ตอนพิเศษที่ เดินขึ้นดอย
คืนวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6
“นี่เพิ่งหน้าสวนสัตว์เองนะเหนื่อยแล้วเหรอแมน แล้วจะถึงไหมเนี่ย” ก็อิแมนเดินหายใจฟืดฟาด ๆ เหมือนออกซิเจนเลี้ยงร่างกายไม่ทัน ทำหน้าซีดจนเขียวนึกว่าจะขาดใจตายซะแล้ว อย่าพึ่งตายนะว้อยขี้เกียจหาที่ทิ้งศพ “ดับอนาถสาวประเภทสองผิวสีเฉาก๊วย ขาดอากาศหายใจตายระหว่างเดินขึ้นดอยสุเทพ เล่าลือกันต่อมาว่า เฮี้ยนมาก”
“คุณพี่คะลักษณะทางกายภาพของอิชั้นไม่ได้ออกแบบมาเพื่อเดินขึ้นไปในพื้นที่ที่มีความชันแบบนี้นะคะ บอบบางค่ะ บอบบาง”
“แล้วสารร่างของมึงเนี่ย ออกแบบให้เดินในพื้นที่แบบไหนยะอิแมน”
“พื้นที่ ๆ ที่สะพรึบพรั่งและอุดมไปด้วยผู้ชายไง”
“อ๋อ โรงเรียนพระปริยัติใช่ไหมที่มึงหมายถึง”
“อิปั๊ม เลิกกัดกูในงานบุญได้ไหมคะ”
“ใครไม่ไหวก็โบกรถแดงก็ได้นะ” พี่แบงค์ออกตังค์ให้ป่ะล่า ถ้าออกให้นี่ขึ้นเลยอ่ะ หุหุ ไม่หรอกเราต้องสู้ เพื่อเนื้อนาบุญอันไพศาล แด่โลกัย และเกิดพิบูลย์พูนผล
“ไม่ได้คะ หนูจะต้องเดินขึ้นเพื่อคำอธิษฐานจะได้สัมฤทธิ์ผล” ใครเคยดูการ์ตูนจะเห็นแววตาที่มันวิ้ง ๆ ออกมาด้วยความมุ่งมั่นเช่นเดียวกับอิแมนจวนที่ดวงตาฉายประกายมุ่งมั่น
“ขอไรวะแมน”
“ตัวพ่อค่ะ” ตัวพ่อในภาษาเมืองหมายถึง แฟน ออกเสียงว่า “ตั๋วป้อ” ถ้าผู้ชายก็จะมี “ตั๋วแม่” เป็นคู่ครองข้างกาย รอยหยักในมองอิแมนจวนมันต้องเป็นรูปผู้ชายเปลือยแน่ ๆ ขนาดงานบุญมันยังไม่เว้นเรื่องผู้ชาย ระวังเถอะ ฟ้าจะส่งผู้หญิงมาให้แต่งงานกับมึง อ๊างงงงง
“เขาขอกับพระธาตุได้ด้วยเหรอวะ” ดีไม่ดีจะแห้วอ่ะดิ แต่มีความเชื่อที่เล่าต่อ ๆ กันมาว่าจะขออะไรกับครูบาศรีวิชัยได้ทุกอย่างหน้าที่การงาน การเรียน ขอไม่ได้อย่างเดียวเรื่องความรัก ขนาดพาแฟนไปไหว้ด้วยกันยังเลิกกันเลย เขาว่างั้น จริงไม่จริงก็ใช้วิจารณญาณในการรับชมครับ
“ไม่รู้เหมือนกันคะ ก็กำลังจะทดลองทฤษฏีนี่แหละค่ะ”
หลายคนหลายท่านอาจจะงงว่าพวกเราออกมาทำอะไรในคืนวันโกนก่อนวันวิสาขบูชาเช่นนี้ ต้องอธิบายให้ฟังว่าชาวเชียงใหม่มีประเพณี “เตียวขึ้นดอย” ไปสักการะพระบรมธาตุเจ้าดอยสุเทพในคืนก่อนวันวิสาขบูชา คือ ขึ้น 14 ค่ำเดือน 6 หรือถ้าปีไหนมีเดือน 8 สองหนก็เลื่อนไป เป็นขึ้น 14 ค่ำเดือน 7 แทน
