o13ทำแฮททริกลงสามเรื่องรวด
....................
ตอนที่44
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ เราเปิดประตูให้พี่ก่อน เราจะได้คุยกันให้เข้าใจ” ผมบอกต้อมให้เปิดประตู
“ไม่เอาเดี๋ยวพี่ก็จะไล่ให้ผมไปเรียนอีก ผมไม่อยากคุยเรื่องนี้แล้ว” ต้อมบอกกลับมา
“ถ้าเรายังไม่ยอมรู้เรื่องแบบนี้ พี่ไปนอนที่อื่นก็ได้ถ้างั้น” ผมแกล้งบอกต้อมมันไปเพราะผมรู้ว่ามันไม่ยอมให้ผมไปนอนที่อื่นแน่ๆ
แล้วมันก็ได้ผลจริงๆต้อมก็ยอมเปิดประตูออกมา ต้อมตาแดงๆแล้วตอนนี้สงสัยจะน้อยใจผมจริงๆ ผมเห็นแบบนี้เลยเดินเข้าไปกอดต้อมไว้ เผื่อมันจะผ่อนคลายลงบ้าง ผมกอดต้อมอยู่นานพอสมควรผมก็เริ่มพูดเรื่องเรียนใหม่
“ต้อมเราต้องเข้าใจพี่นะ ว่าพี่ก็ไม่ได้อยากให้เราไปนักหรอก แต่มันเป็นความต้องการของพ่อกับแม่เรา แล้วพี่ก็เห็นว่ามันเป็นผลดีต่ออนาคตของเราด้วย ต่อให้เราไปเรียนเราก็ยังติดต่อกันได้อยู่นะ” ผมอธิบายเหตุผลให้ต้อมฟังโดยที่ยังกอดมันอยู่
“แต่ผมไม่อยากไปนี่ ผมไม่อยากไปคนเดียว” ต้อมยังไม่ยอมฟังเหตุผล
“เราต้องฟังพี่บ้างสิ คราวนี้เราต้องทำให้พ่อกับแม่ของเรานะ เขาก็ยอมเรามาเยอะมากพอแล้ว คราวนี้ถึงเวลาที่พวกเราต้องทำให้พวกเขาแล้วนะ” ผมยกเหตุผลเพิ่มเติม
“งั้นพี่ก็ไปกับผมสิ เราไปเรียนต่อด้วยกันทั้งสองคนนี่แหละ” ต้อมยังยืนยันเหมือนเดิม
“เราฟังพี่นะ” ผมจับหน้าต้อมให้มามองหน้าผมตรงๆ “ถ้าพี่จะไปเรียนต่อพี่ก็ต้องไปด้วยทุนของพี่เอง ไม่ใช่จากพ่อกับแม่ของเราเพราะพี่ไม่อยากให้ใครมาว่าลับหลังได้ ว่าพี่คบกับเราเพื่อผลประโยชน์อย่างอื่น แล้วอีกอย่างพ่อกับแม่พี่จะคิดยังไงที่ลูกตัวเองต้องให้คนอื่นส่งเรียนต่อ ต้อมจะมาคิดอะไรง่ายๆไม่ได้นะว่าไม่ต้องสนใจคนอื่น เราสองคนนะได้แต่ครอบครัวเราไม่ใช่นะ เพราะฉะนั้นเราจะมาทำให้พ่อกับแม่เราต้องมาเดือดร้อนเพราะเราด้วยทำไม” ผมมองตาต้อมตลอดตอนที่พูด
“ไม่ใช่ว่าพี่จะอยากให้เราไป ใจพี่ก็ไม่อยากให้เราไปหรอกนะ แค่คิดพี่ก็ใจหายแล้วแต่พี่ก็ต้องทำใจให้ได้ เพราะเราต้องให้เขาบ้าง ไม่ใช่ว่าเราจะรับทุกอย่างจากเขามาฝ่ายเดียว พี่ไม่อยากให้คนอื่นมองเราสองคนเป็นคนเห็นแก่ตัว ในเมื่อพ่อกับแม่เขาก็ยอมเรามาขนาดนี้แล้ว เราก็ทำเพื่อเขาบ้างจะเป็นไร” ผมให้เหตุผลต่อ
