Imprison 49: GUN
“..โทษทีว่ะ..ไม่ทันแล้ว...”
คำๆนั้นดังก้องในหัวสมองของผม ขณะที่สายตาเปลี่ยนจากภาพของประตูบานสีเหล็ก มาเป็นแผ่นอกหนา แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อของคนที่กำลังยืนคร่อมผมไว้ สายตาคู่เดิมที่ผมเคยสบมองมานับครั้งไม่ถ้วน คราวนี้ฉายแววแปลกตาไปจากเคย จากแววตาแข็งกร้าว โกรธเกรี้ยวและอารมณ์เสียที่ผมมักจะเห็นเสมอแปรเปลี่ยนเป็นแววตาที่แปลกประหลาด..แม้จะดูคุกคาม ทว่าก็อ่อนโยนอยู่ในที..
ผมสบตาคู่นั้น มองแววตาที่จ้องกลับมาอย่างไม่ลดละด้วยอาการพูดไม่ออก..
ขณะที่มือหนาแตะลงบนเอวของผมเบาๆ..ทำให้ผิวเนื้อที่ไร้เสื้อผ้าและเพิ่งผ่านการอาบน้ำมาเมื่อครู่สะดุ้งนิดๆจากความร้อนในมือใหญ่ที่แผ่ออกมา..
ผมรู้สึกว่าแผ่นหลังของตัวเองทาบลงไปบนประตูร่างของคนตัวโตก้มลงมาหาเรื่อยๆ จนหมดทางจะหนี หมดทางจะหลบตาไปไหน..ทำได้เพียงแค่มองสบแววตาคู่นั้นราวกับต้องมนต์สะกดเท่านั้น..
ปัง!!ๆๆๆๆๆ
เสียงตบประตูดังลั่นทำให้ผมสะดุ้งเฮือก หันไปมองหน้าพี่โตด้วยสายตาเลิ่กลั่น รู้สึกเหมือนกำลังทำความผิดอะไรซักอย่างแล้วโดนจับได้เลยแฮะ แต่ดูเหมือนพี่โตแกจะไม่คิดอย่างนั้น เพราะกำลังง้างประตูเปิดออกด้วยสีหน้าหงุดหงิดอารมณ์เสียเป็นที่สุด ยังอยู่ในสภาพเดิมที่มีเพียงกกน.ติดตัวและเอ่อ...ไม่ได้มองน่ะครับ มันเห็นเอง เห็นว่า...เอ่อ..ไอ้นั่นน่ะ มันกำลัง..อ้ากกก ช่างเหอะ ไม่พูดแล้ว..
และเหมือนจะเห็นท่าทีผิดปกติของผม พี่โตจึงหันขวับมามองคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พอเห็นสภาพผมเท่านั้นแหละ ประตูที่กำลังแง้มเปิดออกก็ปิดอีกปังทันควัน พร้อมกับร่างของพี่แกหันขวับมาใกล้ สถบพึมพัมพลางเอื้อมมือมาที่กลางลำตัวของผม..
ฮะ..เฮ้ยยยยย..ทำไรว่ะ !!
ผมหน้าตื่น เมื่อเจ้าตัวกำลังกระชากผ้าเช็ดตัวผมออกอย่างรวดเร็วเกินจะตั้งตัวทัน แถมยังทำหน้าทำตาโมโหใส่เสียอีก มือหนาจับมันมาจัดๆใหม่พร้อมกับทำสีหน้าไม่ชอบใจใส่ผมด้วย ขณะที่ไอ้เนมได้แต่ยืนทื่อ ปล่อยให้พี่โตแกจัดการพันผ้าเช็ดตัวที่ผมเพิ่งเห็นว่ามันจะหลุดลงไปแล้วอย่างคล่องแคล่ว แต่ไม่แคล้วจะหน้าแดงขึ้นมาจนเห็นได้ชัด..ขณะที่ผมก็มองตามอยู่แบบนั้น ในหัวมีแต่ความคิดว่าตั้งแต่เล็กจนโตนอกจากพ่อกับแม่แล้ว ยังไม่มีใครมาพันผ้าเช็ดตัวแบบนี้ให้ผมเลย แต่ขณะเดียวกัน..พ่อแม่ทำให้ผมก็จริง แต่ผมไม่เคยเห็นพ่อแม่หน้าแดงตอนทำเหมือนพี่โตเลย..
