มีคนเค้าขอมา นะครับ ตามใจกันเลย อิอิ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านนะคร้าบบ ขอให้มีความสุข ต้อนรับวันสงกรานต์
ตอน สี่สิบสี่
"อันหลุมใดในโลกจะลึกร้อน คอยสึกกร่อนเผาใจให้แหลกเหลว
ดังเงา มืดแสงเทียนที่สิ้นเปลว ดำดิ่งลึกในเหวแสนปวดใจ
ด้วยหลุมนี้บาดลึกในดวงจิต เป็นยาพิษหวังเยียวยารักษาได้
ยิ่งตกลึกลงหลุมรักปักกลางใจ หลุมอันใดจะมืดมิดก็มิปาน"
ม้านั่งในรามฯเรียงยาวเป็นแถวไว้เป็นที่นั่งอ่าน หนังสือของนักศึกษา ทั้งยังเป็นศูนย์รวมของซุ้มต่างๆ ผมพาเอไปนั่งลงตรงซุ้มติดกับบึงเล็กๆ เดินเข้าทางบิ๊กซี มีนักศึกษานั่งอ่านหนังสือบ้างคุยกันบ้างอยู่เกือบทุกซุ้ม เป็นครั้งแรกที่เรานั่งตรงข้ามกันเพราะไปขอนั่งกับนักศึกษาผู้หญิงที่กำลัง อ่านหนังสืออยู่ เอจะอ้าปากพูดแต่ผมเอานิ้วชี้แตะปากตัวเองเป็นสัญลักษณ์ไม่ให้มันพูด มันจึงเงียบมองผมอยู่อย่างนั้น ผมเองก็มองตามันอ่านความในใจของมันที่ฉายแววส่องประกายออกมาทางสายตา ทรมานใจเหลือเกิน ทั้งที่นั่งอยู่ตรงหน้าแต่ผมกลับทำอะไรมันไม่ได้ แม้แต่จะสัมผัส เอมันดึงมือผมไปวางแผ่ข้างหน้ามัน แล้วอีกมือก็เอื้อมมาใต้โต๊ะจับมือผมไว้อย่างยากลำบาก คางผมเกือบจ่อกับโต๊ะเพราะขนาดความสูงของโต๊ะก็ได้เรื่องอยู่เหมือนกัน เรียวนิ้วของมันค่อยๆวาดลงบนฝ่ามือที่วางอยู่ข้างหน้ามันอย่างอ่อนโยน เป็น อักษรภาษาอังกฤษ
"U" "R" "M" "Y" "H" "E" "A" "R" "T"
สายตามันบอกอย่างนั้นจริงๆ ผมเม้มปากไม่มีคำใดจะเอ่ยออกมา ยามปวดร้าวใจแค่คำหวานเหล่านี้มันเยียวยาหัวใจที่เหี่ยวแห้งให้กลับชุ่มฉ่ำ ขึ้นมาได้เหมือนกัน
"I" "L" "O" "V" "E" "U"
"M" "Y" "S" "W" "E" "E" "T" "H" "E" "A" "R" "T"
พลันน้ำตาก็ซึมออกมาผมมองมันด้วยสายตาที่ เปี่ยมไปด้วยรัก รักที่ล้นใจ มือด้านล่างของเรากุมบีบกันแน่นราวกับกลัวอีกฝ่ายจะหนีหายจากกันไป น้องนักศึกษาที่นั่งอยู่ข้างๆมองเราทั้งสองแล้วอมยิ้ม เธอยอมลุกเดินหนีไปปล่อยให้เรานั่งมองตากันและกันนานแสนนาน ผมชวนเอไปไหว้สักการะพ่อขุนรามคำแหงที่อนุเสาวรีย์ตรงลานใจกลางมหาวิทยาลัย แดดร้อนเปรี้ยงแต่เราก็อยากไปกราบขอพร ผมซื้อดอกไม้ตรงลานด้านล่าง นั่งท่าเทพบุตรคู่กันสองคนกลางแดด มีกลุ่มนักศึกษาหลายคนกำลังทำแบบเรา เอมันคล้อยตามผมทุกอย่าง ผมอธิษฐานให้พ่อขุนโปรดชี้นำทางให้แสงแห่งรักนำพาเราสองคนด้วยเถิด ให้พ้นจากห้วงทุกข์นี้ที ลูกทรมานเหลือเกิน ผมก้มลงกราบ เอทำตาม พอเสร็จเราก็เดินไปสนามกีฬาราชมังคลาฯ อากาศร้อนแต่อย่างน้อยเราก็ยังไม่อยากจะพรากจากกันไป
