ตามคำเรียกร้องของป้า ก่อนจะด่าผม เน้อ
อ่านแล้วอย่าด่าผมนะค้าบบบ
ตอน สี่สิบเอ็ด
เสียงที่คุ้นหูเหลือเกิน ผมรีบเดินลงมาข้างล่าง อาจารย์ปริศนานั่นเอง
"เธอทำอย่างนี้กับพี่ได้ยังไงอร เธอปล่อยให้มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง"
เสียงอาจารย์ปริศนาดังกึ่งตะโกนแผดเสียงอยู่ หน้าตาดูเกรี้ยวกราด ยืนชี้หน้าแม่อยู่ ผมใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม ใจแป้วลอยหายไป
"ใจเย็นๆนะคะพี่ปริศนา มีอะไรค่อยๆคุยกันนะคะ"
แม่พยายามพูดอย่างใจเย็น
"ไม่ยงไม่ เย็นกันแล้ว อ้อ มาพอดีพ่อตัวดี เธอทำอย่างนี้กับฉันได้ยังไงโย เสียแรงที่ไว้วางใจ"
อาจารย์ปริศนาหันมาทางผมที่ก้าวลงบันไดยังไม่พ้นขั้นสุดท้ายด้วยซ้ำ ผมหยุดชะงักอยู่แม่มองผม หน้าแม่ดูไม่ค่อยดีเอาเสียเลย ผมทำหน้าไม่ถูกยกมือขึ้นไหว้ แต่สายตาอาจารย์ปริศนาจิกจ้องอยู่ที่ผมราวกับจะฉีกเนื้อผมออกมากิน ชี้หน้าเหมือนไปขโมยอะไรที่สำคัญมาจากมือ หรือเหมือนผมเพิ่งไปเข่นฆ่าใครมา
"เธอมายุ่งกับเอทำไม มาทำให้น้องมันเบี่ยงเบน วิปริตผิดเพศแค่ตัวเองไม่พอเหรอต้องมาทำให้คนอื่นเขาเป็นไปด้วย ฉันให้สอนมันอย่างเดียวไม่ได้ให้ทำอะไรเกินเลย"
เสียงอาจารย์ปริศนา แผดก้องในหัว มันบาดลึกไปกรีดลงหัวใจ ผมกระตุกเหมือนโดนตบหน้าด้วยมือที่หนาใหญ่ สิ่งที่ผมกลัวที่สุด สิ่งที่ผมกังวลที่สุดมันเกิดขึ้นแล้ว
"แม่ อย่าไปว่าพี่เขา ผมเป็นคนเริ่มเอง"
เอมันวิ่งตามเข้ามากระหืดกระหอบ มันมาฉุดแขนอาจารย์ปริศนาไว้ แต่อาจารย์ปริศนาสะบัดมือออก
"เงียบไปเลยเรา อย่างเราจะทันพวกเสือสิงห์กระทิงแรดอย่างนี้เหรอ ฉันผิดหวังมากนะโย นี่เงินค่าจ้างงวดสุดท้าย ไม่ต้องมายุ่งกับเออีก ไม่ต้องมาเจอกันอีก ถ้าฉันรู้ว่ามันจะเป็นอย่างนี้นะ ฉันไม่มีทางให้เธอเข้ามาในบ้านฉันเด็ดขาด"
"ใจ เย็นๆ นะคะพี่ เรื่องมันเกิดแล้ว จะห้ามไปก็คง"
"เธอไม่ต้องพูดอร เธอเองก็ผิด เธอเลี้ยงลูกยังไง มันวิปริตวิปลาสคนเดียวฉันก็ไม่ว่าหรอกนะ แต่นี่ทำไมมาทำกับลูกฉันแบบนี้ ฉันไม่แจ้งความเอาผิดก็บุญหัวเท่าไหร่แล้ว น่ารังเกียจ ฉันไม่มีทางให้ลูกฉันผิดเพศอย่างลูกเธอหรอกนะ อะไร เลี้ยงลูกให้เป็นกระเทย อันนั้นฉันก็ไม่สนหรอกนะ แต่อย่ามายุ่งกับลูกของฉัน น่าอาย เป็นผู้ชายดีๆไม่ชอบ อยากเป็นกระเทย"
