อยากให้รักกันค่ะ แต่ก็ไม่อยากให้เควินตายฟรี
เลือดเย็นเนาะ
เพลิงรัก บทที่ 24
“ทำไม" เจตรินถามเสียงขื่นแต่ตาลุกวาวด้วยความโกรธผสมกับความผิดหวัง
“เจตริน ฟังก่อน ฟังผมก่อน" ชาลีก้าวเท้าเข้าไปหาเจตริน
“เลิกเล่นละครซะทีเถอะชาลี" กัณต์คว้ามือของชาลี อยากกระชากชายหนุ่มเข้ามากอดเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของแล้วไล่เจตรินไปให้พ้น
...หึง เขาหึงชาลีมาก ตอนนี้เขารู้สึกอย่างนี้จริงๆ เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน...
“คุณอย่ามายุ่ง" ชาลีสะบัดมือ หันไปดุกัณต์
“นี่มันหมายความว่ายังไงชาลี คุณมากับผม แต่ไอ้ผู้ชายคนนี้มาได้ยังไง" เจตรินพูดเสียงตัดพ้อ แต่ทันใดก็ตวาดลั่น "มันมาได้ยังไง มันมาได้ยังไง ใครให้มันมา"
“คุณจะรู้ไปทำไมว่าผมมาได้ยังไง" กัณต์ตอบเสียงกร้าว
“คุณหยุดพูดเถอะ เงียบ" ชาลีห้ามกัณต์ด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“ชาลี มันรู้ได้ยังไงว่าเรามาที่นี่ ไหนคุณบอกว่าคุณกับมันเลิกคบกันแล้ว" เจตรินเสียงสั่น "ไอ้ผู้ชายคนนี้มันร้ายกับคุณ มันจะทำร้ายคุณ ทำไมยังยุ่งกับมันอีก"
“ผมหรือ" กัณต์หันไปมองชาลี
“เมื่อกี้มันทำอะไรคุณ คุณบอกว่าจะเข้านอน แล้วนี่คุณมามีอะไรกับมัน" เจตรินตะเบ็งเสียงขึ้นมาทันใด "คุณหักหลังผม คุณแอบนัดมันมาใช่ไหม ไม่นึกเลย ไม่นึกว่าคุณจะโกหก ทำไมนะหรือ เพราะคุณอยากจะทำร้ายผมเหมือนมันทำร้ายคุณ น่าสะอิดสะเอียน ทุเรศ คุณโกหก ไอ้นี่ก็โกหก ใครก็โกหก หลอกผม คุณหลอกผม" เจตรินเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ท่าทางเริ่มจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ "ไล่มันไปเดี๋ยวนี้ คุณอยู่กับผม ใครหน้าไหนมันจะมายุ่งกับคุณไม่ได้ อย่ามาทำกันแบบนี้"
“เจตริน" ชาลีอึ้ง ไม่นึกว่าเจตรินจะออกอาการถึงขนาดนี้
“สมคบคิดกันใช่ไหม รวมหัวกันใช่ไหม จะรุมทำร้ายผมใช่ไหม แกเป็นใคร มายุ่งอะไรกับชาลี มาชักชวนให้ชาลีทำอะไรเลวๆ แบบนี้ ไอ้คนสารเลว แกมายุ่งทำไม มายุ่งกับชีวิตเราทำไม" เจตรินตะโกน
“ผมจะยุ่ง คุณจะทำไม หยุดพูดพล่อยๆ แบบนี้นะ" กัณต์ตวาดเจตริน
“สารวัตรกัณต์ คุณนั่นล่ะหยุด" ชาลีหันไปตะคอกกันต์แล้วผลักอกนายตำรวจให้ถอยออกไปห่างๆ
“ชาลี นี่ใช่ไหม เหตุผลที่คุณไม่ยอมนอนห้องเดียวกับผม เพราะคุณคิดจะนอกใจผมกับไอ้นี่" เจตรินชี้หน้ากัณต์ "คุณกล้าทำขนาดนี้ได้ยังไง คุณแอบนัดมันมาใช่ใหม ทำไม ทำไม ทำไมถึงทำแบบนี้" เจตรินตะโกนลั่น น้ำตาเริ่มไหล หน้าแดง ตัวสั่นด้วยความโกรธ "สารเลว เลวทั้งคู่"
