Improbable 18 : ขังเดี่ยว
มืด.....มืดจัง
ผมกระพริบตาถี่ พยายามจะปรับดวงตาให้คุ้นชินกับเเสงเพียงเล็กน้อยในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆนี้ แต่พยายามอย่างไรสิ่งที่ได้รับก็มีเพียงความมืดสนิทที่แทบไม่เห็นแม้กระทั่งฝ่ามือตัวเอง แว่วเสียงกุกกักเบาๆด้านนอก ทว่าก็เดาไม่ออกว่าคนข้างนอกกำลังทำอะไรอยู่ และไม่รู้เลยว่าผมจะต้องเจอกับอะไร ทำให้ความหวาดหวั่นยิ่งทวีขึ้นอย่างไม่อาจระงับ..
กลืนน้ำลายลงคอช้าๆ เนื้อตัวสั่นเทา ผมยืนสับขาไปมาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็ก...มืด...ทึบ..และแคบ รอบกายมีเสียงตึงๆตังๆแปลกหู มองอะไรไม่เห็น จะนั่งลงแต่พื้นก็มีของเหลวเปียกๆที่ไม่อาจจะรู้ว่ามันคืออะไรเจิ่งนองอยู่จนไม่น่านั่ง ได้กลิ่นอับชื้นและกลิ่นเหม็นแปลกๆยิ่งชวนให้ใจไม่ดี
เจ็บตรงท้องน้อยหน่วงๆเพราะกำปั้นของผู้คุมที่ซัดเข้ามาใส่ร่าง ผมสูดหายใจลึก พยายามสงบสติอารมณ์แม้ว่าร่างทั้งร่างจะสั่นไหวด้วยความเจ็บปวดและความหวาดกลัวที่แผ่ซ่าน...
เสียงพูดคุยกระซิบกระซาบกันดังด้านนอก หากก้องสะท้อนไปมาราวกับเสียงภูตผี สายลมร้อนคลอเคลียรอบกายเนื่องจากมีเพียงรูเล็กๆระบายอากาศทำให้ลมหายใจกระชั้นถี่ ฝ่ามือของผมกุมท้องน้อยไว้ ในที่สุดจึงทรุดกายลงนั่งยองๆกับพื้น ก้มหน้าลงมองพื้นซีเมนต์ขรุขระ มองเห็นแสงสว่างงลำเล็กๆลอดออกมาจากใต้บานประตู ผมเม้มปากแน่น หลุดสะอื้นออกมาเบาๆ ก่อนน้ำตาจะไหลร่วงอาบแก้มเป็นสาย..
ริมฝีปากสั่นระริกไหวของผมเอ่ยถ้อยคำแผ่วเบา...ราวกับไร้เรี่ยวแรง...เอ่ยเรียก คนที่ผมคิดถึงมากที่สุด
"...พี่โต......" สูดลมหายใจเพราะจมูกตื้อตันขึ้นมากะทันหัน เนื้อตัวสั่นไหวระริก
นัยน์ตาของผมปิดพับลงช้าๆ น้ำใสไหลอาบผิวแก้ม ฝ่ามือละจากท้องน้อยมาทาบลงบนประตูไม้อัดเบื้องหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง...
" พี่โต..ช่วยผมด้วย...."
เสียงสะอื้นของผมดังสะท้อนในห้องสี่เหลี่ยมคับแคบ..ทว่ามันคงไม่ไปถึงคนที่ผมต้องการ ความจริงนี้มาพร้อมกับเสียงร้องไห้ของตัวเอง อีกทั้งมันยังก้องสะท้อนไปมาจนไม่อาจลืมตาขึ้นมาได้เลย
ถ้าพุดไป....ถ้าเอ่ยปากพุดอะไรมั่วๆออกไป ผมจะถุกปล่อยไหไหม?
