บุพเพวายร้าย
61/1
พี่ชนะมาคอนโดเป็นครั้ง2 แล้วนับจากผมมาอยู่ที่นี่เป็นเวลาหลายเดือน และกำลังคุยกับพี่วุฒิอยู่ด้านนอก ถึงผมจะไม่เห็นตัวพี่เขาแต่ก็พอรู้ว่าเป็นเสียงพี่ชนะครับ ส่วนพี่แบงค์ไม่เคยมาที่นี่เลย
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูทำให้ผมหันไปมอง คงไม่ใช่พี่วุฒิ เพราะถ้าเป็นพี่วุฒิจะไม่เคาะประตู แต่จะเปิดเข้ามาเลย
“ จุมพี่เข้าไปนะ” พี่ชนะบอก ผมว่า ‘ครับ’แล้วพี่เขาถึงได้เปิดประตูเข้ามา
“ ทำไร?” พี่ชนะถามเดินเข้ายืนข้างๆผมที่นั่งบนเก้าอี้ แล้วมองหน้าสมุดเปิดค้างไว้โต๊ะของผม มันว่างเปล่า
“ เปล่าครับ” ผมตอบ พี่ชนะมายืนข้างๆแล้วผมหนาว ตัวมันสั่นแต่ผมพยายามระงับอาการไว้ ...
“ ไปลอยกระทงกัน ที่มอเขาจัดงาน” วันนี้เป็นวันลอยกระทงครับ ผมก็ได้ยินจากพวกจักรเหมือนกันว่าที่มอจัดงาน มีการออกร้านของชมรมในมหาลัยด้วย จักรก็ชวนผม แต่คิดว่าพี่วุฒิคงไม่ให้ไปเลยปฏิเสธ
“ ผมถามพี่วุฒิก่อนนะครับ” ผมบอก เพราะผมจะไม่ได้ออกไปไหนถ้าพี่วุฒิไม่อนุญาติ
“ ไม่ต้องถาม พี่ชวนมันแล้ว มันโอเค พี่เลยมาชวนจุมไง”
“..............” ผมก้มหน้ามองเส้นบรรทัดในกระดาษสีขาว อีกไม่กี่เดือนผมจะจบมอ6แล้ว
“ ไปกันจะ 2 ทุ่มแล้วออกไปเฮฮากันหน่อย” หมับ! พี่ชนะจับแขนผมพร้อมทั้งดึงให้ลุกขึ้น
“ โอ๊ย!” ผมร้อง เพราะพี่ชนะแขนผมโดนแผลที่ข้อมือ แผลที่เพิ่งได้มาเมื่อคืนมันเลยยังใหม่อยู่ นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมผมถึงใส่เสื้อแขนยาว
“ เป็นไร?!” พี่ชนะถามตกใจปล่อยมือผม
“ ปะเปล่าครับ” ผมบอกหลบตาพี่ชนะ
“ ..................................” พี่ชนะเงียบไปแล้วถามผม
“ มีอะไรไหมจุม?”
“ ไม่มีครับ” ผมบอกส่ายหน้าด้วย
“ ไอ้วุฒิมันทำอะไรจุมหรือเปล่า?”
“ เปล่าครับ”
“ พี่พอรู้นะว่ามันมีอะไร ครั้งแล้วที่พี่เจอจุม จุมไม่ได้ผอมขนาดนี้ ดูตาจุมคล้ำเหมือนคนอดนอน หน้าก็ซีด แล้วยังไอ้วุฒิอีกที่ตอนนี้อารมณ์ร้ายยิ่งกว่าเมื่อก่อนมาก ...พี่ยังคิดว่ามันไปกินรังแตนแต่ไหงมันกินตลอดเวลา”
“ ..............” ผมเงียบ
“ มีอะไรจุมก็พูดออกมา พี่จะช่วย ถ้าจุมไม่พูดแล้วพี่จะรู้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
พี่คงช่วยอะไรผมไม่ได้ เพราะผมทำตัวของผมเอง
“ .............ไม่มีอะไรครับ”
“ จุม พี่เห็นเราเป็นน้องชายพี่เลยนะ ...”
