ขอบคุณนะครับที่ติดตามอ่านมาจนจบ เรื่องนี้ไม่ค่อยได้พิถีพิถันเท่าไหร่เพราะเขียนตอนเซ็งเบื่อๆ ขณะที่ทำวิดยานิพน คือพอทำงานวิชาการจนเบื่อจัดแล้วก็พักยกด้วยการหันมาเขียนนิยาย นึกว่าจะไม่จบซะแล้ว ไม่อยากทิ้งไปกลางคันก็เลยเอาเรื่องนี้ให้จบซะเลย เพราะรักผู้อ่านมาก ก็หวังว่าจะมีคนคิดถึงผมบ้างนะครับ ถ้าคิดถึงกันก็ไปทักทายกันที่เว็บผมก็แล้วกันเนอะ ช่วงนี้คงต้องขอเวลาไปเอาเรื่องเรี่ยนให้จบ แต่บางครั้งบางคราวก็จะเข้ามาสวัสดีทักทายพอให้หายคิดถึงกัน
ขอบคุณทุกท่านที่ลงคอมเมนท์นะครับ คนที่ไม่ลงก็ขอบคุณครับ แค่ชายตามองหรืออ่านนิยายที่ผมโพสก็พอใจแล้ว
ขอบคุณทุกคนที่กดคะแนนให้ และขอบคุณที่ไปโหวตรางวัลเซ็งเป็ดให้นะครับ
ขอบคุณที่อุตส่าห์ซื้อหนังสือ คดีรัก ที่พิพม์ไปตั้งแต่ต้นปีก็ยังมีคนซื้ออีก
ขอบคุณบอร์ดเซ็งเป็ดที่ให้โอกาสและพื้นที่ในการแบ่งปันเรื่องราวนิยายให้อ่านนะครับ
เรื่องนี้ไม่มีตอนพิเศษอะไรอีกแล้วนะ เพราะคิดไม่ออก ผู้พันวรุฒม์ได้อึ๊บภีรวัสแล้วมันก็ต้องจบละเนอะ เรื่องต่อไป กำลังชั่งน้ำหนักอยู่ว่าจะเป็นเรื่องที่ออกแนว จริงจัง หรือ โรแมนติกเพ้อฝัน
มีหลายเรื่องเขียนทิ้งเอาไว้สามสี่บทตั้งแต่กลางปีที่แล้วครับ ไม่รู้จะถึงเวลาเหมาะหยิบเรื่องไหนขึ้นมาเขียนต่อให้จบได้เมื่อไหร่
แต่มีตัวอย่างบางตอนนะ ถือซะว่าเป็นหนังตัวอย่างโปรแกรมหน้า
ก่อนไปก็ขอบคุณนะครับ ขอบคุณ
เรื่องที่หนึ่ง ออกแนวจริงจัง
หมอชาลีเดินเอื่อยๆ ไปตามทางเดินของโรงพยาบาล เลิกงานแล้วแต่เขายังไม่กลับบ้านเช่นเคย วันนี้เขาตั้งใจว่าจะชวนเอกไปหาอะไรทานที่ร้านอาหารนอกเมือง หมอหนุ่มหยุดหยอดเหรียญตู้เครื่องดื่ม กดซื้อแป็บซี่แม็กซ์หนึ่งกระป๋อง แล้วเดินตรงไปยั้งวอร์ดเด็ก แต่สองเท้าชะงักทันใดเมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งเดินเข้าไปในวอร์ดก่อนหน้าเขาเพียงไม่กี่อึดใจ
...กัณต์...เขามาทำอะไรที่นี่...ที่วอร์ดเด็ก...หรือว่า...
นายตำรวจหยุดหน้าห้องของเอกเพื่อนของเขาชั่วขณะ ก่อนที่ประตูห้องจะเปิดออก เอกเดินออกมา ส่งยิ้มกว้างให้ วินาทีนั้นชาลีรู้ได้ทันทีว่า กัณต์มาจีบเพื่อนของเขา
...เป็นไปได้ยังไง...กัณต์รู้จักเอกตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเขาไม่เคยรู้เรื่องเลย...
