Improbable 4 : เมฆตั้งเค้า
ผมนั่งอยู่บนเตียงในห้องพยาบาล สายตามองไปยังการสนทนาของพี่โตกับพี่กันย์ทคี่ชักจะยืดเยื้อไปเรื่อยๆด้วยความสนอกสนใจ ข้างตัวผมก็มีร่างของไอ้เป้ เด็กใหม่ นั่งยองๆมองขาใหญ่ทั้งสองที่นั่งคุยกันอยู่ เป้มันพยายามจะถามถึงเรื่องที่พวกนี้คุยกันจากผมเป็นพักๆ แต่ใครจะตอบล่ะครับ ปล่อยมันให้เผชิญนรกของเด็กใหม่ไปน่ะดีแล้ว...อุ๊ย..พุดเล่นครับ หมายถึงผมก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากนัก เลยไม่มีอะไรจะเล่า บวกกับสายตาจ้องเขม็งของพี่โตที่กราดมาทางนี้ทุกๆสามนาที มันบอกให้ผมรู้ตัวอ้อมๆว่า ควรจะนั่งเงียบๆอยู่อย่างนี้ดีกว่า..
" ป่ะ ไปได้แลว " สักพักใหญ่ๆ ในที่สุดพี่โตก็เดินมาหาผมแล้วออกปากชวน ผมมองเห็นพี่กันย์ปรายมาตามองเราสองคนแล้วถอนหายใจเฮือก ด้วยท่าทีหน่ายใจยังไงชอบกล..
" แล้วผมล่ะพี่ " เป้มันถามออกมา ทำให้พี่โตที่มีท่าทีอารมณ์ดีชะงัก ก่อนจะหรี่ตาลงแล้วชี้ไปที่พี่กันย์
" มึงเป็นลูกน้องไอ้กันย์แล้ว ถามมันโน่น " ว่าแล้วก็จองหน้าไอ้เป้แล้วถลึงตามใส่มัน " อย่าทำตัวมีปัญหาล่ะมึง "
" ครับๆ " ไอ้เป้ในพยักหน้ารับและหันไปมองหน้าพี่กันย์บ้าง รายนั้นก็มองหน้าไอ้เป้แค่เเว้บเดียวแล้วหันไปสนใจรายงานบนกระดาษขาวๆต่อ
เมื่อหมดธุระกับการฝากฝังลูกน้องที่ตัวเองไม่ต้องการให้คนอื่นแล้ว พี่โตก็คว้าตัวผมออกจากห้อง ปล่อยให้ลูกน้องกับนายใหม่สองคนคุยกันเอง..และถ้าตามไม่ฝาด ผมว่าเห็นสีหน้าหน่ายๆของสองคนนั้นชัดเจน..
" ตกลงจะให้ไอ้เป้มันไปเป็นลูกน้องพี่กันย์จะดีเหรอพี่? " ผมถามพี่โตหลังจากโดนลากคอออกจากห้องพยาบาลแล้ว
" อือ ดีสิ กุขี้เกียจเห็นหน้า " พี่โตรับคำแล้วยักไหล่
" ไม่ใช่แบบนั้น ก็ไอ้เป้มันนอนอยู่ห้องเดียวกับเรา ถ้าคุยอะไรกัน มันไม่ลอดไปถึงหูพี่กันย์หรอกเหรอ? "ถึงจะบอกว่าอยู่แกงค์เดียวกันแล้ว แต่ต้างก็ต้องมีความลับหรือเรื่องที่ควรรู้กันแค่พรรคพวกของแต่ละฝ่ายอยู่ละครับ ถ้าให้ไอ้เป้ที่เข้ามาไปเป็นลูกน้องพี่กันย์ มันก็เหมือนทำให้ตัวเองมีพวกอื่นอยู่ในห้องชัดๆ
" มันจะรู้ก็ช่าง เพราะถึงยังไงเรื่องสำคัญๆ...กุก็ไม่ให้มันลอดไปถึงหูไอ้เหี้ยนั่นหรอก.. " พี่โคว่า ก่อนจะหรี่ตาลงน้อยๆ "อีกอย่าง กูว่า...มันน่าสงสัย...."
" หือ? " ผมครางเบาๆ พลางมองหน้าคนพูด
" ให้ไอ้กันย์มันดูน่ะดีแล้ว กูดูออกว่าไอ้สองคนนี้มันก็คล้ยๆกันนี่ล่ะ แม่งร้ายทั้งคู่ ปล่อยให้พวกมันกัดกันเองมา อยู่กับกู ถึงกูจะดูออกบ้าง แต่มัวเอาเวลาไปสนใจมึงยังไงก็ได้เรื่องไม่เท่าไหร่ อีกอย่างก็เสียเวลา เสียสายตากู " พี่โตว้า ทำให้ผมพยักหน้ารับหงึกๆ และเอะใจในวินาทีต่อมาว่า...ที่แท้พี่ก็ขี้เกียจดูมันใช่ไหม?
