Imprison 46: หันหลัง
ผมเบือนหน้าหนีไม่สบมองแววตาสีดำสนิทที่คุ้นเคยนั้น..ทั้งรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าเหลือเกินที่ทำตัวแบบนี้ เหมือนกับตัวเองมีความสำคัญนักหนา ประชดประชันกันไปเพื่ออะไรก็ไม่รู้ เพราะผมกับเขา ต่างคนก็ต่างไม่ใช่คนสำคัญของ..ในสายตาของอีกฝ่าย..
เพราะคิดแบบนั้นผมจึงหันหน้าไปหา..ถอนใจยาวๆ พยายามไม่ใช่อารมณ์และความสับสนที่คั่งค้างอยู่ในจิตใจทำให้เรื่องมันแย่ขึ้น ผมมีบทเรียนมากับตัวเองมากพอที่จำรู้ว่าการยั่วโมโหหรือทะอะไรให้พี่โตไม่พอใจ ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำอย่างยิ่ง..
ผมจึงหันไปบตาคู่นั้นอีกรอบ..ไม่สนใจแววตาที่ขุ่นมัวคล้ายมีอะไรไม่พึงประสงค์ของอีกฝ่าย เพราะรู้ดีว่าไอ้สิ่งที่เขาไม่พึงประสงค์..ก็คงเป็นผม..
“..มีอะไรอีกล่ะครับ..หรือจะเอางานอะไรให้ทำอีก.. “ ผมหันไปถามอย่างเฉยชา..สีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่สนใจนัยน์ตาที่หรี่ลงเล็กน้อยเหมือนมีอะไรทิ่มตำให้เจ็บปปวดของอีกฝ่าย..
“..หรือถ้าไม่มี..ผมจะได้กลับไปฝึกไวโอลินต่อ...”
“..เมื่อกี้ไอ้ธีระมันทำอะไร?.. “ ดันถามผมในคำถามเดิมเป๊ะๆ... ทำให้ผมต้องถอนหายใจเฮือกอย่างหงุดหงิด..
“..ก็บอกว่าไม่รู้ไง ! “ ก็อาจารย์ธีระนั่นมาพุดอะไรที่ผมก็ไม่รู้..จะให้ตอบว่าไงฟ่ะ
“..ไม่รู้ได้ยังไง?..มึงหูหนวกเรอะ ถึงไม่รู้ว่ามันพุดอะไร? “ ตะคอก มาตะคอกใส่ผมอีก คนมันอารมณ์ไม่ดีน่ะเฟ้ย จะมาตะคอกใส่อีกเพื่ออะไรหา? จะหาเรื่องกันรึไง?..
“..โว้ยยยย อย่างี่เง่าได้มั้ย บอกว่าไม่รู้ก็ไม่รู้สิ..อยากรู้ไปถามเองเด๊ !!! “
“...ไอ้...... “ เหมือนว่าไอ้คุณพี่โตก็โมโหพอกัน กัดฟันกรอดๆใส่จะด่าอะไรก็ไม่ด่า...ผมเลยสะบัดหน้าหนีจ้ำพรวดๆออกมาซะเอง..
หงุดหงิด...หงุดหงิดเป็นบ้า..
ทำตัวงี่เง่า ทำตัวน่ารำคาญ..
มาเจอกันแล้วทำแบบนี้ ไม่ต้องเจอไม่ต้องคุยกันเลยซะยังจะดีกว่า..
ผมคิดแบบนั้นแล้วก็ได้แต่เม้มปากแน่นจนเจ็บแปลบๆ..ไม่ต้องคุย ไม่ต้องเจอกันแล้วจะได้หมดเรื่องหมดราวกันซะ..
ในเมื่อผมก็ไม่ได้ชอบที่จะได้ยินคำว่าไม่รู้จากเขา พี่โตก็คงไม่ชอบกับคำว่าไม่รู้ของผมเหมือนกัน..