พุทธศาสนิกชนชาวเชียงใหม่เขาจะเริ่มออกเดินตั้งแต่หน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่เรื่อยไปจนถึงพระบรมธาตุเจ้าดอยสุเทพ เขาก็จะมีพิธีการเริ่มตั้งแต่เย็นที่ลานอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัยแล้วก็เริ่มเดินไปตลอดทั้งคืน
ปีนี้ตัวต้นคิดก็ได้แก่พี่แบงค์ออกปากชวนผมก็เลยชวนสมัครพรรคพวกไปทำบุญในครั้งนี้ด้วยกัน พวกเรานัดกันที่ร้านข้าวต้มย้งเพื่อกินข้าวเอาแรงก่อนจะเดิน ปีนี้เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดฝนดันมาตกช่วงที่เขากำลังเดินขึ้นกันอยู่ซะด้วยเปียกยันไข่เลยสิครับงานนี้ เป็นโชคดีของพวกเราที่เดินขึ้นตอนดึก ไม่งั้นคาอยู่กลางทางเปียกม่อล่อกม่อแลก แน่ ๆ
พวกเราเอารถไปจอดข้าง ๆ ตึกหน้าของอธิการบดีแล้วก็เดินออกไปหน้ามหาวิทยาลัย ตอนนี้ก็ 4 ทุ่มแล้วแต่ฝูงคนเรือนแสนก็ยังคับคั่งอยู่ตลอดทาง แล้วพวกเราก็เริ่มออกเดิน
“กี่กิโลนะคะคุณใหญ่” อิแมนจวนคนงามของเราวันนี้ถามย้ำอีกทีเผื่อระยะทางจะสั้นลง มันคงจะสั้นให้มึงหรอกอิแมนจวน เล่นถามทุก ๆ สามก้าว
“14-15 โลเนี่ยแหละไม่แน่ใจ” ถึงกับถอนหายใจดังเฮือกเมื่อได้ยินคำตอบ
“ก็เท่าตอนรับน้องขึ้นดอยนี่แมน”
“เข้าใจค่ะ แต่ตอนนี้สังขารมันราโรยไปตามกาลเวลา”
“พร้อมกับความงามของมึง”
“น้อย ๆ หน่อยอิปั๊มกูนะสวยวันสวยคืน”
“วันไหนคืนไหนคะกูจะได้รอดู”
“วันที่ฟ้าเปลี่ยนสีหรือเปล่าแมน”
“เพื่อนท็อปค่ะ ถ้าเดินจูงมือพี่หยองไปเงียบ ๆ ก็ไม่มีใครว่าเพื่อนท็อปพูดไม่ได้นะคะ”
ตลอดการเดินทางเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของพวกเรากันเองลำพังจะเดินแรงก็จะหมดเสียให้ได้ ไหนจะต้องแบ่งแรงมาหัวเราะอิแมนจวนอีก ชาวบ้านชาวช่องคงจะมองกันด้วยความแปลกใจก็มันเล่นถือตะเกียงขึ้นไปด้วยอันนึง มันบอกว่าจะเอาไฟนี้ไปจุดธูปเทียนถวายพระธาตุ เออ ก็เอากับมันสิ อิแมนจวนกับอิปั๊มก็พากันขับลำนำไปตลอดเส้นทาง ผลัดกันฟ้อนบ้าง เดินไปกระแซะผู้ชายที่นั่งพักเหนื่อยอยู่ริมทางบ้าง สร้างความสังเวชใจให้กับบุคคลที่เห็นโดยทั่วไป
