เสื้อกาวน์เก่าๆ.....กับ เราสองคน ตอนที่ 53 ประวัติหมอหน้าเข้ม(จ๊ะโอ๋)
16:15 14/6/2010“ขอบคุณคับพ่อ ขอบคุณคับแม่” ผมก้มกราบแทบอกพ่อกับแม่ก่อนกอดท่านทั้งสองด้วยความรัก
แล้วผมกับติ๊บก็พักกันอยู่ที่บ้านในคืนนั้นก่อนล่ำลาพ่อกับแม่ออก เดินทางกลับพิษณุโลกในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น และกลับ เข้าสู่หอพักในช่วงเที่ยงของวันเดียวกันนั้นเอง
“เป็นไงบ้าง เดินทางเหนื่อยมั้ย” ติ๊บเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับนำน้ำเย็นมาให้ผม
“ก็ไม่เหนื่อยเท่าไหร่นะ สนุกดีออก” ผมตอบแล้วก็รับน้ำเย็นชื่นใจนั้นมาดื่มแก้กระหาย
“แล้วพี่ไม้เริ่มงานพรุ่งนี้เลยป่าว”
“ใช่แล้ว แล้วเราอ่ะเริ่มเรียนวันไหน”
“เริ่มเรียนซัมเมอร์อาทิตย์หน้าคับ พี่ไม้แหละรีบรับติ๊บกลับมาทำไมก็ไม่รู้” แทนคำตอบผมรวบเอวบางมานั่งตัก ก่อนบอกข้างๆ หูติ๊บ
“ก็พี่คิดถึงอยู่คนเดียวไม่ได้แล้ว ก็เลยต้องไปรับกลับมา”
“อืม ให้จริงเหอะ แน่ใจนะว่าช่วงที่ติ๊บไม่อยู่ไม่ได้ไปซนที่ไหน” ติ๊บถามและจ้องหน้าผม
“ไม่มีจริงๆ สาบานได้ มีติ๊บคนเดียว” ผมบอกก่อนหอมแก้มใสๆ นั้นไปหนึ่งที
เวลาที่คนเรามีความสุขนี่มันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆแฮะ ดูซิ เพิ่งกลับมาจากนครพนมไม่กี่วันนี่ผ่านไปเป็นอาทิตย์แล้ว ตอน นี้ติ๊บลงทะเบียนและเริ่มเรียนซัมเมอร์แล้วส่วนผมก็ยังวุ่นวายอยู่กับการทำงานใช้หนี้ที่คราวก่อนลาไปเที่ยวเสียหลายวัน แลกเวรกันกับเพื่อนๆ ที่ทำงานซะเต็มอัตรา
“วันเสาร์นี้พี่ต้องทำงานนะ ติ๊บมีโปรแกรมทำอะไรรึป่าว”
“วันเสาร์ อาทิตย์ จะเริ่มมีรุ่นพี่มาติวกลอสให้แล้วคับ” (กลอส คือศัพท์ที่ไม่เป็นทางการนักแต่นักศึกษาแพทย์มักเข้าใจและหมายถึง การเรียนในรายวิชากายวิภาคศาสตร์)
“เสร็จกี่โมงให้พี่ไปรับกี่โมงอ่ะ” ผมถามติ๊บในขณะที่เราทานอาหารมื้อเย็นใน ค่ำวันศุกร์
“ยังไม่รู้เลยคับ วันแรก แต่ตามกำหนดการพี่เค้าติวให้แค่ภาคเช้า บ่ายๆ ก็ปล่อยแล้วมั้ง”
“งั้นถ้าติ๊บเสร็จก่อนก็ไปหาพี่ที่แผนกเองละกันนะ”
“คับ เดี๋ยวเสร็จแล้วติ๊บก็ไปทำงานที่ คลินิกต่อไง”
“อ้าว ยังไม่เลิกอีกเหรองานพิเศษที่คลินิกผิวหนังนะ ไหนว่าได้เงินครบสองหมื่นแล้วจะพอ”
“ก็อยากหยุดอะแต่ติ๊บก็ยังพอไหว จะได้มีเงินส่งให้ป้าให้ย่าใช้ไง แค่นี้เอง ติ๊บยังสู้ไหว”
“อืมคร้าบบบ เก่งจริงๆ” ผมบอกพลางตักอาหารส่งให้
“บอกแล้ว ไม่ได้มีดีแค่หน้าตาอย่างเดียว” อืมมมมม มาอีกแล้วมุกนี้ บ่อยไปแล้วติ๊บ
