ดูเหมือนจะยังไม่จบจริง เพราะ ชาลียังไม่รุ้ความจริงอีกเรื่องที่ว่า สารวัตร คือต้นเหตุที่ทำให้เพื่อนรักต้องตาย
จะว่าไปที่สารวัตรอยากให้เลิกแก้แค้นนี่เพราะห่วงตัวเองด้วยใช่หรือเปล่า
อิ อิ รู้ทันไปหมด
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามอ่านและให้กำลังใจและ รักและเห็นอกเห็นใจผู้เขียนนะครับ และทุกท่านที่แสดงความเห็น คำแนะนำ คำติชม และคำขอ NC นะครับ (NC นี่ย่อมาจาก no censor ใช่ปะ?) โห ต้องแต่งแบบหนังเอ็กซ์เลยเหรอ เขียนไม่เป็นอ่ะ แสดงเป็นอย่างเดียว)
บทส่งท้ายนะครับ
เพลิงรัก บทส่งท้าย
สองเดือนผ่านไป
ชาลียิ้มให้พยาบาลประจำวอร์ดแล้วเดินออกมาที่ระเบียงด้านหน้าบนชั้นสองของตึกผู้ป่วยชาย สูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปลึกๆ ก่อนจะหันไปมองบันไดซึ่งมีเสียงคนวิ่งขึ้นมา
นาวินหน้าตาตื่น มือซ้ายถือกระเป๋านักเรียน มือขวากอดลูกบาสเก็ตบอล เหงื่อโทรมตัวทั้งที่เป็นหน้าหนาว
“พี่หมอ ทีมผมชนะแล้ว ได้เป็นตัวแทนจังหวัดไปแข่งระดับภาค เย้" นาวินวิ่งเข้ามาใกล้ ทำท่าจะกระโดดด้วยความดีใจ แต่ชาลียกมือห้าม ทำหน้าดุ หันไปมองด้านซ้าย ยกนิ้วขึ้นแตะปาก สื่อสารให้นาวินรู้ว่าไม่ควรส่งเสียงดัง
“ขอโทษครับ แต่ผมกำลังดีใจ" นาวินยังยิ้มกว้าง ลดเสียงลงแทบเป็นกระซิบ "เย็นนี้ฉลองกันนะครับ ผมอยากกินเนื้อย่างเกาหลีที่ร้านโอ๊ะโอ๋ริมแม่น้ำ"
ชาลีพยักหน้าแล้วเดินนำเด็กหนุ่มไปที่บันได ชาลีเดินตามและเอาแต่พูดถึงรายการอาหารที่ต้องการจะรับประทาน
“ไหนว่าจะกินหมูกระทะ" ชาลีถาม
“อันนั้นเมนคอร์ส แต่ก่อนเมนคอร์สผมขอออเดิร์ฟด้วย ผมอยากกินราดหน้าลอยฟ้าตรงหน้าตลาดด้วย อ้อ ผัดไทที่หน้าแบงค์กรุงไทยก็อร่อย พอกินหมูกระทะเสร็จเราก็ไปกินสังขยาป้าจุ๋มที่...”
“นาวิน เอาให้แน่ จะกินอะไรก็เลือกเอาซักอย่าง นี่ต้องตระเวนกินให้รอบเมืองเลยหรือไง"
“น่า พี่หมอ นานๆ ที"
“นานๆ ทีงั้นหรือ ก็เห็นกินแบบนี้เกือบทุกวัน" ชาลีผลักไหล่น้องชาย "มิน่า เอกถึงบ่นว่าเราเป็นไอ้หนูชูชก กินล้างกินผลาญ แบบนี้พี่คงจนตายกันพอดี เป็นหมอที่นี่ได้เงินน้อยกว่าเป็นหมอที่กรุงเทพฯ นะ จะบอกให้"
“เอาไว้จบ ม. หก ผมจะลดปริมาณการกิน นะ พี่หมอนะ ตอนนี้ผมเป็นเด็กกำลังโต" นาวินทำเสียงอ้อนแล้วหัวเราะชอบใจ แต่พลันก็เงียบเมื่อเห็นพี่ชายหยุดเดินแล้วพูดขึ้นมาเสียงเบา
“สารวัตรกัณต์"
“พี่กัณต์"
“สวัสดีครับคุณหมอ" กัณต์ยิ้ม "สวัสดีนาวิน"
“ไปรอที่รถ" ชาลียื่นกุญแจรถให้นาวิน แต่เมื่อเห็นน้องชายลังเลจึงย้ำว่า "ไปสิ"
กัณต์มองตามนาวินจนเด็กหนุ่มเดินห่างไปมากพอสมควรจึงขยับเข้ามาใกล้ชาลีแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยน "คุณหนีมาทำไมชาลี"
“ผมไม่ได้หนี ผมแค่อยากเปลี่ยนแปลงสภาพการดำรงชีวิต" ชาลียักไหล่ "แล้วน้องชายผมก็มีความสุขในการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่"
“อำเภอเล็กๆ แบบนี้นี่นะ เซเว่นอีเลฟเว่นก็ไม่มี ถ้านาวินหิวขึ้นมากลางดึกล่ะ จะให้น้องกินอะไร"
“สารวัตรกัณต์" ชาลีเสียงเข้ม "ไม่ต้องมาทำเป็นพูดตลก บอกมาตรงๆ เถอะว่าคุณมาทำไม"
“ผมมาหาคุณ ผมมาตามคุณกลับไป" กัณต์พูดเสียงนุ่ม "ผมคิดถึงคุณจนทนไม่ไหว พอใจหรือยัง ผมพูดออกมาแล้ว คราวนี้ อย่าไล่กันอีกนะ"
“กลับไปซะเถอะ ให้ผมอยู่ที่นี่กับน้องอย่างมีความสุขเถอะ" ชาลีพูดเสียงราบเรียบแล้วเดินลงบันได
“กลับกรุงเทพฯ เถอะครับ คุณจะหนีมาแบบนี้ไม่ได้นะชาลี"
“ผมไม่ได้หนี"
“คุณอยู่นี่แล้วมีความสุขจริงหรือ"
“มีสิ มีมากด้วย วิถีชีวิตเรียบง่าย ไม่วุ่นวาย" ชาลียิ้มบางๆ แต่กัณต์คิดว่าเป็นยิ้มแบบเย้ยหยัน
“ชาลี"
“มาอยู่ด้วยกันไหมล่ะ" ชาลีหยุดเดิน หันไปมองหน้ากัณต์นิ่ง "ถ้าคุณอยากเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผม มาอยู่ที่นี่ด้วยกันไหมล่ะ นั่นไง คุณก็ไม่กล้าตอบ เพราะฉะนั้นไม่ต้องมาพูดว่า...”
