ตอนพิเศษที่ 4 หลวงพระบาง Episode I
“ตองหมวกไปไหนทำไมไม่ใส่” เอาแล้วไงครับ ระหว่างยืนรอเรืออยู่ที่ท่าเรือเชียงของ แค่ตอนนี้เป็นหน้าหนาวแล้วน้ำค้างลงนิดหน่อยเอง ไอ้ตองก็โดนดุแล้วล่ะครับ คงเป็นแบบนี้ทุกคนเนาะมีแฟนแก่เนี่ย อ๊างงงง
“อยู่ในกระเป๋าอ่ะ”
“หมวกอ่ะซื้อให้ก็ใส่ดิ เดี๋ยวน้ำค้างลงก็เป็นหวัดอีก” เห็นไหมครับบ่นยิ่งกว่าแม่กับยายผมรวมกันซะอีก แต่ผมรู้นะครับที่อิลุงมันบ่นอ่ะ เขาไม่อยากให้ผมเป็นหวัด เพราะขี้เกียจมาดูแล ฮ่า ๆ
“มันอยู่ในกระเป๋าอ่ะ ขี้เกียจล้วงมาใส่”
“หันหลังมา อยู่ในกระเป๋าหน้าใช่ไหม”
“ครับ ล้วงไประวังงูกัด เออ พี่แบงค์พาสปอร์ตตองอยู่กับพี่ใช่ไหมอ่ะ” เดินทางไปหลวงพระบางจำเป็นต้องใช้พาสปอร์ตเพราะว่าการใช้บัตรผ่านแดนชั่วคราวนั้นใช้ได้เฉพาะแขวงเท่านั้นไม่สามารถข้ามแขวงไปไกลขนาดหลวงพระบางได้
“อ่า ใช่ อ่ะ ใส่ซะหมวกอ่ะ”
“ใส่ให้หน่อย”
“ใส่หมวกก็ขี้เกียจ”
“ขอบคุณครับ ฮ่า ดูดิมีไอออกจากปากเลยอ่ะ พี่แบงค์ทำดิ๊” หน้าหนาวเช้านี้อากาศหนาวมาก จนมีไอออกจากปากไอ้ตองก็หายใจออกทางปากแรง ๆ ให้มันมีไอน้ำขึ้นมา สนุกดีออก
“หึ ปัญญาอ่อน”
“เฮีย พี่ตองหันมาหน่อย” ไอ้บูมตากล้องประจำครอบครัวเรา พอมีอาวุธอยู่ในมือก็ถือส่องนั่นส่องนี้ไปเรื่อย ไอ้ตองไม่เห็นจะอยากได้อาวุธในมือเลย อยากได้อาวุธประจำกายมากกว่า อ๊างงงง
“พี่ตองเรือยังไม่มาอีกเหรอ”
“ไม่รู้อ่ะ พี่เขาบอกเรือมา 7 โมงนี่ ตอนนี้ก็จะ 7 โมงครึ่งแล้วยังไม่เป็นสักลำเลย” เราออกจากบ้านผมที่เชียงรายมาตอนตี 3 ใช้เวลาเดินทางมาถึงท่าเรือเชียงของ 3 ชั่วโมงมาถึงก็เช้าพอดี เมื่อคืนทุกคนนอนก็เหมือนไม่ได้นอน เพราะตีสองก็ต้องตื่นมาเตรียมตัวกันแล้ว ไอ้ตองก็ไม่ได้นอนเพราะโดนกวนทั้งคืน อ๊างงงง
“นู่นเปล่าพี่ตอง”
“อันนั้นมันเรือขนำยนต์ เอาไว้ขนรถสิบล้อ”
“ถ้าได้นั่งเรือลำนั้นไปมีหวังกรอบตาย หลังคาก็ไม่มี โดนแดดเผาตั้งแต่ครึ่งทางแล้วก็ไม่รู้”
“หรือว่าเขาจะให้พายเรือไปเองวะ”
“เฮียพายนะ เดี๋ยวเราสามคนนั่งไป”
“เรื่องไรกูพายให้เมียกูนั่งคนเดียว” อ๊างงง อ๊างงง อ๊างงง อาย เขิน ม้วนต้วน อธิบายไม่ถูกกับประโยคนี้ เหมือนโลกกลายเป็นสีชมพูแล้วก็หยุดหมุนไปในทันทีเมื่อเอ่ยประโยคนี้ออกมา อ๊างงง กูร้ากเมิงงงง อิลุง
“โห่ ตั้งแต่โดนหลอกว่าพี่ตองมีกิ๊กนี่เอาใจกันใหญ่เลยนะเฮีย”
“อ๋อ งี้นี่เอง เช็คโทรศัพท์พี่เหลือเกิน เล่นอะไรกันไอ้สองคนนี้” ไอ้ตัวน้องมันไปหลอกอิลุงว่าไอ้ตองมีคนเข้ามาเกาะแกะ อิลุงก็เชื่อก็เช็คโทรศัพท์ผมใหญ่เลย ไปรับไปส่งไม่ให้คลาดสายตา ก็ถึงว่าทำไมมันอบอุ่นขึ้นแบบแปลก ๆ ที่แท้เป็นแผนของไอ้ตัวน้องนี่เอง มันน่าลากคอมาหอมแก้มทั้งสองคนจริง ๆ อ๊างงง