แล้วคืนนั้นหลังจากรับประทานอาหารมื้อค่ำเสร็จเรียบร้อย ผมสอบถามถึงแผนการดำเนินชีวิตของติ๊บในช่วงที่กำลังจะมาถึง
แล้ววันรุ่งขึ้นผมก็กลับไปทำงานตามปกติ ตกเที่ยงเจ้าตัวเล็กโทรมารายงานเรียบร้อยแล้วว่าจะเข้าไปอยู่คลินิคตอนเย็น และให้ผมไปรับที่คลินิคในตอนเย็นตามปกติ ช่วงนี้ชีวิตของเราก็ดำเนินไปตามบทบาทหน้าที่ของแต่ละคน ตอนนี้ชีวิตติ๊บก็เริ่มลงตัวมากขึ้นั้งการเรียน การทำงาน ส่วนผมเองก็ยังคงมุ่งมั่นกับการทำงานอยู่เช่นเดิม และชีวิตก็ดำเนินแบบนี้ไปเรื่อย
อยู่กันสองคนก็มีความสุขดีจนผมไม่คิดจะไขว่คว้าดิ้นรนอะไรอีก เพราะเราอยู่กันสองคนตอนนี้ก็มีความสุขดีแล้ว
ติ๊บ กำลังจะเริ่มเรียนซัมเมอร์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ก็จะไปเรียนกะรุ่นพี่ที่อาสามาติววิชากายวิภาคศาสตร์ให้กับ รุ่นน้องๆ ที่กำลังจะได้ขึ้นเรียนในชั้นปีที่สอง ของการเป็นนักศึกษาแพทย์ นี่ก็คงเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของมหาวิทยาลัยนี้ที่ทำให้ผม ได้เห็นถึงการพึ่งพาอาศัยของรุ่นน้องรุ่นพี่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้เป็น อย่างดี ต่างจากมหาวิทยาลัยในเมืองหลายๆ แห่งซึ่งนัก ศึกษาจะต้องดิ้นรนขวนขวายและแข่งขันกันเอาเอง
กายวิภาคศาสตร์ (Anatomy) เป็นการศึกษาโครงสร้างและการจัดเรียงตัวของร่างกายมนุษย์ สาขาวิชาหลักของกายวิภาคศาสตร์ได้แก่
มหกายวิภาคศาสตร์ (Gross anatomy) ซึ่งเกี่ยวข้องกับ โครงสร้างที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และ
จุลกายวิภาคศาสตร์ (Histology) ซึ่งเกี่ยวข้องกับ การศึกษากายวิภาคศาสตร์ในระดับจุลภาคซึ่งต้องใช้
กล้องจุลทรรศน์วิชากายวิภาคศาสตร์ Human Anatomy หลายคนอาจไม่ค่อยคุ้นเคยหรือคุ้นหู เท่าไรนัก
แต่ถ้าบอกว่าเป็น วิชาที่เรียนเกี่ยวกับระบบโครงสร้างอวัยวะต่างๆ ในร่างกายของมนุษย์ หลายคนคงพอเข้าใจง่ายขึ้น เพราะ จะมีส่วนที่เป็นแลป คือการผ่าศึกษาร่างกายมนุษย์จากร่างอาจารย์ใหญ่นั่นเอง ซึ่งเป็นวิชาที่ผมไม่ค่อยจะชื่นชอบเท่าไหร่นัก ดีนะ ที่ทันตแพทย์เรียนแค่ครึ่งตัวบน แล้วที่ดีกว่าแพทย์เอามากๆ ก็คือเราเรียนจากหุ่นมากกว่าจะเรียนจากร่างอาจารย์ใหญ่แบบเด็กแพทย์นั่นเอง
หลังจากจบการติวกับรุ่นพี่ในช่วงเที่ยงของวันเสาร์ อาทิตย์เรียบร้อยแล้ว ติ๊บก็มีหน้าที่ไปดูเพื่อนๆเตรียมกิจกรรมในการรับรุ่นน้องที่กำลังจะมีขึ้น ซึ่งก็เป็นธรรมดาซึ่งเด็กปีสองจะเป็นแกนนำในการรับน้อง ส่วนเวลาที่เหลือก็จะไปทำงานที่คลินิกผิวหนังเช่นเดิม เพื่อหารายได้พิเศษและประสบการณ์จากการทำงานต่อไป