"อธิษฐาน ว่าไงเหรอเอ"
ผมถามตอนเราเดินตามทางเท้ามุ่งตรงไปยัง สนามกีฬา
"ขอให้เรารักกันไปนานๆ รักกันจนกว่าจะตายจากกันไป"
"เอ"
ผมทั้งปลื้มใจทั้งตกใจ ที่ปลื้มก็เพราะคำหวานที่มันพูด ที่ตกใจเพราะๆไม่อยากได้ยินคำว่าตาย มันดูเป็นลางไม่ดีใจหายเหมือนกัน
"อย่า พูดเรื่องเป็นเรื่องตาย เอ ฉันไม่ชอบ วันนี้รักกันจะพูดอะไรมันก็ยังรักกัน แต่วันข้างหน้าเรามองไม่เห็น อย่าเพิ่งพูดไป"
ผมปรามมันเสียงเบา เอมองหน้าผมสายตาดูจริงจัง
"เค้าพูดจากใจ ไม่รู้ว่าคนเราเขารักกันยังไง หรือรักกันนานแค่ไหนถึงจะเพียงพอ แต่เค้ารักตัวเองหมดใจ ไม่คิดที่จะเผื่อไว้ให้ใคร รักด้วยใจที่มันเอาอะไรมาทดแทนไม่ได้"
เอจ้องหน้าผมเขม็ง มันพูดเสียงขรึมจริงจัง จนผมเองที่หวั่นในใจ ผมยิ้มให้มัน ยอมแพ้ที่จะเถียง เอาเถอะ ฉันเองก็รักเธอมากเหมือนกัน
"จ๊ะ พ่อรูปหล่อ เชื่อแล้วจ้า"
ผมแหย่มัน เอยิ้มออกมาก้มลงจะมาหอมแก้ม ผมต้องผลักหน้าออกเพราะเรากำลังเดินอยู่บนทางเท้า คนเดินไม่ใช่น้อย พอถึงสนามกีฬาเราไปหาที่ใต้ร่มไม้นั่งซื้อน้ำอัดลมกระป๋องไปด้วย นั่งจับมือมองหน้ากันอยู่อย่างนั้น เรียวนิ้วยาวของเอเขี่ยอยู่ขอบกางเกงผมตลอดเวลา อยากจะกอดมันเหลือเกิน อยากอยู่ในอ้อมกอดของมัน อยากจะลูบไล้ตามตัวให้หายคิดถึง เราคุยกันหลายเรื่องจนค่ำ ไม่อยากจากกันเลย แต่ก่อนผมเคยไล่มันกลับบ้านเพราะตัดใจไม่อยากให้มันอยู่นาน แต่ตอนนี้ผมไม่อยากจะห่างมันแม้สักวินาที อยากจะนั่งอยู่ข้างๆคอยสัมผัสกายมันสูดไออุ่นจากลมหายใจของมัน ฟังเสียงหัวใจที่เต้นแรง อยากจะอยู่อย่างนี้ อุปสรรคครั้งนี้มันใหญ่โตเหลือเกิน ไม่รู้ว่าเพราะอะไรผมรู้สึกทั้งผิดทั้งถูกระคนกันไป แต่เสียงของหัวใจมันเรียกร้องบดบังตามองไม่เห็นสิ่งใดถูกผิดเอาเสียเลย ความรักทำให้คนเห็นแก่ตัว เพิ่งกระจ่างแก่ใจวันนี้เอง ผมอยากจะทำทุกอย่างที่ทำให้ผมได้อยู่กับมัน ได้ใกล้ชิดมัน ไม่ได้สนใจความรู้สึกของใครแล้ว แม้แต่แม่หรืออาจารย์ปริศนา
เราออกจากสนามกีฬาเกือบทุ่มอยู่บนรถเมล์ก็เบียดกันตลอดเวลา ผมคอยมองมันตลอดเวลาไม่ยอมให้ห่างสายตา เวลาเออยู่กับผมไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเห็นมันแลดูร้อนใจ อึดอัด มองไปทีไรเห็นแต่รอยยิ้ม มองไปทีไรเห็นแต่สายตาที่มีแต่น้ำใจรักกัน ผมรักมันมากเหลือเกิน เอมาส่งผมที่ปากซอยเข้าบ้านเรายืนมองหน้ากันอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครยอมหันหลังให้กัน จนผมต้องตัดใจ ยอมหันหลังเดินเข้าซอยบ้านไป แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบหันกลับไปมองมัน ใจจะขาดรอนๆ มันยังยืนอยู่ที่เดิม ยืนมองผมอยู่อย่างนั้น ผมหัวใจสะอื้นร่ำไห้อยู่ภายใน กว่าจะตัดใจเดินเข้าบ้านได้ หัวใจผมหล่นลงตรงเท้าไปหลายครา