อืม...ท่าจะมีปัญหาซะล่ะมั้ง...
ผมหรี่ตามองคนตัวโตที่กำลังหันไปจะเปิดประตูอีกรอบ แต่ก่อนนั้นก็ก้มมองท่อนล่างผมที่เรียบร้อยไปแล้วพร้อมกับก้มมองของตัวเองไปด้วย..นั่นแหละ...ทำให้เขาชะงัก...
..รวมทั้งผมที่..เบือนหน้าหนีไปทางอื่น ทำไม่รู้ไม่ชี้กับ...ไอ้ที่มันโด่เด่ออกมาด้วย..
ปังๆๆๆๆๆ
“ ไอ้โต..ไอ้โต..เฮ้ย..โต !! “ เสียงตะโกนดังลั่นแทรกมาทำให้พี่โตที่ตอนแรกนิ่งไปเหมือนจะได้สติ เสียงนั้นทำให้ผมชะงักไปเหมือนกัน เพราะคิดว่าตัวเองน่าจะจำไม่ผิดว่านั่นคือเสียงของพี่วิทย์และขนาดพี่วิทย์ยังมาเรียกได้ ก็คงไม่อะไรเกิดขึ้นแน่ๆ และพี่โตก็คงคิดเหมือนกันจึงสถบพรืดออกมาแล้วหันไปตะโกนตอบเสียงเรียกที่ยังดังอยู่
“ เออ..รู้แล้ว เดี๋ยวออกไป !! “ อ้าว? ทำไมไม่ไปซะตอนนี้เลยล่ะครับคุณพี่ จะเดี๋ยวก่อนทำไม แถมยังหันมามองหน้าผมแล้วเสือกตัวพรวดเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว..และพื้นที่เท่ามดดิ้นตายแบบนี้ จะให้ผมหลบไปไหนได้พ้น..
“ อะ...เอ่อ..พี่โต...” ผมรู้สึกว่าตัวเองหน้าเหย ใจเต้นตุ้มๆต่อมอย่างไม่แน่ใจอะไรในชีวิตสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะ เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้..ที่คว้าตัวผมไปกอดอีกรอบแล้ว..
“..เออน่า..จะออกไปแบบนี้ก็ไม่ดี..” ที่พูดคงหมายถึงอะไรที่ชายหนุ่มก็รู้กันดี แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุซะล่ะม้าง..ที่ต้องจับมือผมไป...จับ..ไอ้นั่นของพี่น่ะหา?
“..นี่ผม....” จะดึงมือออกก็ไม่ได้เลยชักจะหงุดหงิดขึ้นมา นี่ผมไม่ได้ตกลงกับพี่เพื่อจะอยากทำแบบนี้น่ะ..
“..น่ะ...ช่วยกูหน่อย..” เสียงกระซิบคล้ายจะอ้อนดังอยู่ริมหู ที่คนตัวโตเข้ามากอดไว้ใกล้ชิด ทำเอาหน้าร้อนผ่าว..มือหนาข้างหนึ่งจับมือของผมทาบลงบนกลางร่างกายตัวเอง และอีกข้างก็กอดเอาไว้แน่น พร้อมกับเสียงกระซิบและลมหายใจร้อนๆที่วนเวียนอยู่ใกล้ๆลำคอ
“......... “ผมเม้มปากแน่น..ใบหน้าร้อนผ่าวจนแทบจะไหม สบตาคู่คมที่ทอดมองมาอย่างออดอ้อนนั่นแล้วต้องเสหรุบตาไปทางอื่น..ลำคอเหมือนจะมีก้อนเสมหะใหญ่ๆอุดคอเอาไว้จนได้แต่พูดจาอึกอักอยู่อย่างนั้น
“..น่ะ....” เสียงกระซิบออดอ้อนยังวนเวียน และยิ่งส่งผลให้มือไม้เริ่มอ่อนปวกเปียก ผมสะดุ้งเล็กน้อยกับริมฝีปากหนาที่แตะเบาๆลงบนติ่งหู..พร้อมกับลมหายใจร้อนๆ ที่ทำเอาตัวสั่นระริก..