แต่ทั้งที่รู้อย่างนั้น...ทำไม...เราถึงไม่หยุด..
.
ผมรู้สึกถึงลมหายใจที่สั่นไหวของตัวเอง..จนต้องสูดหายใจลึกระงับอารมณืพลุ้งพล่าน..ทั้งที่เมื่อก่อนผมไม่ได้เป็นแบบนี้..และ...พี่โตก็ไม่ใช่แบบนี้..ทำไมเราสองคนทำตัวงี่เง่าใส่กัน ทำไมต้องมาคอยคิดเล็กคิดน้อยทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกันซักนิด..
และ..เมื่อไหร่ที่ผมทำตัวน่ารำคาญได้ขนาดนี้กัน...
ผมลดฝีเท้าลงและชะงักกึกอยู่กับที่..พยายามที่จะระงับอารมณืของตัวเองที่โกรธง่ายและงี่เง่ากว่าปกติสิบล้านเท่า..แต่..สิ่งที่ตามมา..ทำเอาผมสะดุ้งเฮือก..
ผมตัวแข็งทื่อ..เมื่อรู้สึกถึงอ้อมแขนที่กอดรัดร่างของตัวเองอยู่..ไม่ต้องถามเลยว่าเป็นใคร..เพราะแขนแข็งแรงคู่นี้ ผมรู้จักดีเกินกว่าจะคิดว่าเป็นใครอื่น...
กอด...พี่โตกอดผม...
ทำไม...เพราะอะไร?..
ทั้งหัวใจของผมมันบีบรัดรุนแรงเสียจนเจียนบ้า..รู้สึกถึงความร้อนผ่าวตรงขอบตา..กับ...อ้อมแขนที่แสนคุ้นเคย..
ทำไม? ทำไมต้องกอดผมอีก...
ทำไม...ทั้งที่เรา...
ผมเม้มปากแน่น แน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขนของคนตัวโตที่กำลังสั่นไหวไม่แพ้กัน ไอ้ความรู้สึกบ้าๆที่เล่นงานหัวใจให้บาดเจ็บแบบนี้..มันคืออะไร มันเพราะอะไรกันแน่..
แต่ผมก็ไม่กล้าถาม...
ได้แต่นิ่ง ได้แต่หันหลัง...และยืนนิ่งอยู่ตรงนี้..
เพราะกลัว..กลัวเหลือเกินว่าหากออกปากถามไป...คำตอบที่ได้..ก็คงไม่พ้นคำว่า “ไม่รู้ “
แค่คำๆนั้น..มันก็ทำร้ายจิตใจผมมากเกินพอแล้ว..
“..ปล่อยสิ....” ผมได้ยินเสียงตัวเองกระซิบออกไปเบาๆ...ด้วยน้ำเสียงสั่นไหว..
“...ไม่.... “ น้ำเสียงอู้อี้ของอีกฝ่ายดังอยู่ริมหู...สั่นไหวคล้ายไม่แน่ใจ..แต่ยิ่งทำให้ขอบตาผมร้อนผ่าว..จะร้องไห้อยู่รอมร่อ..
“..นี่....ผม....”..จะร้องไห้อยู่แล้วน่ะ..รู้ไหม..
...ผมเจ็บจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว..
ทำไม ทำไมถึงใจร้ายกับผมนัก..
“...พี่ต้องการอะไรอีกห๊ะ!!! “ ผมเม้มปากแน่น แหกปากตะโกนออกมาอย่างอดรนทนไม่ไหว สะบัดแขนทั้งคู่ออกแล้วหันไปประจันหน้ากับคนๆนั้นอย่างนึกเดือดดาล “ งานอะไรผมก็ทำให้แล้ว..ทุกอย่าง..แล้วพี่จะเอาอะไรอีก ต้องการอะไรจากผม จะมารังควาญผมทำไม !!! “
ผมได้ยินเสียงตัวเองตะโกนออกไปแบบนั้น..ทั้งที่น้ำเสียงสั่นไหวและภาพเบื้องหน้ามันพร่ามัว..ใช่แล้ว..ผมกำลังร้องไห้ ร้องด้วยคว่ามอัดอั้นและอึดอัด ไม่พอใจ ไม่เข้าใจ ทั้งสิ่งที่ตัวเองเป็น ทุกอย่างที่ตัวเองคิด รวมถึงการกระทำขิองไอ้พี่โตที่ยิ่งทำให้ผมสับสน...