“ผมก็เข้าใจนะข้อนี้แต่มันเร็วเกินไปที่จะให้ผมห่างจากพี่ไป ผมยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเลยนะ” ต้อมบอก
“ถึงจะช้าจะเร็วเราก็ต้องไปอยู่ดี พี่คิดว่าดีซะอีกนะที่เรารีบๆไปจะได้รีบๆกลับมาไง แค่ปีสองปีมันไม่นานหรอก”ผมบอกต้อมไปแต่ในใจผมมันรู้สึกโหว่งๆพิกลยังไงก็ไม่รู้ ผมต้องพยายามแกล้วทำเป็นว่าทำใจได้เพราะไม่อยากให้ต้อมมันลังเล
“พี่นัทคิดอย่างนั้นจริงๆหรอ พี่ทำใจได้แล้วหรอที่จะให้ผมไป” ต้อมจ้องตาผมเขม็งเลยตอนนี้ ผมก็เลยหลบสายตาของมันเพราะผมยังทำใจไม่ได้นี่ครับ เดี่ยวมันจะจับผิดผมได้
“เห็นไหมพี่นัทก็ยังทำใจไม่ได้เหมือนกัน ไม่งั้นพี่ไม่หลบตาผมหรอก” มันฉลาดขึ้นมาเชียวทีนี้
“ใช่พี่ทำใจไม่ได้หรอกที่จะต้องจากเราไป แต่พี่ก็ต้องพยายามไงเพื่อตัวของเราไง ต้อมเราเชื่อพี่เถอะนะอย่างน้อยก็ทำสิ่งนี้ให้พ่อกับแม่เขา ทดแทนกับสิ่งที่เขาให้เรามาได้หรือเปล่า” ผมจ้องหน้าต้อมบ้างแล้วตอนนี้
“ผมไปเรียนต่อก็ได้แต่พี่สัญญากับผมเรื่องหนึ่งก่อนได้ไหม” ต้อมบอกผม
“อืมได้สิถ้าเป็นเรื่องที่ทำได้นะ” ผมบอก
“ก็ไม่มีอะไรมาหรอกเพียงแค่ถ้าผมเรียนจบกลับมา แล้วต้องไปช่วยงานที่บ้านพี่ต้องไปทำกับผมด้วยแค่นั้นเอง หรือไม่พี่ก็ออกมาอยู่กับบ้านคอยดูแลผม แค่นี้เองพี่นัทสัญญาได้หรือเปล่าครับ” ต้อมบอกเงื่อนไขให้กับผม
“อืม ก็ได้นะถ้าที่บ้านเราเขายอมเหมือนกัน แต่ให้อยู่บ้านเฉยๆพี่ไม่เอาหรอกนะ”
“ถ้าพี่ตกลงผมก็ยอมไปเรียนให้ก็ได้ เพราะผมจะได้ทำอะไรให้พ่อกับแม่และเพื่ออนาคตของเราสองคนด้วย” ต้อมบอกผมดูเหมือนต้อมก็เริ่มที่จะมีความคิดที่ดีขึ้น และสนใจความรู้สึกของคนรอบข้างบ้างแหละตอนนี้
“ต้องให้มันได้อย่างนี้สิ พี่รักต้อมที่สุดเลยนะครับ” ผมจูบปากต้อม ต้อมก็ตอบสนองกลับมาอย่างนุ่มนวล
หลังจากที่เราคุยกันจนเข้าใจแล้ว ผมก็โทรกลับไปบอกที่บ้านของต้อมซึ่งแน่นอนเขาต้องดีใจกันอยู่แล้ว แต่ผมสิกลับรู้สึกใจหายไปทีละนิดแล้วตอนนี้ เพราะเวลาที่ผมกับต้อมจะได้อยู้ด้วยกันมันน้อยลงไปทุกๆวินาทีแล้วตอนนี้ ตอนนอนคืนนี้ผมเป็นฝ่ายกอดต้อมไว้เอง เพราะทุกครั้งจะเป็นต้อมกอดผมมากกว่า