ชาลีรีบเดินตรงเข้าไป ตั้งใจว่จะต้องรู้ความจริงให้ได้ สองอาทิตย์ที่แล้วเขาตัดสัมพันธ์กับกัณต์ นับแต่วันนั้น กัณต์ก็หายหน้าไป ชาลีคิดในใจว่าหากสองคนนี้จะรู้จักกัน ก็อาจเป็นตอนที่เขาไปดูงานที่นิวซีแลนด์เมื่อสิบวันที่ผ่านมา
"เอก ตกลงจะไปทานข้าวด้วยกันไหม" ชาลีส่งเสียงไปก่อนที่จะเดินถึงตัวเพื่อนเขา กับนายตำรวจหนุ่มที่เขาปฏิเสธรักไปหยกๆ
"ชาลี มาพอดีเลย" เอกยิ้มกว้างให้เพื่อน แล้วหันไปหากัณต์ที่หันหน้ามามองชาลีช้าๆ "สารวัตรครับ นี่ชาลีเพื่อนผม"
กัณต์ยิ้มบางๆ ก้มศรีษะให้เล็กน้อยพร้อมพูดว่า "ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณหมอชาลี"
...ยินดีที่ได้รู้จักหรือ...บ้าสิ...รู้จักกันมาตั้งหลายเดือน ยังมาตีหน้าซื่อทำความรู้จัก...
...จะมาไม้ไหนกันนี่...ดี...หากกัณต์อยากจะเล่นเกม เขาก็จะเล่นเกมด้วยเหมือนกัน...
...แต่เกมของเขา ไม่ใช่เกมเดียวกันกับเกมของตำรวจเจ้าชู้อวดดีคนนี้หรอก...
"เรารู้จักกันแล้วไม่ใช่หรือครับสารวัตร จำผมไม่ได้หรือ ชาลีที่ช่วยผู้กองเป็นพยานคดีทำร้ายร่างกายพลเมืองดีไงครับ ลืมง่ายจังเลยนะ" ชาลียิ้ม พูดเนิบๆ ไม่ได้แสดงอาการน้อยใจที่กัณต์จำไม่ได้แต่อย่างใด
กัณต์ชะงักไปชั่วครู่ นึกไม่ถึงว่าชาลีจะไม่เล่นด้วย "อ้อ...คุณหมอนั่นเอง โลกกลมจังเลยนะครับ ไม่นึกว่าจะเจออีกครั้ง"
...เอาสิ เขาไม่ยอมแพ้หรอก หากชาลีคิดจะฉีกหน้าเขา เขาก็จะบอกเสียเลยว่าเคยมีอะไรกันแล้ว ดูสิจะตีหน้าอย่างไรต่อหน้าเพื่อนสนิท...
"ครับ กลมจริงๆ ไม่นึกว่าสารวัตรจะรู้จักกับเอก" ชาลีหันไปยิ้มให้เพื่อน
"เรารู้จักกับสารวัตรอาทิตย์ที่แล้วนี่เอง ตอนชาลีไปนิวซีแลนด์ สารวัตรพาหลานมาหาหมอที่โรงพยาบาล
"ไม่ยักรู้ว่าสารวัตรมีหลาน" ชาลียิ้มบางให้กัณต์
"ผมก็ไม่ยักรู้ว่าคุณเอกเป็นเพื่อนคุณชาลี" กัณต์ยิ้มมุมปาก "ถ้ายังงั้น ผมขอเชิญคุณชาลีทานข้าวด้วยกันนะครับ หวังว่าคุณเอกคงไม่รังเกียจ" ประโยคหลัง หันมายิ้มนุ่มนวลให้หมอเอก
"ไม่ครับไม่" เอกรีบตอบ "นะชาลี วันนี้สารวัตรจะพาไปที่..."
