“ไอ้แก้วมันก็โทรมาบอกทุกวันว่าไอ้โก๊ะมันสบายดี กินข้าวได้ เอ็งไม่ต้องห่วงหรอก”
“แต่ก็กินได้น้อย ปานนี้ผอมเห็นซี่โครงแล้ว”
“อยู่นี่เอ็งก็ปฏิบัติตัวตามที่พี่เขาบอกดีๆ เดี๋ยวก็กลับได้แล้ว เชื่อพ่อเถอะ อยู่ที่นี่ซักพักแล้วค่อยกลับ”
“แล้วเมื่อไรล่ะ”
“ก็จนกว่าพี่เขาจะพอใจ”
“ห๋า!”
“ไม่ห๋าล่ะ”
“แล้วถ้าไม่พอใจฉันไม่ต้องตายอยู่ที่นี่เรอะพ่อ ไม่เอานะ” ร่างโปร่งหันมองคนขับตาเขียว
“พูดไปโน้น ใครเขาอยากรับเลี้ยงเอ็งนานขนาดนั้น เปลืองข้าวเปลืองน้ำเขาเปล่าๆ” กำนันสิงห์หัวเราะก่อนหันไปถามลูกเขย
“ว่าไง ต้องอยู่นานขนาดไหนรึพ่อทิ ทิ้งมันไว้ฉันก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน”
“ซักพักเท่านั้นล่ะครับ ขอดูอาการและสภาพร่างกาย ถ้าคงเส้นคงวาดีไม่กี่อาทิตย์ก็กลับได้แล้วครับ” ทิเบตเหลือบดูกระจกมองหลัง ใบหน้าได้รูปดูขาวขึ้นกว่าเดิม หากร่างกายกลับซูบลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมทานข้าวตามที่เจ้าหน้าที่จัดมาให้จนหมดเลยซักครั้งเดียว อาหารข้างนอกก็ทานนิดๆหน่อยๆ ของที่ชอบก็ทานหนเดียวเลิก ตรวจดูแล้วร่างกายไม่มีปัญหาอะไร
ก็สรุปได้อย่างเดียวว่าคงมาจากจิตใจ
ทิเบตกำพวงมาลัยแน่นกว่าเดิม หลังจากป่วยพวกเขาก็คุยกันนับคำได้ สาเหตุมันคงเห็นๆอยู่ แต่ที่ต้องยื้อไว้เพราะเขาเป็นห่วงสุขภาพอีกฝ่ายจริงๆ ไม่อยากให้กลับไปเล่นทโมนจนเป็นลมเป็นแล้งไปอีก ขอดูอาการให้มั่นใจอีกนิดเขาก็จะปล่อยอีกฝ่ายไป
ไม่ต้องทนเห็นหน้าเขาอีกแล้วก็ได้
“ถ้างั้นพ่ออยู่กับฉันที่นี่นะ”
“เอ้ย ไม่ได้ๆเรามีพี่เขาคอยดูแล แต่ชาวบ้านที่เขาถูกน้ำท่วมเขาไม่มีใครนะลูก เป็นลูกพ่อทั้งทีเข้มแข็งไว้ ”
“พ่อ...”