“นั่นไง กูว่าแล้ว มันตงิด ๆ ไอ้ตองมันจะไปมีใครได้ มันรักพี่จะตายใช่ไหมตอง”
“ไม่รู้อะไรซะแล้วพี่เขยกู” อ้าว ไอ้ต้นไฟเขากำลังจะมอด ไอ้นี่ก็สาดน้ำมันเข้าไปอีก ขยันหางานให้พี่มึงจริง ๆ รักกูกันจริง ๆ
“หือ ตองจริงอ่ะ”
“ไม่นะตองเรียบร้อย”
“เรียบร้อยโรงเรียนจีนอ่ะเด่ะ ต้องให้เล่าไหมวันนั้นไปกินหมูจุ่มกับใคร” ก็แค่คนรู้จักกันเท่านั้นเอง ไอ้ต้นมันก็ใส่ไฟ อยากให้กูโดนฆ่าตายริมฝั่งแม่น้ำโขงหรือไงฟร่ะ “ดับอนาถนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดัง ไม่บอกว่า ม.ช. ถูกเกย์คู่ขาฆ่าทิ้งริมแม่น้ำโขง ตำรวจสันนิษฐานว่า ฆ่าเพราะหึงหวง เนื่องจากผู้ตายหน้าตาดีมีชายหนุ่มมาติดพันอยู่ตลอดเวลา ทรัพย์สินของผู้ตายก็อยู่ครบทุกรายการ สิบเวรรับเรื่องแล้วก็ลงบันทึกประจำวันเอาไว้”
“เล่าดิ๊ต้น”
“ให้เจ้าของเรื่องเล่าเองดิ”
“ไรวะ ไป ๆ มา ๆ มาลงกับตอง”
“ทุกคนครับ ทยอยลงเรือกันเลยนะครับ ตรวจสองสัมภาระให้ดีนะครับ เดี๋ยวเราจะนั่งเรือข้ามฟากไปท่าเรือบัคฝั่งบ่อแก้วนะครับ” แล้วระฆังช่วยชีวิตก็ดังขึ้น ต้องขอกราบขอบพระคุณพี่ไกด์ไว้ ณ ที่แห่งนี้ด้วยที่ทำให้ไอ้ตองไม่ต้องตกเป็นจำเลยของการกินหมูจุ่มในครั้งนั้น ว่าแต่ถ้าพี่เขาจีบ ไอ้ตองก็พร้อมจะเก็บไว้เป็นกิ๊กอีกคนนะ อ๊างงงง
“เฮ้ย เรือนี้จริง ๆ เหรอ มันจะไปถึงหลวงพระบางจริง ๆ เหรอเนี่ย” ไอ้บูมมันหมายถึงเรือเร็วข้ามฝากที่นั่งได้ 10 อ่ะครับ เรือยาว ๆ คล้าย ๆ กับเรือที่วิ่งในบางกอกนั่นแหละครับ
“ควายบูมเขาบอกนั่งเรือนี้ข้ามฝากไปนั่งเรือที่ฝั่งลาวนู่น” การเดินทางไปหลวงพระบางเนี่ย มีหลายหนทาง จะเดินทางอีสานก็ได้ หรือจะขึ้นเครื่อง ก็ได้ แต่ครอบครัวเราเลือกนั่งเรือครับ
“ก็กูไม่ได้ฟัง กูถ่ายรูปอยู่ นี่ ๆ มึงเห็นไหม กูถ่ายแคนดิดมึง”
“โห หน้างอชิบหายเลยกู แหวะ กูจะอ้วก ดูรูปนี้เด่ะ ผัวสวมหมวกให้เมีย หวานจนเลี่ยน” เฮ้ย เหมือนรู้สึกว่าโดนพาดพิงยังไงไม่รู้แฮะ เอ๊ะ หรือจะใช่วะ
“น่ารักจะตาย มึงสวมให้กูมั่งดิต้น”
“มึงจะบ้าหรือไง สวมหมวกสองใบ”
“เออ กูลืม ก็อยากหวานเหมือนเขาบ้าง”
“ไปเด็ก ๆ ลงเรือ” พ่อพี่แบงค์มาเรียกให้พวกเราไปลงเรือกันได้แล้วหลังจากที่พวกเราอ้อยอิ่งกันมานาน
“พี่แบงค์ไปประคองยายไป๊”
“ตองดูของด้วยนะ”
“ครับ”
“พี่ตองถ่ายให้หน่อยดิ”
“มา ๆ”
“ไม่นับเลยพี่ตอง”
“หมดยุคนับแล้วว้อย ไปลงเรือ”