"เราก็จะมาชวนเอกไปทานข้าวเหมือนกัน" ชาลีรีบแทรก "แต่ไม่นึกว่าจะเจอคนอื่น ตั้งใจว่าจะไปทานกับเพื่อนสนิทกันสองคน แต่ถ้าเอกจะไปทานข้าวกับสารวัตรแล้วก็ไปเถอะ เราต้องขอตัว" นายแพทย์หนุ่มจงใจเน้นเสียงให้นายตำรวจหนุ่มรู้สึกว่าเป็นคนอื่น
"ไปด้วยกันเถอะชาลี" เอกคะยั้นคะยอ
ชาลีลังเล ตอนแรกตั้งใจว่าจะเข้ามาขวางคอสองคนนี้ แต่พอถูกชวนให้ไปทานข้าวด้วยกันเขากลับรู้สึกไม่อยากไปด้วย ใจหนึ่งห่วงเพื่อนกลัวว่าจะโดนกัณต์หรอกให้รักแล้วทิ้ง ใจหนึ่งก็รู้สึกฉุนกัณต์ที่เพิ่งสารภาพรักและถูกเขาทิ้งไปหยกๆ แต่กลับทำท่าราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตอนแรกเขานึกว่ากัณต์จะเสียใจ ที่ไหนได้ ไม่ถึงสองอาทิตย์ กัณต์ก็จีบคนใหม่หน้าตาเฉย หนำซ้ำ จีบเพื่อนสนิทของเขาเสียด้วย และที่แย่ที่สุดคือทำท่าว่าไม่เคยรู้จักเขามาก่อน
...เกลียดจริงๆ ยิ่งมาทำหน้ายิ้มๆ ยิ่งรู้สึกหมั่นใส้ คิดว่าตาตัวเองสวยนักหรือไง มายืนยิ้มทำตาระยิบระยับอยู่ได้ อยากให้มีเข็มฉีดยาอยู่ใกล้ๆ จังเลย จะจับแทงให้ตาบอด...
"ถ้าคุณหมอชาลีไม่อยากไปก็อย่าบังคับเลยครับ คุณหมอคงอยากให้เรามีเวลาเป็นส่วนตัว" กัณต์พูดเสียงนุ่ม
...จะมากเกินไปแล้วนะ พูดกันหน้าไม่อายเลยหรือนี่...
เอกยิ้มเขิน ไม่นึกว่ากัณต์จะพูดตรงไปตรงมาเร็วเช่นนี้ ที่สำคัญ พูดต่อหน้าเพื่อนของเขาเสียด้วย
"ใช่ เอกไปทานข้าวให้อร่อยเถอะ เราจะไปทานกับหมอเชน เขาชวนเรามาหลายครั้งแล้ว" ชาลีอุปโลกชื่อหมอเชนขึ้นมา เอกขมวดคิ้วทำหน้าสงสัยเพราะไม่รู้จักหมอเชน ชาลีไม่รอให้เพื่อนถาม กล่าวอำลาแล้วหันหลังกลับเดินออกจากวอร์ดเด็กโดยเร็ว
...เป็นไงล่ะ...ให้รู้ซะบ้างว่าชาลีไม่ใช่คนที่จะมาข่มกันได้ง่าย...
ชาลีคิดในใจ หันหน้ากลับไปยิ้มให้ทั้งสองอีกครั้ง วินาทีที่เขาเอ่ยชื่อหมอเชน เขาเห็นมุมปากของกัณต์กระตุก...กระตุกอย่างไม่ชอบใจ...
...กัณต์คิดจะทำอะไร มาจีบเอกเพื่อจะแกล้งให้เขาหึง หรือต้องการแก้แค้นเขา หรือมีจุดประสงค์อะไรกันแน่
แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่อาจยอมให้นายตำรวจหนุ่มเจ้าสำราญคนนี้มาทำให้เพื่อนเขาเสียใจเด็ดขาด เอกเป็นคนดีเกินไปที่จะมาเป็นเครื่องมือของกัณต์เพื่อแก้แค้นเขา หากนั่นเป็นสิ่งที่กัณต์กำลังคิดอยู่ตอนนี้
...คืนนี้ล่ะเขาจะถามกัณต์ให้รู้เรื่อง
เรื่องที่สอง ก็ออกแนว จริงจัง (มั๊ง)
เช้าวันถัดมา อาวุธไปหาธงรบถึงที่ทำงาน ทันทีที่เห็นอาวุธ ธงรบก็ทำหน้าบึ้ง จ้องตาอาวุธราวจะกินเลือดกินเนื้อ และถามเสียงห้วน
“เอ็งมาทำไม"
“ธงรบ เรามาคุยดี"
“ข้าไม่มีอะไรจะคุยกับเอ็ง" ธงรบทำหน้าเย็นชา เมินไปมองผนังห้อง
อาวุธถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า "ก็ได้ เราจะได้กลับไปบอกอาทิตย์ว่าธงรบไม่ต้องการคุย จะได้เปลี่ยนใจรับข้อเสนอของอาทิตย์โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ"
ธงรบหันขวับมาหาอาวุธทันที "ข้อเสนออะไร บอกมาเดี๋ยวนี้"
“อยากคุยแล้วหรือธงรบ" อาวุธเสียงเย็น ใบหน้าเรียบนิ่งเช่นเคย
“เอ็งอย่ามาท่ามากเลยวุธ จะพูดอะไรก็พูดมา"
“อาทิตย์มาขอเป็นแฟนกับเรา" อาวุธพูดเนิบนาบ "แบบจริงจัง ย้ายไปอยู่ด้วยกัน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน"
ธงรบช๊อค รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าลงมากลางศีรษะ
...อาทิตย์ ทำไม อาทิตย์คิดอะไรแบบนี้ โหดร้ายจริงๆ...