วันอาทิตย์ผมก็ยังไม่มีอะไรทำ ขาดการติดต่อจากเอ ผมทุรนทุรายไม่เป็นอันกินอันนอน เดินวนไปเวียนมา เอาโทรศัพท์ติดตัวไว้ตลอดเวลา คอยมองดูหน้าจอเหมือนคนบ้า ร้อนใจอย่างทึ่สุด จากเช้าถึงเย็นสายที่เรียกเข้ามาไม่ใช่คนที่ผมปรารถนาสักราย ผมพูดตามสายไปด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว ไร้เรี่ยวแรง หดหู่ในใจ จนฝ่ายที่โทรศัพท์เข้ามาอ่อนใจวางสายไปเอง ผมอยากได้ยินเสียงมันใจจะขาด อยากจะรู้ว่ามันสบายดีไหม กินข้าวหรือยัง ทำอะไรอยู่ แค่เสียง ยังไม่ได้อีกเหรอ แค่ได้ยินเสียงหายใจก็ยังดี แค่เสียงลมหายใจไออุ่นนั้น
"แก เป็นไงบ้าง"
เสียงพลพูดกรอกสายมา ผมนิ่งไม่รู้จะตอบอะไรมันดี เป็นยังไงน่ะเหรอ จวนเจียนที่จะขาดใจแล้ว
"โย แกเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเงียบจัง"
พลถามอีกรอบหลังจากที่ผมเงียบไปเสียนาน
"อืม โอเคแก"
ผมพูดออกไปไม่เต็มเสียง ถอนหายใจอยากเอาความหนักหน่วงที่ถ่วงใจไว้ระบายมันออกมากับลมหายใจบ้าง แต่ก็ไร้ประโยชน์
"เสียงแกไม่ค่อยดีเลยแก นี่ ออกมากินข้าวกัน เดี๋ยวฉันไปรับ ไอ้บอมมันอยากจะเจอแก"
พลบอก ผมไม่ตอบรับเงียบไป มันกำลังพูดถึงใคร มันกำลังหมายถึงอะไรสมองผมไม่รับรู้แล้ว มึนตึงในหัว ไม่รับสารใด ไม่มีความรู้สึกยินดียินร้าย วางสายจากพลไปแล้วแต่ลืมไปทุกอย่างว่ามันพูดอะไรบ้าง ผมนั่งเหม่ออยู่หน้าบ้าน แม่นั่งตรวจข้อสอบทำงานอยู่บนโต๊ะ แม่คอยเดินออกมาดู บ่อยครั้งที่แม่เดินออกมาลูบหัวผมเบาๆ ความอบอุ่นจากใจแม่แผ่ซ่านผ่านมือมา ผมรับรู้แต่ก็ไม่อาจทำให้ผมรู้สึกไปได้ดีกว่านี้ แม่ไม่พูดอะไรได้แต่ถอนหายใจ ผมนั่งอยู่จนมืด พลเปิดประตูเข้ามา มันยืนมองผมอยู่สีหน้ามันบอกไม่ถูก คงลำบากใจเพราะผมอาการเหมือนคนอกหัก ยิ่งกว่าอกหักเพราะผมใจร้าวแหลกรานไปเกินกว่าคำนั้นจะบรรหยัดความหมาย ยอมอกหักยังดีเสียกว่าที่รักกันล้นใจแต่ไม่มีทางที่จะได้เจอกัน ไม่มีโอกาสที่จะแม้ได้ยินเสียงกัน พลเดินมานั่งลงข้างหน้า
"แก อย่าคิดมากสิ หน้าแกไม่รับบุญรับบาปเลยนะ ดูสิ"
พลพูดแล้วถอนหายใจ
"ไป แก ออกไปกินข้าวกัน อย่ามาขลุกอยู่คนเดียวแบบนี้"