“ไม่มีของอะไรเหลือแล้วใช่ไหม”
“ต้นกูกลัว” สงสัยไอ้บูมมันคงจะไม่เคยลงเรือ ไอ้ตองก็ยังไม่ชินหรอกครับ มันโคลงไปโคลงมา น่ากลัวออก
“กลัวเชี่ยไรอีก มีกูอยู่ทั้งคน”
“มึงจะช่วยอะไรกูได้”
“อย่างน้อยกูก็ไม่ยอมให้มึงจากไปต่อหน้าต่อตาหรอกน่า” อ๊างงง อ๊างงง อ๊างงง กูจะบร้าตายยย กับไอ้สองคนนี้
“เอ่อ ขอโทษนะครับคุณน้องทั้งสอง พวกมึงจะสวีทกันอีกนานไหมครับ”
“เหวอ เรือโคลง”
“โห เสียงดังชิบหายเลย หูกูจะดับไหมวะ”
“หูย น้ำโขง”
“กินแล้วจะเมาป่ะวะ”
“มึงลองกินดูดิ รับรองตายตั้งแต่ยังไม่ได้ไปหลวงพระบางเลยคอยดู”
“เย้ย น้ำกระฉอก”
“บูม ถ่ายกูกับพี่ตองให้หน่อยดิ”
“พี่ตองหันมา”
“เฮ้ย ถึงแล้วเหรอหลวงพระบาง ไหงมันใกล้แบบนี้วะ”
“แถวนี้เขาเรียกแขวงบ่อแก้ว อยู่ทางเหนือของหลวงพระบาง”
“โห ข้อมูลเป๊ะ”
“มันก็ต้องศึกษาไว้ก่อนบ้างดิ”
“เห็นไหมพี่กู เจ๋ง” ดีมากไอ้ต้นเราต้องสนันสนุนผลิตภัณฑ์ในครอบครัว อวยกันเข้าไว้ ไทยเจริญ
“พี่กูเจ๋งกว่า”
“เจ๋งกว่ายังไง มึงบอกมาดิ๊”
“อ้าว ไม่เจ๋งกว่ายังไง มึงคิดตามกูนะ มึงบอกว่าพี่มึงเจ๋งใช่ไหมต้น กูว่าพี่กูเจ๋งกว่าว่ะ เพราะเอาพี่มึงทำเมียได้”
พอเรือเข้าเทียบฝั่งบ่อแก้วได้แล้ว ไอ้ตองก็ยืนมองกลับไปยังแผ่นดินแม่อันเป็นแผ่นดินเกิด เมืองไทยอันเป็นพื้นที่ซุกหัวนอน ดินแดนที่มีพระคุณล้นหัวมาตั้งแต่ปู่ย่าตาทวดถ้วนทั่วทุกตัวคน เป็นพื้นที่อิงแอบอาศัยทำกิน เมื่อคราวนี้ต้องระเห็จออกจากแผ่นดินอันเปรียบเสมือนดังอ้อมกอดของแม่ ก็ทำให้รู้สึกเหงาใจอย่างประหลาด ก็บ้านเรานี่นา อย่างไรเสียก็ไม่มีที่ไหนประเสริฐไปกว่าเมืองไทยอันเป็นบ้านเกิดของเราอีกแล้ว พูดแล้วรักเมืองไทยจัง อ๊างงง โหมดไอ้ตองรักชาติ
ขึ้นฝั่งได้พี่ไกด์ที่ดูแลรับผิดชอบพวกเราก็บอกให้เดินขึ้นไปประทับตราเข้าเมืองที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของฝั่งบ่อแก้ว ขอบ่นไว้ ณ ที่นี้หน่อยว่า บันไดจะสูงไปไหนครับพี่เจ้าหน้าที่คร้าบ กลัวน้ำโขงเอ่อขึ้นมาท่วมหรือไงครับ เมืองจีนเขาไม่ปล่อยน้ำมาท่วมหรอก เขาสร้างเขื่อนกักน้ำเอาไว้แล้ว ให้ตายยังไงมันก็ไม่เอ่อมาท่วมแน่นอน อุ้ย ไหงลามไปเรื่องการเมืองได้เนี่ย
เสร็จสรรพจบสิ้นกระบวนความแล้วพวกเราก็ต้องเดินหอบสัมภาระทั้งหลายทั้งมวลเดินขึ้นเนินไปอีกราว 150 เมตร ก็ไกลโขอยู่สำหรับพวกที่ไม่ค่อยเดินไปไหนมาไหนเป็นกิจวัตรอย่างไอ้ตอง พี่ไกด์ที่ทราบชื่อภายหลังว่า “พี่บอย” ก็จัดแจงพวกเราให้นั่งรถสองแถวขนาดเล็กเพื่อต่อรถไปยังท่าเรือบัค ทำไมมันยากเย็นแสนเข็ญขนาดนี้ก็ไม่รู้นะแต่ก็เอาวะ นาน ๆ จะได้เที่ยวที แค่นี้ไม่ตาย ระหว่างที่นั่งรถสองแถวไปท่าเรือบัคนั้นก็ผ่านโรงพยาบาลบ่อแก้วแล้วเห็นตราประจำพระองค์ของสมเด็จพระเทพรัตนฯ