“..............” ยังคงไร้คำพูด แต่มือก็ยอมให้เป็นไปตามการักนำของคนตัวสูง ใบหน้าแดงก่ำซุกลงกับแผ่นอกหนาและปิดดวงตาลงอย่างไม่คิดจะต้านทานอะไรอีก นั่นทำให้รอยยิ่มบางๆประดับบนริมฝีปากได้รูป พร้อมกับอ้อมแขนหนาที่กอดกระชับร่างบางแน่น..เอื้อมมือลอดผ่านผ้าขนหนูสีเข้มที่พันเองกับมือไปแตะลงบนร่างของอีกฝ่าย..จนสะดุ้งเฮือกขึ้นมาทันที..
ผมหลับตาปี๋ไม่กล้าจะก้มมองว่าตัวเองทำอะไรลงไป ไอ้เรื่องแบบนี้ใช่ว่าจะไม่เคย แต่ไอ้การทำให้คนอื่นนี่ไม่เคยน่ะครับ และดูตอนนี้สิ ผมไม่อยากจะพูด คิดดูน่ะ ผู้ชายสองคน ที่กำลังยืนแนบชิดติดกันในห้องน้ำเล็กๆที่แทบหาที่ทางขยับตัวไม่ได้ ผมตอนนี้เรียกว่าทำอะไรไม่เป็นไปแล้วทั้งนั้น ได้แต่เอนตัวเข้าไปพิงตัวพี่โตลูกเดียว อายนักก็เอาหน้าซุกลงบนไหล่บางอกบ้าง มือข้างหนึ่งก็เอื้อมไปกอดคอคนตัวใหญ่ไว้กันล้ม ขณะที่มืออีกข้าง ก็กำลังทำอะไรกับของๆคนอื่นโดยที่ถูกคนอื่นชักนำอีกที..
ริมฝีปากของผมถูกบดขยี้อีกครั้งด้วยเรียวปากคู่เดิมที่เริ่มจะเคยคุ้น จูบหนักๆให้ตัวสั่นวะหวิวกันไปข้างหรือจูบเบาๆราวกับขนนกปัดแตะชวนจั๊กจี้นั่นผมได้รับจากคนตัวสูงมาหมดแล้ว บางครั้งปากคู่นั่นก็ละจากริมฝีปากของผมให้เวลาหาอากาศหายใจ แต่ก็ไปขบกัดเบาบ้างหนักบ้างบนซอกคอจนผมต้องหลุดเสียงครางออกมาเป็นระยะ... นั่นยังไม่รวมถึงด้านล่างที่ตอนนี้ผ้าขนหนูหล่นหายไปไหนไม่รู้ และมือผมที่เคยถูกชักนำให้ทำตามที่เจ้าของร่างนั้นพอใจ ตอนนี้ก็กลายเป็นว่ากำลังแตะต้องลบไล้มันตามใจตนเอง ให้มันสอดรับกับสัมผัสที่ผมได้จากฝ่ามือหนาคู่นั้น..บางครั้งก็ช่างร้อนรุ่มจนผมแทบทนไม่ไหว แต่ก็ยังแกล้งผ่อนแรงลงไปให้ผมครางประท้วงออกมาและลงโทษด้วยการปล่อยปละละเลยของเขาเสียบ้าง..