แต่ละก้าวที่เดินนั้นเหมือนจะช้าลงเรื่อย ๆ ข้าวสารอาหารแห้งที่พวกเราแบกขึ้นไปหมายจะใส่บาตรในตอนเช้าก็เหมือนว่าจะทวีน้ำหนักขึ้นเรื่อย ๆ แต่ละก้าวของพวกเราจึงเต็มไปด้วยความลำบากจึงไมมีใครอยากหยุดเดินเนื่องจากมันลำบากเมื่อจะต้องออกแรงก้าวขาออกไปอีกครั้งหนึ่ง พวกเราตกลงกันตั้งแต่ก่อนจะออกเดินแล้วว่าจะไปพักเหนื่อยกันที่ศูนย์ป้องกันไฟป่าเพราะมันตั้งอยู่ครึ่งทางพอดี ระหว่างทางก็ต้องเดินแซงหน้าคนที่เดินช้ากว่าเป็นระยะ ๆ คนที่เหนื่อยก็นั่งพักตรงขอบทาง เรื่อยกันไปตลอดความยาวของถนน ไอ้ตองก็ใช้สายตาสอดส่องดูไปเป็นอาหารตา ก็เด็กมัธยมสมัยนี้มันน่ารักกันนี่ครับ แต่จะกระโตกกระตากไม่ได้เดี๋ยวจะโดนฝ่ามือจากความมืดมากระทบท้ายทอย
ตลอดสองข้างทางก็เต็มไปด้วยร้านรวงที่ขายข้าวของอยู่เป็นระยะ สลับกับโรงทานของวัดต่าง ๆ ที่กระจายตัวกันอยู่สองข้างทางตลอดเส้นทางสิบกว่ากิโลเมตร เหนื่อยก็เหนื่อย ร้อนก็ร้อนใส่กางเกงขาสั้นมาก็ไม่ได้ โดนพี่แบงค์ด่า ฮ่วย ทั้งที่ฝนเพิ่งจะตกไปแท้ ๆ ทำไมมันยังร้อนได้ขนาดนี้วะ เหนื่อยว้อย หอบจนซี่โครงบานหมดแล้ว แต่ก็ต้องสู้เพื่อบุญอันใหญ่หลวง
แต่ละคนเขาก็เดินกันเป็นคู่ ๆ สองสาวก็ฟ้อนนำหน้า ไอ้ท็อปกับไอ้หยองก็เดินแบกของตามไป นุ้งบูมกับนุ้งเนม(คนที่ตัดสกินเฮดในตอนงานวันเกิดอ่ะครับ จำได้ไหมเอ่ย) ก็เดินตามมา ไอ้ตองรั้งท้ายพี่แบงค์ก็หายหัวไปไหนไม่รู้ โอย เหนื่อยว้อยยย จะรู้ใครรู้บ้างไหมว่าไอ้ตองเหนื่อย แต่อย่างหนึ่งที่ไอ้ตองเห็นแล้วทำให้มีขัติยะมานะเดินต่อก็คือ เห็นคนเฒ่าคนแก่ที่เดินขึ้นไปตั้งแต่เมื่อเย็นทยอยเดินสวนทางลงมาก็พาลนึกตรึกตรองในใจเอาเองว่า
“เหวยตัวกูนี้ยังเยาว์ด้วยชัณษา ฉวีก็ยังมิได้หย่อนยานดั่งพี่ –N- หูตาก็ไม่ได้ฝ้าฟางดั่งพี่ PEENAT สติสัญญาก็ไม่ได้เลือนเหมือนพี่โจ้ มิได้ไร้ซึ่งกำลังขาดั่งพี่ sukie_moo มิได้เจรจาอันใดก็จับความมิได้ดั่ง little devil แล้วไฉนตัวกูนี้จะต้องท้อด้วยทุกข์กันเกิดแก่กำลังขาและน่องด้วยเล่า จำเราจะต้องมีมานะด้วยหมายจะกระทำเนื้อนาบุญในคราวครั้งนี้ถวายเป็นพุทธบูชา เพื่อยังความจำเริญวุฒิให้เป็นสาธารณ์ ปรากฏเป็นความร่มงามเจริญไพบูลย์แก่ชาติ และ มนุษยโลกผู้มีบาปสืบไป”
“พี่ตองยิ้มหน่อย” เอ่อ บูมครับ ทำหน้าที่ตากล้องได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องแบบนี้ ปีนี้เอาไปเลยรางวัล “เตียวขึ้นดอยอวอร์ด สาขาช่างภาพดีเด่น”
“เหงือกแห้งแล้วบูม หอบจนหลอดลมแห้งหมดแล้ว” เดินไปแต่ละก้าวปิ่มจะขาดใจ นี่แหละหนาเขาเรียกว่าคำศรัทธา