“เจ้าเป็นคนไทยรู้จักพระเทพฯบ่อ” คนขับรถถามผมเมื่อรถกำลังแล่นจากท่าเรือเล็ก ไปยังท่าเรือบัค
“อ๋อ รู้จักครับ พระเทพฯทรงงานหนักมากเลย”
“ทรงงาน อิหยัง” ลุงแกคงไม่เข้าในราชาศัพท์ ก็ผิดที่ไอ้ตองเองแหละครับ
“อ๋อ หมายถึงพระเทพฯทำงานหนักมากเลยอ่ะครับ”
“แม่น คนเมืองหลวงฮักพระเทพฯหลาย” คนที่นั่นเขาจะเรียกตัวเองว่า คนเมืองหลวง หมายถึง คนเมืองหลวงพระบางนั่นเองครับ
“คนไทยก็รักท่านเหมือนกัน”
“ท่านมาเมืองลาวบ่อย คนหลวงพระบางเลยฮักท่าน ท่านสร้างโฮงหมอ สร้างโฮงแต้ม หื้อหมู่เฮา” โฮงหมอ คือ โรงพยาบาล โฮงแต้ม ก็คือ โรงเรียนนะครับ
“แล้วรู้จักในหลวงไหมครับ”
“ฮู้จักอยู่ เจ้าฟ้าเมืองไทย คนเมืองหลวงฮักหมดเลย”
“ผมก็รักในหลวงเหมือนกัน”
แม้จะเป็นแค่บทสนทนาเพียงสั้น ๆ แต่มันก็สื่ออะไรให้เห็นหลาย ๆ อย่าง ความจงรักภักดีที่ฉายออกมาทางแววตาของชายวัยกลางคนผู้นั้นเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ แม้ท่านจะเป็นเจ้าฟ้าต่างด้าวท้าวต่างแดน แต่เขาก็เคารพด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ “คนไทยโชคดีหลายที่มีเจ้าฟ้า” ไอ้ตองโหมดรักในหลวง เมื่อมาถึงท่าเรือบัคพวกเราก็ต้องขนของลงตลิ่งไปอีก มิน่าทางบริษัททัวร์เขาถึงแจ้งมาว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าเอากระเป๋าลากมาด้วย ด้วยเหตุผลเช่นนี้แล ก็ตลิ่งเขาไม่ได้เป็นพื้นคอนกรีตอย่างดีทุกที่นี่ครับ การเดินทางต้องอาศัยความคล่องตัว
“ขนสัมภาระลงใต้ท้องเรือเลยนะครับ เรือของเราธงสีเขียวนะครับ”
“หูย เรือแบบนี้เหรอ นึกว่าเป็นเรือเล็ก ๆ ไม่งั้นดำตาย”
“บูม ลูกป้าบูมชื่ออะไรนะ ไม่ชวนเขามานั่งด้วยอ่ะ” ผมเห็นน้องเขาอยู่กับป้าพี่แบงค์แจไม่ไปไหน คงเบื่อพิลึก
“ชื่อนัท ชวนแล้วพี่แกคงอาย”
“กูหล่อไง เขาเลยอายกู” ไอ้ต้นนี่ก็กล้าพูดเนาะ แต่ด้วยความที่เป็นน้องสุดที่รัก ก็ยกโทษให้ เพราะพี่มันก็หล่อเหมือนกัน อ๊างงงงง
“ถุย กูจะอ้วก”
“เอาของลงแล้วก็นั่งกันได้เลยนะครับ โต๊ะละ 4 ท่าน”
“โห โต๊ะเหมาะกับการเล่นไพ่เหลือเกิน”
“8 โมงแล้วจะไปถึงหลวงพระบางกี่โมงว่ะ”
“ตี 4 พรุ่งนี้แน่เลยกูว่า”