"แม่"
เอมันตะโกน
"กลับ บ้านไป เอ ไม่ต้องมาเหยียบบ้านหลังนี้อีก กลับไป"
อาจารย์ปริศนาไล่ เอกลับ มันยืนนิ่งหน้าตาดูโกรธแค้น มันวิ่งออกไปจากบ้านแล้ว ผมยังยืนอยู่ที่เดิม แม่ก็ยืนอยู่ที่เดิมหน้าซีด ผมเม้มปากรู้สึกปวดร้าวในใจที่ได้ยินอาจารย์ปริศนาด่าว่าแม่
"พี่ ปริศนา ตอนนี้พี่อาจจะยังโกรธอยู่ เอาไว้ใจเย็นแล้วค่อยมาคุยกันดีไหมคะ อรว่า"
"ไม่!! ฉันจะพูดครั้งนี้ครั้งสุดท้าย เลิกยุ่งกับลูกฉัน ไม่งั้นฉันเอาเรื่องเธอให้ถึงที่สุดแน่ๆ อย่ามาลองดี ลูกชายฉันอยู่ของมันดีๆ เพราะเธอคนเดียวทำให้มันเบี่ยงเบน เสียแรงจริงๆ เสียแรงที่ไว้ใจ ทำกันได้นะโย"
น้ำตาผมไหลออกมา เจ็บแค้นปวดร้าวในใจ
"ผม ขอโทษครับ"
ผมยกมือไหว้อาจารย์ปริศนา รู้สึกผิดจากส่วนลึกที่สุดของหัวใจ
"ไม่ต้องมาขอโทษ มันเกิดขึ้นแล้วนี่ เธอจะรับผิดชอบยังไง เธอจะทำยังไง จำเอาไว้ อย่ามายุ่งกับเออีก"
อาจารย์ปริศนาแว๊ดตะคอกกลับมา ผมสะดุ้งลดมือลงน้ำตาไหลออกมา
"พี่ปริศนาคะ อรกราบขอโทษที่เลี้ยงลูกไม่ดี แต่ที่โยเป็นแบบนี้ อรไม่เคยเสียใจ คนเป็นแม่ ลูกจะเป็นยังไงอรไม่สนใจแค่ขอให้ลูกเป็นคนดีก็พอแล้ว อีกอย่างพี่ปริศนาไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ต่อจากนี้ โยจะไม่เจอกับเออีก ส่วนเงินค่าจ้าง อรขอโทษจริงๆ อรคงให้โยรับไว้ไม่ได้ อรกราบขอโทษจริงๆค่ะ"
"แม่"
ผมร้องเพราะแม่ยกมือไหว้อาจารย์ปริศนาอย่างอ่อนน้อม แม่พูดเสียงเรียบนิ่งเสียจนน่าขนลุก ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นทีท่าของแม่เย็นชาแบบนี้ แม่คงจะทุกข์ใจปวดร้าวใจไปไม่น้อยกว่าผม
"ยโส นัก ฉันผิดหวังจริงๆ อร"
อาจารย์ปริศนาเหมือนมีอะไรจุกคอพูดไม่ออก นิ่งอยู่สักพักจึงพูดออกมา แม่ไม่ได้ลดสายตาแต่มองอาจารย์ปริศนาด้วยสายตาที่อ่อนโยนอย่างน่าประหลาด ทั้งอ่อนโยนทั้งเย็นเฉียบในเวลาเดียวกัน อาจารย์ปริศนากระฟัดกระเฟียดออกจากบ้านไปแล้ว ผมยังยืนร้องไห้อยู่ที่เดิม ก้าวไปไหนไม่ได้เหมือนโดนสาปให้ชาเป็นหิน แม่เองก็นิ่งอยู่ก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง ผมลากกายเข้าไปหาแม่