“ ขอบคุณครับ” ผมบอกซึ้งใจ ที่พี่เขาดีกับผมมากถึงขนาดนี้
“ มีอะไรบอกพี่อย่าเก็บไว้คนเดียว ปัญหาถ้ามันใหญ่มากมันต้องแก้หลายๆคน”
“ครับ” ผมบอก แต่ไม่อยากรบกวนพี่ชนะ ผมเอาความยุ่งยากมาให้พี่เขาหลายครั้งแล้ว
“ งั้นก็ไปลอยกระทงเอาทุกสิ่งทุกอย่างลอยไปน้ำดีกว่าเนอะ”
“ ครับ” ผมเงยหน้ายิ้ม พี่ชนะลูบหัวผม
ควับ! พี่วุฒิเดินเข้ามา (พี่ชนะปิดประตูไม่สนิท)
“ จะไปไหม?” พี่วุฒิถามมองผมกับพี่ชนะ
“ เออ เอารถมรึงไปนะ กรูจะจอดรถไว้นี่แหละ หาที่จอดยาก” พี่ชนะบอก ผมเดินตามพี่ชนะออกไป เดินผ่านพี่วุฒิที่ยังยืนนิ่ง
แค่เดินผ่านพี่วุฒิตัวผมก็สั่นสะท้าน
“ .........................”
ในรถพี่ชนะนั่งเบาะและหลังกำลังคุยโทรศัพท์กับพี่แบงค์
“ โอเคเจอกัน” พี่ชนะว่ากดโทรศัพท์ แล้วหันมาคุยกับผมและพี่วุฒิที่อยู่ด้านหน้า
“ไอ้แบงค์ มันรอร้านปาเป้า ที่อยู่ข้างๆร้านบิงโก”
พี่วุฒิไม่ได้ตอบว่าอะไร ผมหันไปมองพี่เขา หางตาพี่วุฒิค่อยๆหันมองผม
“ ...................” ผมขนลุก หันหน้ากลับมา
ผมไม่อยากไปลอยกระทงแล้ว ผมไม่อยากไป ...
คอนโดนอยู่ไม่ไกลจากมหาลัยทำให้ใช้เวลาไม่นานก็ไป ถึง พี่วุฒิวนหาที่จอดรถเป็น 10 นาทีกว่าจะได้ที่จอดที่ไกลจากงานฯมาก เป็นที่จอดรถของตึกคณะมนุษย์ฯ เพราะงั้นพอจอดรถพวกแล้วผมต้องเดินไปงานที่เปิดเพลงเสียงดังแว่วมา
ตรงนี้ก็มีรถหลายคันจอดอยู่ครับ หมายความว่าที่จอดรถแถวงานฯคงหมดจริงๆ
“ ........จุมอยากนั่งชิงช้าป่ะ?” พี่ชนะชวนขณะเดินมาด้วยกัน ผมเดินอยู่ตรงกลางมีพี่วุฒิและพี่ชนะขนาบข้าง ผมรู้สึกอุ่นใจมากกว่าที่จะต้องไม่ต้องเดินผ่านไปมากับคนที่ไม่รู้จัก
ผมกลัวการสัมผัสนั่นคือความจริง
ผมมองไปยังงานที่อยู่ตรงหน้าเห็นชิงช้าที่กำลังหมุน ในกระเช้ามีคนเต็มทุกระเช้า มีทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ และที่คิดว่าเป็นคู่รักก็มี ผมก็อยากนั่งครับ ข้างบนนั้นคงมองเห็นทั่ว และอากาศคงเย็นสบาย อาจจะทำให้ลืมเรื่องบางเรื่องได้ชั่วขณะ
“ครับ”
“ เดี๋ยวพานั่ง” พี่วุฒิบอก พี่ชนะหันไปมองพี่วุฒิแบบงงๆ
“ งั้นมรึงพาจุมไปนั่งชิงช้าก่อนกรูไปหาไอ้แบงค์”
“ เออ” พี่วุฒิบอกพาผมไปซื้อตั๋ว โดยต้องเข้าแถวรอ 4 คนก่อนหน้า