“น้ำอยู่กับพี่ตองไหมขอบูมหน่อยไม่ไหวแล้ว” น้ำดื่มอ่ะอยู่กับพี่ตอง แต่น้ำ...ของพี่อยู่กับพี่แบงค์ว่ะ เขาเก็บไว้กินกันสองคน อ๊างงง อะไรเนี่ย
“ไหวป่ะ พี่ตอง” น้องเนมครับ อย่าจ้องหน้าพี่ตอง เดี๋ยวพี่ตองทนไม่ไหวลากน้องเนมเข้าป่าข้างทางนะครับ อ๊างงงงง ก็เด็กมันน่ากิน เอ้ย เด็กมันน่ารัก
“เนม ขี่หลังหน่อยดิ”
“โลละ 500” จากนี้ไปอีก 7 กิโล ไอ้ตองไม่ต้องจ่าย 3500 เลยหรือไง แต่ก็น่าแลกนะ ได้น้องเนมน่ารักมาแบกเราเดินขึ้นดอย เราก็อาศัยจังหวะชุลมุนนั้นคลุกวงใน
“เพื่อนบูมหน้าเลือดว่ะ”
“อีกไกลไหมพี่ตอง”
“น่าจะสักโล เมื่อกี้เราผ่านป้าย 7 กิโลมาแล้วนี่”
“พี่แบงค์ไปไหนแล้วอ่ะบูม”
“คนเยอะมองหาใครไม่เห็น”
“นั่งตรงโค้งหน้านั่นใช่พี่รัญจวนป่ะวะบูม กูเห็นแสงเทียนวิ้ง ๆ”
“เออ สงสัยนั่งสอยแซ้บว่ะ”
พวกเราก็กัดฟันเดินต่อจนไปถึงศูนย์ป้องกันไฟป่าจนได้ สองขาก็สั่นระริกจนแทบจะยืนไม่ไหว กล้ามเนื้อก็ร้าวระบมไปทั้งขา ท้องก็พาลอุทธรณ์ร้องโครกครากด้วยความหิว คอก็แห้งกลืนน้ำลายแต่ละทีก็ยากเย็นแสนเข็ญ หกชีวิตนั่งอยู่กับพื้นหญ้าในสภาพเดียวกัน สายตาตาเลื่อนลอยมองผู้คนที่เดินผ่านไปอย่างไม่ขาดสาย อยากจะลุกไปดื่มน้ำ กินขนมให้พอบรรเทาความกระหายหิว แต่ก็สุดปัญญาด้วยขาทั้งสองเกินจะก้าวได้แล้วไปถึงจวนป่ะวะบูม กูเห็นแสงเทียนวิ้ง ๆ"ิ้ง ๆ
เมื่อนั่งพักกันพอให้หายเหนื่อยแล้ว หกชีวิตก็เริ่มขยับเขยื้อนร่างกาย อิแมนจวนก็เปลี่ยนเทียนขี้ผึ้งในตะเกียงกระจกในแปดเหลี่ยมที่ตอนนี้ถูกเผาไหม้จนเกือบใกล้หมดแล้ว แล้วก็หันไปแซวผู้ชายหน้าตาดีที่เดินผ่านมาเป็นระยะ ๆ พร้อมกับให้ตำแหน่งตามลำดับความหล่อของ เป็นอาทิว่า หล่อมากก็เป็น “เจ้าฟ้า” หล่อปานกลางก็จะเรียกว่า “คุณนายร้อย” หล่อแบบพระเอกมิวสิควีดีโอเพลงลูกเทวดาก็จะเรียกว่า “มหาดเล็กหุ้มแพร” และสุดท้ายหากหน้าตาบ้าน ๆ ก็จะเรียกว่า “ทหารเลว” อิปั๊มก็นั่งคลี่มวยผมที่ถูกเกล้าเอาไว้แล้วค่อย ๆ หวีอย่างบรรจงแล้วจึ่งหมวดเกล้ามวยผมกลับไปอีกครั้งก่อนจะหยิบปิ่นสีทองหัวทับทิมแบบเมืองยองปักเข้าไปในมวยผมตามด้วยดอก “เก็ดถวา” หรือดอกพุดซ้อนสีขาวกลิ่นหอมอ่อนเหน็บเข้าไปกับเกล้ามวยสวยเรียบนั้น ด้วยความเชื่อว่าจะบูชาเทวดาผู้รักษาขวัญแห่งหัวเกล้าของตน