ฉันรู้แต่ฉันไม่อยากอยู่กับไอ้หมอที่เป็นแบบนี้นี่
“ลูกก็เห็นว่าปีนี้น้ำท่วมหนัก ชาวบ้านก็ลำบาก ไว้พ่อจะไปๆมาๆ หรือเอาไอ้ขันอยู่เป็นเพื่อนก็ได้”
“ไม่...ไม่ต้องก็ได้จ้ะ ไอ้ขันมาไอ้แก้วก็ลำบากช่วยพ่ออยู่คนเดียว เหนื่อยแย่”
“งั้นก็ต้องอดทนลูก” กำนันสิงห์ลูบศีรษะบุตรชาย
เมื่อมาถึงบ้าน นิภาก็ออกมารับคนป่วยออกจากอ้อมอกกำนันสิงห์
“ฉันฝากลูกด้วยนะพ่อทิ” กำนันสิงห์ชะโงกศีรษะออกมาจากรถ
“ครับ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะพ่อกำนัน ฉันจะดูแลเหมือนลูกฉันเองเลย”
นิภาสำทับให้กำนันสิงห์คลายกังวล จากนั้นจึงบอกคนขับรถขับไปส่งถึงสุพรรณบุรี
“ปะ เข้าบ้านกันหอม เออทิ น้องห้ามกินอะไรด้วยรึเปล่า” นิภาจูงมือเด็กหนุ่มเข้าบ้านเมื่อท้ายรถหายลับไปจากสายตา
“พวกอาหารเค็มจัดมันจัด ยังไงแม่ช่วยดูให้ด้วยนะครับ”
“งั้นเดี๋ยวแม่ให้เขาเอาผลไม้มาให้ทานรองท้องดีกว่านะ แล้วค่อยขึ้นไปพัก”
“เออ ไม่เป็นไรครับ หอมยังไม่ค่อยหิวเลย”
ข้าวหอมปฏิเสธเสียงอ่อย เหลือบมองร่างสูงนั่งตรงข้าม ห่างกันเป็นโยชน์ เพราะถ้าไม่จำเป็นอีกฝ่ายจะไม่ถูกเนื้อต้องตัวเขาเลยนับแต่ป่วยมา และมันก็ทำให้เขารู้สึกห่างไกลจากอีกฝ่ายขึ้นเรื่อยๆ
“เอางั้นหรือจ๊ะ งั้นอยากได้อะไรบอกป้าหรือแม่บ้านนะ”
“ครับ” ข้าวหอมยิ้มแห้งมองส่งนิภาไปยังครัว
“แต่ฉันว่าดื่มนมซักแก้วดีกว่านะ ฝืนกินหน่อยจะได้แข็งแรงเร็วๆ”
ทิเบตบอกเสียงเรียบ หากข้าวหอมเพียงมองฝ่ายตรงข้ามด้วยหางตาแล้วลุกขึ้นเดินออกไปนอกบ้าน
เขาไม่อยากเห็นท่าทีห่างเหินของอีกฝ่าย มันทำให้หงุดหงิดพาลอยากจะต่อว่าแทนที่จะขอโทษดังที่ตั้งใจไว้
ร่างโปร่งบางเดินมานั่งเล่นใต้ต้นมะม่วง พักเดียวเงาร่างสูงก็ปรากฏตรงหน้าพร้อมแก้วนมวางบนโต๊ะหินอ่อน
“ดื่มซะหน่อย”
“ก็บอกว่าไม่อยากกินไง”
“กินแล้วจะได้แข็งแรง อยากกลับบ้านเร็วๆไม่ใช่เหรอ”
ข้าวหอมเหลือบมองร่างสูงแล้วจึงคว้าแก้วนมยกดื่มจนหมด ก่อนกระแทกแก้ววางเสียงดังน่ากลัวแตก “โอเคมั้ย” ถามจบก็สะบัดหน้าไปอีกทาง
ชั่วขณะที่รู้สึกอึดอัดคับแค้นใจกับท่าทีเหินห่างนั้น ก็รู้สึกถึงความอบอุ่นข้างกายอันคุ้นเคย หัวใจดวงน้อยจึงประหวั่นไหว ความตึงเครียดที่สะสมมาหลายวันค่อยสลายจางลง รับสัมผัสมือใหญ่ลูบศีรษะเบาๆคล้ายกำลังปลอบประโลม จึงละล้าละหลังหันมอง
รอยยิ้มอ่อนโยนเหลือแสนทว่ากลับมีแต่ความเศร้าโศกในแววตาทำเอาหัวใจคนหัวดื้อกระตุกวูบ เจ็บปวดไปกับแววตานั้น
ทิเบตลดมือลงมากุมมือเล็กไว้หลวมๆ และยิ้มอ่อนล้าให้กับแววตาแปลกใจระคนสงสัย
“ไม่อยากเห็นหน้ากันขนาดนี้เลยหรือ”
น้ำเสียงตัดพ้อสั่นพร่าของทิเบตส่งผลให้ข้าวหอมนิ่งตะลึง กับความเสียใจของคนตรงหน้าที่จู่โจมมาอย่างกะทันหัน
“อะ...อะไร?”