ในที่สุดก็ได้ตั๋วมาครับ ขณะที่รอก็มีคนไม่น้อยมองพวกผม แต่คงไม่ใช่ว่าพวกผมเป็นผู้ชายทั้งคู่ อาจจะมองพี่วุฒิก็ได้ เพราะแม้จะอยู่ท่ามกลางคนมากมายเช่นนี้ พี่วุฒิก็เด่นแตกต่างจากคนอื่น
ชิงช้าหยุดแล้วเคลื่อนให้ผู้โดยสารลงและเปลี่ยนผู้โดยสารขึ้นไป จนมาถึงผมที่เข้าไปก่อนพี่วุฒิ
กระเช้าค่อยๆลอยขึ้นสูงจนถึงจุดสูงสุด และต่ำลง หมุนไปเรื่อยๆ ท่ามกลางเพลงที่เปิดคลอไป ชิงช้าค่อนข้างโคลงแต่ไม่มาก
“ .................” ผมไม่ได้มองหน้าพี่วุฒิ แต่มองไปด้านข้างไปเรื่อยๆ ในมอมืด แต่ก็มองเห็นไฟที่เปิดในตึกต่างๆ และงานที่เห็นเดินไหลไม่มา แล้วผมก็ เห็นพี่ชนะและพี่แบงค์เดินมารอพวกผมด้านล่างแล้ว
พี่ชนะเห็นผมก็โบกมือ แล้วยังจับแขนพี่แบงค์โบกด้วย ผมยิ้มพร้อมทั้งยกมือโบกตอบกลับไป
“ พอได้เจอมันทำหน้าระรื่น” พี่วุฒิพูด ผมหันไป เอามือลง
“ ตอนนี้ก็ยังมีเยื่อใยกับมันใช่ไหม?” พี่วุฒิถาม ใบหน้านิ่ง ผมก้มลงมองเห็นแหวนที่อดีตพี่วุฒิใส่ไว้ที่นิ้วนางข้างซ้าย ตอนนี้พี่เขามาใส่เป็นสร้อย แหวนวงนั้นด้านในของแหวน สลักคำว่า จุมฟ้า ....
“ ไม่มีครับ” และไม่เคยมี
ที่คอของผมก็มีแหวนแบบเดียวกัน แต่ด้านในเป็นคำว่าวรวุฒิ ครั้งหนึ่งพี่วุฒิกระชากมันออกไปจากคอผม แต่ไม่นานจากนั้นผมตื่นขึ้นมากับร่างกายที่แทบจะแตกเสียให้ได้ สร้อยและแหวนมันก็มาห้อยคออยู่เหมือนเดิม ทั้งวงสีเงินและสีทอง
“ ให้มันจริง!” ตาผมมันร้อนเตือนว่าน้ำตากำลังจะไหลคลอ
“ ครับ”
ชิงช้าหยุดแล้ว พร้อมกับผู้ชายด้านนอกปลดล็อดประตูให้ พี่วุฒิคว้ามือผม พร้อมเดินออกไปก่อน
“ เป็นไงจุมโอเคป่ะ เดี๋ยวพี่ว่าจะมานั่งกับปรางเหมือนกัน” พี่ชนะถามเดินมาหาผมพร้อมพี่แบงค์
“ครับ” พี่แบงค์มองผมแต่ไม่ได้พูดอะไร
“ จะไปลอยกระทงก็รีบไป!”(พี่วุฒิ)
“ อะไรของมรึงวุฒิ ก็เดินงานก่อนดิวะ” พี่ชนะว่า
“ กรูง่วง”
“อย่างมรึงเนี่ยนะง่วงนอนตอน 3 ทุ่มกรูจะบ้า” (พี่ชนะ)
“ เรื่องของกรู!” พี่วุฒิพูดแล้วดึงแขนผมออกมา ผ่านคนที่เริ่มเดินเบียดเสียดกัน
ผมกลั้นหายใจ ไม่ชอบเลยที่ต้องโดนเนื้อตัวคนอื่น มันทำให้ระแวง สับสน ไม่ไว้ใจ
“วุฒิ ทำไมต้องดึงลากจุมด้วยเดินดีๆก็ได้” พี่ชนะเดินตามมาพูด
พี่วุฒิหยุด หน้าร้านขายกระทงที่ตั้งเรียงตามเส้นถนนยาวสัก 100 เมตรได้ แล้วดึงแขนผมไปไปร้านที่ตั้งโต๊ะที่ใกล้ที่สุด
แม่ค้าสวยยิ้มให้พวกผม
“ จะเอาแบบไหนคะ?”