"แม่ โยขอโทษ โย ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้"
ผมร้องไห้ สะอื้นตัวโยน แม่นั่งนิ่งไม่พูด สายตามองออกไปไกลแสนไกล น้ำตาแม่ไหลออกมาอาบสองแก้ม ผมยิ่งสะอื้นไห้ใจจะขาด หัวใจผมถูกบดขยี้ให้แหลกเหลวไปแล้ว น้ำตาของแม่ที่ไหลลงอาบแก้ม ยิ่งย้ำความเจ็บปวดให้ผมรู้สึกราวจะสิ้นลมหายใจ
"โยเป็นลูกไม่ดี โยทำให้แม่เสียน้ำตา โย ขอโทษ"
ผมก้มลงกราบเท้าแม่ จูบเท้าแม่ทั้งน้ำตา สะอื้นแรงจนหายใจไม่ทันใจจะขาดรอนๆ ทุกครั้งที่สูดลมหายใจเข้ามันบาดลึกลงเสียดแทง เจ็บปวดไปทั้งร่างกาย คราใดที่หายใจออก เหมือนหนามคมในใจมันพยายามจะออกมาทิ่มตำให้แหลกสลายไป น้ำตาพรั่งพรูออกมาจากใจ แค่หลับตาน้ำตาก็ไหลออกมา แค่คิดไปว่าแม่จะรู้สึกยังไง หัวใจผมยอกบอบช้ำ ในใจเหมือนโดนกระทืบให้แตกสลาย ปวดร้าวเหลือเกิน แม่รั้งตัวผมขึ้น
"โย ไม่เป็นไรลูก เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว อย่าไปพร่ำเพ้อถึงมัน ใจเย็นๆ แม่เสียใจ โยเองก็เสียใจแต่ใครล่ะอยากให้มันเป็นแบบนี้"
แม่พูดทั้ง น้ำตา ผมยิ่งใจสลาย แม่ไม่เคยด่าว่าผมเลยสักครั้ง มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิด ผมกอดตักแม่ร่ำไห้
"ทุกสิ่งในโลกล้วนอนิจจัง ปล่อยวาง แล้วเราจะรู้ว่าไม่มีอะไรที่เป็นสุขที่เที่ยง ไม่มีอะไรเป็นทุกข์ มีแต่ใจเราที่ชักเอานำพาเอามาให้มันเป็นสุขและทุกข์"
แม่ปาดน้ำตาออก จากหน้า ผมไม่ได้ยินอะไรมากไปกว่านี้แล้ว ร้องไห้จนหูอื้อตาลาย น้ำหูน้ำตาไหลออกมาเปรอะกางเกงแม่จนเปียกชุ่ม แม่ยันตัวผมลุกขึ้น แล้วมองหน้า แววตาแม่เป็นกังวลเหลือเกิน นัยน์ตาที่เจือด้วยน้ำตาส่องประกายสะท้อนความเจ็บปวด มีคนเคยบอกว่าลูกคนใดทำบุพการีเสียน้ำตาแม้แต่หยดเดียว ลูกคนนั้นจะตกนรกหมกไหม้ ผมทำให้แม่ร้องไห้ออกมา ผมไม่ต้องตกนรกขุมที่สาหัสสากรรณ์ที่สุดหรอกหรือ ผมใจสลายมองหน้าแม่ยิ่งน้ำตาไหล