พลบอก ผมยังคงนิ่งอยู่ สายตาเหม่อลอยไปไกลแสนไกล เอ ตอนนี้ทำอะไรอยู่นะ ยอดดวงใจของฉัน เธออยู่ไหน
"โย แกๆ พูดกับฉันบ้างสิ แก อย่าทำแบบนี้"
พลร้องเรียก เสียงมันอ้อนวอน ผมค่อยสะดุ้ง มองหน้ามัน ยิ้มแห้งๆ หน้าตามันดูตกใจ
"ไปสิแก เบื่อๆอยู่เหมือนกัน"
ผมพูดออกไป แล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ใช้เวลานานเหมือนกัน เพราะเวลาเปิดตู้เสื้อผ้า ชุดนักเรียนที่ห้อยอยู่ในตู้ทำใจผมสลาย ผมเอามันออกมากอดดมแล้วร้องไห้ ปวดใจเหลือเกิน พลเดินขึ้นมาตามผมจึงผละออกจากชุดนักเรียนของเอ ผมกอดพลร้องไห้ สะอื้นจนตัวโยน พลก็ร้องไห้มันคงสงสารผม ผมสะอื้นสะท้อนความในใจออกมา ความในใจที่หมักหมมอยู่นาน ทุกวินาทีมันคือความเจ็บปวดรวดร้าว อากาศที่สูดหายใจเข้าไปมันเสียดแทงทะลุกลางใจ ผมเสียใจเหลือเกิน
กว่า จะออกจากบ้านก็เกือบสองทุ่ม พลขับรถไปรับบอมที่พัฒนาการแล้วขับรถย้อนมาที่ถนนอ่อนนุช มันพาเราไปกินข้าวที่ร้าน Melon Mint อะไรสักอย่างผมไม่ได้ใส่ใจ เรานั่งอยู่ด้านในร้าน บอมมันทักผมซึ่งมีแต่รอยยิ้มแห้งๆให้ บทสนทนาจากที่ผมเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยให้ทั้งสองคน แต่วันนี้ผมกลับเงียบ จนมันเองต้องคุยกันเอง ประชดกันไปมา เหมือนจะฆ่ากันเสียมากกว่า ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันจะนัดกันมาทำไม ผมนั่งเขี่ยอาหารไปมา
"พี่ ผมขอโทษ นะครับ ไม่คิดเลยว่ามันจะแย่แบบนี้ ผมเสียใจจริงๆครับพี่"
บอมพูดออกมา มันคงทนเห็นสภาพเหม่อลอยของผมไม่ไหว
"รู้ไว้ด้วยนะ ว่านี่ล่ะผลของการกระทำที่ไม่คิด ดูสิมันทำร้ายคนอื่นเขาแค่ไหน"
พล ได้ทีแขวะมัน
"ผมไม่ได้ตั้งใจนะพี่"
"เด็กไม่ดี ขี้อิจฉา ขี้ฟ้องยังกับผู้หญิง เป็นตุ๊ดหรือเปล่าเราน่ะ"
"เฮ้ยพี่ ผมขอโทษไปแล้วนะ พี่จะเอาอะไร ผมไม่ได้อิจฉา ผมไม่ได้เป็นตุ๊ด พี่นั่นล่ะเป็น"
"ใช่ฉันเป็น แต่ฉันก็รักเพื่อน ไม่เคยทำแบบนี้กับเพื่อน นายนี่ก็กล้าเรียกเอมันว่าเพื่อนสนิทเนอะ ทำกันลง"
บอ มตบโต๊ะเสียงดัง มันคงโกรธ พลสะดุ้งเอนมาทางผม ซึ่งนิ่งอยู่ ไม่มีปฏิกริยาอันใด บอมมองมาทางผมแล้วนิ่ง มันคงคิดอะไรได้ มันจึงเงียบลง
"ผม ขอโทษครับพี่ จะให้ผมทำยังไง พี่ถึงจะยอมยกโทษให้ผม ผมเสียใจจริงๆ"
มัน ร้องไห้ออกมาน้ำตาไหลเปรอะสองแก้ม
"เฮ้ย"
พลตกใจทำตัวไม่ถูก ผมมองอยู่นิ่งไม่พูดอะไร ทำไมเดี๋ยวนี้เห็นแต่น้ำตานะ ผมถอนหายใจ
"พี่ ไม่ได้โกรธเราหรอกนะ บอม เราไม่เกี่ยวหรอก มันเป็นวิบากกรรมของพี่กับเอเอง ไม่เกี่ยวกับใคร ขอโทษเราด้วยนะ ที่ทำให้ลำบากใจ"