“จะพูดเกินไปแล้วนะคุณเจตริน ระวังปากไว้บ้าง" กัณต์ตวาดเสียงกร้าว ถลันตัวไปข้างหน้าด้วยความโกรธ แต่ชาลีรีบดึงแขนเอาไว้
“ชาลี ผมจริงจังกับคุณขนาดนี้ ทำไมทำกับผมได้ลงคอ" เจตรินตัดพ้อ เปลี่ยนจากเสียงตะโกนเป็นเสียงขมขื่นและสั่นพร่าด้วยความเสียใจ หันไปหันมาอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี "คุณคบกับผม คุณให้ความหวังผม คุณอยากมีอนาคตกับผม แต่คุณแอบลักลอบมีอะไรกับมัน"
“บ้าไปแล้ว" กัณต์พึมพำ ท้ายประโยค เจตรินชี้หน้าเขาอีกครั้งพร้อมตะเบ็งเสียงดังลั่นจนได้ยินไปทั่วบริเวณ
“คุณมีอะไรกับมันใช่ไหม มิน่า คุณไม่ยอมมีอะไรกับผม เลวทั้งคู่ คุณทำตัวเหินห่าง คิดจะหลอกให้ผมรักแล้วทิ้งยังงั้นหรือ ทำไม ทำไมทำกับผมแบบนี้ เห็นผมเป็นอะไร เป็นไอ้หน้าโง่ ไอ้เจตริน แกมันโง่ เชื่อเขาไปหมด ฝันลมๆ แล้งๆ ผมนอนอยูใกล้ๆ ห่างคุณไม่ถึงนี่สิบเมตร แต่ผมก็ไม่รู้ คุณกล้าแอบมามีอะไรกับไอ้เลวนี่"
“เจตริน...” ชาลีคราง
“เอาเล๊ย ทำกันไปเล๊ย สะใจนักใช่ไหม ประกาศให้โลกทั้งโลกรู้ไปเลยว่าไอ้เจตรินมันโง่ แต่มันไม่โง่ มันรู้ มันรู้ว่ามีคนตั้งใจจะทำลายมัน มันรู้มาตลอด มันรู้แผนการทุกอย่าง แต่มันเก็บเงียบเอาไว้" เจตรินยกมือขึ้นกางออก หมุนไปรอบๆ ดังจะประกาศให้คนทั้งโลกได้ยินสิ่งที่ตัวเองกำลังพูด จากนั้นหันมาชี้หน้ากัณต์ "แกมันคือมารมาจากขุมนรก แกวางแผนทุกอย่างเอาไว้ แกตั้งใจจะมาแก้แค้นเรื่องในอดีต ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่มีทางหรอก ใครก็มาทำอะไรกูไม่ได้ ถึงแกจะมายุ่งกับชาลี แต่ชาลีไม่มีทางจะรักแก"
“จะบ้าไปกันใหญ่แล้ว" กัณณ์เสียงดังขึ้น ส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อว่าเจตรินจะแสดงอาการโกรธเกรี้ยวถึงขนาดนี้ แต่ชาลีกลับนิ่งจนเขาแปลกใจ
“ชาลี" กัณต์เรียกชายหนุ่ม
“คุณไปซะเถอะ" ชาลีเสียงเบา ต่างจากเมื่อครู่ราวเป็นคนละคน
“ชาลี"
“ไปซะ"
“ไป" เจตรินตะโกน "ไปให้พ้นทั้งสองคน ไปจากชีวิตกู ไปตายที่ไหนก็ไป"
“เจตริน...” ชาลีก้าวเท้าไปข้างหน้า พึมพำเรียกชื่ออีกฝ่ายเบาๆ เหมือนละเมอ กัณต์มองตามอย่างงงๆ เพราะไม่เข้าใจชาลี ไม่เข้าใจเจตริน ไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ชาลีดูนิ่งมาก จะว่าช๊อคที่เจตรินมาเห็นเขากำลังกอดจูบตัวเองก็ไม่น่าจะใช่
เขาคิดว่าชาลีอึ้งเพราะคาดไม่ถึงว่าเจตรินจะ 'คลั่ง' ถึงขนาดนี้มากกว่า