" อย่าเอาผมมาอ้างน ่า"ไอ้เนมทำหน้านิ่วใส่พี่โต "แล้วที่ว่ามีอะไรนี่.."
" กูว่าช่วงนี้ต้องระวังตัว " พี่โตว่าสั้นๆ "ตั้งแต่ไอ้เป้มันบอกว่าป๋าสั่งมันมา...กูก็รู้แล้ว ว่าพวกแม่งต้องมีอะไรแน่ๆ.."
".........." ผมเงียบพลางมองหน้าพี่โตที่มีสีหน้าครุ่นคิด
" ไอ้พวกนั้นมันจะทำอะไรอีกก็ไม่รู้ " พี่โตบ่นออกมาเบาๆ " ได้กลิ่นตุๆลอยมาเลยล่ะ "
" แล้วแบบนั้น พี่เฝ้าเองยังจะดีกว่าไม่ใช่เหรอ? ให้พี่กันย์เฝ้าก็ใช่จะ.."
" ก็ใช่..แต่ไอ้กันย์...มันก็ ไม่ยอมให้พวกนั้นหลอกใช่หรอกนะ..." พี่โตว่า ทำให้ผมเลิกคิ้ว มองหน้าคนพูดอย่างสงสัยปนทึ่งหน่อยๆ
" โห..นี่ญาติดีกันแล้ว? "
" พวกกูไปทะเลาะกันตอนไหน? " พี่โตขมวดคิ้ว ออกปากถาม
" แน่ใจเหรอครับ...ว่าไม่ได้ทะเลาะกันนะ " เห็นประจำเถอะ คุยกันก็กระโชกโฮกฮากจนพี่กันย์แกเบื่อจะพูดด้วยทุกทีไป
" หึหึ นั่นแค่ละคร "
"อ้อ งั้นความจริงก็สนิทสนม ? คุ้นเคย คุยกัน..."
" พอๆ อย่ามาลากไปเรื่องอื่น .." พี่โตปรามเมื่อพบว่าผมชักจะลากเรื่องของตัวเองกับพี่กันย์ไปในทางชู้สาว " คุยกันน่ะ ในต้องรู้ทันกันเว้ยบ ทะเลาะอะไรกันน่ะเรื่องปกติ แต่ไม่เคยมีปํญหาใหญ่ เข้าใจไหม? "
" อืม... " ผมพยักหน้ารับ..
" อ้อ จริงสิ " เงียบไปสักพัก รายนั้นก็หันมามองหน้าผมเหมือนนึกขึ้นได้ "วันนี้วันอาทิตย์นี่ แม่มึงมาเยี่ยมรึเปล่า ?"
" มาครับ..ทำไมเหรอ? "ผมถามกลับ ทำให้พี่โตชะงักไปเล็กน้อย ก่อนรายนั้นจะหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้านิ่งๆ ท่าทางนั้นทำให้ผมรู้ทันที ว่ามีอะไร
" พี่กิ๊งมาเยี่ยมเหรอ ? "
" อืม .... " พี่โตรับคำเบาๆ นัยน์ตายังจ้องหน้าผมอยู่
" ก้ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ พี่เขามาเยี่ยมนานๆที ออกไปเดี๋ยวคงได้เจอกัน " ผมว่าช้าๆ พลางเอื้อมมือไปจับมือพี่โต รายนั้นพยักหน้ารับช้าๆ แล้วบีบมือผมตอบ ขณะที่เราสองคนพากันเดินไปที่อาคารเยี่ยมของเรือนจำ...
ความเงียบก่อตัวช้าๆ ภายในห้องพยาบาล มีเพียงเสียงพลิกกระดาษเบาๆดังขึ้นเป็นครั้งคราวเท่นนั้น นัยน์ตาของกันย์ยังคงก้มมองกระดาษรายงานในมืออย่างมีสมาธิ และนัยน์ตาอีกคู่ของเด็กใหม่ก็จ้องมองมาที่ตัวเขาไม่กระพริบเช่นกัน ทั้งคู่ได้แต่ปล่อยความเงียบให้ลอยผ่านไปช้าๆ แม้ต่างฝ่ายจะมีท่าทีใจเย็นไม่รีบร้อนอะไร ทว่าความอดทนของคนมองก็ใช่จะมีมากเช่นกัน
เป้ลุกขึ้นจากท่านั่งยองๆของตัวเองมานั่งบนเตียง จ้องมองใบหน้าของลูกพี่ใหม่ที่ยังคงจับจ้องหน้ากระดาษสีขาวนั้นแล้วก็ถอนหายใจเอือก และในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายหมดความอดทน...
" ว่าไงพี่..ตกลงมีอะไรจะคุยรึเปล่า ? "
" แล้วมีอะไรจะถามมั้ยล่ะครับ ? " กันย์เงยหน้าขึ้นจากแผ่นกระดาษ ออกปากถามสั้นๆ และก้มลงไปมองรายงานในมือต่อ..