“ เท่าไร?” พี่วุฒิถามแต่เอากระทงใบตองที่มีดอกดาวเรืองจัดใส่จนเต็มใส่มือให้ผม(ใหญ่ที่สุดในร้าน)
“ 150 คะ” แม่ค้าบอก พี่วุฒิให้แบงค์5ร้อยแล้วเดินออกมาเลย
“ พี่ครับ?”
“ อะไร!” เสียงห้วนมาก
“ ไม่เอาเงินทอนเหรอครับ?” ผมบอก หันกลับแม่ค้าวิ่งตามพวกผมมา
“ น้องค่ะ ลืมตังค์ทอน”
“ ไม่เอา!” พี่วุฒิบอก แม่ค้าหน้าซีดไปเลยครับ
“ อันนั้นถือว่าเป็นทิปที่พี่ทำกระทงสวยครับ” ผมบอกแก้ไป
“.................” พี่วุฒิไม่พูดแล้วเดินไปยังท่าน้ำ ที่ทำขึ้นเพื่อเทศกาลลอยกระทงโดยเฉพาะ เป็นท่าน้ำทำด้วยไม้ แต่ต้องค่อยๆเดินนะครับ เพราะคนเยอะอยู่ เลยต้องยืนรอคนที่กำลังลอยให้ลอยเสร็จก่อน
จนพี่ชนะกับพี่แบงค์ตามาถึงพร้อมกระทงขนมปังสีม่วง(พี่แบงค์ถือ)
จากนั้นพวกผมถึงเดินเข้าไป
“ กรูเอาของดีมา”พี่ชนะพูดพร้อมเอากล่องไม้ขีดกระดาษมาจากกระเป๋าอกเสื้อออกมา
“ ตกใจอะดิ ที่กรูมีของดี หายากนะเฟ้ย~” พี่ชนะบอกเอาก้านไม้ขีดออกจากล่องแล้วขีดจุดเทียนและธูปให้ผมกับพี่วุฒิก่อน ตอนนี้มีลมบ้างแล้วผมเลยขยับตัวบังลมครับ พี่ชนะเอามืออีกข้างกันลมให้ด้วย
หลังจากจุดแล้วผมเงยหน้าขึ้น สบตากับพี่แบงค์พอดี ผมหยุดนิ่งโดยไม่ทันคิด
ผมมีเรื่องอยากถามพี่แบงค์ เรื่องรูปในวันนั้นและรูปอื่นๆ
“จะมองกันอีกนานไหม?!” พี่วุฒิพูด พี่ชนะเงยหน้าขึ้นมาจากการจุดธูปกระทงตัวเอง
“ ..............................” (ผม พี่วุฒิ พี่แบงค์ และพี่ชนะ)
“ จะรีบลอยก็ไปลอย มรึงง่วงไม่ใช่หรือไง” พี่ชนะพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่คิดจะจะใส่เล็บและเส้นผมลงในกระทง กรรไกรตัดเล็บที่ผมพกใส่กระเป๋ากางเกงมาก็คงไม่ได้ใช้
“วุฒิ รีบดิ ”พี่ชนะเร่งผมกับพี่วุฒิเลยเดินไปก่อน แต่พี่ชนะกับพี่แบงค์ยืนอยู่ที่เดิม ไม่เดินเข้าไปพร้อมกัน
ไปถึงปลายท่านำผมกับพี่วุฒินั่งลง
“ กลับไปเจอดีแน่”พี่วุฒิพูดให้ได้ยินกันแค่ 2 คน กระทงที่ผมถืออยู่ร่วงจากมือ แต่พี่วุฒิจับไว้ทัน
“ ..............” เจอดีแน่! ผมกลัวแม้จะรู้ว่ามันคืออะไร พี่วุฒิคงจะทำร้ายร่างกายผม และมีอะไรกับผมจนพอใจ..