“ทำไมทำกับผมยังงี้ชาลี คุณไม่รู้หรือว่าผมทุ่มเทกับคุณมากแค่ไหน ผมแอบเอาเงินไปซื้อบ้าน แม่ก็ไม่รู้ พี่สาวก็ไม่รู้ ผมจะสร้างโรงพยาบาล เอาไว้เป็นบ้านของเรา คุณจะได้อยู่กับผมตลอดไป แต่คุณกลับมาหลอกผม" เจตรินเดินไปเดินมา คร่ำครวญเสียงอ่อนล้าสลับไปมากับเสียงแข็งกร้าว "เห็นผมเป็นอะไร เห็นผมเป็นไอ้โง่ยังงั้นหรือ ผมทุ่มเททุกอย่าง ผมหวังไว้ว่าจะมีอนาคตที่ดีด้วยกัน ผมคิดว่าคุณเป็นพระเจ้ามาโปรด มาทำให้ชีวิตผมมีความหมาย" เจตรินหันมามองชาลีด้วยสายตาเจ็บปวดหลังจากพูดเหมือนพร่ำอยู่คนเดียว แต่ทันใดก็ระเบิดเสียงโกรธเกรี้ยว "แต่คุณหักหลังผม คุณหักหลังผม มึง หัก หลัง กู"
ชาลีตะลึง! เจตรินควบคุมตัวเองไม่ได้เสียแล้ว
“โว๊ยยย ทำไมเป็นแบบนี้วะ กูกำลังจะตาย กูเป็นมะเร็ง กูไม่มีกำลังใจแล้ว" เจตรินกระทืบเท้า "แต่คุณให้กำลังใจผม บอกให้สู้ชีวิต ก้าวไปข้างหน้า แต่ผมไม่มีขา ผมขาด้วน ผมเป็นมะเร็ง ผมจะเดินไม่ได้ แต่คุณกลับมาทำลายมันเสียตอนนี้ แล้วจะอยู่ไปทำไม ตายไปเสียดีกว่าจะทนอยู่กับคนปากอย่างใจอย่าง ไป ออกไปจากรีสอร์ทนี้ มันเหม็น ทนไม่ไหวแล้วโว๊ย เหม็นกลิ่นคนเลว ไป ไปเดี๋ยวนี้ จะไปตายไหนก็ไป ไปสิ ไป๊" เจตรินชี้หน้าชาลีแล้วเดินตรงเข้ามาท่าทางคุกคาม กัณต์ก้าวไปขวางแล้วผลักเจตรินจนเซ
“อย่านะสารวัตร อย่า" ชาลีห้ามเสียงสั่น เริ่มจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจตริน
...ความจริงที่ว่าเจตรินเป็นมะเร็งนั้นเขาเห็นว่าก็แย่พออยู่แล้ว บางครั้งเขาเกือบจะสงสารเจตริน แต่ความเจ็บปวดในอดีตที่สั่งสมจนกลายเป็นความแค้นนั้นแรงกว่า เขาจึงยังคงคิดที่จะ 'ทำลาย' เจตรินต่อไปได้...
...แต่นี่ มันช่างชัดเจนเหลือเกิน...
ภาพในอดีตฉายขึ้นมาในความคิดของชาลี ตอนนั้นเขาไม่เข้าใจนักว่าเกิดอะไรขึ้น เจตรินเป็นเทพบุตร เป็นคนโรแมนติก อบอุ่น อ่อนโยน นุ่มนวล แต่ไม่นานก็กลายเป็นซาตานและเวลาโกรธก็ร้ายกาจมาก แต่เขาก็ยอมแลกตัวเองกับความทุกข์เวลาโดนเจตรินทำร้ายทั้งกายและใจ เพราะเจตริน 'ง้อ' เขาและ 'หวาน' กับเขาจนใจอ่อนทุกครั้ง และเมื่อเวลาเจตริน 'รัก' เขา ผู้ชายคนนี้ก็ทำให้ทุกอย่างรอบตัวเป็นสีชมพู โลกสดใสสวยงามเหลือจะบรรยาย
...ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเรียนแพทย์และเป็นแพทย์มาหลายปี คลุกคลีอยู่ในวงการจนเขารู้และพอจะเข้าใจว่าเจตรินที่เขากำลังเห็นตอนนี้เป็นเพราะกำลังเป็นโรคร้ายอีกโรคหนึ่งซึ่งแทบจะเรียกได้ว่าทุกข์ทรมานพอๆ กับการเป็นมะเร็ง...