" มี..." เป้ถอนหายใจเฮือก พลางจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาหงุดหงิด " ที่อยากถามคือมีไรให้ทำ งานจะมาเมื่อไหร่? "
" ไม่ทราบครับ " กันย์ตอบกลบสั้นๆ " อยากรู้ก้ไปถามโตเอาเอง "
" อ้าว...ก็เมื่อกี้พี่โตมันบอกว่าผมเป็นลูกน้องพี่แล้วไง ไปถามมันให้โดนกระทืบอีกทำไมล่ะ พี่นั่นแหละ เป็นหัวหน้าผมก็ต้องตอบสิ " เป้ขมวดคิ้ว ออกปากถามอีกฝ่ายอย่างหงุดหงิด
" คำตอบมันก็อยู่ในคำถามแล้วนี่ครับ...ในเมื่อผมเป็นหัวหน้าคุณ จะบอก ก็ต่อเมื่อมีงานมา ไม่ได้มีหน้าที่รับคำสั่ง...." น้ำเสียงเรียบๆนั้นดังออกมาพร้อมกับนัยน์ตาคู่นั้นที่หันมาจ้องมองเพียงชั่วครู่ แต่เป้ก็ต้องเงียบ เมื่อมองเห็นแววตาแห่งความไม่พอใจในดวงตาคู่นั้นชัดเจน..
จ้องมองท่าทีของหัวหน้าคนใกหม่ที่มันยังเงียบอยู่อย่างนั้นแล้วก็นึกรำคาญใจเป็นที่สุด เป้ไม่ชินเลยที่ต้องมาเจอคนแบบนี้ กับป๋าก็ทีล่ะ แต่รายนั้นยังมีท่าทีใจดี แบ่งรับแบ่งสู้กันได้อยู่ ไม่ได้มีท่าทีนิ่งๆเงียบๆ ไม่สะทกสะท้านใจอะไรแบบนี้ มองเห็นแล้วมันน่ารำคาญปนอึดอัดเสียงจริงๆ
" หึ...แหม ท่าทางแบบนี้ดูจะฉลาดกว่าเหี้ยพี่โตเยอะนี่...ทำไมพี่ไม่ได้เป็นหัวหน้าว่ะ " เป้เลิกคิ้ว พลางออกปากถามคนตรงหน้า เขายิ้มมุมปากด้วยท่าทีสบายๆ
" ไม่รู้สิครับ...เพราะความฉลาดมันไม่ได้วัดกันจากคำพูด ตำแหน่งหน้าที่หรือลักษณะท่าทางภายนอก... " กันย์ตอบเรียบๆ ก่อนจะปิดรายงานลงช้าๆ และหันมาจ้องใบหน้าของเด็กใหม่ ลูกน้องคนใหม่ของตนให้ชัดตา " แล้วผมก็ใช่จะดีใจหรอกนะ ถ้ามีใคร...มาชมว่าสมควรเป็นหัวหน้าคนคุก "
" อ้อเหรอ.....เป็นพวกคุณธรรมสูงแล้วพลาดงั้นเหรอครับ ถึงไม่ดีใจน่ะ แปลกจังแฮะ ทำไมชอบเจอแต่คนพวกนี้อยู่เรื่อยๆ " เป้หัวเราะหึหึ พลางมองหน้าลูกพี่ของตัวเอง
" ก็จริงครับ เพราะอย่างน้อยคนดีที่ทำพลาด ก็ยังดีกว่าคนเลวที่ยังไงก็ไม่มีทางคิดอะไรดีๆ " กันย์ลุกขึ้จากเก้าอี้ ก้มหยิบคลิบบอร์ด มาไว้ในมือและจัดเอกสารบนโต๊ะด้วยท่าทีอารมณ์เย็น..
" ....แล้วก็..." กันย์เปรยขึ้นมาช้าๆเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบเสียงไป " เรื่องงานที่อยากจะทำ หรือเรื่องงานที่ได้รับมอบหมายมาให้ทำ "
"........."