ตอนนี้เสียงเคาะประตูหรือเสียงเรียกข้างนอกไม่ได้อยู่ในสมองผมแต่อย่างใด เปรียบเทียบไปมันคงเป็นแค่เสียงที่ไม่ต่างอะไรกับการกระซิบ มันยังแผ่วเบาเมื่อเทียบกับเสียงลมหายใจร้อนผะผ่าวที่รดรินตรงใบหู..เสียงครางฮึมในลำคออย่างพึงใจของคนตัวสูง..หรือกระทั่ง..เสียงร้องของผมที่ดังออกมาเป็นระยะ..และต้องถูกริมฝีปากคู่นั้นกลืนกินไปครั้งแล้ว..ครั้งเล่า..
“...อะ.....” ผมร้องออกมาเบาๆเมื่อริมฝีปากคู่นั้นเลียไล้ซอกคอและฝากรอยกัดไว้อีกเป็นที่เท่าไหร่ไม่รู้ และก็ช่วยไม่ได้เหมือนกันที่มันช่างเหมาะเจาะกับจังหวะที่มือหนาเร่งเร้าการกระทำของตนเสียจนผมตัวสั่น..รู้สึกปั่นป่วนและสุขสมเสียจนแทบทนไม่ไหว..
“..อือ.... “ แน่นอนว่าผมเอาคืนอยู่แล้วแม้ว้าแทบจะไม่มีแรง ผมยังพยายามทำตามที่รู้สึกมาอย่างขยันขันแข็ง และเสียงครางฮืมในลำคอนั้นทำให้ผมรู้สึกพึงใจ เหมือนว่าได้รับรางวัล..และยังมีริมฝีปากหนาที่เข้ามาทาบทับ..มอบของรางวัลที่คนตัวสูงอยากจะเชยชมมาให้..
“...พะ...พี่....พี่....” ผมร้องเสียงสั่นรู้สึกถึงความรู้สึกที่ปั่นปวนกันอยู่ตรงท้องน้อย ทั้งอัดอั้นอยากจะปลดปล่อยแต่ก็สุขสมเกินจะทานทนไหว ผมไม่รู้ว่าตัวเองละมือจากร่างกายของคนตัวสูงเมื่อไหร่ และไม่รู้ว่าแผ่นหลังของตัวเองไปทาบลงบนผนังปูนเย็นเยียบตั้งแต่ตอนไหน รู้แค่ว่ายามนี้ผมทำได้เพียงแค่ร้องร่ำเสียงสั่น หัวสมองตื้อตันไปหมดจนคิดอะไรไม่ออก รู่สึหถึงมือหนาที่กอบกุมฝ่ามือของผมให้สัมผัสสิ่งนั้นอีกครั้งพร้อมกัน..และยังนำส่วนสำคัญของเราสองคนมาทาบทับกันอย่างใกล้ชิดเรียกให้ความรู้สึกเสียวซ่านแล้นวูบไปทั่วกาย
“..อือ..รู้แล้ว...เรียกชื่อพี่หน่อยสิ...” น้ำเสียงออดอ้อนแปลกหูนั้นแทรกมาท่ามกลางสติอันรางเลือน ผมผวาเข้าไปแลกจูบนัวเนียกับริมฝีปากคู่นั้นด้วยความอยากกระหาย ยิ่งจูบนั้นดูดดื่มและหวานซ่านมาเท่าไหร่ ความรู้สึกทั้งมวลก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น..
“..อื้อ...” ผมร้องท้วงยามเมื่อริมฝีปากคู่นั้นผละจาก รู้สึกฉุนขึ้นมาน้อยๆเมื่อถูกทำให้อารมณ์ที่กำลังต่อเนื่องหยุดชะงัก แต่เมื่อปลายลื้นชื้นเลียไล้ติ่งหูกลมมนเบาๆอย่างหยกล้อก็ทำให้ผมพึงใจจนต้องร้องคางออกมาอีกครา..