ท่ามกลางความมืดและเสียงตึงตังข้างนอกชวนประสาทเสีย สติอันเรือนลางของตัวเองกระซิบถามเบาๆ...หากทำได้เพียงแค่คิด และผมก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบ
ไม่หรอก..ไม่รู้จริงๆ จะบอกไป จะโกหกไปเท่านั้น
อีกทั้งสำหรับคนที่มีเป้าหมายเป็นตัวผม อย่างไรก็คงไม่รอด
ผมประหวัดนึกไปถึงเรื่องก่อนที่จะถูกพาตัวมาอยู่ที่นี่ เมื่อสามชั่วโมงที่แล้ว หลังจากพัศดีออกปากสั่งการให้ผมสารภาพ พูดถึงต้นตอของคนที่บงการ ให้เอ่ยชื่อผู้ที่สั่งให้เอามือถือมาให้ผม
แต่จะให้ผมพูด จะให้ผมบอกอะไรได้ ในเมื่อผม...ไม่รู้
จะถามกี่ครั้งก็ไม่รู้ จะชกต่อยทุบตีอย่างไร คำตอบก็ยังคงเป็นไม่รู้...
เพราะผมไม่รู้จริงๆ...
ถึงผู้คุมจะชกผมครั้งแล้วครั้งเล่า พัศดีจะออกปากขู่เข็ญเช่นไรก็ไม่มีคำตอบใดออกมาจากปากของผมคนนี้ ความโกรธของพัศดีที่ไม่สามารถเค้นคำตอบที่น่าพอใจออกมาจากปากผม ความหงุดหงิดของผู้คุม ที่ต้องมาโดนหางเลขเรื่องนี้เนื่องจากผมเป็นคนในการควบคุมของพวกเขา กระหน่ำทิ่มแทงลงมาบนร่างผมด้วยการลงโทษทุบตีมากมาย..
นัยน์ตาผมมองเห็นสองคนนั้นกำลังตะโกนด่าทอและบังคับให้ผมพูด แต่ในสมองผมกำลังครุ่นคิด พยายามหาคำตอบของที่มาของสิงสิ่งอันไม่น่าจะปรากฏอยู่..
บุหรี่..ผมเเคยเห็นพี่โตสูบและรู้ว่าพี่โตมีมันก็จริง แต่พี่โตไม่เคยจะเอามันมาไว้ในห้องขัง และยิ่งไม่เคยนำเอามาไว้ใต้ที่นอนผม
และกระทั่งโทรศัพท์ ของสิ่งนั้นมันมาได้อย่างไร ไร้ที่มาที่ไปโดยสิ้นเชิง พี่โตไม่เคยมีมัน พี่โตไม่เคยบอก ไม่เคยให้ผมรู้..ว่าตัวเองมี ซึ่งหมายความว่าพี่โตไม่มี
หากถามว่าทำไมผมถึงเชื่อว่าพี่ดตไม่มี เพราะสำหรับคนๆนั้นแล้ว เขาไม่เคยปิดบังผม นอกจากเรื่องที่สำคัญจริงๆ
ผมเชื่อ...ใช่ ผมเชื่อพี่โต ผมเชื่อว่าคนอย่างพี่ดตไม่มีทางทำแบบนี้..
แต่....แต่มันมาอยู่ใต้ที่นอนผมได้ยังไง
ฝีมือใคร?....ใครกันแน่?
แต่ถึงเชื่อใจ ชั่วขณะหนึ่งผมก็ยังคิดไปถึงผู้ชายที่นอนอยู่ข้างกันทุกคืน หัวใจพลันแปลบวาบเมื่อคิดว่าพี่โตอาจจะนำของเหล่านี้มาไว้ใต้ที่นอนของผม...ทว่า วินาทีต่อมาก็ปฏิเสธข้อสันนิษฐานนี้ของตนเองโดยสิ้นเชิง..
ไม่มีวัน ไม่มีวันเป็นจริง ไม่มีทางเป็นไปได้
พี่โตไม่มีวันทำแบบนั้น พี่โตไม่มีวันโยนความผิดมาให้ผม พี่โต..คนที่คอยปกป้องและดูแลผม ไม่มีวันจะทำตัวแบบนี้..