“เอาละนะครับ ก่อนอื่นก็ขอสวัสดีอย่างเป็นทางการอีกรอบนะครับ ผมบอยนะครับจะดูแลลูกทัวร์ทุกท่านตลอดการเดินทางไปหลวงพระบางในครั้งนี้นะครับ เราจะเดินทางไปกับเรือลำนี้ล่องไปกับแม่น้ำโขงเป็นระยะทาง 800 กว่ากิโลเมตร ใช้ระยะเวลาประมาณ 12 ชั่วโมง ไปถึงหลวงพระบางนะครับ ระหว่างทางไปหลวงพระบางท่านสามารถชมทิวทัศน์ธรรมชาติอันงดงามได้ตลอดสองข้างทางซึ่งผมจะแนะนำให้ท่านลูกทัวร์ฟังเป็นระยะ ๆ นะครับ ระหว่างนี้หากท่านใดสนใจจะร้องเพลงคาราโอเกะ ก็เชิญด้านหน้าเลยนะครับ” พี่ไกด์ของเราขึ้นมาแนะนำตัว เมื่อเรือออกไปได้สักระยะหนึ่ง
“เล่นไพ่ได้ไหมค่ะ น้องไกด์” เสียงป้าคนไหนสักคนดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ก็เป็นธรรมดาแหละครับ การเดินทางที่อาศัยเวลา นาน ๆ ก็ต้องมีกิจกรรมฆ่าเวลากันบ้าง
“ได้ครับ สนใจเดี๋ยวผมเป็นเจ้ามือเองครับ”
“ฮิ้ววววว” เสียงโห่รับกันเกรียวกราว ตอนแรกไอ้ตองก็คิดว่า พี่เขาจะห้ามจะปรามซะอีก ที่ไหนได้เป็นเจ้ามืออีกต่างหาก
“ลูกทัวร์ท่านใดสนใจเข้าคอร์สเรียนคิดเลขเร็ว เชิญด้านหลังเรือเลยนะครับ”
“ยายว่าไงมั่ง” พี่แบงค์หลานรักของยายผม เป็นคนดูแลยายผมอย่างเบ็ดเสร็จงานนี้ไอ้ตองตกกระป๋องครับงานนี้
“ก็ไม่เห็นว่าไง หนาวไหมเรา” มีไอน้ำโผล่ลอยขึ้นมาจากน้ำโขงทำให้มีหมอกลอยอยู่เต็มลำน้ำ ลมเย็นเฉียบปะทะผิวหน้าก็ทำให้หนาวสะท้านเอาง่าย ๆ ได้เหมือนกัน
“ไม่หนาวเท่าไหร่ ก็พอทนได้ เดี๋ยวสาย ๆ ก็คงร้อนแล้วแหละ”
“เดี๋ยวเรือเราจะเล่นผ่านภูชี้ฟ้าด้วยนะครับ เราจะมองเห็นผู้ชี้ฟ้าทางฝั่งลาวกัน เดี๋ยวพอใกล้จะถึงผมจะเรียนให้ทราบอีกทีนะครับ”
เราสองครอบครัวมากัน 12 คน ทั้ง ตา ยาย พ่อแม่พี่แบงค์ พ่อแม่ผม พี่แบงค์ ผม ไอ้ต้น ไอ้บูม แล้วก็ป้าพี่แบงค์และลูกชาย แบ่งกันนั่งได้ 3 โต๊ะพอดี นั่งแบ่งเป็นบ้านใครบ้านมัน พวกเด็ก ๆ ก็มานั่งด้วยกันเว้นเสียก็แต่น้องนัทที่ไม่มานั่งด้วยก็คงอาย เพราะยังไม่สนิทกัน
เรือก็แล่นไปเต็มกำลังเครื่องยนต์ของเรือ ผ่านทิวทัศน์ที่สวยงามมากมายตามการรังสรรค์ปั้นแต่งของธรรมชาติ ทั้งภูชี้ฟ้าที่ใหญ่เงื้อมง้ำค้ำฟ้า ป่าไม้ที่สวยงามของฝั่งลาวที่ดูเหมือนจะอุดมสมบูรณ์กว่าป่าไม้บ้านเรามาก เมืองที่คนกรุงเรียกเขาว่าบ้านป่าเมืองเถื่อนหากแต่เขาร่ำรวยด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ใช่เหมือนบ้านเรา เมืองที่ขนานนามกันว่า เมืองฟ้าอมรสมเป็นนครมหาธานี แต่กลับยากจนด้วยทรัพยากรธรรมชาติอันเปรียบเสมือนแก้วมณีมีค่ายิ่งกว่าสมบัติพัสสถานใด ๆ บนโลกนี้