ทิเบตกลืนก้อนแข็งขมขื่นลงคออย่างยากเย็น กว่าจะเอ่ยออกมาได้อีกครั้ง
“ไม่อยากเห็นหน้ากันถึงขนาดตายๆไปซะก็ดีใช่มั้ย ถึงทิ้งฉันไว้ที่นั่น”
ข้าวหอมปากอ้าตาค้างกับคำพูดที่กระแทกเข้ามาทำให้สมองมึนงงไปชั่วขณะ เหมือนกำลังเจอคลื่นยักษ์จ่อเข้าถาโถมตรงหน้า กอปรกับท่าทางผิดไปจากที่เคยจึงพยายามดึงมือกลับ แต่ก็ถูกยื้อไว้ให้ประสานสายตาคู่แรงกล้า ดึงเขาเข้าสู่พายุที่ก่อตัวเรียบร้อยแล้ว
“ฉันรอจนหลับ ไม่รู้เลยว่าน้ำท่วมถึงตัวตั้งแต่เมื่อไร รู้ตัวอีกทีก็เกือบจมน้ำ”
“...!”
“ฉันว่ายน้ำกลับ ใจก็คิดว่านายคงติดฝนถึงมาไม่ได้”
ชายหนุ่มดึงมือขาวเห็นเส้นเอ็นเพราะน้ำหนักลดลงไปมากขึ้นจรดริมฝีปาก
“บอกฉันหน่อยว่านายไม่ได้ตั้งใจทิ้งฉันไว้ที่นั่น”
แววตาอ้อนวอนแดงก่ำ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าอีกฝ่ายจงใจห่างเหินด้วยเหตุอะไร มันไม่ใช่แค่ความคิดตื้นๆอย่างที่เขาคาดไว้ แต่มันลึกจนสร้างบาดแผลให้กับหัวใจอีกฝ่ายจนชุ่มนองไปด้วยหยาดน้ำอุ่นเหนียวหนึบ
“หอม...”
ชายหนุ่มทวงคำตอบเมื่อเห็นร่างเล็กนิ่งเงียบ ทำให้หัวใจดวงโตสะท้านหดเกร็งเหลือนิดเดียว
เมื่อไม่สามารถส่ายหน้าปฏิเสธการกระทำของตนเองได้ ข้าวหอมจึงได้แต่อึกอักหลุบตามองพื้น ถึงเขาจะจงใจทิ้ง แต่เขาก็ไม่ตั้งใจให้เกิดเรื่องคอขาดบาดตายขึ้น
เขามันสะเพร่าเองที่ทิ้งคนไว้ท่ามกลางความเสี่ยงที่จะถูกน้ำท่วม
เขาเสียใจ มาวันนี้เขาเสียใจในสิ่งที่เขาได้ทำลงไป
น้ำอุ่นร้อนหยดรดมือขาวนวล ข้าวหอมรีบเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นน้ำตาของลูกผู้ชายตรงหน้าไหลอาบแก้ม พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ไว้เต็มกลืน
หมอ!...
ทิเบตเม้มริมฝีปากรีบกลืนน้ำตาที่เหลือไว้ในอก เมื่ออีกฝ่ายไม่ปฏิเสธ เขาก็ควรจะพอได้แล้ว สิ่งที่เขาเคยตั้งใจ สิ่งที่เขาเคยวาดหวัง ไม่เคยส่งไปถึงใจอีกฝ่ายได้เลย เขาลืมไปว่าชีวิตมันไม่ง่าย ไม่สวยหรู และไม่เป็นดังหวังเสมอไป แล้วจะยื้อคนไม่มีใจไว้กับตัวทำไมให้เจ็บกันทั้งคู่ สู่ปล่อยให้ไปเจอคนที่พอใจ ถูกใจ มากกว่าคนที่ถูกคลุมถุงชนเช่นเขา
“ให้เวลากับการแต่งงานครั้งนี้ไปอีกซักนิดเถอะ แล้วฉันจะไม่ยื้อนายไว้อีกเลย นายไม่ต้องกังวลว่าจะต้องทนเห็นหน้าฉันไปจนตายหรอก”
ข้าวหอมถึงกับผงะไปกับคำพูดของคนตรงหน้า คำพูดที่เหมือนเอาน้ำกรดมาราดที่หัวใจให้ปวดแสบปวดร้อน แล้วสาดซ้ำด้วยน้ำเกลือเย็นเฉียบตั้งแต่หัวจรดเท้า
คนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี คนที่พยายามทำทุกทางให้ชีวิตแต่งงานดำเนินไปอย่างราบรื่น คนที่ใจเย็นมาตลอดกลับเป็นคนเอ่ยขอเลิกเสียเอง
มันกะทันหันเสียจนร่างเล็กรับไม่ทัน เนื้อตัวเย็นวาบแข็งทื่อ มองคนตรงหน้าเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“พ่อแม่ของพวกเราท่านจัดพิธีให้ใหญ่โต ถ้าอยู่กันยังไม่ทันครบปีแล้วเลิกกัน พวกท่านคงรู้สึกไม่ดี แต่ถ้าเราใช้เวลาอยู่ด้วยกันสักพักแล้วยังไปกันไม่ได้ ฉันว่าพวกท่านน่าจะเข้าใจว่าเราได้พยายามแล้ว และคงยอมรับการยกเลิกการแต่งงานครั้งนี้ได้”
ข้าวหอมหน้าเผือดลง ขบริมฝีปากตัวเองแน่น
‘ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายนายนะ ทำไมถึงคิดว่าฉันใจร้ายใจดำถึงขนาดนั้นได้ ทำไมถึงพูดว่าจะเลิกกัน!’