...อย่าทำให้ผมคิด...คิดว่าตัวเองมีความสำคัญนักได้ไหม?.
ผมทำตามที่บอกเสร็จแล้ว..ก็ปล่อยผมไป ไปไกลๆตา ปล่อยให้ไปไหนก็ได้ ..
อย่าให้ผมอยู่ใกล้พี่...และพี่ก็อย่ายุ่งกับผม..ต่างคนต่างอยู่ไปเสียที...
“............. “ คนตรงหน้ายังคงเงียบและไม่พูดอะไร ผมเม้มปากแน่น ขบริมฝีปากตัวเองเสียจนเจ็บแปลบใช้ท่อนแขนปาดๆน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างหงุดหงิด..และปากก็ยังพร่ำพูด...พรั่งพรูความอึดอัดและหงุดหงิดออกมา..
“...ปล่อยผมอยู่คนเดียวได้ไหม?..อย่ามายุ่งกับผมอีก...ผมทำตามที่คุณบอกไปทุกอย่างแล้ว..ปล่อยผมใช้ชีวิตของผมแบบนี้คนเดียวได้ไหม?..อย่ามาทำร้ายผมอีกเลย....”
ผมสะอื้นจนตัวสั่น..รู้สึกสิ้นหวังและเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว..ก้มหน้าสก้มตาเช็ดน้ำตาตัวเองที่ยังคงไหลไม่หยุดและไม่ได้มองคนตรงหน้าเสียด้วยซ้ำ...
....ผมกลัว...กลัวว่าต้องทำอะไรแบบนั้นอีก..
กลัว...กลัวว่าจะถูกทำร้าย และเหยียบย่ำความรู้สึกครั้งแล้วครั้งเล่า..
กลัว...ที่จะต้องเข้าใกล้คนๆนี้ ให้เขาใช้ทั้งวาจาและร่างกายทำร้ายผมจนเจ็บช้ำ..
ผมไม่อยากเจอเรื่องแบบนี้อีกแล้ว...เพราะฉะนั้น....
“..ไม่ได้... “ น้ำเสียงทื่อแข็งแทรกเข้ามาในความคิดของผมเรียกลมหายใจที่สะดุดกึก.. น้ำเสียงที่พูดยังแข็งกระด้างเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไป..แต่..มืออุ่นๆที่ลูบหัวผม..สัมผัสของมันช่างแผ่วเบา..ทั้งยังสั่นไหว..
“...ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น..มึงต้องอยู่ที่นี่...ต้องอยู่ตรงนี้...เข้าใจไหม..?... “
“...ฮึก.....ทำไม....ทำไมล่ะ....” ผมได้ยินตัวเองถามออกมาด้วยความอัดอั้น..ทั้งกลั้นสะอื้นจนตัวสั่น..เกลียดตัวเองที่ต้องมาร้องไห้เหมือนเด็กๆและอ่อนแอขนาดนี้..ทั้งที่ไม่น่าจะเป็นสักนิด...
..แต่ตอนนี้ผมทนไม่ไหว...ได้แต่ถามคำๆนั้นอีกครั้ง..
ทำไม?..ทำไมต้องทำแบบนี้..ทำไมไม่ปล่อยผมไป...ทำไมต้องทำร้ายกันอีก...ทำไม...