ใน ช่วงปลายเดือนของเดือนมีนาคม อากาศที่พิษณุโลกยัง ร้อนไม่มีวี่แววว่าจะลดลง เกือบหนึ่งปีที่ผมมาอยู่นี่ผมคิดผิดไปถนัดเลยที่คิดว่าที่นี่เป็นภาคเหนือตอนล่าง อากาศคงไม่แตกต่างไปจากหลายๆ จังหวัดในเขต ภาคเหนือเท่าไหร่นัก แต่ผมคิดผิดไปถนัด ที่นี่ไม่ว่าจะกลางวันกลางคืน และ ไม่ว่าจะเป็นเดือนไหนฤดูไหน สิ่งเดียวที่ผมรับรู้ เมื่อมาอยู่ที่นี่ คืออากาศร้อนมากๆ อย่างเดียวเท่านั้นเอง และที่นี่ก็มีสามฤดู คือฤดูร้อน ฤดูร้อนมาก ฤดูร้อนสุดๆ ติ๊บเริ่มเรียนซัมเมอร์ และผมยังคงทำ งานเป็นปกติเช่นเคยและรอผลการสอบชิงทุนไปเรียนต่อแต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะ มีผลแสดงความยินดีตอบกลับมาแต่อย่างใด
ช่วงซัมเมอร์นี้ ทางมหาวิทยาลัยกำหนดให้นิสิตแต่ละคนลงทะเบียนเรียนได้ไม่เกินเก้าหน่วย และทางคณะแพทย์ก็กำหนดให้เด็กเรียนซัมเมอร์เก้าหน่วยเต็มๆ แต่ก็ถือว่ายังดีอยู่มากเมื่อเทียบกับการเรียนยี่สิบกว่าหน่วยในภาคเรียนปกติ ช่วงนี้ติ๊บเลยมีเวลาไปอยู่ที่คลินิคผิวหนังมากเป็น พิเศษ
“วันนี้มีหมอคนใหม่มาอยู่ที่คลินิกด้วยนะ” ติ๊บบอกในขณะที่เราสองคนกำลังทานอาหารมื้อเย็นภายในหอพักกันสองคน
“คลินิกเล็กๆ เองทำไมรับหมอหลายคนอ่ะ” ผมถามก่อนตักอาหารใส่ปาก
“ก็มีหมอเจ้าของคลินิกคนนึง แล้วแกก็รับหมอใหม่มาอีกคนนึงเพราะแกไม่ค่อยว่างแล้วช่วงนี้อะ” ติ๊บตอบกลับมาพร้อมกับที่ยังจัดการอาหารมื้อเย็นอย่างเอร็ดอร่อย
“แล้วเป็นไงมั่งอ่ะ หมอคนใหม่”
“หล่อ เข้ม เท่ห์ สมาร์ท พี่ไม้รู้จักเป็นอย่างดี ติ๊บก็รู้จักเป็นอย่างดี” ติ๊บ ตอบให้ผมสงสัยแล้วซิ ก่อนจะได้รับคำตอบที่ผมไม่อยาก ได้ยินเอาซะเลย
“พี่จ๊ะโอ๋ไงคับ แกมารับจ๊อบพิเศษที่ เดียวกับติ๊บเห็นบอกเก็บเงินไปเรียนต่อ”
“อ้อ นึกว่าใคร”
ผมตอบพลางนึกไปถึงใบหน้าเข้มในชุดกาวน์สีขาว ซึ่งดูขัดกันเป็นอย่างมาก ตอนนี้มาทำงานที่เดียวกับติ๊บด้วย ผมก็ต้องระวังมากขึ้นไปอีกอะดิเนี่ย
“ทำงานกับเขาก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน” ผมเตือน
“ระวังทำไมอะ พูดยังกะเค้าเคยทำอะไรให้เรางั้นแหละ” ติ๊บทำหน้างงๆ
“ก็ระวังมันจีบไง พี่ไม่ชอบมันเลย” ผมบอกพร้อมกับ เก๊กหน้าขรึมๆ บอกให้เจ้าตัวรับรู้ก่อนได้รับคำตอบมาเป็นการยิ้มหัวเราะร่า ราวกับเป็นเรื่องสนุกสนานซะงั้น