“..อา...เรียกชื่อพี่หน่อยสิเด็กดี..น่ะ..เรียกชื่อพี่โต....” วาจาหวานแปลกหูไม่ได้ทำให้ผมสนใจไปมากกว่าใจความคำขอร้องนั้น และยามนี้ที่ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลกำลังจะไปถึงที่สุด จะอะไรก็ช่างผมยอมทำมันทั้งนั้น..
“...อ่ะ...พี่....พี่โต...ผม....อ....” ริมฝีปากพึมพำครางออกมาเบาๆท่ามกลางเสียงลมหายใจร้อนแรงนั้นสร้างอารมณ์มากกว่าที่คิด เพราะทันทีที่ผมเรียกชื่อของคนตัวสูงเบาๆ พร้อมทั้งใช้ดวงตาที่หรี่ปรือด้วยคลื่นอารมณ์ของตัวเองสบกับแววตาอีกคู่ วินาทีนั้นสัมผัสเบื้องล่างก็รุนแรงขึ้นจนหน้าเหย ความรู้สึกปั่นป่วนและซ่านสยิวนั้นรุนแรงกว่าทุกครั้งจนต้องร้องครางออกมา แต่เมื่อริมฝีปากถูกปิดด้วยเรียวลิ้นคู่นั้นแล้ว ความรู้สึกทั้งหมดก็ทะลักทะลายออกมาจนผมตัวสั่นระริก...
“...............................”
“..............................”
คำพูดใดๆที่เราทั้งคู่จะเอ่ยต่อกันนอกจากเสียงลมหายใจหอบถี่และร่างกายที่สั่นสะท้านไปทุกส่วน ท่ามกลางความสุขสมที่สาดซัดเข้ามาหา ริมฝีปากของเราสองคนยังไล่เลาะเล็มกันและกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
จนกระทั่งเสียงเคาะประตูซึ่งดังมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่ทาบแน่เริ่มแว่วเข้าหูอีกครา ผมจึงเบี่ยงหน้าออกมาจากิมฝีปากคู่นั้น แต่ไม่วายได้ยินเสียงท้วงเบาๆจากคนตัวสูงที่ใช้ปลายฟันงับริมฝีปากล่างของผมแล้วเอาปลายลิ้นดุดดันหยอกล้อเบาๆ..
สารภาพว่าผมหน้าแดงก่ำเมื่อเห็นแววตาชื่นมื่นปนล้อเลียนของพี่โต แขนหนาที่คอยพยุงไม่ให้ผมทรุดตัวลงไปเมื่อครู่ออกแรงกอดรัดผมแน่นขึ้นจนต้องบิดตัวหนีให้ห่างออกจากกัน..
“..อะไรของมันนัก...” ปะโยคนี้ไม่ได้บ่นใส่ผมแต่เป็นพี่วิทย์ที่ยังตบประตูโครมๆไม่เลิก จนพี่โตต้องขมวดคิ้ว้องจิ๊จ๊ะ ต้องปล่อยให้ผมจัดการตัวเองเช่นที่ตัวเขาทำเหมือนกัน
“..อาบน้ำในนี้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวตอนกินข้าวจะไปหา..” พูดแบบนั้นแล้วยังแอบก้มมากัดลำคอผมเบาๆจนผมรีบผลักให้หันหนี แว่วเสียงหัวบาๆในคำคอชวนให้อายจนอยากจะสถบด่าใส่ แต่พอผมหันมาอีกรอบ พี่โตก็แง้มประตูเปิดแล้วงับมันลงอย่างวดเร็วเรียบร้อยแล้ว..
.......Oh bad Guy!! รักร้ายๆของผู้ชายในคุก.......
“..มีอะไร?..” น้ำเสียงถามออกจะห้วนกระชากไม่น้อยทำให้วิทย์หน้าบึ้ง เป็นเขาวะมากกว่าไม่ใช่เหอที่ควจะหงุดหงิด กับการที่ต้องมาตามไอ้เพื่อนคนนี้และยังต้องมานั่งเฝ้าปะตูไม่ให้คนอื่นมาแอบส่องทั้งที่พวกมันคงอยากทำจะตายและมานั่งตบประตูโครมๆแบบเขาเนี่ย..