" ก็รอให้ถึงเวลาอันควรก่อนแล้วกันนะครับ..." ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท " ถ้าว่างๆไม่มีอะไรทำก็ควรจะไปปลูกผัก ถางหญ้า หรือรดน้ำตเนไม้กับคนอื่นๆได้แล้ว .. และเสียใจด้วยนะครับ ที่ยังไงก็ต้องทำงานกับพวกที่คุณไม่ชอบขี้หน้าอยู่ดี "
" เหอะ แล้วแบบนี้จะให้มาอยู่กับพี่ทำไมว่ะ " เป้บ่นขึ้นมาอย่างหงุดหงิด
" ไม่รู้สิครับ บางคนนึกเกลียดขี้หน้าใคร ก็ใช่จะมีเหตุผลจำเป็น " กันย์ยักไหล่ ไม่ได้สนใจคำถามนั้นมากนัก
เป้ลุกมาจากเตียงที่ตัวเองนั่งอยู่ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ลุกพี่ของตัวเอง เขายกรอยยิ้มมุมปากด้วยท่าทีคุ้นชิน และมองหน้าหัวหน้าใหม่ของตัวเองด้วยท่าทีชอบอกชอบใจ
" หึหึ ชักจะชอบพี่ขึ้นมาแล้วนะเนี่ย...."ว่าพลางวหัวเราะเบาๆ " ได้คุยกันแล้วยิ่งงงว่ะ ว่าทำไมพวกป๋าเอย ผู้พันเอย รึแม้แต่ลุงชาติ ทำไมถึงได้ให้ไอ้พี่โตเป็นลูกพี่ "
" อยากรู้ก็ไปถามเองสิ " กันย์ถอนหายใจกับการต่อปากต่อคำที่ไร้ประโยชน์ เขาหรี่ตาลงช้าๆ เริ่มเข้าใจว่าทำไมไอ้โตไม่อยากเอามันอยู่ใกล้ๆ เพราะแค่ที่เขาเจอวันแรกนี่..มันก็ชวนปวดหัวและน่ารำคาญเสียจริงๆ
" แล้วถ้าเป็นไปได้ ก็อย่าพูดมาก ให้ตัวเองน่ารำคาญมากกว่านี้นะครับ เพราะถึงผมจะไม่เอะอะก็กระทบเหมือนโตมัน แต่ก็ใช่ว่าจะอารมณ์ดีได้ตลอด "
" ตามนั้นๆ ลกพี่ " เป้ยักไหล่ รับคำ
" ถ้ารู้แล้ว....."
กันย์ชะงัก หรี่ตาลงเมื่อได้ยินเสียงเอะอะแว่วมาใกล้ เขาขมวดคิ้วก่อนจะถอนหายใจเฮือก และวางของในมือลงบนโต๊ะแทบจะในทันที
ปึง..
เสียงเปิดประตุดังขึ้นพร้อมกับร่างของลูกน้องคนหนึ่งในกลุ่ม มีคนสี่ห้าคนเดินเข้ามาด้วย ร่างของคนป่วยมีแผลเลือดโชกอยู่ตรงกลางฝ่าเท้า ขณะที่พรรคพวกส่งเสียงเอะอะดุน่าปวดหัวยิ่งนัก
" เป็นอะไรไป? " กันย์ออกปากถามสั้นๆ พลางขมวดคิ้ว
" มันโดนหินบาด เสือกไปขุดแปลงผักแล้วไม่ใส่รองเท้า สมน้ำหน้าเอ๊ย " วิทย์ตอบพลางส่ายหัวปลงๆ กันย์มองคนป่วยก่อนจะหันมามองหน้าตนถามเสียแว้บนึง พยักหน้ารับและเดินไปเอากล่องปฐมพยาบาล
" จะ...จะโดนเย็บมั้ยว่ะพี่ กูไม่อยากโดนเย็บตีน " เสียงคร่ำครวญของไอ้ลูกน้องใจเสาะ ทำให้วิทย์ฟังแล้วอยากจะเอามือไปฟาดหัวมันซักสี่ห้ารอบ
" ใครจะยอมมาเย็บตีนให้มึง ไอ้ห่า ถ้ามันหนักขนาดนั้นก็เลือดออกตีนตายซะเถอะ " ว่าแล้วลูกพี่ก็ขยับตัวห่างจากเตียง ปล่อยให้กันย์เริ่มทำแปผลให้คนเจ็บ นัยน์ตาคู่นั้นกวาดมองรอบห้อง ก่อนจะขมวดคิ้วๆเมื่อมองเห็นเด็กใหม่..