“แต่เรายังเห็นว่านายกับเราเป็นเพื่อนกัน เราทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ก็เลยมาคุยกับนาย"
“แกจะเอายังไง"
“เปล่าธงรบ เราไม่ยังไง นายต่างหาก จะเอายังไง"
“อย่ามาพูดวกไปวนมาใช้ภาษาซับซ้อน ข้าไม่เข้าใจ พูดมาตรงๆ เลยดีกว่า จะพูดแบบนี้ไปพูดกับคชานนท์โน่น" ธงรบกระแทกเสียง โบกมืออย่างฉุนเฉียว
“เราหมายความอย่างที่พูด มาตกลงกันไหมธงรบ เราจะถอยฉากออกไป ให้นายง้ออาทิตย์ได้สบายๆ นายมีเวลาสามเดือน ถ้าสามเดือนอาทิตย์ยังไม่ยอมคืนดี เราจะตกลงเป็นแฟนกับอาทิตย์ และนายก็ต้องตัดใจ เลิกกับอาทิตย์โดยเด็ดขาด" อาวุธพูดช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ น้ำเสียงราบเรียบ
...สามเดือน ทำไมต้องสามเดือน ตอนนั้นอธิคมก็โดนยื่นคำขาดสามเดือน คราวนี้เขาก็เจอเหมือนกัน ทำไมใครๆ ก็ชอบกำหนดเวลาสามเดือนกันนัก...
“แต่อาทิตย์บอกว่าไม่อยากเห็นหน้าข้าเป็นเวลาสามเดือน ห้ามเข้าใกล้รัศมีหนึ่งกิโลเมตร" ธงรบพึมพำ นัยน์ตาเหม่อเลย
อาวุธเบือนหน้าไปกลั้นยิ้ม เห็นทางชนะแบบง่ายๆ ลองธงรบเป็นขนาดนี้ เขากับอาทิตย์แทบไม่ต้องพยายามอะไรเลย แต่เพื่อความแน่ใจ ธงรบต้องโดนหนักๆ จะได้กลับตัวกลับใจอย่างแท้จริง
“เราจะคุยกับอาทิตย์ให้ ว่าให้ยกเลิกกฏอันนี้ ให้โอกาสนายพิสูจน์ตัวเอง นายจะเข้าบ้านเราเมื่อไหร่ก็ได้"
“แล้วทำไมจะต้องเข้าบ้านแก ให้อาทิตย์ออกจากบ้านแกสิวะ" ธงรบเสียงห้วน
“ตามใจ ถ้าทำได้ก็ตามใจ" อาวุธยักไหล่ โยนกุญแจลงบนโต๊ะทำงานของธงรบ "ระหว่างนี้เราจะไปอยู่คอนโด"
อาวุธหันหลังกลับ แต่ก่อนจะถึงประตูห้องทำงานก็หันมามองธงรบอีกครั้งแล้วพูดว่า "แต่ในระหว่างนี้เราไม่สัญญานะว่าจะไม่เจออาทิตย์ เราจะแยกตัวออกไปก็จริงอยู่ แต่ถ้าอาทิตย์ตามเรา ก็ช่วยไม่ได้ แต่ขอสัญญาว่าจะอยู่เฉยๆ จะเลี่ยงให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ อย่างที่บอก เราจะถอย จะอยู่เฉยๆ จะไม่ทำอะไร แต่จำไว้นะธงรบ สามเดือนถ้านายยังทำไม่สำเร็จ เราจะจีบอาทิตย์ทันที และทำทุกวิถีทางที่จะเป็นแฟนกับอาทิตย์แบบจริงจังและใช้ชีวิตร่วมกัน ซึ่งเราคิดว่าคงไม่ยาก ธงรบ สามเดือนเท่านั้น เราให้เวลานายสามเดือน"
...สามเดือนจะไปพออะไรวะ แค่สามเดือนเท่านั้นเอง เวลานิดเดียวในการงอนง้ออาทิตย์ ไอ้คมยังทำกับคุณนุไม่สำเร็จเลย นี่ถ้าไม่โดนยิงปางตายไอ้คมก็ไม่มีทางได้คืนดีกับคุณนุภายในสามเดือนหรอก อาทิตย์ร้ายกว่าคุณนุตั้งเยอะ ท่าทางใจแข็งเด็ดเดี่ยวมากกว่านัก สามเดือนจะไปทำอะไรได้...