คำพูดทุกคำของอาจารญ์ปริศนากึกก้องอยู่ในมโนจิต ทุกอณูความคิด ยิ่งหลับตาเสียงแจ่มชัดขึ้น น้ำเสียงเกรี้ยวกราดคอยหลอกหลอนแม้ยามลืมหรือหลับตา สีหน้าอาการของอาจารย์ปริศนาที่ชี้นิ้วด่าว่าผมและแม่ยิ่งทำให้ผมสะอื้นไห้ ปานใจจะขาด "กระเทย" "วิปริต เลี้ยงลูกให้วิปริต" ด่าผมคนเดียวผมน้อมรับก้มหัวให้ทุกอย่าง ผมรู้ดีว่าเหตุการณ์ความรักของผมกับเอมันไม่ได้ราบรื่นอย่างที่หวังเอาไว้ แต่ด่าแม่ผมทนไม่ได้ แม่ไม่ได้เลี้ยงผมให้วิปริต ผมเองที่เป็นไปแม่เลี้ยงผมมาด้วยความรักความใส่ใยห่วงใยเสมอมา ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นเพราะผม ผมเองที่สร้างมันขึ้นมา อย่าว่าแม่ผมได้ไหม ผมร่ำไห้อ้อนวอนอากาศธาตุ ความมืดมิดปกคลุมบริเวณบ้านเพราะผมปิดไฟทุกดวง แม่ขึ้นบ้านไปแล้ว แม่คงไปสวดมนต์ทำใจ ส่วนผมนั่งอยู่ที่เดิมร้องไห้อยู่อย่างนั้น ดูเหมือนความมืดมิดมันไม่ได้ปกคลุมแค่บริเวณบ้าน มันปกคลุมคุกคามเข้ามาในใจผม มองไม่เห็นอะไรเลย มองไม่เห็นแสงใดที่จะส่องนำทาง ผมยกมือขึ้นดูแหวนเงินที่เอใส่ให้ส่องประกายแต่ดูหม่นหมอง คงเหมือนใจผมตอนนี้ที่มันหม่นหมอง ไม่มีประกายอยู่เลย ผมยกนิ้วตัวเองขึ้จูบเบาๆ ไม่น่าให้เรื่องมันลามลุกมาไกลขนาดนี้เลย ความสุขที่ผ่านเข้ามามันไม่มาปลอบชะโลมหัวใจในยามนี้เลย ความสุขที่ผมรั้นฝืนให้มันเกิดขึ้นแค่ชั่ววูบ ผมผิดเองที่ไม่รู้จักหักห้ามใจ ผมผิดเองที่ปล่อยให้เรื่องมันเลวร้ายมาถึงขั้นนี้ ตอนเราสุขแม่ก็ไม่ได้รับรู้ด้วยว่าหัวใจเราพองโตแค่ไหน แต่เวลาเราทุกข์ แม่เองที่ดูเหมือนจะทุกข์กว่าเราหลายพันเท่านัก
ผมเดินขึ้นบ้านไป อย่างไร้จิตวิญญาณ ล้มตัวลงนอนที่เตียงดอกกุหลาบแดงยังรายล้อมเตียง มันช่างน่ารังเกียจเสียนี่กระไร ผมยิ่งมองเสมือนเอาหนามมันมาทิ่มตำตัวเอง สีแดงหลากหลายเฉดสีประหนึ่งกำลังหัวเราะเยาะเย้ยให้กับความอัปยศอดสูที่ เพิ่งผ่านไป ความทุกข์เหมือนมันกำลังหล่นทับใจผมเต็มที่ ได้แต่ร้องไห้อยู่ไม่รู้จักหยุดหย่อนความเจ็บปวดดูเหมือนมันไม่ได้ผ่อนคลาย ลงเลยแม้แต่น้อย ยิ่งสะอื้นไห้หัวใจเหมือนจะหลุดจากขั้วรอนๆ ผมนอนเอาหน้าซุกกับหมอนสะอื้นออกมา
"ก๊อก"
เสียงดังที่หน้าต่าง ผมเงยหน้าขึ้นจากหมอน เหมือนมีคนพยายามปีนห้องเข้ามา ผมใจหายค่อยๆลุกย่องไปตรงหน้าต่าง ผมคว้าแจกันหัวเตียงมาด้วย
"ตัว เองๆ นอนหรือยัง"
เสียงกระซิบกึ่งร้องดังมาจากริมหน้าต่าง ผมรีบวางแจกันลงแล้ววิ่งไปที่หน้าต่างทันที