“ จะลอยก็รีบลอย!” พี่วุฒิบอก ผมรีบเอามือไปจับกระทงกับพี่เขา
“ พี่ครับ”
“ อย่าพูด” พี่วุฒิบอกแล้วเงียบไป
ผมอธิฐานขอให้ทุกสิ่งที่เลวร้ายลอยไปกับสายน้ำ.....
แม้ผมกับพี่วุฒิจะลอยกระทงไปแล้วแต่ผมก็ยังมองตามกระทงไปเรื่อยๆ กระทงที่มีแสงเทียนสว่างท่ามกลางความมืด ให้ความรู้สึกดีมาก เหมือนเติมความหวังให้ชีวิต ไม่นานกระทงที่ลอยไปก็ไปสมทบกับกระทงของคนอื่นๆ
“ กลับ” พี่วุฒิบอกดึงแขนผม
คำพูดพี่วุฒิว่า ‘กลับไปเจอดีแน่’ ทำให้ผมก้าวไม่ออก
“เร็ว หรือจะรอไอ้แบงค์!” พี่วุฒิถาม ผมส่ายหน้าเดินตามพี่วุฒิออกไป ผ่านพี่แบงค์และพี่ชนะ
“ กลับนะครับ” ผมหันบอกยิ้มให้ พี่วุฒิยิ่งบีบแขนผมแรง
พี่วุฒิเดินจ้ำอ้าวที่เหมือนวิ่งเดินมาถึงรถอย่างรวดเร็ว
“ แล้วพี่ชนะกลับยังไงครับ?” ผมถาม เพราะพี่ชนะไม่ได้เอารถมา
ผวักะ!? คือผมโดนตบ มีคนที่จอดรถได้เพิ่งออกจากรถ หันมามองพวกผมทันที เป็นผู้ชายอายุน่าจะรุ่นเดียวๆกับผมและพี่วุฒิ
“ มองอะไร ผัวเมียเขาจะคุยกัน!” พี่วุฒิพูดเสียงดัง ผู้ชายคนนั้นก็เดินไปแต่ไม่เร่งรีบ
“ พี่ตบผมทำไมครับ?” ผมถาม เอามือจับแก้ม....เจ็บ
“ ยังมาถามว่าทำไม
แล้วเมื่อกี้ทำอะไร?!” “ ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ” ผมบอกไม่ได้เจ็บถึงขนาดน้ำตาซึม เพราะชินแล้ว แต่ใจมันเจ็บมาก
“ชะม้ายชายตา
คิดว่าไม่เห็นหรือไง!! คิดว่าจะพยายามอภัย แต่มันก็อีหรอบเดิม”
“ ผมไม่ได้ละม้ายชายตานะครับ” ผมบอกความจริง
“ เถียง!”