แล้วก็สุดสิ้นด่านแดนเขตเมืองไทยที่แก่งผาได อำเภอเชียงของจังหวัดเชียงราย ขณะนี้น้ำโขงได้ไหลเลาะเรื่องเข้าไปในแผ่นดินล้านช้างร่มขาว สัญลักษณ์หนึ่งที่ทำให้ทราบว่าได้พ้นเขตประเทศสยามไทยของเราไปแล้วก็คือ ธงชาติลาว และสัญญาณโทรศัพท์ของเมืองไทยที่ค่อย ๆ หายไปพร้อมกับระยะทางที่เราพ้นเขตประเทศไทยมานั่นเอง
ลักษณะภูมิประเทศก็เปลี่ยนไปด้วย จากลำน้ำโขงที่ราบเรียบไม่มีแก่งหินโสโครกใดผุดโผล่ขึ้นกลางลำน้ำ หากแต่เมื่อล่วงล้นพ้นเข้ามายังเขตเมืองล้านช้างแล้วลำน้ำโขงกลับเชี่ยวกรากดุร้าย ด้วยมีแก่งหินผุดโผล่อยู่ตลอดลำน้ำ ดูน่ากลัวและอันตรายยิ่ง แต่ก็ยังประโยชน์ให้แก่ชาวประมงท้องถิ่นได้เป็นที่อิงแอบแนบอาศัยทำกินชาวบ้าน ตลอดสองข้างทางยังอุดมไปด้วยป่าไม้ สลับกับบ้านคนเป็นระยะ พาลทำให้คิดไปว่า เอ ฉันใดหนอ คนบ้านเขานี้อยู่ร่วมกับป่าได้ โดยไม่ต้องเบียดเบียน กับอิงอาศัยเกื้อกูลกันไปอย่างเป็นมิตร แล้วฉันใด บ้านเราไม่เป็นฉันนี้ ตลิ่งทรายที่ถูกน้ำโขงพัดมากองไว้ริมตลิ่งเมื่อถูกคลื่นจากเรือไปกระแทกก็พากันทลายตัวลงมาเหมือนหน้าผาน้ำแข็งในสารคดีธรรมชาติหักแตกลงฉันใดก็ฉันใด ดูตื่นตาและตื่นใจอย่างยิ่ง
ไม่ชั่วแต่ไอ้ตองเท่านั้นที่ตื่นตาตื่นใจกับธรรมชาติที่เห็น ผู้คนในเรือที่มีมากกว่า 40 คนก็มหัศจรรยใจกับธรรมชาติที่เห็นตรงหน้าเช่นเดียวกัน นี่แหละหนาการหย่อนใจได้พบเจอสิ่งที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็นมาก่อนก็ย่อมจะตื่นเต้นเป็นธรรมดา ไอ้บูมล้วงเอาโน้ตบุคที่แบกมาด้วยจากเชียงใหม่ขึ้นมาเล่นเกมฆ่าเวลา ไอ้ต้นก็คว้าเอากล้องไปถ่ายรูปทั้งสองฟากฝั่งเก็บไว้เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่ง ได้เคยมาเยือนที่แห่งนี้ พี่แบงค์ก็หยิบเอาเครื่องอำนวยความสะดวกทางด้านเสียงเพลงมาให้ความบันเทิงใจ ลูกทัวร์บางส่วนก็เล่นคิดเลขเร็วอยู่ด้านหลังเรือ 2-3 วง ด้านหน้าเรือก็มีคุณลุงคุณป้าไปขับร้องเพลงอย่างไม่ขาดจังหวะ ต่างคนต่างมีกิจกรรมเป็นของตัวเอง ใบหน้าเจือไปด้วยรอยยิ้มด้วยความสุข คุณตาคุณยายที่ดูจะมีความสุขกับธรรมชาติมากก็ชี้ชวนกันดูธรรมชาติสองข้างทางอยู่ตลอดเวลา
เก้าโมงเช้าอาหารเช้าโดยแม่ครัวชาวลาวก็ถูกเสิร์ฟ เป็นอาหารมื้อแรกของทริปนี้ มีน้ำพริกกะปิ ผักลวก ไข่เจียว แล้วก็ปลาทูทอด ข้าวผัดที่ใส่หอมมันซะเยอะเชียว (อาจไม่เยอะสำหรับคนอื่น แต่เยอะสำหรับไอ้ค้นไม่กินพืชตระกูลหอมอย่างไอ้ตอง) รสชาติอร่อยของอาหารก็ทำให้ไอ้ตองจัดการอาหารที่วางตรงหน้าไปเสียไม่น้อย จนถูกพี่แบงค์แซวว่าทีอาหารไทยไม่เห็นจะกินเยอะขนาดนี้ ไอ้ตองก็ได้แต่เถียงข้าง ๆ คู ๆ ไปว่า นี่ก็อาหารไทยเหมือนกันนี่นา