ไอ้ท็อปก็กำลังนวดน่องที่ปวดร้าวระบมให้คลายความปวดเมื่อยลงบ้าง ไอ้หยองเพื่อนรักก็กำลังอ้อนแกมบังคับให้แม่ส่งค่าขนมมาให้ในวันรุ่งขึ้น ไอ้บูมก็สาละวนอยู่กับกล้องถ่ายรูปตัวใหม่ที่ราคาเลนส์แพงกว่าตัวกล้องไปพร้อมกับคอก็หนีบโทรศัพท์ที่คุยกับไอ้ต้นน้องผมไปด้วยทำอะไรทีละอย่างได้ไหมวะ ไอ้น้องเนมสกินเฮดก็หยิบเอาเกมโซโดกุที่พกมาด้วยในกระเป๋าออกมาเล่นฆ่าเวลา ทุกคนต่างมีกิจกรรมของตัวเอง แต่ เฮ้ย พี่แบงค์หายไปไหนอีกแล้ว
“เตี้ย ถือดิ๊” โห่ มาถึงก็เรียกปมด้อยเลยรู้งี้เดินแบบเสาไฟฟ้าไปบูชาพระธาตุบ้างดีกว่าชาติหน้าจะได้เกิดมาสูงชะลูดเหมือนเสาไฟฟ้า อ๊างงง
“นึกว่าหายไปไหนมา” พี่แบงค์เดินกลับมาพร้อมกับของกินเล่นง่าย ๆ หลาย ๆ อย่าง เพื่อให้พอประทังความหิวยามดึกลงไปบ้าง
“เฮียกินด้วย”
“เอาตังค์ไปซื้อป่ะ ซื้อมาเผื่อคนอื่นด้วย”
“เนมป่ะไปกับกู”
“นวดขาให้เอาไหม”
“หึ พี่ไม่ปวดเท่าไหร่อ่ะ ตองไหวป่ะ”
“ไม่ไหวก็ต้องไหว อุตส่าห์มาได้ครึ่งทางแล้ว”
“คุณคะ คุณคะ ค่ะ คุณนั่นแหละค่ะ” เอาแล้ว อิแมนจวนเริ่มทำลายอนาคตของชาติอีกแล้วครับพี่น้อง เฮ้อ สงสารเด็ก
“แมนจวนมันทำไรวะตอง”
“จิกเด็กชายวัยเยาว์”
“คือดิฉันอยากทราบว่า อีกไกลไหมค่ะ”
“ก็อีกประมาณ 7 กิโลได้ครับ”
“ดิฉันกลัวหลง จะรบกวนขอเบอร์คุณไว้ได้ไหมคะ เผื่อจะได้ถามทาง”
“มันเป็นเส้นทางตรงเส้นเดียวอ่ะครับคงไม่หลง อีกอย่างผมไม่อยาก ตีฉิ่ง” อ๊างงง ต่อมแสกนของอิแมนคงจะผิดพลาด นึกว่าเขาจะเป็นฝ่ายหน้า ที่ไหนได้เป็นฝ่ายในเหมือนกัน ฮ่า ๆ
“ดิฉันกำลังจะบอกคุณว่า ดิฉันเป็นรุก” อ๊างงงง ตายไปเลย
แล้วหลังจากที่พักผ่อนจนเห็นแก่เวลาอันสมควรแล้วพวกเราก็ออกเดินทางกันต่อ พร้อมกับเสียงขับลำนำพร้อมกับการจับระบำรำฟ้อนของสองสาวที่มีจุดประสงค์ว่าจะถวายเป็นพุทธบูชาและเพื่อความฮาของบุคคลที่เห็นทั่วไป การออกก้าวเดินในครึ่งหลังนี้แต่ละก้าวเต็มไปด้วยความยากลำบากกว่าเมื่อตอนเริ่มต้นมากเป็นไหน ๆ น้ำหนักของทำบุญก็เหมือนจะหนักมากกว่าตอนที่เริ่มเดิน มือเราสองคนที่จับกันอยู่เหมือนจะสื่อความหมายว่าแม้ในยามลำบากเราก็จะไม่ทิ้งกันไปไหน ต่างคนต่างเป็นกำลังให้แก่กันและกัน จะเป็นแรงฉุดและแรงผลักดันกันต่อไป