แววตาสั่นไหวสับสนทำให้ทิเบตฝืนยิ้มแล้วค่อยๆลูบไล้ผิวหน้าขาวอ่อนนุ่มเบาๆ หากถูกปัดออกอย่างไม่ใยดี
“นายคิดว่าฉันใจคออำมหิต คิดอยากให้นายตายเชียวเหรอ”
ร่างโปร่งเสียงแข็งจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง ความเสียใจน้อยใจตีขึ้นติดคอหอย
“ไม่หรอก”
ทิเบตตอบเสียงอ่อนล้า ไม่ต้องการจะเค้นหาคำตอบจากใครอีก แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ข้าวหอมโมโห
“ก็ใช่นะสิ! ถึงฉันจะทิ้งนายจริงแต่ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ ฉันไม่คิดว่าน้ำมันจะท่วม นายเข้าใจมั้ย ฉันถึงได้วิ่งไปตามนายจนต้องไปนอนโรงพยาบาล ไอ้บ้า ไอ้หมอบ้า”
ข้าวหอมผลักอกร่างสูงออกห่าง น้ำเสียงสั่นเครือ
“ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันขอโทษ!”
ในที่สุดร่างเล็กก็ได้พูดสิ่งที่ตั้งใจไว้ ทว่าเวลานี้กลับไม่สามารถดึงรั้งความรู้สึกหมดหวังของทิเบตไว้ได้ ความไม่เข้าใจของพวกเขาที่สะสมมาเนิ่นนานจนไม่สามารถปรับเข้าหากันได้
เหตุการณ์นี้จึงเป็นเพียงจุดเปลี่ยนที่ทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจว่าควรทำยังไงกับชีวิตคู่ที่อลหม่านนี้ต่อไปดี
“ยังงั้นเหรอ” ทิเบตยิ้มแห้งแล้ง
“แต่เรื่องที่นายเกลียดฉันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเพราะฉะนั้นรักษาตัวให้หาย แล้วจะได้กลับไปอยู่กับพ่อ กับไอ้โก๊ะ ต่อไปฉันจะไม่ไปกวนใจอะไรนายอีกแล้วจริงๆ”
“ก็ฉันบอกว่าไม่ได้ตั้งใจไงเล่า! ทำไมยังต้องพูดอะไรแบบนี้อีกล่ะ จะให้ฉันทำยังไงหะ”
ข้าวหอมเต้นเร่าไม่รู้จะอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจได้ยังไงจึงเหวี่ยงแขนใส่คนตรงหน้า โมโหความคิดของอีกฝ่ายจนหน้ามืดเหมือนอากาศหายไปจากปอด
ทิเบตรวบตัวคนฟาดหัวฟาดหางเข้ามากอดแน่น เพราะนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้โอบกอดคนที่รัก หลังจากนี้ก็ต้องปล่อยให้เขาเดินไปตามทางที่เขาเลือก
“ไม่ต้องทำอะไร...แค่อยู่เฉยๆ ให้เวลากับการแต่งงานนี้ต่อไปอีกหน่อย แล้วฉันจะไปเอง นายจะเป็นอิสระ เวลาที่เหลืออยู่นี้ขอให้เราทำแต่สิ่งดีๆให้แก่กัน ฉันไม่อยากให้เราเลิกกันด้วยความอาฆาตพยาบาท”