“ตองดูเด็กสิ”
“หูย น่ากลัวเนอะ ตกมาแล้วจมน้ำแน่เลย” เด็กน้อยอายุไม่กี่ขวบไม่มีอาภรณ์ท่อนล่างปิดพันกาย เดินมาเล่นตรงโขดหินริมลำน้ำโขงจนทำให้หวั่นว่าจะตกลงมาไหม
“เขาคงชินแล้วมั้งบ้านเขาอยู่แถวนี้นี่นา”
“แต่น้ำเชี่ยวมากเลยนะแถวนี้ มันจะมีปลาเหรอเนี่ย”
“คงมีปลาที่อยู่ตามโขดหินแหละกูว่า” ชาวประมงท้องถิ่นก็หาปลาแถวริมน้ำโขงนี้แหละประทังชีพ ใช้เครื่องมือลักษณะคล้าย กับอวนผูกติดกับปลายไม้ไผ่แล้วก็เอาขวางลำน้ำไว้ ดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
“กลางคืนจะมีไฟฟ้าใช่ป่ะว่ะ”
“ไฟฟ้าจะมีแต่ในตัวเมืองแหละ บางเมืองก็จะมีกำหนดปิด อย่างปากแบงก็จะมีปิดตอน 4 ทุ่ม”
“เป๊ะ อีกแล้วพี่กู”
“มากับไกด์ตองไม่ต้องกลัวหลง”
“แต่เรื่องนำทางอย่าไว้ใจไอ้ตอง นำทีไรหลงตลอด”
“เขาบอกว่าไปไหนให้หลงจะได้จำทางได้ไง”
“แต่หลงที่หลวงพระบางไม่ดีนะ เดี๋ยวกลับมาไม่ได้”
“ต้นมึงไปยืนอะไรตรงนู้นว่ะ”
“ควาย นั่นมันมึง” ไอ้สองน้องเริ่มกัดกันเองแล้วไง มันเห็นควายยืนอยู่ริมสวนข้าวโพดที่ปลูกไว้บนหาดทรายริมน้ำโขง ก็ชี้โบ้ยชี้บ้ายโยนให้กันเป็นควาย
“ถ้ากูควายมึงก็ควายเหมือนกันแหละ แล้วนี่ก็พี่ควาย”
“อย่าเอากูไปเกี่ยวกับเรื่องควาย ๆ ของพวกมึง ใช่ไหมตอง”
“อือ คงงั้น เพราะตองเป็นนกยูง”
“ทัวร์นี้มากับคนไข้ศรีธัญญาป่ะว่ะ”
“ง่วงง่ะ”
“เออ เพิ่งสังเกตใส่เสื้อเหมือนกันหมดเลย”
“เออ ใช่ ดูดิโปโลเหมือนกันหมดเลย สี่คนสี่สี ฟ้า ชมพู เขียว เหลือง” พักหลังนี้เหมือนชอบทำอะไรเป็นทีม กลัวเขาไม่รู้ว่ามาด้วยกัน
“ดีนะเว้ย ไม่ใส่กันทั้ง 12 คน 12 สี เอาให้เหมือนสีไม้ตราม้าเลย”
“ไอ้ต้นมึงจะมุดไปทำไมใต้โต๊ะว่ะ”
“ฮ้าว กูง่วงกูจะนอน”
“เออ นอนด้วยคน เจ๋งว่ะที่นอน”
“ตองง่วงไหม”
“ง่วงครับ”
“นอนตักพี่มา”
“เฮ่ย เดี๋ยวคนก็เห็น”
“จุ๊บหน่อยเดียวเอง”
“มาให้ตองจุ๊บคืนเลย”
ตื่นมาอีกทีก็เที่ยงพ่อปลุกขึ้นมากินข้าว ตากับยายเดินไปคุยกับคุณลุงคนขับเรือ กินข้าวเสร็จก็ไม่รู้จะทำอะไร พวกเราสี่คนออกไปนั่งที่หัวเรือลมโกรกดีแท้อยากจะนั่งตรงนั้นนาน ๆ แต่แดดแรงก็เลยต้องกลับเข้าไปที่เดิม ตอนบ่ายคนแก่ชักจะหมดแรงคนที่ร้องเพลงอยู่กะเช้าก็เรียกพวกเราเข้าไปร้องแทน คราวนี้พอพวกเราได้ครองไมค์ก็เป็นมลพิษทางหูแหละครับ ไอ้สองคนมันร้องเพลงสตริง แต่ไอ้ตองเลือกร้องเพลงเก่า ๆ สุนทราภรณ์บ้าง ผู้ใหญ่ร่วมทริปก็ถูกใจขอเพลงขึ้นมากันเรื่อย ๆ เพลงไหนที่เป็นเพลงคู่ก็ต้องอาศัยคนในครอบครัว ก็จะใครล่ะครับ อิลุงแบงค์ของเรานี่แหละครับ ตั้งแต่คบกันมาเพิ่งเห็นลุงแกร้องเพลงเก่านี่แหละครับ ก็อย่างว่าเพลงเหล่านี้มันก็ต้องผ่านหูมาบ้างอยู่แล้วอาศัยดูเนื้อนิดหน่อยแค่นั้นก็ได้แล้ว มีบ้างที่ป้า ๆ ลุง ๆ ผละจากวงไพ่ขึ้นมา Featuring กับไอ้ตองบ้าง ร้องตั้งแต่บ่ายจนถึง 4 โมงเย็น เต้นเหยง ๆ กันอยู่หน้าเรือจนหมดแรงก็เลยขอตัวพัก