ผมพูดออกไป สายตาแน่นิ่ง มันยิ่งฟูมฟาย พลทำตัวไม่ถูกไม่คิดว่าเด็กผู้ชายตัวใหญ่เท่าๆกับเอจะเสียน้ำตาออกมาได้
"ตัว โตยังกะควาย ขี้แยไปได้"
พลยังไม่ยอมหยุด แม้มันจะพูดกับตัวมันเอง แต่มันก็ดังพอที่มันจะได้ยิน บอมกำหมัดในมือ
"พล แกจะพูดแบบนี้อีกนานไหม พอได้แล้ว บอมมันเสียใจ มันยอมแล้ว แกจะเอาอะไรอีก พอแล้ว ฉันไม่อยากได้ยิน"
ผมดุมัน พลทำหน้าเอ๋อ มันทำตัวไม่ถูก บอมมันถึงคลายมือลง มันมองผมทั้งน้ำตา ผมมองมันแล้วยิ้มให้ ไม่เอาผิดแล้ว ไม่คิดติดใจไม่เคยคิดเลยว่ามันผิด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นกรรมของผมเอง
"เออ แล้วปิดเทอมไปไหนครับ บอม"
ผมถามขึ้น คิดดูแล้วจะมานั่งเงียบเหม่อลอยไร้จิตวิญญาณ คนที่ลำบากใจไม่ได้มีแค่ผม คนที่รักผมทุกคนก็ลำบากใจ บอมปาดน้ำตาออกจากหน้า มันยิ้มทันที
"ไม่ ไปไหนครับ ผมว่าจะเรียนพิเศษ อยากสอบเข้าวิศวะ เหมือนไอ้เอ"
เอ อีกแล้ว พูดชื่อมันขึ้นมาทีไรหัวใจแป้วหล่นลอยหายไป ผมทำหน้าเจื่อนลงทันที
"คิด เองไม่เป็นเหรอ ถึงคอยตามแต่เพื่อน หัวดีเหรอเราน่ะ"
พลได้ที กัดมันทันที
"พี่ กวนตีนนะ ผมไม่ใช่โง่นะพี่"
มันมองพลอย่าง โกรธแค้น
"อ้าวเหรอ หน้าไม่ให้เลยนะ"
"เอ๊ะ"
"โอย นี่จะกัดกันไปถึงไหน กัดกันมากๆ ระวังนะ จะรักกันเอง"
ผมพูดขึ้น ปล่อยให้คุยกันไม่ได้เลยสองคนนี่
"ไม่มีทางแก ฉันไม่ยอมเป็นแฟนกับเด็กขี้ฟ้องหรอก"
"พล"
ผมเอ็ดมันมองด้วย สายตาตำหนิ
"ผมก็ไม่เอาพี่หรอก ไม่มีทาง ถ้าเป็นพี่โยก็ว่าไปอย่าง"
"เห็น ไหม คิดจะหักหลังเพื่อนเหรอ แย่จริงๆเรา"
"ผมเปรียบเทียบโว้ยพี่ ผมไม่มีทางทรยศเพื่อนหรอก แต่ที่แน่ๆ ผมไม่เอาพี่"
"ฉัน ก็ไม่เอานาย อย่าคิดว่าฉันอยากได้ ทุเรศ"
ทั้งสองเชิดหน้าเถียงใส่ กัน ผมจนปัญญาที่จะห้าม อย่ามาเผลอใจให้พี่เลยนะบอม แม่ว่าเธอจะพูดเล่นหรือจริง มันไม่มีที่เหลือให้ใครแล้ว พี่รักใครไม่ได้แล้วในตอนนี้ และคงอีกนาน เพราะคนที่ครอบครองใจ คือ เอ คือเขาคนเดียว
พลกลับมาส่งที่บ้าน แล้วค่อยไปส่งบอม ไม่รู้จะเหวี่ยงกันลงข้างทางหรือเปล่าเพราะท่าทางคงไม่ยอมสงบศึกกันง่ายๆ ผมถึงบ้านเกือบสี่ทุ่มครึ่ง แม่ยังนั่งอยู่ที่เดิม สายตาที่แม่มองมาทุกทีมันเต็มไปด้วยความห่วงใย ผมนั่งคุยกับแม่ พยายามทำตัวให้ร่าเริงมากที่สุด ถึงตอนนี้รู้สึกสงสารแม่ขึ้นมา ไม่อยากให้แม่ทุกข์ใจเสียใจเพราะผมอีก คนที่รักผมที่สุดไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมาทนทุกข์ไปกับผมในเรื่องนี้ แลดูว่าผมจะเห็นแก่ตัวเกินไป ผมขอตัวขึ้นไปสวดมนต์ก่อนนอน นานแล้วที่ไม่ได้สวดขอไหว้พระทำใจให้สบาย ปลดปล่อยสิ่งที่หนักถ่วงอยู่ในอกออกไปบ้าง ผมอาบน้ำแล้วไปนั่งในห้องแม่สวดมนต์ พยายามนั่งสมาธิ แต่ก็ทำไม่ได้ อานุภาพแห่งรักมันรุนแรงบังตา บังสติปัญญามองไม่เห็นแสงใด ผมหยุดการทำสมาธิแล้วเดินออกมาจากห้อง เข้าห้องตัวเองแล้วล้มลงเตียง เสียงโทรศัพท์สั่น ผมกระเด้งตัวรีบตว้ามาดูทันที เป็นเบอร์บ้าน ผมรีบกดรับ
"ตัว เอง เค้าเองน้า เค้าแอบออกมาหยอดตู้โทรนอกบ้าน แม่นอนแล้ว ตัวเองเป็นยังไงบ้าง คิดถึงเค้าไหม"
เสียงที่ผมรอคอยมาทั้งวันดัง แจ่มใจผ่านโทรศัพท์มา ผมยิ้มทั้งน้ำตา
"ฮึก...............เอ ฉัน คิดถึงเธอมากนะ คิดถึงมาก"
ผมพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ ไม่อยากให้มันลำบากใจ
"เค้าก็คิดถึงตัวเองมากน้า แต่แม่พาไปกับไอ้โอ ไม่ปล่อยไปไหนเลยอ่า เค้าจะทนไม่ไหวแล้วนะ แม่ไม่เคยเข้าใจเลย"
เอ มันเสียงดุดันขึ้น คงโกรธจริงๆ
"ใจเย็นๆนะเอ เราต้องอดทนนะ ยังไงแม่ก็คิดว่ามันดีแล้วสำหรับเอเอง"
"ไม่ ไม่จริง แม่คิดเอาแต่ตัวเอง แม่ไม่สนใจความรู้สึกของเค้าเลย เอ้ย เหรียญจะหมดแล้ว ตัวเอง เดี๋ยววันหลังเค้าโทรหาใหม่นะ"
"เอ เอ"
ผมร้องเรียก ยังไม่อยากให้มันวางสาย
"ตัวเอง ถ้านับจากนี้เค้าทำอะไรไป ตัวเองต้องเข้าใจเค้านะ เค้าจะทำให้แม่รู้ว่าแม่คิดผิด แต่ตัวเองเชื่อใจเค้านะ"
สายตัดไปแล้ว กับสิ่งที่มันพูดค้างไว้ มันยังติดคาในใจผมอยู่ นี่มันจะทำอะไร นี่มันคิดอะไรอยู่ ผมร้อนรนยิ่งกว่าเดิมแทนที่พอได้ยินเสียงมันผมจะรู้สึกดีขึ้น ผมกลับนอนไม่หลับกระสับกระส่ายดิ้นไปมา ความคิดมากมายวิ่งเข้ามาในหัว ยิ่งคิดยิ่งจม เอมันเป็นคนใจร้อนกลัวว่ามันจะทำอะไรโดยที่ไม่ทันคิดอย่างที่แม่ว่า คราวนี้มันคงคิดทำอะไรอยู่ในใจ ผมอยากจะกดโทรศัพท์ไปหาพลระบายความอัดอั้นตันใจ แต่ก็เกรงใจมันเพราะดึกมากแล้ว ผมต้องทนรับความหนักอกหนักใจทุกข์ทนทรมานอยู่อย่างนี้โดยลำพัง คิดแต่เรื่องไม่ดี ถ้ามันทำร้ายตัวเองขึ้นมาล่ะ ผมจะทำยังไง ถ้ามันประชดแม่มันขึ้นมาโดยที่ทำอะไรร้ายแรง ดอย จะทำยังไงดี จากนอนเป็นลุกเดินไปมา นาฬิกาบอกเวลาตีสองกว่าแล้ว ผมไม่ได้รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย ในใจยังร้อนรุ่ม เดินไปเดินมา คิดหาคำตอบให้กับคำถามของตัวเองไม่ได้ ทรมานเหลือเกิน ผมหลับไปตอนไหนไม่รู้ แต่มารู้สึกตัวตอนที่แม่มาเขย่าตัวปลุกให้ตื่น ตายจริง เจ็ดโมงกว่าแล้ว
ก็คนมันเศร้าเนอะ