..ไอ้เลิฟซีนของพวกเอ็งยังไม่เผยแพร่ เพราะใคร รู้ตัวมั้ยว่ะ?
เขม่นมองหน้ามันแต่มันก็คงไม่รู้ แถมตอนออกมามันยังมีรอยแดงๆอยู่บนคออยู่เลย แล้วแบบนี้จะไม่ให้เอาไปลือได้ที่ไหน ไหนบอกว่าไม่สนผู้ชายไงว่ะ
“...เฮ้ย..บอกมาได้แล้ว ไม่มีไรจะได้กลับไป.. “ โตบ่นใส่เพื่อนที่ยังเงียบแล้วทำตาขุ่นมองมาอยู่อย่างไม่สนใจ
“..เลิกสนใจเมียน้อยมึงสักพักเหอะ..” วิทย์บ่น แต่หารู้ไม่ว่าคำนั้นทำให้คนได้ฟังหันมามองขวับ “..กุก็ไม่ได้ว่างขนาดจะมานั่งเฝ้าประตูให้แม่งเอากันทุกวันหรอกว่ะ..”
“..ยัง...” ออกปากไปแค่นั้น ให้ไอ้วิทย์หันมามองหน้าสักหน่อยแล้วก็แสยะยิ้ม อยากบอกว่ายังไม่ใช่แบบนั้น แต่ก็ช่างเถอะ..ไม่ใช่เรื่องของมันซักหน่อย
ดังนั้นร่างของพี่โตแห่งแดนสิบสองจึงหันไปยืนประจันหน้าเพื่อนที่ตอนนี้กำลังขมวดคิ้วเครียดจนน่าสงสัย..อย่างประสงค์จะให้ธุระของมันจบซักที..
“...แล้วตกลงมีอะไร?...”
“..มึงบอกป๋าว่าจะให้ไอ้เนมมาอยู่กับกู...” วิทย์เลิกคิ้วถาม..สารภาพว่างวยงงไม่น้อยเมื่อได้รู้ข่าว และยิ่งไม่เข้าใจว่ามันจะทำไปทำไม ในเมื่อจากที่เขาเห็นก็ดู”หวง”กันออกนอกหน้าเสียขนาดนั้น..
“..กูแค่ลองถามดู..แต่ตอนนี้ไม่แล้ว..” เอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มุมปากแถมด้วยใบหน้าระรื่นจนวิทย์ถอนใจบ่นผสมด่าใส่อย่างหงุดหงิด
“..ห่าเอ๊ย...กุล่ะนึกว่า... “
“..แล้วมีแค่นั้นรึไง..” โตหันไปถามพลางเลิกคิ้ว..” กุก็แค่ลองถามดู ถ้าไปได้..และมันอยากไปกุก็จะให้มันไป แต่ตอนนี้..ไม่แล้ว เพราะกุก็ไม่อยากคอยฟังมึงบ่นเหมือนเรื่องไอ้เมฆอีกหรอก...”
“...เรื่องไอ้นพ...” วิทย์เปรยออกมาเสียงเครียด...และนั่น ทำให้ตาคมหันไปมองรอบกาย หลังห้องเก็บอุปกรณืในยามเย็นที่บัดนี้ไร้ผู้คน แต่ทว่าก็ไว้ใจไม่ได้ว่าจะไม่มีใครรู้..
“..จะพูดถึงไอ้คนที่มันป่วยอยู่ทำไม..” โตเปรยออกมาเรียบๆ...ตอนนี้ข่าวการ”ลงบ่อ” ของไอ้นพยังไม่มีใครรู้ระแคะระคายนอกจากพวกเขา ทั้งผู้คุมตลอดจนนักโทษด้วยกันเองรู้แค่ว่ามันกำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จึงไม่มีใครเห็นหน้าช่วงนี้..