...สามเดือนอันยาวนานของอธิคม กลับกลายมาเป็นสามเดือนอันแสนสั้นของธงรบ...
ธงรบนิ่งอึ้งเมื่อนึกถึงเวลาเท่ากันแต่กลับทำให้รู้สึกต่างไปลิบลับ
...ต้องห่างอาทิตย์สามเดือนมันนานต่างกันกับมีเวลาสามเดือนที่ต้องง้อขอคืนดีให้สำเร็จ ที่แย่กว่านั้นมีอาวุธหายใจรดต้นคออยู่ ครบสามเดือนเมื่อไหร่ หากเขาทำไม่สำเร็จ อาวุธจะโดดลงมาแย่งอาทิตย์ทันที...
...อนุภาพที่รักกับอธิคมนักหนา เจออาวุธเข้าก็เขวไปไม่น้อย แล้วที่แยกกับอธิคมก็ไม่ใช่แบบที่อาทิตย์เห็นเขากับภานุวัฒน์อยู่บนเตียงด้วยกัน งานนี้หืดขึ้นคอแท้ๆ เชียว รู้สึกเหนื่อยตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้นด้วยซ้ำ...
ธงรบมาหยุดยืนหน้าประตูบ้านของอาวุธ มือกำกุญแจบ้านของเพื่อนไว้แน่น ในใจคิดว่าจะไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปเลยหรือเคาะประตูดี
...เฮ้อ ทำไมมันลำบากใจแบบนี้นะ พอเห็นหน้าบึ้งๆ ของอาทิตย์แล้วจะทำยังไงดี...
...เอาวะ ไหนๆ ก็มาแล้ว เป็นไงเป็นกัน วันนี้เขาจะเอาอาทิตย์ออกไปจากบ้านของอาวุธให้ได้...
ธงรบตัดสินใจเสียบกุญแจ ปลดล๊อคเปิดประตูบ้านของอาวุธแล้วเดินเข้าไปเพราะคิดว่า หากกดกริ่ง อาทิตย์คงจะไม่ยอมมาเปิดประตูให้
บ้านของอาวุธสะอาดเรียบร้อยมาก ต่างจากบ้านเขาราวฟ้ากับดิน ในใจก็คิดว่า นี่ก็คงเป็นข้อเปรียบเทียบแรกๆ ที่เห็นได้ชัด ถ้าอาทิตย์เลือก ก็คงเลือกอาวุธกระมัง
...อาวุธทำกับข้าวให้อาทิตย์กินด้วย อาวุธทำกับข้าวเป็น ส่วนเขานั่นหรือ เปิดอาหารกล่องแช่แข็งอุ่นไมโครเวฟยังไม่สุกเลย กินแทบไม่ลง ต้มมาม่าก็เละ ชงกาแฟก็หกเลอะเทอะ...
...เฮ้อ เรามันมีดีตรงไหนวะ สงสัยช่ำชองเรื่องบนเตียงอย่างเดียว...
“อาทิตย์"
ธงรบชะงัก หยุดความคิดของตัวเองไว้ชั่วขณะเมื่อเห็นตี๋หนุ่มสุดที่รักของเขาเดินออกมาจากห้องนอน นุ่งกางเกงขาสั้นสีขาวและเสื้อกล้ามสีดำ ในมือถือโทรศัพท์กำลังกดหมายเลข แต่ครั้นเงยหน้าเห็นธงรบ ชายหนุ่มก็พับโทรศัพท์เก็บเอาไว้ เมินหน้าออกไปมองด้านข้าง เดินหนีออกไปที่ระเบียงด้านหลังบ้าน
“อาทิตย์ ฟังพี่ก่อนสิ" ธงรบรีบเดินตาม
“ผมบอกแล้วว่าห้ามมาให้เห็นหน้า ห้ามเข้าใกล้ในรัศมีหนึ่งกิโลเมตร"
“อ้าว ไหนไอ้วุธบอกว่า...” ธงรบทำหน้าเหรอหรา
...ไอ้วุธนะไอ้วุธ ไหนบอกว่าจะคุยกับอาทิตย์ให้ยกเลิกมาตรการทำโทษชั่วคราว แกนะแก...