ต่อให้พี่โตมีมันจริงๆ พี่โตก็ไม่มีวันจะเอามาซุกซ่อนไว้กับผมเพื่อหนีความผิด ไม่ใช่แค่เพราะผมคือไอ้เนม แต่เพราะพี่โตไม่มีวันให้ผมดูแลมันเด็ดขาด
เพราะมันโง่ มันซื่อ มันเซ่อเกินกว่าจะมีของพวกนี้อยู่กับตัวได้โดยไม่แสดงอาการ ผมไม่ใช่คนที่จะนำของแบบนี้มาฝากฝังไว้ และไม่ใช่คนที่พร้อมจะมีสิ่งเหล่านี้อยู่กับตัว
พี่โตต้องรู้ พี่โตต้องรู้สิ เพราะพี่โตยังเคยบอกกับผมเอง
แล้วใคร? ใครกันที่ทำแบบนี้กับผม ใครกันที่กลั่นแกล้งให้ผมต้องเจอเรื่องแบบนี้...
ปึงๆๆ
" คิดจะอ้าปากบอกเมื่อไหร่ก็เรียกแล้วกัน "เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆทำให้ผมชะงัก เงยหน้าขึ้นจากพื้นเพื่อจะมองบานประตูสีดำสนิทตรงหน้า...ที่มืด ดำมืดไปหมด
" ผมไม่รู้...." ผมเอ่ยปากออกมาอย่างสิ้นหวัง แว่วเสียงหัวเราะหยันเชิงไม่เชื่อของผู้คุมด้านนอก ขณะที่ก้มหน้าลงเช่นเดิม ปล่อยน้ำตาแห่งความอึดอัด สิ้นหวัง และไม่เข้าใจออกมา
" หลักฐานมัดตัว ใครจะเชื่อ "เสียงของผู้คุมบอกพลางกหัวเราะออกมาเบาๆ " พวกนักโทษ เดนคนมันก็แบบนี้ "
คำพูดนั้นทำให้ผมนิ่งงัน...อย่างไม่มีคำโต้เถียงใด
...นักโทษ นักโทษคนที่ทำความผิด เดนคน คนเลว คนร้าย คนที่ไม่สมควรจะมชีวิตอยู่ในโลกนี้
คำพูดของพวกเราไม่น่าเชื่อถือ ค่าของพวกเราในฐานะมนุษย์ ที่ควรได้รับเกียรติ ศักดิ์ศรี และได้รับความเห็นอกเห็นใจ ๆไม่มีอีกแล้ว
...เพียงเพราะพลาดพลั้งเพียงครั้งเดียวน่ะหรือ?
แล้วตอนนี้เวรกรรมที่ฆ่าคน เวรกรรมที่ทำลายชีวิตผู้อื่น มันไม่ได้ตามมาซ้ำทำร้ายผมอยู่หรือไง...
" ...เห็นพวกเราเป็นคนบ้างไม่ได้เหรอ?... " ผมถามออกไปอย่างสิ้นหวัง..ทว่า คำตอบที่ได้รับมีเพียงความเงียบ และเสียงถอนหายใจ..
ผมจ้องมองสีดำสนิทของบานประตูเบื้องหน้า เงียหูฟังเสียงตึงตังด้านนอกที่ไร้คำตอบอย่างสิ้นหวัง
ตอนนี้ผมคิดถึงคนๆเดียว คนนี้เท่านั้นที่จะช่วยเหลือ คนที่คอยดูแลผมมาคลอด
อยากให้มาอยู่ตรงนี้เหลือเกิน อยากให้มาช่วย อยากให้มาคิดหาทางออกด้วยกัน..
ผมเม้มปากแน่น สะอื้นออกมาอีกครั้งเมื่อคิดถึงความเป็นไปได้อันริบหรี่ในความปราถนาของตนเอง..ไม่มีหรอก...