“..ไม่รู้...” ผมได้ยินเสียงลมหายใจตัวเองสะดุดลง...พร้อมกับริมฝีปากที่ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาจกลั้น..สมองยังได้ยินคำนั้นก้องสะท้อนอยู่..
ไม่รู้..
ไม่รู้อีกแล้ว...
ไม่รู้...
จะตอบผมแบบนี้อีกนานไหม?..ตอบผมด้วยคำตอบนี้อีกนานไหม?..
“...ไม่รู้...ไม่รู้ก็ไปตายซะ!!! ไอ้บ้า ไอ้งี่เง่า ไอ้... “ ผมทรุดตัวลงนั่งยองๆกับพื้น งอตัวร้องไห้ไปทั้งด่าออกไปด้วยเหมือนคนสติแตก..รู้สึกถึงหัวใจตัวเองที่ร้าวเหมือนจะสลาย..เพราะคำว่าไม่รู้...ไม่รู้..และไม่รู้...ที่ยังคงดังก้องอยู่อย่างนั้น...
“...ก็บอกว่าไม่รู้..มึงจะเอายังไงหา !! “ เสียงตะโกนบนหัวดังลั่นจนต้องสะดุ้ง ผมเงยหน้าขึ้นมองหน้าอีกคนด้วยน้ำตา มองใบหน้าที่ทั้งเครียดเขม็งและฉายแววเจ็บปวด..
“...จะให้กุบอกอะไร..บอกยังไงถึงจะพอใจ?..บอกว่าหวังดีงั้นเหรอ...พูดอย่างกับมึงจะเชื่อ !! มือหนาเขย่าแขนผมแรงๆ..เสียจนหัวสั่นหัวคลอน ใบหน้าของพี่โตบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ทั้งที่เขาเป็นคนทำร้ายผม แต่เหมือนว่าตัวเขา...จะเจ็บผวดมากกว่า..
“..แล้วจะให้ผมเชื่อได้รึไง?... “ ผมกัดฟันถามออกไปแบบนั้น..มือกำเสื้อคนตรงหน้าแน่นพร้อมทั้งน้ำตาที่พร่างพรู...
“...ถ้ามึงไม่เชื่อ มึงต้องการอะไรจากกูล่ะ...อยากได้อะไรจากกูนัก ถึงต้องมาทำเป็นหนีหน้าไม่ยอมพูดจาแบบนั้น.. !! ตะคอกผมพร้อมกับบีบแขนจนแน่น
“....แล้วถ้าผมทำแบบนั้นจะทำไม?...หนีหน้าก็แปลว่าไม่อยากเจอ ดูไม่ออกเหรอ !! “ ผมร้องบอกออกไปทันควัน “แล้วพี่จะมาวุ่นวายอะไรกัน จะเดือดร้อนอะไรเหรอถ้าไม่มีผมอยู่ตรงนั้น....ไอ้เนมน่ะ...มันก็แค่ควายโง่ๆตัวนึงที่เอาไว้รองมือรองตีนไม่ใช่รึไง!!”
“..........................”
คนตรงหน้าเหมือนจะผงะไปและนิ่งอึ้งด้วยความตกใจ...ขณะที่ผมจ้องตาพี่โตเขม็ง...
ผมมีความสำคัญกับพี่แค่นั้นอยู่แล้ว..ใช่ไหม?..
“...ถ้า...ถ้ามันเป็นแบบนั้น..ก็แค่...แค่หาควายตัวใหม่มาจูงจมูกเล่นก็พอไม่ใช่เหรอ..?.. “ผมยิ้ม..รู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ช่างน่ารังเกียจและน่าขยะแขยงเป็นที่สุด..ไม่รู้ว่าตัวเองทำสีหน้าแบบไหนออกไป..พี่โตถึงได้ทำหน้าเจ็บปวดซะขนาดนั้น “ ไม่ต้องเป็นผมก็ได้นี่..ไม่ใช่คนๆนี้ก็ได้ไม่ใช่เหรอ?..ใช่ไหมครับ..ใช่ไหม..?...ใช่....”