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้วอากาศก็เริ่มหนาวขึ้นเรื่อย ๆ เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกมีเหงื่อแต่ก็หนาว หลักกิโลเมตรบอกระยะทางว่าอีก 2 กิโลเมตรเท่านั้นก็จะถึงที่หมายของเราคือวัดพระบรมธาตุดอยสุเทพ เวลานี้ผู้คนก็ยังท่วมท้นล้นหลามไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย ทั้งรถแดงที่บริการรับส่งผู้คนที่กำลังจะเดินลง และ ส่งคนที่เดินไม่ไหว มีจำนวนมากจนต้องเบียดเสียดยัดเยียดกันเต็มสองเลนส์ถนน กลิ่นไหม้ของครัชก็อวลอยู่เต็มบริเวณชวนให้ปวดหัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กลิ่นควันรถก็ฟุ้งกำจายอยู่ทั่วไป จำนวนคนที่มากมายก่ายกองเรือนแสนนี้แสดงให้เห็นถึงความศรัทธาที่มีอย่างหลายรูปแบบทุกคนต่างมีความปรารถนาในใจต่างคนก็ต่างความปรารถนากันไป
“คุณใหญ่คะ กลางขอน้ำหน่อยค่ะ”
“พี่แบงค์พักก่อน”
“เฮ้ย หยุดก่อน”
“เฮ้อ จะไม่ไหวแล้ว”
“ขึ้นรถกันไหม”
“ไหวคะ ยังไหว ขอพักอีกหน่อย”
“ปวดหน้าขา เหมือนกล้ามเนื้อจะขาดออกมาเป็นริ้ว ๆ”
“ตองกุญแจห้องอยู่กับตองใช่ไหม”
“ครับ ห้องพักอีกไกลไหมอ่ะ”
“ไม่หรอกเดินไปอีกนิดเดียวก็ถึง”
“พี่แมนยิ้มหน่อย”
“น้องบูมค่ะ สงสารพี่เถอะค่ะ พี่กำลังจะเข้าสู่โหมดกระเทยหมดสภาพแล้วนะคะ น้องเนมอุ้มพี่หน่อยพี่เมื่อขา”
“ไม่เอาอ่ะผมกลัว”
“เชอะ วันใดขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก”
…………………………………………………………………………………………………………….
“โอย สวรรค์ ขอพักแข้งขาสักหน่อยเถอะ” เมื่อพวกเราเดินมาถึงวัดพวกเราก็ต้องเดินต่อไปอีกนิด ราว 400 เมตร เพื่อเข้าที่พักอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพที่พี่แบงค์จัดการจองไว้ เป็นห้องยาว ๆ นอนกันได้หลายคน
“ตีสี่ตื่นไปใส่บาตรกันนะทุกคน” ตอนนี้ทุกคนปลดเปลื้องสัมภาระกองไว้ระเนระนาด ราวกับมันเป็นสิ่งไร้ค่าก็มิปาน
“โห นอนสองชั่วโมงเองเหรอเฮีย”
“เดี๋ยวค่อยกลับมานอนใหม่”
“เหม็นตีนใครวะ”
“อิแมนมึงลุกไปล้างตีนแล้วค่อยมานอน ทุเรศ” อิแมนจวนพอมาถึงห้องพักก็กระโจนพุ่งหลาว เข้าไปในที่นอนเลย ก็คงเหนื่อยเจียนตายนั่นแหละครับ
“แหวะ”
“เปิดแอร์ไหม”
“แค่นี้ก็จะแข็งตายอยู่แล้ว”
“ซี้ดหนาว ๆ พี่ตองเขยิบหน่อย” ไอ้บูมเข้ามากระแซะผ้าห่มผืนเดียวกันกับผม