ต่อให้เป็นพี่โต ต่อให้เป็นขาใหญ่ ต่อให้เป็นคนของป๋า ก็มาช่วยผมไม่ได้...
ณ ที่แห่งนี้...ผมต้องเผชิญทุกอย่างด้วยตัวเอง
............
พระอาทิตย์ตกดิน ท้องฟ้ามืดลง ดวงตาวเริ่มส่องแสงระยับ..
โมงยามของฟากฟ้าที่บอกเวลาย่ำไปจนถึงตอนค่ำ ทว่า...ก็ยังไม่มีร่างของมันกลับมา...
ขาใหญ่ของแดนสิบสองยืนพิงประตูห้องขัง จ้องมองไปด้านหน้าของเรือนอนเขม็ง ไม่วางตา บรรยากาศเครียดเคร่งทะมึนที่แผ่ออกมาจากร่างทำให้นักโทษหลายรายสบมองตากันด้วยความหวาดผวา ขณะที่นักโทษในเรือนนอนเดียวกันซึ่งต่างถูกเรียกไปสอบสวนทยอยเข้ามาทีละราย...ทีละราย...
ทว่า....ก็ยังไม่มีร่างของเจ้าคนนั้น ไม่มีร่างของไอ้เนมซื่อบื้อที่มักจะอยู่ข้างกายตลอดเวลา
ความรู้สึกของคนที่ถูกกระชากหัวใจไปต่อหน้า โตก็เพิ่งเข้าใจในวันนี้
ยิ่งเข้าใจว่าสำคัญมากแค่ไหน ยิ่งหัวใจรวดร้าวมากเท่าใด ก็ยิ่งสิ้นหวัง...มากขึ้นเท่านั้น
....ริมฝีปากของเขาเม้มแน่น ฝ่ามือกำแนบข้างลำตัว...อดกลั้น ...พยายาม มากมายอย่างถึงที่สุด
หัวใจร้อนระอุ เลือดในกายเดือดเร่า สมองปวดระบม และนึกชิงชังร่างกายของตนนักที่ทำได้เพียงยืนนิ่ง จ้องมองทางเดินเข้าเรือนนอนอย่างคนทำอะไรไม่เป็น..ทำอะไรไม่ได้ มีไม่ความสามารถ ไม่มีปัญญา...ไม่มีสติปัญญาจะปกป้องและดูแลมัน...ไม่มีความสามารถจะดูแล"คนข้างๆ"กาย
มือเท้ามี กำลังมี สมองมี แต่อำนาจ....ไม่มี
อำนาจที่เคยคิดไว่าได้...แท้จริงแล้ว หาใช่ของเขา
อำนาจนั้นยังคงเป็นของคนที่"มี"มันมากกว่าเช่นเคย
โวยวายไปแล้วได้อะไร โกรธเกรี้ยวแล้ววิ่งโร่ไปตะโกนใส่พวกป๋าสให้พวกมันช่วย...แล้วจะได้อะไร
คำเตือนของเพื่อนสนิทที่บัดนี้นั่งมองเขาอยู่ข้างกาย นัยน์ตาคอยระแวดระวังราวกับว่ากลัวตนเองจะกระโจนออกไปทำอะไรบ้าๆทำให้โตยิ่งต้องสงบสติอารมณ์
หากแต่เมื่อนานไป ไม่ร่างของมัน ไม่มีร่องรอยการปรากฏตัวของมัน โตก็ยิ่งคิดอะไรไม่ออกมากขึ้นเรื่อยๆ...
ตึง !!