" อะไร? ไอ้กันย์ มึงเอาเด็กใหม่มาเป็นพวกเหรอ? "คำถามนั้นทำให้บรรดาลูกน้องในแกงค์หันมามองตามลูกพี่มันทันควัน เป้มีสีหน้าปกติ ขณะที่กันย์ซึ่งกำลังทำแผลอยู่ถอนหายใจเฮือก
"ก็เปล่า ไอ้โตมันพามาให้ "
" อ้อ.... ไปกวนตีนมันมากก็ง้แหละ " วิทยพยักหน้ารับช้าๆ เขาเหลือมองกันยืเพียงชั่วแว้บ ก่อนจะหันไปมองหน้าเด็กใหม่พลางหรี่สายตาลงช้าๆ " แต่ก็ดีแล้วว่ะ อยู่กับไอ้โตได้ช้ำในตายแน่ "
" นั่นสิ " เมฆที่เดินไปปิดประตูหยักหน้าหงึกๆ เป็นการยืนยันความคิดร่วมกับอีกฝ่าย
" ก็บอกรายนั้นให้เพลาๆด้วยแล้วกัน " คนทำแผลได้ยินแล้วจึงออกปากบอก ทำให้วิทย์หัวเราะหึหึ
"ไม่บอกเองว่ะ ไม่กล้าพูดรึไง" ว่าก่อนจะหน้านิ่วเมื่อเมฆเอามือฟาดแขนไม่เบานัก
" รายนั้นจะหาว่าชวนทะเลาะสิ " กันย์ขยับยิ้มเมื่อได้ยินเสียงเพี๊ยะแว่วเข้าหู
"เออๆๆๆ " วิทย์รับคำห้วนๆแล้วเอามือลูบแขนตัวเองไปมา จ้องหน้าคนทำที่ตวัดตาค้อนมาให้ตนแล้วก็โกรธไม่ลง จึงได้แต่ยกมือลูบหัวเมฆเบาๆ ท่าทางนั้นทำให้กันย์ซึ่งเงยหน้ามาจากบาดแผลของคนป่วยชะงัก เขาหรี่ตาลงน้อยๆ ก่อนจะยืดตัวขึ้นและถอนหายใจอีกเฮือก
" พี่จะไหนต่อ " เมฆออกปากถามกันย์ที่เดินไปเอาก่องปฐมพยาบาลไปเก็บ ทำให้คนข้างกายชะงัก สีหน้าเริ่มบูดบึ้ง
" ตรวจรายชื่อน่ะ ..พวกที่มีญาติมาเยี่ยม "
" จะไปก็ไปสิ " วิทย์ออกปากตัดบทสั้นๆ " เดี๋ยวพวกกูเฝ้าห้องเอง
" ไม่เป็นไรครับ รออีกสักพักก็ได้ " กันย์ยกยิ้มุมมปาก ออกปากตอบอีกฝ่าย
" ไม่มีใครขโมยขาเตียงมึงหรอกโว๊ย... เฝ้าเหี้ยไรนักหนา " วิทย์หน้าบึ้ง ตะโกนใส่
" ช่วยไม่ได้ครับ มันเป็นหน้าที่ " กันย์ตอบเรียบๆสีหน้าไม่สะดุ้งสะเทือน
วิทย์ถอนหายใจฟึดฟัดแล้วหันไปนั่งลงบนเตียงพยาบาลที่ว่างอยู่ เมฆนั่งลงข้างๆเจ้าตัวแล้วออกปากบ่นปนกับปลอบให้เจ้าตัวเลิกโมโห เสียแต่ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นเมื่อพบว่า"พี่ชาย"ของเขายังส่งสายตาห่วงใยมาไม่ขาด ไอ้รู้สึกดีมันก็ใช่หรอก แต่พอพี่วิทย์มันเห็น มันก็ฟึดฟัดออกมาไม่เลิกเหมือนเคย และดูหมือนกันย์จะสนุกดีกับการยั่วโมโหวิทย์เสียด้วย
ขณะที่เหตุการ์ณทุกอย่างอยู่ในสายตาของเด็กใหม่นามว่าเป้ เขามองคนสามคนที่ยังคงมีท่าทีฮึดฮัดและออกปากโต้เถียงกันเป็นครั้งคราวด้วยดวงตาวาววับ เพราะดูท่าทีว่า แดนสิบสองที่ดุเผินๆเหมือนจะสงบสุขและถุกควบคุมไว้ได้แล้ว แต่ทว่าก็ยังมีบางอย่างที่ยังจัดการไม่ได้อยู่เช่นกัน..
...
ผมนั่งอยู่บนม้ายาว ข้างๆก็คือพี่โตที่นั่งนิ่ง ต่างคนก็ต่างนั่งรอคนที่บอกว่าจะมาเยี่ยม ผมนั่งรอแม่..ส่วนพี่โต ก็นั่งรอ...แฟนสาว คนนั้น
ถามว่าผมรู้สึกแย่ไหม..ยอมรับว่ามันก็..มีบ้าง แต่ไปๆมาๆ มันก็คล้ายกับเป็นความเคยชินอย่างหนึ่ง ไม่ได้อยากจะยอมรับมัน แต่ว่ายังไง มันก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี
เมื่อสามปีที่แล้ว พี่โตเล่าใฟ้ผมฟังแค่สั้นๆว่ายังไม่ได้เลิกกับพี่กิ๊งแฟนสาว และ...แค่บอกให้เธอพยายามหาคนใหม่เท่านั้น
คำพูดที่ว่า...การจะทิ้งเธอ คนที่แสนดีรอคอยมาตลอดหลายปีเพื่อผมนั้น..มันใจร้ายเกินไป ..ทำได้แค่ให้พี่กิ๊ง..มองหาคนอื่น บอกให้เขามองหาคนอื่นบ้าง และ ไม่จำเป็นจะต้องมาเยี่ยมเยียนอะไรกันทุกอาทิตย์ พี่โตพยายามจะให้เธอห่างหาย..และตัดใจไปมีคนอื่นเองโดยที่ตัวเองไม่ต้องบอกเลิก หวังว่าสักวันพี่กิ๊งจะมาบอกว่ามีคนอื่นที่รักแล้ว แบบนั้นมันจะดีกว่าที่จะออกปากทิ้ง..