...แต่กัณต์ไม่เข้าใจ...
“สารวัตร พอเถอะ พอที ผมขอร้อง" ชาลีดึงกัณต์ให้ถอยห่างจากเจตริน เป็นจังหวะเดียวกันที่พนักงานของโรงแรมสามคนกำลังตรงเข้ามาหา ตามหลังด้วยร่างสูงๆ ใบหน้าคุ้นตา
“พี่เอ็กซ์!” ชาลีอุทานเสียงเบา
“ไอ้เอ็กซ์" เจตรินตวาดเมื่อเห็นว่าใครวิ่งมากับพนักงานโรงแรม "แกมาทำไม แกอีกคนหรือไอ้เอ็กซ์ แกรวมหัวกับพวกมัน แกเป็นคนคิดแผนการหักหลัง"
“ชาลี เกิดอะไรขึ้น" กัณต์ขมวดคิ้ว หันไปถามชาลีอย่างสงสัย
“กลับกรุงเทพฯ เถอะ ไปเดี๋ยวนี้เลย" ชาลีลากแขนของกัณต์เดินลงจากเรือนพัก
...วิมาน นี่ไม่ใช่วิมานอีกต่อไปแล้ว ที่ไหนๆ ก็ไม่ใช่วิมาน...
...เขาอยู่ในนรกมาตลอด...
“แล้ว...” กัณต์หันไปมองเจตรินซึ่งกำลังโวยว่าด่าเอ็กซ์เหมือนๆ กับที่ด่าเขาและชาลี พนักงานโรงแรมกับเอ็กซ์พยายามห้ามแต่ก็ไม่มีประโยชน์
เจตรินควบคุมตัวเองไม่ได้เสียแล้ว!
เอกภพเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นในบ้านของชาลีโดยมีนาวินเดินตามมาเงียบๆ ชาลีนั่งนิ่ง ตามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย ไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่ามีคนเดินเข้ามาในห้อง เอกภพยื่นถุงพลาสติกในมือให้นาวินแล้วบอกให้เด็กหนุ่มขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน
“แต่ผมหิว...” นาวินเสียงอ่อย
“แบ่งเอาขนมไปกินในห้องก็ได้ แต่อย่าให้เลอะนะ เหลือก็เอามาเก็บในตู้เย็น" เอกภพสั่ง
“ครับๆ" นาวินพยักหน้า มองไปยังชาลีพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ และถามเอกภพว่า "พี่หมอจะเป็นไรไหมครับ"
“ไม่เป็นไรหรอกน่า พี่หมอเข้มแข็งจะตายไม่รู้หรือ" เอกภพตบไหล่น้องชายของเพื่อน "ไปได้แล้ว พี่จะคุยกับพี่หมอซะหน่อย"
“ผมเอาผลไม้ขึ้นไปกินด้วยนะ" นาวินขออนุญาต
“จะกินอะไรก็กิน" เอกภพพยักหน้า "แต่กินเสร็จต้องอาบน้ำก่อนนะ อย่างีบหลับไปก่อนอาบน้ำเด็ดขาด ไม่งั้นมื้อต่อไป อด"
“ครับๆ"
ครั้นพอ 'ไล่' นาวินไปได้แล้วเอกภพก็เดินเข้าไปนั่งลงข้างชาลี และยื่นมือไปแตะไหล่เพื่อน ชาลีหันมายิ้มให้บางๆ แล้วถามถึงนาวิน เอกภพชี้นิ้วขึ้นข้างบนบอกให้เพื่อนรู้ว่าน้องชายอยู่บนบ้าน จากนั้นจึงพูดกับชาลีว่า
“แน่ใจหรือเปล่าชาลี...”