หมัดลุ่นๆทุบลูกกรงในห้องนอนโดยแรง ทำให้นักโทษหลายรายที่กำลังอยู่ในอาการเกร็งถึงกับสะดุ้ง วิทย์เงยหน้าพรวดมองขาใหญ่ที่ตอนนี้เริ่มจะอยู่ไม่เป็นสุขอย่างร้อนใจไม่แพ้กัน เขามองฝ่ามือของมันที่บัดนี้ปรากฏรอบแดงจากการชกเข้าที่ประตูเหล็ก มองตาของเพื่อนสนิทที่บัดนี้ขุ่นมัวด้วยอารมณ์หลากหลายแล้วได้แต่ถอนหายใจ วิทย์กรอกตาไปมา สมองพยายามคิดหาคำพูด วิธีการ หรืออะไรดีๆที่ทำให้ไอ้โตมันเลิกบ้า เลิกทำท่ากระวนกระวายแบบนี้
ที่สุดแล้วเขาก็ได้แต่ถอนหายใจ รู้ดีว่ามันจะไม่มีทางสงบ จนกว่าไอ้เนมจะกลับมา รู้ดีว่าหากคนสำคัญของตนต้องเจอเหตุการณ์เลวร้ายนเช่นนี้บ้างเป็นเขาก็ทนเฉยไม่ได้
ชายหนุ่มจ้องมองไปทางประตูหน้าเรือนนอนอย่างคาดหวัง ตอนนี้ทางเดียวที่จะทำให้เพื่อนของตนหยุดอาการเครียดขึงใกล้จะระเบิด ก็มีเพียงทางเดียวคือมันจะต้องกลับมา...แต่ทว่า...วิทย์ก็รู้ดีเช่นว่ามันเป็นไปไม่ได้..
...หายไปนานขนาดนี้ หายไปจนเย็น หายไป...โดยไร้คำบอกเล่าใดๆเช่นนี้ เขารู้ดี ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
คิดพลางมองหน้าขาใหญ่ของแดนสิบสองอีกครั้งอย่างกังวลไม่แพ้กัน ที่ยิ่งนานโตมันยิ่งคลั่ง ยิ่งบ้า ยิ่งมีท่าทีหงุดหงิด ไม่ใช่แค่เพราะไอ้เนมมันหายไปนานเท่านั้น แต่เพราะมันรู้... รู้อยู่แก่ใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น
มันกระวนกระวายทุกข์ใจเพราะมันก็เคยเจอแบบเดียวกันมาก่อน ใช่แล้ว... เพราะมันเคยพบเจอกับการ"ขังเดี่ยว"เพื่อรีดเอาคำตอบที่ต้องการเช่นเดียวกัน
ร่องรอยการถูกทำร้ายที่ปรากฏในคราวก่อนนั้น บอกได้ดีว่าวิธีการสอบสวนเป็นเช่นไร ทั้งการทำร้ายร่างกาย การนำไปขังในที่มืด ๆ กดดันทางจิตวิทยามากมายให้คายความลับของตนออกมา
เลวร้ายขนาดนั้น แล้วไอ้เนม ไอ้เด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไรกับเขา คนที่โตมันปกป้องมาตลอดจะไม่เสียสติไปเพราะเรื่องแบบนี้หรือ?
เพราะมันน่าเป็นห่วง เพราะมันน่ากลัวขนาดนี้ เพื่อนของเขาถึงได้กระวนกระวาย ทุกข์ใจอย่างนี้ไงเล่า
" พี่โต....ได้ข่าวแล้วพี่ " ไอ้แม้ก หนึ่งในลูกน้องคนสนิทที่ถูกเรียกตัวไปสอบสวนเช่นกันเดินหน้าเคร่งเข้ามาในห้องขัง เพียงมองสีหน้า วิทย์ก็พอจะดูออกแล้ว...ว่าเกิดอะไรขึ้น
".........." เพื่อนของเขาไม่พูดอะไร หากแต่มองหน้าลูกน้องตนเงียบๆเป็นเชิงให้เล่าออกมา
" เมื่อกี้ตอนกลับมา ได้ยินผู้คุมมันคุยกัน บอกว่าคืนนี้ไอ้เนม....ถูกขังเดี่ยว....."
" เหี้ยเอ๊ย !! " ปลายฟันขบเข้าหากันแรงๆจนเกิดเสียง สีหน้าเครียดขึงและคั่งแค้นด้วยความไม่พอใจของเพื่อนสนิททำให้วิทย์หน้านิ่ว เขาหันไปสบมองแววตากังวลจากนักโทษภายในห้องแล้วได้แต่ถอนใจ เคร่งเครียด...