เช้านี้ผมกับต้อมก็มาทำงานตามปกติ ผมบอกพี่น้ำเรื่องที่ต้อมยอมไปเรียนต่อแล้ว แกก็ไม่ได้ว่าอะไรแถมยังเรียกต้อมบอกว่าให้โชคดีแล้วก็ตั้งใจเรียนด้วย แต่เราไม่ได้บอกถึงข้อตกลงของเราสองคนเพราะผมไม่รู้จะพูดยังไง ก็ปล่อยมันให้เป็นเรื่องของอนาคตไปก่อน
ตอนบ่ายผมต้องออกไปพบลูกค้าแต่ต้อมต้องอยู่เคลียงานที่ออฟฟิศ เพราะว่าผมบอกว่าไม่อยากมีผู้ช่วยแล้วทำคนเดียวดีกว่า ต้อมเลยต้องจัดการกับงานทั้งหมดที่รับผิดชอบให้เสร็จก่อนที่จะไปเรียนต่อ แล้วพอดีผมคุยกับลูกค้าเสร็จเร็ววันนี้ ผมเลยแวะห้างเซ็นทรัลเวิลด์เพราะผมอยากหาซื้อของขวัญให้ต้อมก่อนที่ต้อมจะไปเรียนด้วย
พอดีผมเดินผ่านแผนกเสื้อผ้าเห็นเสื้อไหมพรมตัวหนึ่งสวยมาก แล้วคิดว่าที่นั้นเวลาน่าหนาวคงหนาวมากแน่ๆน่าจะได้ใช้ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อนะครับแบบว่าขอเดินดูก่อน เผื่อเจออย่างอื่นที่มันน่าสนใจกว่าอะไรแบบนี้ไงครับจะได้ได้ของที่ถูกใจที่สุด
ระหว่างเดินเลือกของก็เดินผ่านร้านขายไหมพรมที่เขาเอามาถักเสื้อนี่แหละครับ แล้วเห็นเขากำลังสอนลูกค้าที่มาซื้อของถักเสื้อไหมพรมอยู่เหมือนกัน ผมเลยแวะเข้าไปดูมองๆแล้วมันก็ไม่ยากเท่าไหร่ ผมเลยคิดว่าผมน่าจะทำเสื้อไหมพรมให้ต้อมเองดีกว่า เพราะอย่างน้อยก็เป็นของขวัญที่ผมทำให้กับมือต้อมคงต้องชอบแน่ๆ
ผมเลยคุยกับพนักงานขายว่าถ้าซื้อไหมกับอุปกรณ์จะสอนวิธีถักให้ด้วยได้หรือเปล่า ทางร้านเขาก็ยินดีสอนครับแถมยังหาแบบเสื้อกันหนาวมาให้เลือกอีก ผมเลือกเป็นแบบสวมทั้งตัวแขนยาวแต่เป็นคอวีกว้างลงมาหน่อย เวลาใส่จะเห็นปกเสื้อกับเสื้อตัวในด้วย คิดว่าต้อมใส่แบบนี้แล้วคงน่ารักดีแน่ๆ
พนักงานให้ผมเลือกสีไหมพรมที่จะใช้ผมเลือกสีแดงเลือดหมูเข้ม(ไม่ขอบอกเหตุผลที่เลือกนะครับ) หลังจากเลือกได้พนักงานก็เอาวิธีถักเสื้อแบบที่ผมเลือกมาให้ แล้วก็พาผมไปนั่งที่อีกมุมหนึ่งของร้านที่จัดไว้สำหรับลูกค้าที่จะมาหัดเรียน ผมนั่งหัดทำอยู่กว่าสองชั่วโมงถึงจะคล่อง ระหว่างที่นั่งหัดทำพนักงานเขาก็จะคอยเข้ามาดูเราบ่อยๆ เผื่อเรามีปัญหาอะไรจะได้ถามเขาได้ทันที