พี่แบงค์นั่งตรงเบาะข้างหน้าเรือไอ้ตองก็ไปนั่งข้างล่างกับพื้น ตรงนั้นเขาจะเปิดระเบียงเอาไว้ให้เสียวเล่น ไอ้ตองก็ไปนั่งตรงนั้นเอามือสัมผัสคลื่นน้ำโขงแล้วก็หนุนตักพี่แบงค์ไปพลางลมเย็นแตะผิวกายจนกระทั่งหลับไปในอ้อมกอดพี่แบงค์อีกรอบ แล้วก็สะดุ้งตื่นมาเพราะได้ยินเสียงชัตเตอร์อยู่ใกล้ ๆ พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นไอ้ตัวน้องมันกำลังถ่ายรูปเราสองคนที่กำลังนอนจับมือโอบกันอยู่ ตื่นมาก็เย็นแล้ว พระอาทิตย์กำลังจะลับยอดเขาไปช่างสวยอะไรเช่นนี้
“ทุกคนครับ ตอนนี้ก็เข้าเขตเมืองหลวงพระบางแล้วนะครับ อีกประมาณ 45 นาที ถ้าท่านเห็นไฟฟ้าระยิบระยับนั่นแหละครับถึงตัวเมืองหลวงพระบางแล้ว ตอนนี้ขอให้ทุกท่านนั่งอยู่กับที่นั่งก่อนนะครับ เพราะน้ำโขงแถวนี้มีหินโสโครกมาก อาจจะครูดกับท้องเรือได้ พอถึงฝั่งขอให้ทุกท่านจัดการสัมภาระของท่านด้วยตัวเองนะครับ จะได้ไม่ต้องจ้างกุลีแบกของที่คอยอยู่ที่ท่าเรือ ขอบคุณครับ”
“โห น่ากลัวว่ะ ได้ยินเสียงท้องเรือไหม ครืด ครืด”
“นู่นไงเห็นไหมไฟลิบ ๆ นู่น เมืองหลวงพระบางของเรา”
“12 ชั่วโมงพอดีสำหรับการเดินทาง”
“เดี๋ยวเรือจะเทียบท่าที่หน้าวัดเชียงทองนะครับ แล้วก็จะนั่งรถต่อไปยังที่พัก คืนนี้ท่านไหนสนใจจะเดินเที่ยวตัวเมืองหลวงพระบางก่อนก็ได้นะครับ จะมีผับชื่อ “ราตรีเมืองซวา” เป็นผับอนุรักษ์ กับผับร่วมสมัย ชื่อ “ดาวฟ้า” ยังไงถ้าสนใจก็สอบถามผมได้นะครับ แต่ท่านไหนต้องการพักผ่อนหลังจากที่เรารับประทานอาหารเสร็จก็พักผ่อนที่ห้องพักเลยก็ได้นะครับ”
“เย่ ไปเที่ยว”
“ยังไม่ทันแตะพื้นดินหลวงพระบางเลย คิดเรื่องเที่ยวแล้ว”
“เดี๋ยวยังไงนะ ขึ้นรถไปที่พัก แล้วออกมากินข้าว แล้วถ้าใครจะไปเที่ยวก็ไปใช่ไหม ใครจะเข้าที่พักก็ได้ใช่ไหม”
“อือ ใช่”
“ตองจะไปเที่ยวไหม”
“คิดว่าน่าจะไป”
แล้วเรือก็จอดเทียบท่าที่หน้าวัดเชียงทอง ตอนนี้พวกเราเดินทางมาถึงหลวงพระบาง เมืองที่รุ่มรวยด้วยวัฒนธรรม เมืองที่เก่าแก่ และสวยงามอุดมด้วยธรรมชาติที่มีอยู่อย่างมากมาย เมืองในฝันของใครหลาย ๆ คน
“พระนครจันทบุรีศรีสตนาคนหุต อุตมราชธานี ศรีหลวงพระบาง ล้านช้างร่มขาว”
ปอลอ
ทายสิใครเอ่ย