ผมเม้มปากแน่น ไม่อาจจะเปล่งเสียงพูดอะไรออกมาได้อีกแล้ว..รู้สึกถึงกระบอกตาที่ปวดร้าวระบมและปวดหัวหนึบ..ทั้งเจ็บ..เจ็บเสียจนพูดอะไรไม่ออก..
เจ็บที่ความสำคัญของผม..มีแค่นั้น...แค่นั้นจริงๆ...
“..ไม่ใช่...”ท่ามกลางความขื่นขมและธารน้ำตาที่ไหลลงมาไม่หยุด เสียงที่ดังออกมาแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบนั้นทำให้ผมะงักกึก...และเงยหน้าไปมองคนพูดอย่างคาดไม่ถึง..
“..ไม่ใช่...ได้ยินไหม?.. “ ฝ่ามือหนาประคองผิวแก้มที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำตาของผมและปาดเช็ดมันเพียงแผ่วเบา.. ใบหน้าคมที่ก้มลงมาหานั้นใกล้เสียจนหัวใจเต้นผิดจังหวะ..แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องนิ่งงัน คือดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น..ดวงตาที่เคยทอดมองมาอย่างชาเฉยและแข็งกระด้าง..ตอนนี้กลับเปลี่ยนไป..อย่างที่ผมไม่เคยได้เห็น..
นัยน์ตาสีเข้มคู่นั้นทั้งเว้าวอนและเจ็บปวด ทอดมองสบดวงตาของผม และใบหน้าที่แฝงไปด้วยแววแห่งความสับสน..ทำให้ผมต้องนิ่งอึ้ง..ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง..
กระทั่งริมฝีปากหนาประกบเบียดลงเบาๆ..กลืนเสียงสะอื้นของผมไว้ในลำคอ..ปรนเปรอรสชาติหวานๆ ผสมกับความปวดแปลบบนริมฝีปาก..และในหัวอก...
“..อือ.... “ ผมได้แต่หลับตาลงและเอื้อมมืออันสั่นเทาเกาะเกี่ยวฝ่ามือหนาที่ประคองใบหน้าผมไว้..ร่างกายของผมสั่นระริก..ทั้งความเจ็บปวดและความสุขสมปะปนกันเสียจนแยกไม่ออก...
...รู้แต่ว่ามันเจ็บ...เจ็บ..พอๆกับสุขสันต์..
เจ็บ..พอๆกับความยินดีที่ผุดขึ้นมาในหัวใจ...
ทั้งเสียงกระซิบ...ที่ดังขึ้นแผ่วเบา..ท่ามกลางเสียงหอบหายใจสั่นระริก...
“...อยู่ตรงนี้ก่อน...อย่าไปไหนน่ะ...” แขนหนาโอบกอดรัดร่างกายของผมไว้แน่น..ให้ใบหน้าของผมซุกลงกกับไหล่หนาและได้ยินเสียงกระซิบที่สั่นไหวนั้นชัดเจน..
“.......ทำไมล่ะ........ “ ผมเม้มปากแน่น...หลับตาลงช้าๆ อย่างสับสนและหวั่นไหว...และ ออกปากถามคำถามที่แสนจะปวดหัวใจอีกครั้ง..
แม้จะรู้..
ว่าคำตอบคงเป็นเหมือนเดิม..
“..ไม่รู้ !!”เสียงกระซิบนั้นดุดันพอๆกับอ้อมแขนที่รัดแน่นขึ้นเหมือนกลัวว่าผมจะหายไปไหน “ ก็บอกว่าไม่รู้ไงล่ะ..คิดว่าคนที่...คนที่ไม่ได้..โอ้ยยยยยยยยย...หมายถึงคนอย่างกู..คนอย่างกูน่ะ..ไอ้เนม..มึงเข้าใจไหม..เข้าใจไหมว่ากูเป็นคนยังไง... “ น้ำเสียงนั้นสั่นไหวราวกับคนไม่แน่ใจในต้อนท้าย..พร้อมกับคลายอ้อมกอดที่รัดตัวผมแน่นให้คลายลง..และประคองใบหน้าให้หันมาสบตา..