"เอ"
ผมร้องดั่งเด็กที่พรากจากมารดาเจอมารดาของตน ผมเปิดหน้าต่างแล้วก้มลงไปดู เอมันกำลังปีนขึ้นมาทางหน้าต่าง ผมเอื้อมมือไปฉุดมันขึ้นมา เอมันโผเข้ากอดผม
"ตัวเองเป็นอะไรไหม"
มันถามแล้วร้องไห้ ยิ่งทำให้ผมใจร้าว
"จะทำยังไงดีเอ เราจะทำยังไงดี"
ผมพูด ทั้งน้ำตา กอดมันแน่น
"ตัวเองเชื่อเค้านะไม่ว่าจะยังไงเราจะก้าวไปด้วยกัน เค้าไม่มีทางให้แม่มาห้ามความรักของเราได้หรอก"
ผมสะอื้นในอ้อมกอดของมัน พูดอะไรไม่ออก มันเจ็บในใจ ยิ่งได้เห็นน้ำตาของมันผมยิ่งอ่อนล้า เหมือนจะหมดลมหายใจ ทำไมคนที่ผมรักทุกคนต้องเสียใจ ผมผิดมากเลยหรือที่รักผู้ชาย ผมวิปริตขนาดนั้นเลยหรือ ยิ่งคิดยิ่งน้อยใจ จากคำแทนตัวเองของอาจารย์ปริศนาแต่ก่อน เรียกตัวเองว่าแม่ ทุกคำ เรียกผมว่าลูก แต่เมื่อครู่ "เธอ" "ฉัน" มันดูห่างไกลกันเหลือเกิน
"แล้ว แม่รู้ได้ไง เอ"
ผมสะอื้นถาม เรานั่งอยู่บนเตียงที่ห้อมล้อมไปด้วยมวลกุหลาบแดง
"ไอ้ บอมมันโทรมาฟ้องแม่ คอยดูนะไอ้ตัวดี เพื่อนเหี้ย มันไม่ชอบพี่พล แต่มันก็ไม่น่าทำถึงขนาดนี้เลย"
เอกัดฟันพูด ขบกรามจนปูดโปน ผมได้ยินแล้วก็ท้อสะท้อนใจ กลัวว่ามันจะหุนหันพลันแล่นไปทำอะไรเพื่อนอีก
"เอา เถอะ เอ ยังไงแม่ก็รู้แล้ว ตอนนี้ เรา .......................ห่าง.........กัน........สักพักนะ"
ผมสะอื้น แรงหนักกว่าเดิม กว่าจะพูดออกไปได้แต่ละคำ
"ไม่เอา ตัวเอง อย่าพูดแบบนี้ เค้าจะอยู่ยังไง ถ้าห่างจากตัวเอง ไม่เอา เค้าไม่ยอม ตัวเอง อย่าพูดแบบนี้ เค้าเจ็บนะ รู้ไหม"
มันร้องไห้น้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม ยิ่งเห็นยิ่งปวดใจ มันกอดผมแน่นร้องไห้ฟูมฟาย
"ช่วงนี้ถ้าเรา ยังติดต่อกันอยู่กลัวว่าเรื่องมันจะเลวร้ายไปกว่านี้ เอ.........ถ้าหากว่า.........อาจารย์ปริศนา.....เขาส่งเอไป.......ที่ อื่น.........แล้ว ฉันล่ะ เอ................ฉันจะอยู่ยังไง............ ถ้าไม่มีเธอ"
ผมสะอื้นจนหอบ กลัวทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้ ผมกลัวแม้แต่จะปล่อยมือออกจากอ้อมกอดของมัน กอดแน่นขึ้นสะอื้นในอกของมัน เอร้องไห้ลูบตามตัวผม มันเองก็คงเสียใจไม่น้อยไปกว่าผม