หลังจากที่ผมคิดว่าผมคล่องน่าจะเอากลับมาทำเองได้แล้ว ผมก็เก็บของเพื่อที่จะกลับบ้านเพราะอยากถึงบ้านก่อนต้อม จะได้ซ่อนของพวกนี้ด้วยผมคิดว่าเก็บไว้ให้รู้วันที่จะให้ที่เดียวเลยดีกว่า ก่อนกลับผมยังถามพนักงานว่าถ้ามีปัญหาช่วงไหนกลับมาถามได้หรือเปล่า พนักงานก็บอกยินดีทุกเมื่อค่ะของแบบนี้มันต้องกันไว้ก่อนสิครับ
“ที่รักคร้าบ วันนี้อยากกินอะไรหรือเปล่าเดี๋ยวพี่ทำให้กิน” ผมโทรหาต้อมหลังจากกลับมาถึงบ้านแล้วซ่อนของเรียบร้อยแล้ว
“อะไรก็ได้ครับที่ที่รักผมทำผมกินได้ทุกอย่างแหละครับ” ต้อมปากหวานกลับมา
“ไม่เอาอ่าแบบนี้มันเลือกยาก บอกมาเลยไม่งั้นไม่ทำให้กินแล้วนะ” ผมบอกไปก็มันคิดยากจริงๆนะครับไอ้อะไรก็ได้อะ เดี๋ยวทำมาไม่ถูกใจละแย่เลย
“อืม งั้นผมอยากกินแกงเขียวหวาน ปลาเค็ม ไข่ตุ๋น ผัดพริกแกงถั่ว ผัดผักรวมมิตร คะน้าหมูกรอบ” โหทีนี้บอกมาซะเยอะเลย
“อ่านะ เยอะไปไหมกินกันสองคนนะ ไม่ได้เลี้ยงทั้งซอย งั้นเราแกงเขียวหวานปลาเค็มแล้วก็ไข่ตุ๋นแล้วกันนะ” ผมบอกกลับไป
“คร้าบตามใจพี่เลย”
“แล้วเราใกล้จะกลับหรือยัง งานที่ต้องเคลียเหลืออีกเยอะหรือเปล่า” ผมถาม
“เดี๋ยวก็กลับแล้วครับ งานเคลียเกือบครบแล้วไม่ต้องห่วงหรอกครับ” ต้อมบอก
“งั้นกลับบ้านแล้วเจอกัน แค่นี้นะ” ผมวางสาย
ผมไปซื้อของกลับมาทำกับข้าวไว้รอต้อมกลับมาบ้าน ผมทำกับข้าวเสร็จได้ไม่นานต้อมก็กลับมาถึง ผมให้ต้อมไปล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วค่อยลงมากินข้าวด้วยกัน ผมจัดโต๊ะกินข้าวเรียบร้อยแล้วตอนนี้ ต้อมลงมานั่งกินข้าวผมก็คอยตักกับข้าวให้ต้อมตลอด จนต้อมมองหน้าผม
“มองหน้าทำไม พี่อยากให้เรากินเยอะไง หรือว่าไม่อยากกิน” ผมถาม
“ไม่ใช่อย่างนั้น ผมแค่แปลกใจที่พี่นัทเอาใจผมจังเลย” ต้อมอมยิ้ม
“ก็พี่อยากทำให้เรานี่ อีกไม่กี่วันเราก็ต้องไปเรียนแล้วนะ อย่าลืมสิ” พอผมพูดเรื่องนี้ต้อมดูหน้าเศร้าไปเล็กน้อย
“พี่ยิ่งทำแบบนี้ผมยิ่งไม่อยากไปแล้วรู้ไหม” ต้อมทำหน้าเศร้าขึ้นไปอีกทีนี้
“ไม่เอาน่าเราสัญญากันแล้วไง” ผมบอกพร้อมกับเอื้อมมือไปจับมือต้อมไว้