“คุยกับอาจารย์พิมลแล้ว อาจารย์บอกว่าน่าจะใช่...”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ชาลี" เอกภพถอนหายใจ
“นายคิดว่าตั้งแต่ที่เรากับเจตรินรักกันงั้นหรือ" ชาลีเหยียดริมฝีปาก "ใช่ไหมเอก นายกำลังจะพูดว่าตอนนั้นเจตรินก็ป่วยแล้วยังงั้นหรือ จะบอกว่าเราไม่ควรจะถือสายังงั้นหรือ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราตอนนั้นเพราะเจตรินควบคุมตัวเองไม่ได้เพราะเขาเป็นไบโพลาร์ขั้นแรกๆ"
“จะให้คิดว่าเป็นยังไงล่ะ"
“ทำไมเราไม่รู้ล่ะเอก" ชาลีส่ายหน้า รำพึงเสียงแผ่วเบา ตามองออกไปนอกหน้าต่าง "ทำไมเราไม่รู้ เราน่าจะรู้ เราน่าจะเข้าใจ เราน่าจะ...”
“ตอนนั้นเพิ่งเรียนแพทย์ ยังไม่รู้เรื่องอะไรนี่นะ ใช่หรือเปล่า อีกอย่าง คนที่ไม่ได้ศึกษามาเรื่องนั้นจะไปรู้ได้ยังไง อย่างมากก็แค่คิดว่าเพราะเป็นนิสัยของเขาที่มีอารมณ์แปรปรวน" เอกภพปลอบเพื่อน "เพราะฉะนั้น ตอนนี้น่าจะเป็นเหตุผลที่ดีที่ควรจะเลิกคิดเรื่อง...”
“แก้แค้น...” ชาลีพูด
“เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร" เอกภพบีบไหล่เพื่อน "เราพูดอยู่บ่อยๆ ที่จริง ควรจะหยุดได้แล้วตั้งแต่รู้ว่าเจตรินเป็นมะเร็ง แค่นี้ชีวิตผู้ชายคนนั้นก็สาหัสพอแล้ว และตอนนี้รู้ว่าเจตรินเป็นไบโพลาร์ นายย่ิงไม่ควรจะ...”
“เราจะโหดร้ายได้ขนาดนั้นหรือเอก แต่อย่าลืมนะ เจตรินทำกับเราไว้มาก แผลที่สีข้างของเรายังเห็นเป็นแผลเป็นชัดเจน ที่ไหล่ก็ยังมี ที่กลางหัวใจก็ยังสดอยู่แม้จะผ่านไปสิบปี แล้วนี่ ถือว่าเป็นโชคดีของเจตรินหรือที่ป่วยแล้้วเราก็ต้องยกผลประโยชน์ให้แก่จำเลย"
“จำเลยท้องแก่ ศาลยังเมตตาเลย" เอกภพจ้องตาชาลี "แต่ชาลีเพื่อนของเรา เพื่อนคนที่รับน้องชายของเพื่อนที่ฆ่าตัวตาย เอามาเลี้ยงเป็นน้องของตัวเอง หมอของคนไข้เป็นพันๆ คน...”
“แต่เราก็ทำลายหัวใจของคนมาหลายคนเหมือนกัน...” ชาลีก้มหน้าลงมองมือของตัวเองที่วางหงายอยู่บนตัก "เราบีบคั้นหัวใจของใครหลายคนจนแทบจะแหลกสลายคามือมาแล้ว"
“วันนี้ก็ไม่สายหรอกชาลี" เอกภพทอดเสียงอ่อนโยน "แต่พรุ่งนี้อาจจจะสายเกินไป เรารู้ว่าเพื่อนของเราคนนี้เป็นคนจิตใจดีงาม ถ้าเพียงแต่ชาลีจะลืมอดีต และก้าวไปข้างหน้า"
“จะมีความหมายอะไร"
“มีสิ" เอกภพพูดเสียงหนักแน่น "คุณยุทธห้องแล๊ปยังรออยู่นะชาลี บ้านก็ใกล้กัน ถ้าสนามหญ้าหน้าบ้านนายรก ชวนคุณยุทธมาช่วยตัดก็ได้ เราแน่ใจว่าคุณยุทธต้องยินดีมาช่วยแน่ๆ คุณยุทธชอบออกกำลังกาย เหล้าไม่ดื่ม บุหรี่ไม่สูบ ไม่เที่ยวกลางคืน ตื่นเช้าก็ไปทำงาน เย็นก็กลับบ้าน วันพระก็ไปวัด แบบนี้หาได้ที่ไหน"
...แต่เขาไม่ได้รักยุทธนา...