จะว่าไงดัล่ะ ผมก็เข้าใจนะ ถ้าเป็นผม ผมก็คงไม่อาจจะทิ้งไปได้ พี่กิ๊งที่ผมรู้จักนั้นช่างแสนดีและน่ารักเหลือเกิน ดีเสียจนผมก็จะโกรธจะเคืองอะไรพี่โตไม่ลง
ยอมรับว่าเจ็บอยู่บ้างที่พี่โตไม่กล้าทิ้งเขาเพื่อคนอย่างผม แต่คำตอบก็ชัดเจนอยู่ในตัวแล้ว เราสองคนยังไงก็เป็นผู้ชาย ในนี้อาจจะรักกันได้ ถ้าวันนึง ออกไปข้างนอกล่ะ จะมีคนยอมรับเราเหมือนสังคมในเรือนจำงั้นเหรอ มันก็ไม่แปลกหรอกที่พี่โตจะยังไม่กล้าทิ้งพี่กิ๊ง
เพื่อว่าสักวันหนึ่ง ได้ออกไปข้างนอกนั่น อาจจะได้เป็นเพื่อน หรืออาจจะกลับมาเป็นอย่างเดิมได้
กาคบหากันของผมกับพี่โต ไม่ได้มีข้อผูดมัดใดนอกเหนือจากความสัมพันธ์ เรายังคงเป็นเค่" คนข้างๆกัน " เหมือนเช่นเมื่อสามปีก่อน
ยังไม่มีใครออกปากบอกว่ารัก และการคบกันก็ยังคล้ายกับการเดินถอยหลัง รอว่าสักวันใครจะเป็นฝ่ายหมดรักหรือขอเลิกก่อน
หรือไม่ก็รอว่าวันไหนใครจะได้ออกจากเรือนจำไป เพราะเมื่ออกไป ความสัมพันธ์คงไมแคล้วต้องขาดสะบั้น
เพราะเหตุนั้น เรื่องการแต่งงานหรืออะไรพวกนั้นน่ะ ทำไป.... ก็เท่านั้น ทำไปก็เปล่าประโยชนื มีผลก็แค่ตอนอยู่ในเรือนจำ ส่วนเวลาเมื่อเราออกไปข้างนอกนั้น มันก็ไร้เความหมาย
ช่วยไม่ได้ที่ผมกับพี่โตต่างก็คิดแบบนั้น เราถึงได้พยายามจะกุมมือกันให้แน่นที่สุด...และหวังว่าจะมีความสุขที่สุดก่อนที่เวลานั้นจะมาถึง
" นายธรณินทร์...ญาติมาเยี่ยมแล้ว " เสียงผู้คุมดังขึ้นทำให้ผมละออกจากภวังค์ ผมหันไปมองหน้าพี่โตที่มองไปยังพี่กิ๊งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างนอก นัยน์ตาคู่นั้นหันมามองผมชั่วครู่ยิ้มบางๆให้ แล้วเดินออกไป
ผมหรุบตาลงช้าๆ ถึงจะชิน มันก็รู้สึกแย่อยู่นั่นล่ะ..
แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะยังไงมันก็เป็นแบบนี้ ไม่มีอะไรจยืนยงถาวรตลอดไปหรอก ผมรู้ พี่โตก็รู้ เพราะอย่างนั้นจะผูกมัดกันไปทำไม
เพราะต่อให้สัญญาสาบานหรือทำอะไร พอถึงเวลาจะจากไป ของพวกนั้นมันก็ไร้ค่า ทั้งนั้น
ผมลุกขึ้นเมื่อผู้คุมเรียก หันไปมองคนที่มาเยี่ยม แต่ก็ต้องชะงัก....นิ่งไปเมื่อเห็นว่าแม่มากับใคร..
มากับคนที่ผมคิดถึง..มากที่สุดอีกคนหนึ่ง คนที่ตลอดสามาปีมานี้ไม่เคยโผลหน้ามาเยี่ยมผมเลย
ผมค่อยๆเดินเข้าไปหาทั้งสองคน ผู้หญิงทั้งสองคนที่ผมรักที่สุดยังคงยิ้มอ่อนหวานมาให้ สายตาผมจับจ้องเด็กสาว..สาวน้อยตัวเล็ก นัยน์ตาสุดใสและใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความปิติยินดีที่ได้เจอผม
ผมเอื้อมมือไปหาเธอ คว้ามือคู่นั้นมากุมไว้ช้าๆ และจ้องมองใบหน้าที่คุ้นเคยดีคู่นั้น
สามปีแล้ว สามปีที่ผมไม่เห็นเธอ สามปีที่ทราบเพียงข่าวคราว ทำได้เพียงส่งผ่านความห่วงใยไปให้เธอ และหวังว่าสักวันเธอจะมีอาการดีขึ้น พอที่จะหันมายิ้มให้ผมได้อีกครั้ง สักวันที่เธอจะมาเยี่ยมผมได้..
" พี่เนม " น้ำเสียงใสๆของเธอกระซิบพร้อมกับจับมือผมไว้แน่น ทำให้ผมยิ้มออกมา ด้วยริมฝีปากสั่นระริก...