".....โต..."
" พอแล้วไอ้วิทย์ กูรุ้ว่ากูทำอะไรไม่ได้ !!! " โตหันไปตะโกนใส่คนที่เรียกชื่อเขา นัยน์ตาถลึงกร้าวจ้องเขม็งไปยังคนพูด "กูรู้ เข้าใจดีแล้ว...ว่ากูทำได้แค่รอ ! "
"........."
" พวกมึงมีอะไรก็ไปทำซะ ! มึงด้วยวิทย์ กลับเรือนนอนมึงไป !! " โตหันไปตวาดใส่นักโทษรอบกายและออกคำสั่งไปยังเพื่อนสนิท มันมองหน้าเขานิ่งๆเพียงชั่วครู่แล้วถอนหายใจ
" รู้แล้วก็ดี " รับคำแค่นั้น...แล้วมันก็เดินออกไป...สวนกับผู้คุมที่เดินเข้ามา...มองหน้าเขา และเริ่มล๊อกประตูเรือนอนอย่างเคยชิน
" หายไปคนนึงนี่นะ..." ริมฝีปากนั้นเหยียดยิ้ม ขณะที่เอ่ยคำพูดคล้ายทายทัก แต่ยิ่งทำให้ความไม่พอใจพุ่งพรวด โตจ้องหน้าผู้คุมรายนั้นเขม็ง
ปัง ! ฝ่าเท้าหนาตวัดใส่ประตูเหล็กหน้าเรือนนอนสุดแรงอย่างไม่กลัวเจ็บ เป็นผลให้เกิดเสียงดังลั่น นัยน์ตาสีเข้มจับจ้องใบหน้าและดวงตาของผู้คุมรายนั้นเขม็ง แววตากร้าวเเข็ง...ไม่พอใจที่ส่งมาโดยไร้คำพูดทำเอาผู้ได้รับถึงกับกลืนน้ำลายเอื้อก
" ล็อกเสร็จแล้วก็ไปสิ " ทั้งที่มันเป็นแค่นักโทษ ทว่าคำพูดเย็นเยียบกดลึกจากลำคอนั้นกลับทำให้ร่างเกร็งทื่อ ชายผู้อยู่ในตำแหน่งผู้คุมสุดหายใจลึกแล้วก้าวเท้าออกห่างจากเรือนนอนนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลงมือปิดล็อกประตูเหล็กเบื้องนอก ทีละชั้น...ทีละชั้นอย่างใจเย็น
.....เสียงประตูเหล็กขนาดใหญ่อันสุดท้ายปิดลง นั่นเป็นเหมือนสัญญาณที่จะบอกว่า จากนี้จะไม่มีใครสามารถเข้าหรือออกจากสถานที่นี้ได้อีกแล้ว ดวงจันทร์กลมโตที่วิ่งผ่านไปครึ่งฟ้ายิ่งเป็นสิ่งยืนยัน ว่าเกิดอะไรขึ้น...
ทรุดกายลงบนพื้นที่นอนหนา จ้องมองเหล่านักโทษที่พากันปูที่นอนเงียบๆ ขณะที่นัยน์ตากวาดมองไปยังที่นอนเล็กๆข้างกาย ผ้าห่มสีตุ่น เศษกระดาษสีขาว และชอล์คสีขาวที่ใช้ขีดฆ่านับคืนวัน..
ฝ่ามือหนาสอดเข้าไปใต้ที่นอนนั้น สัมผัสได้ถึงรูปถ่ายสีซีดจางที่ตัวเขารู้ว่ามีอยู่ โตจ้องมองมันนิ่ง...มองรอยยิ้มของเด็กชายในชุดนักเรียนและใบหน้าแสนคุ้นตา มองแล้วลำคอตับตัน แห้งผาก หากดวงตาร้อนผ่าว
" ปิดไฟ.."
