรถกลับอีกหรือเปล่าลูก” แม่หันไปถามกร
“เดี๋ยวค้างที่นี่แหละแม่” ผมตอบแทน
“ดีแล้วลูก ขับรถดึก ๆ อันตราย เดี๋ยวแม่ขึ้นบ้านก่อนนะ กรก็ตามสบายนะลูก”
“ครับ ขอบคุณครับ” กรพูด
“บอกแล้วว่าไม่มีอะไร” ผมพูด เมื่อพ่อกับแม่เดินออกไปแล้ว
“ใครจะไปรู้ล่ะ เล่นพามาไม่บอกล่วงหน้าแบบนี้อ่ะ อยู่ดี ๆ จะมาก็มา ว่าแต่นึกท่าไหนถึงพากรมาบ้าน” เขาถามผม ส่วนผมก็ขยับตัว ลุกขึ้นจากพื้นมานั่งเอนหลังพิงโซฟาแทน ก่อนจะหันไปตอบเขา
“ก็อยากพามาให้รู้จักไว้บ้าง ดีกว่ารอให้มีคนมาพูดหรือถามแม่พี่ว่า เห็นพี่ไปเดินหรือไปไหนมาไหนกับใครบ่อยๆ แล้วถ้าแม่มาถามพี่ พี่ก็ไม่อยากอธิบายอะไรมาก พามาให้รู้จักซะ จะได้พูดไปเลยว่า ก็ไปกับกร กรก็น่าจะรู้ว่าสังคมเราสมัยนี้มันเป็นยังไง” ผมพูดให้เขาฟัง
“กร อึดอัดหรือเปล่า” ผมถามเขา เขาเองก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ป่ะ ขึ้นบ้านกันดีกว่า” ผมเรียกเขาขึ้นบ้าน
“อืม”
.
.
.
“พี่ออกแบบห้องนี้เองหรือเปล่า” กรถามเมื่อเดินเข้ามาในห้องแล้ว
“อืม ทำใหม่ตอนที่เรียนจบ”
“แล้วจะอาบน้ำอีกไหม” ผมถาม แล้วเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อยืด และกางเกงใส่นอนออกมาอย่างละสองตัว
“อาบดีกว่า แต่อาบด้วยกันนะ” เขาตอบ แล้วเดินมาซ้อนหลังผมไว้ ผมมองสายตาเขาผ่านกระจกบานใหญ่ของตู้เสื้อผ้าถึงเห็นว่าคนด้านหลังกำลังทำตาวิบวับขนาดไหน “เหอะๆ รู้หรอกว่าจะทำอะไร” ผมคิดในใจ
ถ้ารู้แบบนี้แล้วผมจะยอมไหมนะหรอ ตอบเลยว่า “ก็ยอม”
“อืม ป่ะ” ผมตอบ
---------------------------------------------------------