"ไม่มีทาง เค้าไม่ไปไหนทั้งนั้น แม่บังคับเค้าไม่ได้หรอก ที่เค้าตั้งใจเรียนอยู่ทุกวันนี้ไม่เกเร เพราะตัวเองนะ รู้ไหม เค้ารักตัวเอง เค้าอยากเป็นคนดีให้ตัวเองรัก เค้าอยากเป็นคนที่คู่ควรกับตัวเอง แม่ไม่เข้าใจ แม่ไม่เคยเข้าใจเค้าเลย"
ความในใจมันพรั่งพรูออกมาผมผละออกจากอกมันแล้วโน้มคอมันมาซุกที่บ่า ลูบหัวมันเบาๆ ผมพรมจูบตามเส้นผมของมัน สงสารจับใจ สงสารมันกับตัวผมเอง
"เราไม่น่าให้มันเลยเถิดขนาดนี้เลย"
ผมพูดเสียงเบาสั่นสะอื้นอยู่
"อย่าพูดแบบนี้ ตัวเองอย่าพูดแบบนี้ เค้าเสียใจนะ เพราะรักนะเค้าถึงทำกับตัวเอง ถ้าไม่มีวันนั้น ถ้าเราไม่ได้รักกัน คิดไหมว่าเค้าจะเชื่อที่ตัวเองพูดสักอย่างไหม ถ้าเราไม่ได้รักกัน เค้าไม่มีทางจะมานั่งฟูมฟายเสียใจอยู่อย่างนี้"
เอจ้องผมจับหน้าผม ไว้ น้ำตามันไหลออกมาจากตาของมัน โอย ผมปวดใจเหลือเกิน ทรมานใจจะขาด
"เอ ฉันก็เสียใจ เอ"
ผมพูดไม่ออกสะอื้นแรงหนักจนต้องทรุดหน้าลงกับบ่า ของมัน เอมันคงเข้าใจว่าผมเองก็คงเสียใจมากเพราะผมเหมือนคนที่ไร้ซึ่งหนทาง หมดอาลัยตายอยาก หน้าตาบูดเบี้ยวเพราะร้องไห้หนัก ตาแดง แต่ภายในใจผมมันพังทะลายยับเยินไปหมดแล้ว จะพูดออกมาแต่ละคำมันช่างยากลำบาก ปวดร้าวใจจนพูดอะไรออกมาไม่ได้ ผมสะอื้นตัวสั่น มันคอยลูบปลอบโยน ทั้งที่ตัวมันเองก็ร้องไห้เช่นกัน เรานอนกอดกันอยู่อย่างนั้น บนเตียงที่ห้อมล้อมไปด้วยดอกกุหลาบแดง ที่เอเพิ่งจะทำให้ผมแปลกปลื้มใจ ไม่ทันไรกุหลาบยังไม่เฉาไปเลย แต่ความรักที่มันทำให้ผมประทับใจเหมือนกลายเป็นหนามคมที่คอยทิ่มแทงใจของเรา ทั้งสองให้เจ็บปวดร้าวราน ทรมานเหลือเกิน
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกแห่งนี้ช่วยดลใจนำพา ใจให้เราทั้งสองเจอทางสว่างด้วยเถิด ทรมานทุกข์ใจเหลือเกินด้วยบุพการีก็ทุกข์ใจไปด้วย ด้วยบุญกุศลที่ได้สร้างสมมา ช่วยดลบันดาลให้ลูกพ้นจากห้วงทุกข์นี้ทีเถิด ผมภาวนาในใจก่อนหลับไปในอ้อมกอดของเอ
"สิ้นแสงสุริยา ราตรีส่อง ผุดผ่องงามงดพิศมร
อันดวงใจต้องมนต์ โดนศร ฤาดัสกรข้ามเขตพัธสีมา
ด้วยรักดังน้ำ ผึ้งอาบยาพิษ ราวจะปลิดชีพเสียวายชีวา
ยอกอกเสียดแทงเกินรักษา แล้วทิวาก็สิ้นแสงแรงแห่งใจ"