หลังจากนั้นก็ใช้อำนาจของคนของป๋า ที่อยู่ข้างนอก จัดการสร้างข่าว และกลบเรื่องที่เกิดขึ้น จะกลายเป็นว่ามันเป็นอัมพาต สมองไม่ทำงานหรืออะไรก็ได้..แค่ทำให้คดีเงียบและไม่มีใครนึกถึงการมีตัวตนของมันอีกก็พอ..
“...เพราะไอ้”คนป่วย”มันทำเรื่องให้อีกแล้วน่ะสิ..” วิทย์หัวเราะเย็นๆพลางเอื้อมมือลูบหลังหูอย่างลืมตัว ปลายนิ้วที่แตะลงบนผ้าพันแผลสีขาวที่ยังคงอยู่..ทั้งที่ผ่านมันมานับสามอาทิตย์ แต่เจ้าตัวก็ยังไม่เปิดออก..
..รอยยิ้มของชายหนุ่มยิ่งกดหนักขึ้นยามเมื่อรู้สึกถึงการมีอยู่ของรอยแผลนี้ ที่ต่อให้ตายยังไงเขาก็ไม่ยอมถอด ไม่ยอมให้รอยแผลแห่งความอัปยศนี้ปรากฏให้ใครเห็นอีกเป็นอันขาด...
โตเหลืบมองแววตาของคนตรงหน้าแล้วหรี่ตาลงช้าๆ..มองรอยแผลที่เขาเห็นมันมาจนชินตา แผลที่เรียกเลือดเมื่อสามสี่อาทิตย์ก่อนนั้นบัดนี้แทบหายสนิท..จะเหลือก็แต่...รอยแผลข้างหลังหู..ที่ทำให้เพื่อนของตนมีสีหน้าโกรธเกรี้ยวขึ้นมาอย่างไม่ค่อยเป็น..
รอยแผลที่ใช้มีดหมดกรีดทับ ทำรอยลึกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนมันหลังเลือดออกมาไม่หยุด..
รอยแผลที่เป็นดังรอยสัก..
เขาเคยมองเห็นมันอยู่เพียงครั้งเดียวและไม่อยากจะเห็นมันอีก..กีบแค่รอยกรีดต่างๆนั่นมันไม่เท่าไหร่ แต่รอยกรีดลึกที่เขียนภาษาอังกฤษคำว่า “GUN” ไว้น่ะสิ..
..มันคงเปรียบเหมือนสัญลักษณ์แห่งความอัปยศและพ่ายแพ้..ที่ไม่ต้องการให้ใครได้เห็น..
“..ทำไม...มันหนีออกจากโรงพยาบาลรึยังไง?..” เอ่ยถามออกมาเรียบๆ พลางเบือนหน้าหนีจากผ้าก๊อซสีขาวที่ปิดตรงหลังหูไว้..
“..เปล่า...ถ้าแค่นั้นคงจะดี...” วิทยบ์เอ่ยเครียดๆก่อนจะเม้มปากแน่น “ แต่นี่เสือกมีคนไปลากมันออกจากโรงพยาบาลแล้วมาหาตำรวจน่ะสิ..”
...คำพูดนั้นทำให้โตขมวดคิ้ว..มองหน้าวิทย์อย่างไม่เข้าใจกับสิ่งที่ได้ยินออกมา..
“..ศพไอ้นพมันถูกเอาขึ้นมาจากบ่อแล้ว !..ตอนนี้ผู้คุมกำลังสอบสวนอยู่.. “ วิทย์กระซิบเสียงเครียด ใบหน้าไร้รอยยิ้ม..
“...เป็นไปได้ยังไง?.. “ โตขมวดคิ้ว เค้นเสียงออกจากลำคอ การที่คยนเราจะอืดลอยน้ำหลังจากตายมาวันสองวันก็ไม่ใม่เรื่องประหลาดหรอก แต่กับคนที่มีก้อนหินก้อนใหญ่ถ่วงไว้..ศพมันจะหนักขนาดยกก้อนหินขึ้นแล้วลอยขึ้นมาได้เหรอ?..