สิ้นเสียงของผู้คุม ทั่วทั้งแดนก็เหลือเพียงความมืดสลัว หากร่างของขาใหญ่แห่งแดนสิบสองกลับเอนกายพิงลูกกรงสีเข้มต่อไป เนื้อตัวเเข็งทื่อ ไม่ได้เอนกายพักผ่อนเหมือนใคร นัยน์ตายังคงจับจ้องไปที่รูปถ่ายในมือแม้จะมองแทบไม่เห็น ร่างทั้งร่างยังคงนิ่งงันราวกับถูกสาป...
นัยน์ตาว้าวุ่นปิดพับลงอย่างรวดร้าว ฝ่ามือหนาหยิบรูปถ่ายใบนั้นสอดเข้าใต้ที่นอนที่เดิม ก่อนจะสูดหายใจลึกนัยน์ตาจ้องมองผนังห้องสีเข้ม นั่งขัดสมาธินิ่งเงียบท่ามกลางร่างของเหล่านักโทษที่กำลังเอนกายนิทรา..
ริมฝีปากเม้มแน่น...ลมหายใจพ่นลงช้า...
สมเพชเวทนาตนเองนัก...สังเวชในความไร้กำลังของตัวเอง
เป็นขาใหญ่แล้วอย่างไร เป็นขาใหญ่ แต่สุดท้ายก็ยังเป็นเพียงนักโทษ..
เป็นขาใหญ่ที่มีนักโทษเกรงกลัว หากสุดท้าย ก็ยังเป็นเพียงเดนคนที่ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีเสียง ไม่อาจจะทำอะไรได้
กระทั่งปกป้องคนสำคัญ...ยังทำไม่ได้
ริมฝีปากหนาเหยียดยิ้ม แววตาสั่นไหว
เป้นขาใหญ่แล้วอย่างไร ในยามที่ห่วงหาใครบางคนแทบขาดใจสุดท้าย ก็ทำได้เพียง
....เฝ้ารอ....
..................
สีของท้องฟ้ายังคงระเรื่อ ดวงอาทิตย์ที่โผล่พ้นของฟ้ายังไม่ทอแสง เงาคะตุ่มมืดครึ้มของต้นไม้และดวงจันทร์ยังค้างฟ้า....นาฬิกาบอกเวลาตีห้าครึ่ง หากแต่ร่างของนักโทษรายหนึ่งกลับมายืนอยู่หน้าประตูเรือนจำ ทำให้ผู้คุมได้แต่มองมันด้วยความสงสัยและครุ่นคิด
อ้าปากจะไถ่ถาม หากนัยน์ตาลึกโหลอย่างคนไม่ได้หลับไม่ได้นอนของมัน และรอยคล้ำสีเข้มใต้ตาบวกใบหน้าถมึงทึงทำให้ผู้มองเบือนหน้าหนีไปเสียด้วยไม่อยากจะสนใจ หรือพูดจาอะไรให้เสียเรื่อง
มันยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน ดวงตาจับจ้องปากประตูทางเข้าราวกับรอคอยใครสักคนที่สำคัญนักหนา กระทั่งท้องฟ้ามีสีสดใส แสงแดดส่องจ้าและเป็นเวลาอาหารเช้าของเหล่านักโทษ ร่างของใครคนหนึ่งจะได้เดินสะโหลสะเหลเข้ามาในแดนสิบสอง
และร่างที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงของนักโทษรายนั้นจึงเริ่มขยับ...ก้าวเท้าออกไปหาเจ้าคนที่เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า
ดวงตาจับจ้อง จ้องมองร่างที่เดินเข้ามาหาเขม็ง...ราวกับกลัวว่าจะไม่ได้พบเจอกันอีกแล้ว
นัยน์ตาที่ริบหรี่ลงเพราะรอยบวมช้ำสีม่วงตรงหัวคิ้ว ริมฝีปากที่พยายามฝืนยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อน ทั้งที่ทำได้เพียงยกมุมปากสั่นระริกขึ้นเท่านั้น รอยเลือดเปื้อนที่ริมฝีปาก แขนขาวมีร่องรอยบวมช้ำเป็นจ้ำชัด...ชัดเจนเสียจนผู้มองเห็นต้องกัดฟันกรอด
อ้อมแขนที่โหยหายิ่งนักในยามนี้ตวัดกอดเอาร่างของผมแนบกาย ทำให้ผมอดจะยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเบาๆในลำคอไม่ได้ ฝ่ามือของตัวเองสั่นระริก พยายามเอื้อมไปกำแขนพี่โตไว้ สัมผัสผิวเนื้อที่สั่นไหวของคนตรงหน้า..