ผวักะ!? พี่วุฒิตบผมอีกครั้ง
“ ไอ้วุฒิ!?” พี่ชนะพูดตั้งแต่ยังวิ่งมาไม่ถึงผมกับพี่วุฒิที่ยืนอยู่ข้างรถ
“ นี่มันอะไร ทำไมต้องลงไม้ลงมือ!” พี่ชนะพูด ยืนข้างพี่วุฒิแล้วหันมาจ้องผม พี่แบงค์เองก็เช่นกันแต่พี่แบงค์เงียบ คงไม่อยากยุ่งเพราะมันอาจจะยุ่งมากกว่าเดิม
“ กรูอยากทำกรูก็ทำ”
“ เหี้ยนะมรึงน่ะ กรุนึกว่ามรึงเลิกสันดานนี้ไปแล้ว”(พี่ชนะ)
“ จุมเกิดอะไรขึ้น?” พี่แบงค์ถามผมหลังจากที่เงียบมาตั้งแต่ต้น
“ มรึงเสือกอะไรด้วย ไอ้แบงค์” พี่วุฒิปล่อยมือจากแขนผมแล้วดึงคอเสื้อพี่แบงค์ทันที
“ พี่ครับอย่า!?” ผมบอกรีบไปดึงแขนพี่วุฒิ
“ วุฒิ มีเหตุผลหน่อยดิ ไอ้แบงค์มันก็แค่เป็นห่วง” พี่ชนะบอกดึงแขนพี่วุฒิช่วยผมจนหลุดจากคอเสื้อพี่แบงค์
“ กลับ!!?” พี่วุฒิบอกดึงมือผมไปยังประตูรถอีกด้าน แล้วเปิดประตูให้ ทว่าพี่ชนะมาดึงประตูที่เปิดไว้
“ เดี๋ยวไปหาที่คอนโด”
“ ไม่ต้องไป” (พี่วุฒิ)
“ อย่าทำอะไรจุม ยิ่งทำมรึงก็ยิ่งเจ็บกรูรู้”
“ กรูไม่เจ็บไปมากกว่านี้หรอก”
“ พี่ชนะครับ ไม่มีอะไรหรอกครับ” ผมบอกให้พี่ชนะสบายใจจะได้ไม่ต้องคอยเป็นห่วง และอาจจะทะเลาะกันเรื่องผมอีกก็ได้
“ เห็นไหม เมียกรูบอกว่าไม่มีอะไร”
“ ที่มรึงทำ เขาไม่เรียกว่าเมีย วุฒิ! ” พี่ชนะเสียงดังขึ้น
“ แล้วเขาเรียกว่าอะไร มรึงรู้ก็ช่วยบอกกรูด้วย เพราะกรูก็ไม่รู้” พี่วุฒิบอกผลักผมให้เข้าไปนั่งในรถ
“ อะ ไร ก็ ตาม แต่ วุฒิ อย่า ใช้ กำ ลัง ” พี่ชนะพูดทีละคำเสียงเบาลงจากเมื่อกี้
“ ทำไงได้ คนมันวอนโดนเอง”
“ กรูไม่เห็นว่าน้องเขาจะวอนตรงไหน!” “ มรึงทำไมห่วงขนาดนี้ชนะ เมียมรึงก็ไม่ใช่ หรือว่าอยากเอามันอีกคน” “ ไอ้วุฒิ!” พี่ชนะว่าผลักอกพี่วุฒิ
“ กรูเป็นห่วงน้องเขาเหมือนน้องชาย มรึงอย่าหาเรื่องจะดีกว่า ทุกอย่างมันเริ่มจากมรึง!” “
พี่ครับ!?” ผมออกมาจากจากรถ ห้ามพี่ชนะที่ยกมือจะต่อยพี่วุฒิ
“ อย่าครับ !ผมไม่เป็นไรจริงๆ” ผมบอกไม่อยากให้มีเรื่อง
“ อย่านึกนะว่าพี่ไม่รู้จุมว่าที่ใส่เสื้อแขนยาวมันเพราะอะไร เมื่อก่อนตอนที่จุมเรียนที่เดียวกับพวกพี่ก็ใส่แบบนี้แหละ แต่จุมคงจำไม่ได้!” ผมจำได้ทุกอย่างจำได้ดี แต่ไม่อาจนึกถึงมัน
“ ผมไม่เป็นไรจริงๆครับ” ผมปั้นหน้าบอก
“ หน้าเหมือนจะร้องไห้ แล้วยังบอกไม่มีอะไร
มีอะไรก็พูดออกมาเซ่! จะขอร้องให้ช่วยก็บอกจะช่วย!” พี่ชนะฝ่ายตะคอกผมกลับ มือผมปล่อยจากแขนพี่เขา หันไปมองพี่วุฒิที่ยักยิ้มสมเพช?