“สารวัตรกลับไปซะเถอะ ผมไม่อยากคุย" อาทิตย์เสียงเย็น ยืนกอดอกอยู่ริมระเบียง ตามองลงไปยังแม่น้ำเจ้าพระยาที่กำลังไหลเอื่อยๆ
“แต่พี่อยากคุย อาทิตย์อย่าโกรธพี่เลยนะ มาง้อแล้ว" ธงรบเสียงอ่อน
“ง้อเรื่องอะไรครับ"
“ก็เรื่อง...” ธงรบตะกุกตะกัก "เรื่องที่...”
เรื่องที่สาม _ เรื่องแล่าออกแนวหวานปนเศร้า
จะเล่าตอนที่เจอเดียวให้ฟัง ตอนนั้นมันเป็นเรื่องไม่คาดฝัน ผมคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่เดียวบอกว่าเป็นพรหมลิขิต เป็นโชคชะตา เป็นบุพเพสันนิวาส สารพัดจะหาเหตุผลมาพูด แต่ผมก็ยังย้ำคำเดิมว่า มันก็เรื่องรักใคร่ธรรมดาๆ ผมอยากลองมีประสบการณ์การมีแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเขาซักครั้งก็แค่นั้น
เย็นวันนั้นอากาศร้อนมาก ผมสวมเสื้อกล้ามสีขาว กางเกงขาสั้นลายพรางสีเขียวเข้มตัวเก่ง เพิ่งตัดผมใหม่ๆ หัวเกรียนแบบสกินเฮดอย่างเท่
...เท่และน่ากิน อย่างที่โอ๊ตเพื่อนคู่หูของผมบอก
แต่เดียวนี่สิมาแปลก สวมกางเกงยีนส์รัดรูป มีรอยปะพอน่าดู แต่ที่ดึงดูดความสนใจผมคือบั้นท้ายงอนๆ ที่ลอยเด่นอยู่ใกล้ๆ เพราะกำลังก้มลงเก็บผลไม้หลากชนิดที่หล่นกระจายลงบนพื้น ผมชะงัก หยุดตัวเองทัน เกือบจะชนก้นแน่นๆ ของเดียวซะแล้ว
ที่จริงก็อยากจะช่วยเดียวเก็บอยู่หรอก แต่ตอนนั้นกำลังมองเพลิน เลยลืมทำหน้าที่พลเมืองดี ไอ้โอ๊ตวิ่งมาจากไหนก็ไม่รู้ เสนอหน้าช่วยเหลือเดียวจนหน้าหมั่นใส้
“ไอ้ต้น ยืนเซ่ออยู่ทำไม มาช่วยกันหน่อยสิวะ ไม่มีน้ำใจเลยนะเอ็ง” ไอ้ข้าวโอ๊ตปากไม่ดี
ผมถลึงตาใส่เพื่อนแล้วก้มลงช่วยเก็บของ เดียวขอบคุณเบาๆ แล้วหันไปตอบคำถามไอ้โอ๊ตที่เอาแต่ถามซอกถามแซกจนผมอยากต่อยปากมันซักหมัดให้หยุดพูดไปเลย เดียวบอกว่าซื้อผลไม้ไปให้คนที่มาร่วมงานปาร์ตี้ริมสระกิน
“ซื้อเยอะขนาดนี้คงเหลือบานเบอะ อยากหาคนไปช่วยกินไหมครับ” “ไอ้โอ๊ตออกลายเจ้าชู้
“ได้เลยครับ แต่ว่าไม่ใช่งานปาร์ตี้อย่างที่คุณคิดนะครับ แค่มีนั่งคุยกันสนุกๆ เล่นเกมส์ แล้วก็ทานของว่าง ใครอยากกระโดดลงสระก็ตามสบาย”
“ถ้าไม่รังเกียจ ผมไปแน่” ไอ้โอ๊ตพูดแล้วหันมาหาผม “ว่าไงต้น ไปด้วยกันหรือเปล่า”
ผมทำท่าคิด “อืม ขอคิดดูก่อน”
“จะคิดทำไมวะ ปาร์ตี้ฟรีๆ มีของกิน แล้วเจ้าของงานเขาก็เชิญแล้ว” ไอ้เพื่อนขี้หลีของผมทำท่าอยากไปร่วมงานปาร์ตี้ริมสระจนออกนอกหน้า