...เขาไม่ได้รักยุทธนา...
...ไม่ได้รัก...
ชาลีวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะแล้วนั่งมองหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อรอตรวจคนไข้คนต่อไป เขาเพิ่งปิดโทรศัพท์เพราะไม่อยากคุยกับกัณต์ ความจริงเขาแค่ปิดเสียงก็ได้ถ้าไม่ต้องการรับโทรศัพท์ ซึ่งปกติเขาทำเป็นประจำเมื่อต้องตรวจคนไข้ แต่ชาลีไม่อยากจะเห็นว่ามีคนพยายามโทรศัพท์เข้ามาและบนหน้าจอแสดงให้เห็นว่ามีสายเรียกเข้าที่ไม่ได้รับสายจากหมายเลขเดิมถึงสิบกว่าครั้ง
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ชาลีเงยหน้าพร้อมกับยิ้มบางๆ เพื่อเตรียมตัวทักทายคนไข้ แต่คนที่ก้าวเข้ามาในห้องด้วยหน้าตาตื่นตกใจคือสาวิตรี พยาบาลประจำห้องตรวจและเป็นพยาบาลที่สนิทกับเขาที่สุด
“คุณหมอขา มีข่าวด่วนข่าวร้าย"
“คนไข้ยกเลิกนัดหมดหรือไง" ชาลีถาม
“ยิ่งกว่านั้นอีกค่ะ" สาวิตรียังไม่บอกข่าวที่ว่า
“พยาบาลนัดหยุดงาน”
“คุณหมอ ฟังดีๆ นะคะ คนไข้ของคุณหมอ นัดแรกของอาทิตย์หน้า เอ่อ...มาแล้วค่ะ"
“ใคร...ทำไมรีบมา"
“ตอนนี้เพิ่งทรานส์เฟอร์มาถึงค่ะ สาเพิ่งทราบ" สาวิตรียังไม่ยอมเข้าเรื่อง
“คุณสา หายใจลึกๆ แล้วตรงประเด็นเลย" ชาลีเตือน รู้สึกทั้งขำทั้งฉุนที่พยาบาลไม่บอกข่าวด่วนข่าวร้ายสักที
“คุณเจตรินไงค่ะ น่าสงสาร เป็นมะเร็งก็แย่พออยู่แล้ว แต่นี่เจออุบัติเหตุที่ชลบุรี ขับรถชนกับปิ๊คอัพ ตัวเองสาหัส สาได้ยินข่าวว่าเป็นอัมพาตครึ่งตัว...”
“อะไรนะ...” ชาลีเสียงแผ่วหายไปในลำคอ รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว หูอื้อ แทบไม่ได้ยินสิ่งที่สาวิตรีพูดต่อหลังจากคำว่า อัมพาตครึ่งตัว
...อาจาร์ย์วิสุทธิ์ยังไม่ฟันธงค่ะ แต่ก็ดูแน่ใจพอสมควร หมอวิริญที่ช่วยอาจารย์วิสุทธิ์ผ่าตัดก็เพิ่งมาเจ๊าะแจ๊ะให้ฟังเมื่อกี้ว่าอาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ญาติต้องทำใจ คุณเจตรินมีสิทธิ์เป็นเจ้าชายนิทรา...
ชาลีเดินไปตามทางเดินในโรงพยาบาลช้าๆ เสียง 'เล่าข่าว' ของพยาบาลประจำห้องตรวจของเขายังดังอยู่ในหัว เขารู้ดีว่า 'ข่าว' ทุกชิ้นที่ผ่านมาถึงสาวิตรีนั้นได้รับการกรองมาแล้วเป็นอย่างดี ไม่เช่นนั้นสาวิตรีก็คงไม่เปิดประตูห้องเข้าไปหาเขาเพื่อแจ้ง 'ข่าว' ให้ฟังทั้งๆ ที่กำลังจะตรวจคนไข้เพราะฝ่ายนั้นรู้ว่าเขาไม่ค่อยชอบจะรับรู้ความเป็นไปอื่นใดในโรงพยาบาลหากไม่ใช่เรื่องคนไข้ของตัวเอง
...แบบนี้เขาจะเรียกว่ากรรมตามสนองเจตรินเองได้หรือเปล่า...