“...กูไม่รู้ว่าคิดยังไงกับมึง..เพราะกูไม่เคยคิดแบบนี้กับคนอื่นมาก่อน..ไม่รู้ว่ามึงเป็นอะไรสำหรับกูกันแน่..ไม่รู้..ว่ามึง..สำคัญกับกุแค่ไหน..”
“................” ผมเม้มปากแน่น จ้องหน้สคนพุดด้วยใบหน้าเคืองโกรธ..กับคำตอบ..ที่ไม่ได้ทำให้อะไรในสมองผมชัดเจนขึ้นมาสักนิด..
“...แต่อย่าเพิ่งโกรธกูได้ไหม?..อย่าไปไหนไกลๆกู..ต้องอยู่ข้างๆกูแบบนี้ เข้าใจไหม? เข้าใจไหม?.. “ น้ำเสียงถามคาดคั้นและดวงตาที่สั่นไหว..แต่นั้นทำให้ผมเบ้หน้าด้วยความรู้สึกเจ็บปวดกว่าเดิม..
“....คิดว่าผมเป็นอะไร..?...ถึงต้องให้ผมทำแบบนั้น..พี่เห็นแก่ตัวเกินไปแล้วรู้ไหม?..ไม่สนเลยว่าใครจะเจ็บจะรู้สึกยังไง..ใครมันจะมาบ้ารอ..รอให้พี่คิดออก...” ผมกัดฟันพูดออกไปอย่างเจ็บปวด..ทั้งหงุดหงิดไม่เข้าใจและเจ็บปวดเสียจนต้องร้องไห้ออกมา...กับคำพูด...ที่แสนจะเห็นแก่ตัวแบบนั้น..
“....แต่...”
“..ผมเป็นคน..รู้ไหม...ผมเป็นคนๆหนึ่ง.. “ ผมกำมือหนามาแตะลงบนอกของตัวเองด้วยสีหน้าเจ็บปวด “ ผมเป็นคนที่มีความคิด..ความรู้สึก..เจ็บได้เหมือนพี่..สันสนได้เหมือนพี่..พี่บอกให้ผมอยู่ข้างๆ...โดยที่ไม่บอกว่าผมคืออะไร..บอกว่าตัวเองไม่รู้..บอกว่าสับสน...บอกว่าไม่รู้..ไม่รู้อะไรทั้งนั้น..แล้วผมล่ะ...ไอ้เนมคนนี้ล่ะ...”
“..............” ผมปล่อยแขนตัวเองลงจากมือหนา พร้อมกับหันหลังให้คนตัวโตและใบหน้าที่นิ่งค้างไว้แค่นั้น
“...พี่เอาแต่มองว่าตัวเองสับสน..ไม่รู้อะไรทั้งนั้น..แล้วทำไมไม่คิดบ้างว่าผมก็สันสน..แล้วก็เจ็บ...ไม่ต่างกัน..”
ผมเงยหน้าขึ้น..พยายามกลั้นน้ำตาที่ไหลออกมา ขณะที่ปลายเท้าข้างหนึ่งเริ่มยกก้าวออกห่าง..จากคนๆนั้น..
“...ถ้าเป็นแบบนี้...ผมว่า..ไม่ต้องอยู่ใกล้กันซะยังจะดีกว่า..”
“..เพราะผมก็ไม่ใช่เทวดา..ไม่ใช่คน..ที่จะทนรอให้พี่มารู้..สึก....อะไรด้วย..ชั่วชีวิต..”
“...แล้วถ้ากูบอกว่าชอบ..มึงจะอยู่ได้ไหมล่ะ?..”