“ผมรักคุณ"
“กัณต์"
"คุณอยากได้ยินผมพูดว่ารักใช่ไหม" กัณต์เลิกคิ้ว "ผมรักคุณ ได้ยินหรือยัง ผมติดใจ ที่พนันกันไว้คราวนั้น ผมแพ้คุณ ตั้งแต่เรามีอะไรกันผมก็เลิกคิดถึงคุณไม่ได้ ตั้งแต่คุณย้ายหนีจากกรุงเทพฯ ผมก็...”
“ผมย้ายออก ไม่ได้ย้ายหนี"
“คุณหนีผมหรือชาลี" กัณต์ถามเสียงทุ้มต่ำ "ผมพยายามบอกตัวเองว่าคุณหนีคนอื่น ไม่ได้หนีผม คุณพูดให้ผมได้ยินชัดๆ ได้ไหมว่าคุณไม่ได้หนีผม"
“ผมหนีคุณ" ชาลีเน้นเสียง
“คุณไม่ได้รักผม" กัณต์เสียงแผ่ว หันหลังทันที ก้าวเท้าเดินจากชาลีไปช้าๆ ในใจนับหนึ่งถึงสิบ เขาบอกตัวเองว่า หากนับถึงแปดแล้วชาลียังไม่บอกรักเขาตอบละก็ เขาก็จะหันไปจับตัว ลากไปขึ้นรถ ขับพาไปให้ไกลถึงชายแดนไทย-พม่า แล้วขังไว้ในกระท่อม อยู่ด้วยกันสองต่อสองสักหนึ่งอาทิตย์ ให้รู้กันไปเลยว่าชาลียังจะพยศเขาได้นานขนาดไหน
“ผมน่าจะรู้ น่าจะยอมรับมาตั้งนานแล้วว่าคุณไม่ได้รักผม...”
“ใครบอก..." ชาลีพึมพำ กัณต์ได้ยิน แต่ก็ยังเดินต่อไปช้าๆ
“ลาก่อน หมอชาลี" กัณต์พูดขึ้นโดยไม่หันไปมองข้างหลัง แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินชาลีพูด "ขอบคุณที่สอนให้ผมรู้จักความรัก"
“สารวัตรกัณต์...”
นายตำรวจหนุ่มอมยิ้มมุมปากอย่างชอบใจ เดินลงบันไดชั้นสองของตึกผู้ป่วยช้าๆ จุดหมายคือรถของนายแพทย์ชาลีซึ่ง 'ลูกน้อง' ของเขายืนรออยู่แล้ว นาวินยื่นกุญแจรถให้เขาและแบมือรับเงินจำนวนหนึ่งพันบาทซึ่งเขาบอกให้ไปหาซื้ออะไรทานให้เต็มอิ่มและกลับไปรอที่บ้าน
“พรุ่งนี้พี่จะพาไปหัดขับรถ" กัณต์พูดกับนาวิน ตบไหล่เด็กหนุ่มเบาๆ แล้วรับลูกบาสเก็ตบอลและกระเป๋ามาจากอีกฝ่าย เปิดประตูรถขึ้นไปนั่งรอ 'เจ้าของรถ' อยู่บนเบาะที่นั่งคนขับ
นาวินวิ่งหายไปทันที พร้อมๆ กับที่กัณต์เหลือบตาไปมองบันไดของตึกสองชั้นสีขาวของโรงพยาบาลประจำอำเภอเล็กๆ และเห็นร่างของชาลีเดินมาที่รถช้าๆ ด้วยท่าทางซึมๆ ต่างไปจากท่าเดินที่เต็มไปด้วยมั่นใจซึ่งเขาเคยเห็นอยู่เป็นประจำ
...เป็นไงเป็นกัน หากชาลีเปิดประตูแล้วเห็นว่าเขานั่งอยู่ข้างในแล้ววิ่งหนีไปละก็ จะให้ต้องวิ่งไล่จับกันก็ต้องทำ เขาทนไม่ไหวแล้ว เขารอไม่ไหวแล้ว เขาสุดจะทนแล้ว...
...ถึงเวลามีความรักกันซะที...
...นี่ใช่ไหม ที่เขาเรียกว่าเพลิงรัก เขาร้อนรุ่มมาเป็นเวลานาน ถึงเวลาแล้วที่จะให้ความรักของเขาดับเปลวเพลิงที่ลุกโชนอยู่ในใจของชาลี...
...และให้ความรักของชาลี ดับความร้อนรุ่มที่สุมอยู่ในหัวใจของเขา...