...แล้วเจตรินผิดหรือ? ตอนนี้เขาลังเลที่จะตอบคำถามนี้...
...เขาลังเลมาก...
นายแพทย์ชาลีมาหยุดยืนอยู่หน้าลิฟท์เงียบๆ ตามองพื้นอย่างครุ่นคิด ครั้นประตูลิฟท์เปิดออกก็เปลี่ยนใจไม่เดินเข้าไป เขาหันหลังกลับ แล้วเดินย้อนกลับมายังห้องทำงานของตัวเอง เลิกล้มความคิดที่จะขึ้นไปเยี่ยมเจตรินบนห้องพักผู้ป่วย
พตต. กัณต์จอดรถที่หน้าบ้านของนายแพทย์ชาลีแล้วนั่งนิ่งอยู่ในรถนานกว่าสิบนาที ใจอยากจะลงไปกดกริ่งเพื่อเรียกชาลีให้ออกมาคุยกันให้รู้เรื่อง
คืนที่เขาพาชาลีกลับจากระยองหลังจาก 'มีเรื่อง' กับเจตริน ชาลีนั่งเงียบมาตลอดทาง ท่าทางใช้ความคิดอย่างหนัก และเมื่อมาถึงกรุงเทพฯ ชาลีก็หลบหน้าเขาได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว เขาอยากจะไปหาชาลีที่โรงพยาบาล แต่เขาก็ยุ่งมากกับเรื่องคดีต่างๆ ที่กำลังสะสาง
รวมถึงการ 'สืบสวน' อะไรบางอย่างที่เขาต้องการความแน่ใจก่อนที่จะมาหาชาลีในวันนี้
สิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับเจตรินทำให้เขาพูดไม่ออก!
เขาสืบประวัติเจตรินอย่างละเอียด!
เจตรินไม่ได้มี 'ดคีความ' กับชาลี หรือ 'อดิศวงศ์' เมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้วแต่เพียงคนเดียว แต่ทว่ามีคดีอื่นๆ อีก เช่น คดีทะเลาะวิวาท คดีทำร้ายร่างกาย คดีฟ้องร้องทางแพ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาล หรือแม้แต่คดีพยายามฆ่า!
ตลอดเวลาสิบปีผ่านมา มี 'อดิศวงศ์' ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเจตรินถึง 6 คน แต่ละคน 'สะบักสะบอม' เกือบจะพอๆ กับอดิศวงศ์ที่ภายหลังกลายมาเป็น 'ชาลี'
...หากเขาเป็นชาลี และหากเขาได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเกิด 'อะไร' ขึ้นกับเจตริน เขาจะยังคงโกรธ เกลียด และแค้นเจตรินได้หรือเปล่า...
...หากชาลีรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ชาลีจะทำยังไง...
...เขาอยากให้ชาลีเลิกมุ่งแต่ที่จะแก้แค้น และเปิดใจให้กับเขา...
กัณต์ถอนหายใจเบาๆ พลางก้มลงมองซองเอกสารสีน้ำตาลซึ่งวางอยู่บนเบาะข้างๆ ในนั้นมีข้อมูลของเจตรินอย่างละเอียด
ทุกอย่าง...แม้กระทั่งเทปบันทึกเสียงการสนทนาระหว่างเขากับ 'หมอ' ที่เคยให้การรักษาเจตริน
...ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าไบโพลาร์คืออะไร...
...เขาคิดว่ามันโหดร้ายและทรมานมากกว่ามะเร็งที่เจตรินกำลังต่อสู้อยู่...