ทิเบตจรดจมูกลงบนเส้นผมหอมเย็น ตอนนี้เขาเจ็บจนจุกแน่นไปทั้งทรวงอก
ด้วยความจริงหากจะตัดขาดกันตอนนี้ก็สามารถทำได้ แต่เขาเอง เป็นเขาเองที่อยากจะยื้อเวลาของการเป็นสามีภรรยาไว้ให้นานที่สุด เพราะเขาเทำใจไม่ได้หากจะต้องจากกันตอนนี้
ขอเวลาให้หัวใจเขาได้ซึมซับเก็บความรู้สึกดีๆของคนๆนี้ไว้บ้าง ได้สูดลมหายใจร่วมกันจนเต็มปอด แล้วเขาจะจากไปโดยไม่ให้อีกฝ่ายต้องออกปากไล่เลย
“ฉันขอแค่นี้ หอมทำให้ฉันได้มั้ย”
คำขอของคนตรงหน้าทำเอาสมองอื้ออึงเหมือนถูกถ่วงด้วยตะกั่วนับร้อยโล คิดอะไรไม่ออก สิ่งที่เขาเฝ้าร้องแรกแหกกระเชอหา มันกลับไม่ทำให้รู้สึกดีซักนิด
ทิเบตคลายวงแขนมากระชับไหล่ทั้งสองข้างไว้แทน มองเปลือกตาบางกะพริบถี่ๆ
“จากนี้ไปฉันจะไม่บ่น ไม่กวนใจ นายจะออกไปไหน...กับใครก็ได้...”
ข้าวหอมตั้งใจฟังจนไม่กล้าแม้กระทั่งจะกลืนน้ำลาย
“เพราะฉะนั้น ทนอีกไม่นาน นายก็จะเป็นอิสระ ไม่ต้องเอาต่อเอาแตนมาไล่ฉันอีกแล้วหรอก”
ทิเบตบีบบ่าเล็กห่อลู่ลงเบาๆ ก่อนลุกขึ้นเก็บแก้วนมเปล่าเดินจากไป ทิ้งให้ข้าวหอมนั่งเงียบไปพักใหญ่จึงได้ค่อยๆยกมือลูบแก้มตัวเอง
ความอุ่นชื้นติดปลายนิ้วทำให้เพิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังร้องไห้
ร้องโดยไม่มีเสียงออกมาซักแอะ
เพราะมันออกจากหัวใจ
หัวใจของเขากำลังร้องไห้
TBC
มาต่อให้เเล้วนะคะ เราเข้าใจว่าค้างเป็นไง (รอน้องเบบี้มาต่อพี่เมตรกะหลิ่มทั้งวันเหมือนกัน)
ไม่ได้ไปทำงานมาอาทิตย์นึงละ พื้นที่เสี่ยง
ยังไงทุกท่านก็ดูเเลตัวเองเเละคนรอบข้าง ปลอดภัยกันทุกคนนะคะ
เเจกผ้าเช็ดหน้าสีชมพู?!?!คนละ 1 ผืนปล. เผื่อไม่เห็นกัน
ถ้ารอดปลอดภัยกันแล้ว ทั้งคู่ยังจะงอนกันอีกหรือเปล่าค๊ะ
เหนื่อยใจ
เรื่องนี้ เป็นพ่อเเง่เเม่งอน อะจ๊ะ คนโพสบอกไว้ตั้งเเต่เเรกๆ
มันคงต้องง้องอนกันจนจบ เเต่ไม่ใช่ไม่น่ารักนะเออ กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
Happy Ending เเน่ๆ เชื่อพี่เหอะน้อง เจอกันวันศุกร์นะคะ เผื่อบางท่านอ่านไม่ทัน
ระหว่างรอตอนต่อไป อ่านนี่ไปก่อน คนเเต่งเดียวกัน
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=11513.0
เรื่องนี้มีเเต่คนบอกว่าค้าง เราว่าไม่นะ