" น้ำ.... "
"...คิดถึงจังค่ะ " เธอตอบผมเบาๆ พลาวลุกขึ้นกอดไว้แน่น ผมกอดร่างน้องสาวตัวเองไว้ น้ำตาไหลพราก ความรู้สึกผิดที่ยังคงติดอยู่ในใจเหมือนถูกปลดเปลื้องไปมากกว่าครึ่ง เพราะที่ผ่านมา ผมคิด คิดมาตลอดว่าเพราะการกระทำของตัวเอง ทำให้แม่ต้องเสียใจ และทำให้น้อง..ต้องกลายเป็นคนจิตไม่ปกติ...ไม่สามารถรับความจริงอันโหดร้ายเกี่ยวกับตัวผมได้..
" หาย...แล้วเหรอ? " ผมถามกลับเบาๆ หลังจากละอ้อมกอดมาได้และนั่งลงบนม้าหิน น้ำยิ้มให้ผมช้าๆ น้องสาวของผมยังคงน่ารักเหมือนเก่า..
" ค่ะ ตอนนี้น้ำจะจบมอหกแล้วนะ " เจ้าตัวเล่าด้วยสีหน้ารื่นเริง " วันนี้เค้าทำกับข้าวมาให้พี่เนมด้วยล่ะ "
" ไหน..ชิมหน่อยสิ อร่อยรึเปล่า ? " ผมยิ้มออกมา ถามเจ้าตัวอย่างยกล้อ จนน้ำค้อนใส่ ผมหันไปหาแม่ แม่ยิ้มให้แล้วเอื้อมมือมาจับมือผมแน่น
" หมออนุญาติให้มาหาเนมได้แล้วน่ะ ตอนนี้เหลือแค่ไปตรวจอะไรปีละครั้งเท่านั้นเอง " คำตอบของแม่ทำให้ผมพยักหน้ารับ มองหน้าน้องสาวตัวเองที่เริ่มเอาปิ่นโตมาวางลงบนโต๊ะม้าหินอ่อน และชักดชวนให้ผมกินด้วยสีหน้ารื่นเริง
ผมจับช้อนขึ้นมาทานตามที่เจ้าตัวชี้ให้ สายตาจับจ้องไปหน้าแทบจะไม่กระพริบ ดีใจเหลือเกินที่ได้น้องสาวคนเดิมกลับมาแล้ว..ดีใจ ที่ไม่เสียเธอไปอีก...
" พี่ " หลังจากทานข้าวเสร็จ เจ้าตัวก็เท้าคางมองหน้าผมอีกครั้ง คราวนี้แววตาดูจริงจังกว่าทุกที ทำให้ผมครางรับเบาๆในลำคอแลัวจ้องหน้ากลับบ้าง
" อยู่ที่นี่สบายดีรึเปล่า? " คำถามนั้นทำให้ผมชะงัก ก่อนจะหันไปยิ้มให้เจ้าตัว
" สบายดี..." ผมรับคำ ก่อนจะนิ่งไปพัก ผมจับมือน้องสาวตัวเองไว้แล้วบีบเบาๆ "น้ำ...พี่...."
" ค่ะ?"
" ขอโทษนะ ..พี่ขอโทษจริงๆ " ผมพุดเบาๆน้ำเสียงแทบจะเป็นกระซิบ ทำให้น้องสาวชะงัก นัยน์ตาคู่นั้นค่อยหรุบต่ำลงและมีความเศร้าสร้อยแฝงอยู่วูบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาช้าๆ
" ไม่เป็นไรค่ะ....พี่เป็นฮีโร่ของน้ำนะ เพราะพี่ช่วยน้ำไว้ ที่กลัว ที่เสียใจ มันไม่ใช่เพราะพี่หรอก" น้ำบอกเบาๆ ก่อนจะหันไปมองหน้าแม่ " น้ำคุยกับแม่แล้ว...เรื่องทุกอย่างน่ะ ปล่อยให้มทันเป็นอดีตไปเถอะค่ะ ให้มันแล้วกันไป..น้ำไม่เสียใจนะ ที่ตัวเองต้องเป็นแบบนี้ มันเพราะน้ำไม่เข้มแข็งเอง ที่น้ำเสียใจ ไม่ใช่เพราะถูกเขาทำร้าย แต่เสียใจ ที่ทำให้พี่ต้องมา....เจอเรื่องแบบนี้...."