จู่ๆ...คำถามนั้นก็ดังขึ้นมา..ทำให้ผมชะงัก...นิ่งเงียบไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย..
รู้สึกถึงลมหายใจตัวเองที่ชะงัก..และขาดห้วง..
ชอบ...
ชอบผม..?
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า รัก...
หรือแม้มันจะหมายความว่ารัก..
จากเรื่องราวที่ผ่านมา...
“...ไม่...”
ผมก็ไม่เชื่ออยู่ดี...
“หึ...”
ผมได้ยินเสียงเบาๆ..ดังมาจากข้างหลัง..ก่อนที่ตัวเองจะก้าวเดินออกมา..
ไม่รู้ว่าคนพูดจะรู้สึกยังไง..ดีใจ...เสียใจ..หรือสมเพช...
แต่ที่ผมรู้..คือ..ถึงเขาจะบอกออกมาว่ารัก...รักผมมากแค่ไหน...ผมก็ไม่เชื่อ..
ผมหลับตาลงและก้าวเดินออกมาจากคนๆนั้น..หลับหุหลับตากึ่งเดินกึ่งวิ่งสะเปะสะปะออกมาอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง..ดวงตาที่พร่ามัวมองเห็นซอกตึกเล็กๆ..อยู่ไกลๆ..นั่นทำให้ผมตัดสินใจก้าวเดินเข้าไปซุกตัวและนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น..
เอื้อมมือมากุมหัวตัวเองไว้อย่างสับสนไร้ทางออก..ดวงตาที่ยังมีน้ำตาไหลพรากจ้องมองไปยังกำแพงปูนด้วยความสันสน..
ถ้าพี่โตบอกว่ารัก...บอกว่าต้องการ..ผมก็ยังไม่เชื่อ..
แล้วผมต้องการจะได้คำตอบอะไรจากเขากัน...
.......Oh bad Guy!! รักร้ายๆของผู้ชายในคุก.......
ฮือออออออ เยอรมันแพ้

(มันยังไม่จบ)
แต่ตอนนี้ไม่ได้มีต้นเหตุมาจากความพ่ายแพ้ของด๋อยสึและท่านกิลเบิร์ตแต่อย่างใด และไม่ได้มาจากความแค้นในตัวหมึกพอลด้วย เพราะไรท์เตอร์กินหมึกย่างมาแล้ว เชื่อสิจ๊ะ อิอิ (โดนถีบ)
ตอนนี้น่าสงสารพี่โตเนอะ..เฮียถึงขั้นขอร้องอ้อนวอนให้อยู่ด้วยเลยทีเดียว..แต่นุ้งเนมก็ยังไม่ใจอ่อน แถมยังไม่รู้ว่าต้องการอะไรจากเขาอีกด้วย น่าเขกหัวแท้น้อ...
แต่ก็เข้าใจเขาหน่อยน่ะค่ะ เพราะเราบอกไว้แล้ว ว่าทำไรมันต้องได้รับผลตอบแทน ช่วงนี้เป็นช่วงทรมารพี่โตค่ะ โทษฐานที่ทำตัวไม่ดีไว้ในตอนก่อนๆ อยากทำตัวให้เขาไม่ไว้ใจเอง พูดอะไรมาเขาเลยไม่เชื่อ..สาสมแล้ววววว(โดนตีนเฮียโตไล่ถีบ..)
ปล. สารภาพว่าเขียนตอนนี้แล้ว คนเขียนแบะหน้าน้ำตาซึมไปหลายรอบ แถมยังปวดหัวอย่างแรง ทั้งสงสารไอ้เนมทั้งสงสารเฮียโต เมื่อไหร่พวกเอ็งจะลงเอยกันนนนนน (ถามตัวเองสิว่ะ !! )
ปล. สอง ไปอ่านนิยายเรื่องใหม่ของเค้ายังค้า เรื่องนี้น่ารักฮาๆน่ะค่ะ เชื่อสิ...