“พรุ่งนี้เดินลงกันไหม” เอ่ย พี่แบงค์ช่วยดูสภาพของลูกทัวร์ด้วยนะครับ ว่าตอนนี้เป็นคนหรือศพกันแน่เดินลงเห็นทีต้องกลายเป็นคนพิการอย่างแน่แท้
“ตองขอถอนตัว”
“ผมด้วย”
“หยองก็ไม่ไหวนะพี่”
“นอน ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นไปใส่บาตร” ไม่กี่วินาทีเท่านั้นที่หัวถึงหมอนความเงียบก็เข้าปกคลุมเราทั้งหลายก็ตกอยู่ในห้วงนิทรา จนกระทั่ง
กริ้งงง กริ้งงงง กริ้งงงงง
กริ้งงง กริ้งงงง กริ้งงงงง
“คุณพี่คะปีหน้าอย่าลืมชวนอิชั้นมาอีกนะคะ”
“ถ้าแมนยังไม่ตายก็เจอกัน”
“พี่แบงค์คะ ตั้งแต่แต่งงานกับพี่ตองมีเมียเป็นผู้ชายเนี่ย ปากคอเราะร้ายนะคะ เดี๋ยวเถอะ”
เมื่อตอนตีสี่พอพวกเราตื่นก็ใช้เวลาสักพักในการฝ่าฝูงชนที่บันไดนาคขึ้นไปเวียนเทียน แล้วก็มานั่งรอพระบิณฑบาต คณะศรัทธามีมาเยอะมากมาย ระหว่างนั้นที่พระยังไม่มารับบาตร เราก็แอบนอนเอาแรงกันก่อน ผมก็ใช้ตักของพี่แบงค์เป็นที่พักพิงกาย ไอ้บูมก็แอบถ่ายรูปเป็นระยะ ๆ คนเขารู้กันหมดทั้งโลกแล้วเว้ยว่ากูสองคนอ่ะ พี่น้องกัน
พอเวลาพระมารับบาตรเราทั้งหมดก็ลุกขึ้นใส่บาตรพี่แบงค์ยืนอยู่ด้านหลังของผมเหมือนกับโอบกันอยู่แล้วก็ใส่บาตร เหมือนนุ่นกับต๊อด แต่งงานกันใหม่ ๆ ยังไงอย่างงั้นเลย ข้าวของที่อยู่ในบาตรพระเกิดมีมากมายจนล้น แต่เจ้าหน้าที่ของทางวัดมีไม่พอ พี่แบงค์ ไอ้บูม ไอ้เนมก็เลยกลายร่างเป็นเด็กวัดไปชั่วคราว น่ารักจริง ๆ แฟนใครวะ
กิจกรรมเดินขึ้นดอยวันนั้นจบลงด้วยกลับไปนอนที่พักบนอุทยานแห่งชาติ ก่อนจะโบกรถแดงเดินกลับมหาวิทยาลัย ผมกับพี่แบงค์กรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ได้ทำในวันนี้ด้วยใจอันบริสุทธิ์ให้กับเจ้ากรรมนายเวรและสรรพสัตว์ทั้งหลาย แล้วก็ไม่ลืมกรวดน้ำส่วนหนึ่งไปให้อิแมนจวนด้วย งงง
กิจกรรมเดินขึ้นดอยทั้งเหนื่อย และสนุก แต่เหนือสิ่งอื่นใดมันคือกิจกรรมที่เราสองคนได้ทำร่วมกัน และมันก็เป็นหนึ่งความทรงจำดี ๆ ที่ผมจะไม่มีวันลืม ตลอดระยะทางที่เดินจูงมือขึ้นไปด้วยกันนั้น ก็เป็นเหมือนคำสัญญาว่าเราสองคนจะเดินไปด้วยกัน ถึงแม้ว่าแต่ละก้าวย่างของชีวิตจะเต็มไปด้วยความยากลำบากก็ตามที แต่ผมก็เชื่อว่าเมื่ออยู่กับคน ๆ นี้ ก็สุขใจและไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว
“พี่แบงค์ทำอะไรคนเยอะ อายเขาบ้าง”