" แต่ก็นั่นล่ะ ถึงจะโกรธ จะแค้น จะเกลียดเขาไป มันก็เท่านั้น เขาก็ตายไปแล้ว...น้ำไม่อยากรื้อฟื้นแล้วล่ะ เรื่องที่พี่ทำ น้ำไม่เคยโกรธเลยเพราะพี่เนมทำเพื่อปกป้องน้ำ ไม่ได้ทำเพราะอยากจะทำ.... น้ำไม่โกรธพี่เลยนะ...ยังไงพี่ก็เป็นพี่น้ำเสมอ ขอโทษจริงๆค่ะ ที่ไม่ได้มาเยี่ยม..ตั้งหลายปี "
" ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร " ผมลูบเส้นผมสีดำสนิทเบาๆ ยิ้มออกมาน้อยๆ น้องสาวผม เธอเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ ...เด็กหญิงตัวน้อยเติบโตขึ้นเพราะความเจ็บปวดและความทรงจำอันเลวร้าย ผมดีใจที่ตอนนี้เธอกลับมาเป็นน้องสาวคนเดิมที่ร่าเริงของผมอีกครั้ง เป้นครอบครัว เป็นคนที่ผมปกป้อง..
" คราวนี้มาเยี่ยมพี่บ่อยๆนะ "
" อื้อ...เค้าจะเอาขนมมาแบ่ง " ผมฟังแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ ที่เจ้าตัวยังทำเหมือนตอนนั้นเหมือนเดิม ตอนที่ผมกับน้องยังอยู่ด้วยกัน ยังใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนั้น..เราทั้งคู่ยังคงมีความสุขและไม่มีใครนึกฝันถึงชะตาชีวิตเช่นนี้เลย..
" จริงสิ ตอนนี้แม่ทำร้านแล้วนะลูก " แม่ผมบอกออกมาเบาๆ ทำให้ผมชะงัก
" ร้าน ? "
" ร้านอาหารตามสั่งจ๊ะ อยู่หน้าบ้านน่ะ สะดวกดี ไม่ต้องคอยส่งของไปที่ตลาดเหมือนเดิม " แม่ว่า ทำให้ผมพยักหน้ารับ
" เค้าก็ช่วยด้วยนะ " แม่จอมแก่นของผมรีบเสนอตัวทันที ทำให้ผมหัวเราะก๊าก ยกมือลูบหัวเจ้าตัวอีกรอบ
"ดี...ห้ามอู้ เข้าใจไหม? ถ้าพี่ออกไป " ผมชะงักเมื่อเอ่ยคำนั้น ก่อนจะหันมายิ้มให้ต่อ " ถ้าพี่ออกไปจะไปช่วย..นะ "
" ค่ะ....น้ำจะรอนะ " น้องสาวผมรับค่ำเบาๆ นัยน์ตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
ผมนั่งมองคนสองคนที่ตัวเองรักที่สุดแล้วยิ้มออกมาน้อยๆ นั่งคุยกับทั้งคู่ ขณะที่สายตาเหลือบมอไปที่คนบางคนซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ ผมมองเห็นท่าทีอันแสนห่วงใยของพี่กิ๊งคนนั้นแล้วได้แต่ลอบถอนใจ..ผมรู้ว่าเธอรักพี่โต และยังไงก้คงไม่จากไป..แม้จะต้องรออีกนานเท่าไหร่ก็ตาม..
เสียงฟ้าร้องครืนดังมาไกลๆ ทำให้บทสนทนาของผมกับครอบครัวชะงัก..ผมเงยหน้าขึ้นมองฟ้าที่เริ่มามีสีเทา..ฟังแม่บอกว่า สายฝนหลงฤดูแบบนี้..มักจะรุนแรง และตกหนักกว่าทุกครั้ง..
...ผมยิ้มรับแล้วพยักหน้า... ใช่ มันก็คงจะเป็นแบบนั้น..
...
สวัสดีค่ะ ตอต่อไปมาแล้ว หุหุหุ

ตอนนี้เมฆฝนเริ่มตั้งเค้า หลังจากสบายๆสาหลายตอนล่ะ เด็กใหม่..จะทำอะไรหนอ...โปรดติดตามค่ะ
ปล. แจ้งข่าวนะค่ะ ใครที่สั่งจองหนังสือแล้วยังไม่ได้เมล์แจ้งราคากับแจ้งหมายเลขบัญชี รบกวนเมล์มาบอกด้วยนะค่ะ เพราะเหมือนรายชื่อจะตกหล่นไปหลายคน มีคนโทรมาถามหลายรายแล้ว ขอโทษจริงๆค่า พลาดไปแล้ว..
ปล. สอง ใครส่งเมล์ยืนยันการโอน หรือเมล์จองมาในช่วงนี้ ช่วยรอหน่อยนะค่ะ เพราะตอนนี้ยุ่งมาก อาจจะตอบช้า ถ้ารออาทิตย์นึงแล้วไม่มีการตอบรับ ค่อยโทรมาถามหรือไม่ก็เมล์มาอีกรอบค่ะ
ปล. สุดท้าย วันนี้คาวี่ก็อัพ..ไปตามกันได้เลยค่ะ เรื่องนี้ไม่เครียด บอกแล้วไงว่าไม่เครียด ยังเฮฮาอยู่เฟ้ยยยยยยยยยย
ปล.สุดท้ายจริงๆ คราวนี้ถ้าอัพนิยาย จะอัพสองเรื่องรวดเลยค่ะ จะได้ไม่สองมาตรฐาน (ฮ่าๆ

)