ขณะที่ความคิดของกัณต์กำลังล่องลอยไปเรื่อย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น นายตำรวจหนุ่มรีบรับสายเพราะมองเห็นว่าเป็นหมายเลขของเจ้าของบ้านหลังที่เขามาจอดรถอยู่หน้าบ้านได้นานแล้ว
ชาลีบอกให้เขากลับไป!
“ผมอยากคุยกับคุณ" กัณต์พูด
“ผมไม่อยากคุย" ชาลีตอบกระชากเสียง
“แต่ผมอยากคุย" กัณต์ยืนกราน "ผมมีอะไรเกี่ยวกับเจตรินให้คุณดู"
...ตีเหล็กต้องตีตอนที่ร้อน ชาลีกำลังสับสน ชาลีต้องเลือกว่าจะทำยังไงต่อไป เอกสารในซองสีน้ำตาลจะทำให้ชาลีต้องติดสินใจว่าจะแก้แค้นเจตรินต่อหรือวางมือ...
“ผมไม่อยากดู" ชาลีกระแทกเสียง แต่กัณต์ไม่แปลกใจที่จะได้รับคำตอบแบบนี้เพราะรู้อยู่แล้วว่าคนอย่างชาลีก็คงต้องพูดแบบนี้
“ชาลีครับ ขอเวลาผมซักนิดเถอะ" กัณต์พยายามใจเย็น "ถ้าคุณไม่อยากเจอผมอีก ไม่อยากคุยกับผมอีก ผมก็ยอม แต่วันนี้ขอให้ผมได้เจอกับคุณ ได้คุยกับคุณสั้นๆ เป็นครั้งสุดท้าย"
...ไม่มีวันเสียล่ะ ถ้าไม่อยากเจอผมอีกผมไม่ยอมหรอก ผมเป็นตำรวจ ผมไม่ถอยง่ายๆ ผมต้องหลอกล่อ แม้จะต้องให้เอานาวินมาเป็นตัวประกันผมก็จะทำ...
“ทำไมต้องเป็นตอนนี้" ชาลีเสียงอ่อนลง "ผมยังไม่อยากคุยกับใคร ยังไม่อยากคุยอะไรทั้งนั้น"
“หลังจากที่เรากลับจากระยอง เจตรินทะเลาะกับเอ็กซ์อย่างหนัก แต่ในที่สุดก็กลับไปที่ห้องพัก กลางดึก มีคนไปหาเจตรินที่ห้อง คุณอยากรู้ไหมว่าใคร"
“ผมไม่อยากรู้" ชาลีกระแทกเสียง
...ทำไมเขาจะไม่รู้ กัณต์พูดแค่นี้เขาก็นึกออก ไวโรจน์ร้ายน้อยเสียเมื่อไหร่ ยิ่งเจตรินกำลังคลั่งอยู่แบบนั้น เจอไวโรจน์เข้าไปอีกคน จะเหลืออะไร...
“พรุ่งนี้ผมจะไปเยี่ยมเจตริน ไปขอโทษ" กัณต์พูดขึ้น
“อย่านะ อย่าไปเด็ดขาด" ชาลีรีบห้าม
“ผมไม่น่าไปยั่วยุเขาแบบนั้น ถ้าผมเงียบ ไม่ต่อปากต่อคำ เขาก็คงไม่สติแตกขนาดนั้น เขาทะเลาะกับเอ็กซ์ ทะเลาะกับไวโรจน์ที่มาหาถึงห้องเพราะคิดว่าเป็นห้องของคุณ ไม่รู้ว่าทำไมถึงเข้าใจผิดได้ถึงขนาดนั้น เจตรินเสียใจมาก ดื่มเหล้าจนเมา แล้วก็คงรู้สึกผิดที่ตะเพิดคุณแบบนั้น เลยขับรถตามมากรุงเทพฯ แล้วก็...”
“พอที" ชาลีห้าม "ไม่ต้องเล่า คุณกะจะให้ผมรู้สึกผิดหรือไง"
“แล้วคุณรู้สึกยังไงล่ะ" กัณต์ย้อนถามทันที
...ชาลีกำลังสับสัน เขาต้องใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์...
...ชาลีต้องเลือก...
...เลือกว่าจะจมอยู่กับอดีต หรือจะหลุดพ้นจากมัน...
***24***
อีกตอนเดียวจบครับผม