“..ใคร...? “ ชายหนุ่มถามเสียงเครียด..ใช่...ใคร..ใครที่เป็นคนคาบข่าวไปบอกผู้คุม ใครที่เอาเรื่องนี้ไปบอก เอาเรื่องนี้ไปแจ้งให้รู้..
“...มึงก็รู้นี่..ว่าบ่อนั่น...อยู่ที่ไหน..” วิทย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย..รอยยิ้มที่เคยมีหายไปหมดแล้ว เหลือเพียงแต่ความโกรธเกรี้ยว..แววตาที่เต็มไปด้วยความเคืองโกรธนั้นไม่ต่างจากแววตาของคนฟัง ที่บัดนี้กัดฟันกรอด..
...ห้องพยาบาล..
ไอ้กันย์...
“..กู..จะจัดการไอ้เหี้ยตัวนั้น...ให้ไปตายพ้นๆจากทางของกูเอง...” ริมฝีปากของเพื่อนรักพึมพำเสียงแผ่วต่ำ...ทว่าคำที่เอ่ยออกมาไม่ได้ล้อเล่นเลยสักนิด..แววตากร้าวแข็งของวิทย์...ทำให้คนมองชะงัก..มองแววตาที่ไม่เคยเห็นแบะ..ไม่อยากจะเห็นที่ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง..หลังจากที่พบเห็นครั้งสุดท้ายในวันที่เพื่อนรักกำลังฆ่าคนสองคนที่มันรักนักหนาให้ตายตกตามกันไป..
แววตาที่เขาไม่อยากจะเห็นอีก..
ทว่า...โตเม้มปากครุ่นคิด..ยังจำได้ดีถึงคำพูดของป๋า...ที่กล่าวถึงโอกาสของคนตรงหน้า..
...ถ้าไอ้วิทย์..ทำพลาดอีก..จะไม่มีคำว่าปราณี..
...ถ้าไอ้วิทย์..ก่อเรื่องอีก..จะต้องโดนลงโทษ..
ด้วยการถูกหยิบยื่นความตายให้..และ..คนที่หยิบยื่นให้มัน..อาจจะต้องเป็นตัวเขาเสียเองด้วยซ้ำ..
เพราะฉะนั้น...เรื่องนี้..
....ให้รู้ไม่ได้..ให้ระแคะระคายไม่ได้ จะให้มันต้องมาถูกสงสัยอีกก็ไม่ควร..เพราะ..โอกาสของมัน จะไม่มีอีกเป็นครั้งที่สาม..
เพราะอย่างนั้น...คนที่ต้องรับบทถูกสงสัยในครั้งนี้...ต้องเป็น..เขา..
ถอนหายใจเฮือกใหญ่ยามความเครียดขึ้งเข้าครอบคลุมความคิด.. ก่อนที่ชายหนุ่มจะพยักหน้ารับเบาๆ พร้อมกับเหยียดยิ้มออกมาอย่างชาเฉย..
“..เอามันให้ตายล่ะ...”
.......Oh bad Guy!! รักร้ายๆของผู้ชายในคุก.......
ตะ..ตอนนี้..
อยากบอกว่าอายโว้ยยยยยย (เอาหน้ามุดท่อ)

รู้สึกเหมือนประจานความหื่นให้ชาวบ้านรู้ ตอนแรกกะจะข้ามไปแล้ว แต่ไปๆมาๆมันกลับสับสน แล้วสุดท้าย สุดท้าย สุดท้าย... เลยตัดสินใจเขียนขึ้นมาจนด้ายยยยย..
ส่วนเรื่องพี่วิทย์ รู้แล้วชิมิ ว่าที่หลังหูเขามีอะไร..
และเรื่องนพ..บอกแล้วว่า เวรกรรมมันติดจรวดจ้า..
ส่วนตอนหน้า..
เรามาเล่นผีผ้าห่มกันเต๊อะ !!!

(แต่หลังจากไรท์เตอร์สอบเสร็จน่ะตัว.)