“พี่ก็แค่อยากทำให้เรามากๆ เราจะได้ไม่ลืมพี่ไงเวลาไปที่นั้นแล้ว” ผมบอกต่อ
“ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่มีทางลืมพี่หรอกนะ กลัวแต่ผมจะทนคิดถึงพี่ไม่ไหวแล้วหนีกลับมาก่อนนะสิ” ต้อมเอามือมากุมมือผมข้างที่ยื่นไปจับมือมันไว้
“แบบนั้นไม่ดีแหละ เราต้องเรียนให้จบนะสัญญากับพี่สิ” ผมบอก ต้อมก็ได้แต่พยักหน้าแทนคำตอบ
หลังจากกินข้าวเสร็จที่แรกผมจะล้างจานเองแต่ต้อมไม่ยอมบอกว่าผมเหนื่อยแล้ววันนี้ ผมเลยมานอนฟังเพลงรอที่โซฟาจนต้อมมานั่งข้างๆ เพลงนี้ก็ขึ้นมาพอดีผมเลยหยุดเพลงก่อนที่จะหูฟังข้างหนึ่งใส่ที่หูต้อม แล้วผมก็เอาหัวไปซบที่ไหล่ของมันก่อนที่จะเปิดเพลง
คำว่ารักต้องพูดเบาๆ ได้ยินไหมต้องพูดเบาๆ
ไม่ว่าใครใครจะพูดยังไง แต่เป็นฉันจะพูดเบาๆ
บอกให้ใจเธอฟัง ได้ยินเองดังๆ
เธอได้ยินไหมยังไม่รู้เลย...ก็ช่วยมาใกล้ๆ หน่อย
เอ่ยคำว่ารักดังๆ ก็เหมือนมันไม่มีค่าเลย
ปากบอกไปแต่ใจเฉยๆ แค่เป็นคำหนึ่งคำที่พูดไป
แต่บอกด้วยใจรู้ไหม ต้องใช้ใจมารักกัน
เบาๆ แค่สักครั้ง แต่มันยังคงดังอยู่ในหัวใจ
คำว่ารักต้องพูดเบาๆ ได้ยินไหมต้องพูดเบาๆ
ไม่ว่าใครใครจะพูดยังไง แต่เป็นฉันจะพูดเบาๆ
บอกให้ใจเธอฟัง ได้ยินเองดังๆ
เธอได้ยินไหมยังไม่รู้เลย...ก็ช่วยมาใกล้ๆ หน่อย
รักนะ รักเธออยู่ในใจ ถ้าไม่จำเป็น ก็ไม่เคยพูดมัน
รักนะ รักเธอมากมาย รักเธอมากมาย โดยไม่ต้องพูดกัน
คำว่ารักต้องพูดเบาๆ ได้ยินไหมต้องพูดเบาๆ
ไม่ว่าใครใครจะพูดยังไง แต่เป็นฉันจะพูดเบาๆ
บอกให้ใจเธอฟัง ได้ยินเองดังๆ
เธอได้ยินไหมยังไม่รู้เลย...ก็ช่วยมาใกล้ๆ หน่อย
คำว่ารักต้องพูดยังไง ส่งจากใจให้ถึงใจเรา
ไม่ว่าใครใครจะพูดยังไง แต่เป็นฉันจะพูดเบาๆ
คำว่ารักต้องพูดเบาๆ ได้ยินไหมต้องพูดเบาๆ
ไม่ว่าใครใครจะพูดยังไง แต่เป็นฉันจะพูดเบาๆ
บอกให้ใจเธอฟัง ได้ยินเองดังๆ
เธอได้ยินไหมยังไม่รู้เลย...ก็ช่วยมาใกล้ๆ หน่อย
อยากให้เธอได้ฟัง
เธอได้ยินไหมยังไม่รู้เลย...ก็ช่วยมาใกล้ๆ หน่อย
พอเพลงจบผมก็เอาหูฟังของต้อมออก “พี่รักต้อมนะ” ผมกระซิบที่ข้างหูต้อม
ต้อมหันมายิ้ม “ผมก็รักพี่นัทครับ” ต้อมบอกผมกลับมา