ผมหัวเราะแทบกรามค้างเมื่อเราไปถึงงาน "ปารตี้ริมสระ" ไอ้โอ๊ตยืนตะลึงไม่เชื่อสายตา มองมนุษย์เพศชายตัวเล็กๆ อายุ 5-10 ปีใส่กางเกงขาสั้นเล่นน้ำกันอยู่เต็มสระ มีเดียวกับคนอีกห้าหกคอยยืนดูแลอยู่รอบๆ
"เป็นไงล่ะเพื่อน ปาร์ตี้ริมสระ อยากโดดลงไปเล่นน้ำกับเขาไหมล่ะ" ผมเหน็บแนม แล้วหัวเราะเสียงดัง ที่จริงผมก็คาดหวังไม่ต่างกันกับเพื่อนหรอกครับ อันนี้ต้องยอมรับ เห็นก้นเดียวตอนก้มลงเก็บของแล้วก็อยากจะเห็นตอนที่ใส่กางเกงว่ายน้ำเปียกๆ แต่คนที่ "กระสัน" อยากจะมางานปาร์ตี้ริมสระจนออกนอกหน้าคือไอ้โอ๊ต ผมเลยได้ที ล้อมันเล่นซะเลย
"ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้วะ" ไอ้โอ๊ตพึมพำเหมือนคนละเมอ
สรุปแล้วปารตี้ริมสระวันนั้นเป็นปาร์ตี้ของเด็กกำพร้า เดียวกับเพื่อนลงทุนเช่าสระว่ายน้ำของศูนย์กีฬาเพื่อพาเด็กมาว่ายน้ำ วันนั้นผมกับโอ๊ตเลยต้องกลายมา "พี่แผนกแบกหาม" ไปโดยปริยาย เพราะบรรดาพี่เลี้ยงทีมงานของเดียวต่างก็รูปร่างบอบบางกันทั้งนั้น มีแต่เดียวนั่นล่ะที่ "อึ๋ม" กว่าคนอื่น
...คนอะไร ก้นสวยจริงๆ
เฮ้อ...
กิจกรรมเสร็จเอาเมื่อตอนบ่างสี่โมงเย็น เดี๋ยวพาเด็กขึ้นรถสองแถวเตรียมตัวกลับ ชวนผมกับโอ๊ตไปด้วย แต่เพื่อนของผมสงสัยกลัวว่าจะต้องไปช่วยดูแลเด็กที่สถานเลี้ยงกำพร้าเลยหาเหตุผลต่างๆ นาๆ มาอ้าง
"ถ้าเสาร์หน้าว่างก็มา park party ด้วยกันนะครับ" เดี่ยวชวนก่อนส่งสัญญาณให้รถเคลื่อนตัว
เราสองคนยืนโบกมือให้เด็กๆ จนรถสมาชิก pool party ลับสายตา ไอ้โอ๊ตถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินคอตกไปที่รถ โดยมีผมคอยล้อเลียน
"สงสัยจริงๆ ว่ะว่า park party นี่มันจะเป็นยังไง แล้วเสาร์ต่อไปจะเป็น nude party หรือเปล่าก็ไม่รู้ เสาร์หน้าเราไปดูกันนะเพื่อน"
"แกไปคนเดียวเถอะ โถ่ พูล ปาร์ตี้ นึกว่าจะได้เห็นก้นสวยๆ ที่ไหนได้" ไอ้โอ๊ตเบ้ปาก
"ทำหน้าเหมือนจะตาย แล้วนี่แกขับรถได้หรือเปล่า" ผมล้อไม่หยุด รู้สึกขำเพื่อนเป็นที่สุด ทั้งที่จริงผมก็คิดเหมือนไอ้โอ๊ตมันเหมือนกัน
...วันนั้นล่ะ เป็นวันแรกที่ผมเริ่มสนใจเดียว ผมตั้งเป้าหมายไว้ว่า ยังไงๆ ผมก็ต้องเห็นก้นสวยๆ ของเดียวให้ได้...
...และต้อง "ได้" ด้วย...