“ จุม ไม่ต้องกลัวนะ พวกพี่พร้อมจะช่วย” พี่แบงค์พูดบ้าง ผมส่ายหน้า
“ ไม่ต้องครับ ไม่ต้องช่วย ผมไม่ได้เป็นอะไร” ผมผิดเอง ผมโดนแบบนี้ก็สมควรแล้ว
“ จุมโง่ หรือบ้า หรือไม่มีความรู้สึกห๊ะจุม?!” (พี่ชนะ)
“ พวกกรูก็อยู่กันแบบนี้แหละ” พี่วุฒิบอกเดินมาหาผม แต่พอจะถึงตัวผมกลับยกเท้ายันตัวผมจนล้มลงไป
ตุบ! “ ไอ้วุฒิ!?” พี่แบงค์ดิ่งเข้าไปหาพี่วุฒิแล้วถีบพี่วุฒิเต็มแรง แต่พี่วุฒิแค่เซ พี่แบงค์เลยตามไปต่อยพี่วุฒิแทน
ผวักะ! ผมยันตัวลุกขึ้นวิ่งเข้าไป
“ พี่แบงค์อย่าครับ!?” ผมขอร้อง เพราะพี่แบงค์จะต่อยอีก โดยที่พี่วุฒิไม่สู้เลยตั้งแต่คราวพี่ชนะแล้ว
“ อย่าครับ จะต่อยพี่วุฒิ ต่อยผมเถอะ” ผมบอก พี่แบงค์หันมาจ้องผมเขม็งสายตาบ่งบอกว่าพี่เขามีเรื่องสงสัยเต็มไปหมด
“ นะครับพี่อย่าทำพี่วุฒิ ฮือๆ” พี่แบงค์ปล่อยมือจากคอเสื้อพี่วุฒิในที่สุด
“
จุม มันทำจุมขนาดนี้ แล้วยัง!?” (พี่แบงค์)
“ พี่ผมผิดเอง ผมผิดที่ทำให้พี่วุฒิไม่พอใจ ที่พี่เขาจะโกรธผม ถ้าพี่วุฒิทำร้ายผมแล้วพี่เขาหายโกรธไม่เป็นไรหรอกครับ”
“ ดีหรือโง่มันต่างกันนะจุม!?” (พี่ชนะ)
“ ผมโง่ก็ได้ครับ”
“ เออ จะเอายังไงก็ตามใจ พี่ไม่ยุ่งด้วยแล้ว อยากเป็นกระสอบทรายก็ตามใจ!!” พี่ชนะพูดเสียงดัง
“ แบงค์เรากลับ กรูไม่อยากให้ปรางรอนาน !!” พี่ชนะว่าเดินกลับไปทางที่เดินมา
“ ส่วนมรึงก็ไปได้แล้ว แบงค์” พี่วุฒิบอกจ้องมองพี่แบงค์ ......
“ ................” พี่แบงค์หันมามองผม ไม่พูดอะไรแต่สายตาพี่เขาบ่งบอกว่าอยากให้ผมพูดอะไรบ้าง ผมหันหน้าหลบ เป็นการบอกให้พี่แบงค์ไปเถอะ
“ ..........................”
พี่แบงค์เดินผ่านหน้าผมไปเหมือนคนหมดแรง ...
“ กลับได้แล้ว
อาลัยอาวรณ์อะไรกันหนักหนา!” พี่วุฒิบอกเดินไปเปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่งรอผม
“ .................”
ผมเอามือทั้ง 2 ข้างเช็ดน้ำตา แล้วรีบตามเข้าไป
“ ที่พี่บอกว่ากลับไปแล้วเจอดีแน่ พี่เปลี่ยนใจแล้ว...เป็นได้เจอเลวแทน” ผมก้มหน้าเหมือนเดิม ไม่ได้เงยหน้าขึ้น เพราะแค่ได้ยินเสียงไม่เห็นหน้าผมก็ตัวสั่นเหมือนเป็นไข้หนัก
“ .....................”
** ** ** **
ใกล้จบเต็มทีท่าน
ฝาก
ฝาก
บุพเพวายร้าย (แซนวิช)
^^~
ปล.คำผิดท่านกระต่ายชมจันทร์ ท่านSakin ท่านriver และ ท่านChae