“แกก็จีบเล่นๆ ขำๆ ไปงั้นแหละ อย่าซีเรียสกะเรื่องนี้เลย ไว้เค้ามาจีบติ๊บจะบอกแล้วกัน” ติ๊บบอกผมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ข้างในใจผมดิ ร้อนใจซะเหลือเกินก็รู้กันอยู่ว่าไอ้หมอนี่มันไม่ธรรมดา
หลังจากนั้นมาไม่กี่วันผมก็รับรู้รายละเอียดเกี่ยวกับหมอจ๊ะโอ๋ ผ่านติ๊บที่เอามาเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ผมฟังเสมอๆ ในแต่ละคืน และพอผมได้ฟังอะไรหลายๆ อย่างๆ เกี่ยวกับหมอจ๊ะโอ๋ก็ทำให้ผมหวาดกลัว มันไม่น้อยทีเดียว
ตั้งแต่ตอนก่อนๆ คงพอจำกันได้ที่ผมบอกว่าหมอจ๊ะโอ๋ เป็นชายหนุ่มหน้าเข้ม เป็นเพื่อนกับหมอกิ๊กเพื่อนสนิทของผม หมอคนนี้เดิมเป็นคนนครสวรรค์ เป็นทายาทร้านขายวัสดุก่อสร้างแล้วก็ยังเป็นทายาทเจ้าของรีสอร์ทในเขตภาคเหนือ หลายจังหวัด และมีกิจการปั๊มน้ำมันอยู่ในเขตจังหวัดภาคเหนือ อืมมม ฟังดูคล้ายๆ ลูกผู้มีอันจะกินแฮะ
ตอนนี้ไอ้หมอหน้าเข้มก็รับหน้าที่แพทย์ใช้ทุนอยู่ที่เดียวกันกับผม และกำลังเก็บเงินไปเรียนต่อทางด้านผิวหนัง เลยหาประสบการณ์จากคลินิคผิวหนังเช่นเดียวกับติ๊บ
แต่ที่ผมไม่ชอบหน้าไอ้หมอหน้าเข้มนี่เอาซะเลยคงพอรู้นะคับ ว่าการแสดงออกไม่เก็บอาการเกย์ของมันเลย รวมถึงจีบติ๊บแบบไม่เกรงใจ ไม่เกรงสายตาผู้คนจะมอง แบบเกินหน้าเกินตาจนทำให้ผมเคืองอยู่บ่อยๆ ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนกัน รู้จักกันคงโดนผมชกไปหลายทีแล้ว ไอ้หมอนี่
ในตอนทำงานที่คลินิกติ๊บต้องรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยแพทย์เพราะติ๊บ เองยังเรียนไม่จบยังไม่มีใบประกอบวิชาชีพ หน้าที่ของติ๊บจึงเป็นการต้อนรับลูกค้าที่เข้ามาในคลินิกให้ข้อมูลเบื้องต้นและช่วย หมอทำหัตถการต่างๆ เช่นทำหน้าลูกค้า และเตรียมเครื่องมือให้หมอ
ในบางวันที่หมอจ๊ะโอ๋อยู่ที่คลินิกกับติ๊บสองคนมักจะทำหน้าที่ เป็นติวเตอร์ในรายวิชาที่ติ๊บเรียนได้เป็นอย่างดีเพราะเรียนในสาขาเดียวกัน และผ่านบทเรียนนั้นมาแล้วจึงทำหน้าที่เป็นติวเตอร์ได้ดี แต่ นอกเหนือจากนั้นเวลาหลังเลิกงานไอ้หมอหน้าจืดก็มักจะทำเกินเลยหน้าที่ของตัว เองเสมอๆบางครั้งก็มีการพากันมาส่งที่ห้อง บางที เลิกงานแล้วก็พากันไปกินข้าว หรือบางคราวเมื่อเลิก งานก็นั่งติวกันที่คลินิคจนดึกจนดื่นทำให้ผมต้องพลอยเป็นห่วง แกมหวง นิดๆอยู่บ่อยๆเช่นกัน
นี่ ขนาดเพิ่งร่วมงานกันไม่กี่วันแต่ดูทีท่าของหมอติ๊บ และหมอจ๊ะโอ๋ ดูจะสนิทสนมกันเอาไวมากๆเสียเหลือเกิน เฮ้อ ข้อเสียของการมีแฟนน่ารัก ก็แบบนี้นี่เอง
...> To be continue, coming soon!
Writer: dr.mike
Verified: Hackz