"..ไม่เป็นไรนะ...ไม่เป็นไร...." พูดว่าไม่เป็นไร แต่ริมฝีปากของพี่โตสั่นระริก สั่นไหวไม่ต่างจากน้ำเสียงที่แหบแห้งดูคล้ายคนกำลังทรมาร
ไม่เป็นไร....ไม่เป็นไร...
ทั้งปลุกปลอบปละประโลมหัวใจของตนเองและคนในอ้อมกอด..
คนที่ตอนนี้...อยู่ในสภาพที่น่าสงสารเหลือเกิน
ไอ้เนมยิ้มให้ดวงตาที่จ้องมองมาคู่นั้น อยากจะถามว่าทำไมถึงได้มีท่าทีตกตะลึงและหวาดหวั่น อยากรู้ว่าทำไมถึงได้มีสีหน้าหวาดกลัวปรากฏขึ้นมา ยามที่จ้องมองไปทั้งใบหน้าและร่างกายของผม
สีสันของแสงอาทิตย์ และท้องฟ้าช่างน่าดูเหลือเกินหากเทียบกับสีดำสนิทที่ไม่อาจมองเห็นอะไรที่ผมพบเจอมาทั้งคืน อ้อมกอดของพี่โตอบอุ่นและห่วงหาเหลือเกิน ไม่เหมือนหมัดและฝ่าเท้าของใครหลายคนที่ซัดใส่ร่าง.. ได้เจอพี่โตแบบนี้ ดีกว่าต้อง อยู่ในห้องขังมืดๆ มีเสียงกุกกักชวนประสาทเสีย และมีผู้คุมเข้ามาซ้อมเพื่อถามความจริงทุกสองชั่วโมงมากมายนัก
ผมหลับตาลง ยิ้มรับกับฝ่ามือสั่นระริกที่ลูบไล้เส้นผม เอนตัวซบไหล่หนาอย่างรักใคร่..
ผมได้ยินเสียงตัวเองกระซิบ
" ครับ ไม่เป็นไร "
ก่อนโลกทั้งใบจะมืดดับลง...
.......................................................
ตอนนี้สั้นนิดนึง ไม่ว่ากันเนอะ

น้องเนมน่าสงสารจริงตอนนี้ ถูกขังในห้องมืดๆแบบนั้นเป็นปุ้ยท่าจะประสาทกลับไปล่ะ ส่วนพี่โตก็...

.... ต่อให้ใหญ่แค่ไหนก็เป็นแค่นักโทษคะ ทำอะไรไม่ได้หรอก ไปช่วยไม่ได้เพราะไม่มีสิทธิ์ จะโวยวายก็ไม่ได้เพราะมีแต่ผลเสีย สุดท้ายก็ได้แค่รอ....
ตอนนี้น้องเนมไม่ได้ถูกรุมนะคะ แค่โดนซ้อมเท่านั้นเอง จะมาถูกรุมทำมิดีมิร้ายอีกมันโหดร้ายเกินไป แค่นี้น้องก็บอบช้ำพอแล้ว(ฝีมือเอ็งนี่ // :beat:โดนคนอ่านตบ ) ตอนหน้าก็เอาใจช่วยน้องเนมด้วยนะคะ..