2
ธีรดนย์ออกจากห้องพักของวศิณเอาเมื่อตอนใกล้เที่ยงคืน วันนี้เป็นวันอันยาวนานของเขา รู้สึกเพลียและง่วงนอนมาก ตอนแรกคิดว่าจะค้างกับวิศิณแต่นึกว่าพรุ่งนี้เช้าต้องไปทำงานเขาก็อยากจะกลั้นใจตาย
คุณเต้ย เลขาคนเก่งยังอุตส่าห์ส่งข้อความสั้นมาเตือนเขาว่าเก้าโมงเช้าต้องประชุม แถมด้วยการย้ำว่า "กรุณาตื่นให้ทัน ไม่งั้นเต้ยจะโทรตาม"
...ไม่รู้จะประชุมอะไรนักหนา พ่อนะพ่อ แม่นะแม่ ไม่รู้จะแยกกันอยู่คนละประเทศทำไม น้องชายก็มาแต่งงานและฮันนี่มูนอะไรยาวนานขนาดนี้ เขาต้องทำงานหนักอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน จะตายอยู่แล้ว...
ธีรดนย์กำลังจะเปิดประตูรถ พลันหูได้ยินเสียงกระหึ่มของมอเตอร์ไซด์คันใหญ่จึงหันขวับไปมอง ในใจนึกภาพสิงห์นักบิดที่แข่งกับเขาเมื่อเช้าขึ้นมาทันที
รถคันนั้นแล่นเข้าไปจอดด้านข้างรถโฟร์วีลด์คันใหญ่ ธีรดนย์ยืนเพ่งมองอยู่ชั่วครู่แล้วเดินเข้าไปหา ตั้งใจจะอ้อมไปอีกด้านเพื่อดูหน้าของเจ้าของรถ แต่ครั้นไปถึงก็เห็นว่าคนขับมอเตอร์ไซด์หายตัวไปแล้ว
ธีรดนย์เดินย้อนกลับไปยังบันไดของคอนโดมิเนี่ยมสูงเจ็ดชั้น พยายามมองหาคนที่สวมเสื้อผ้าคล้ายกับคนที่ขับมอเตอร์ไซด์ เมื่อครู่เขาไม่ได้สังเกตเครื่องแต่งกายเพราะเมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์ มอเตอร์ไซด์คันนั้นก็กำลังแทรกเข้าไปด้านข้างรถยนต์คันใหญ่และลับตาเขาเสียแล้ว
ผู้บริหารหนุ่มเดินขึ้นไปบนคอนโดมิเนี่ยม หันซ้ายหันขวา มองเห็นหญิงสาวสองคนกำลังเดินไปตามทางเดิน ในมือถือถุงพลาสติก ส่วนทางเดินอีกด้านหนึ่ง เป็นชายร่างผอมกะหร่อง กำลังเดินไปพลางโทรศัพท์ไป ธีรดนย์จึงเดินลงบันได แล้วมองไปรอบๆ อย่างเซ็งๆ ก่อนจะก้าวลงไปจนถึงพื้น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับรถโฟร์วีลด์คันใหญ่วิ่งผ่านหน้าของเขาไปด้วยความเร็วพอสมควร แต่เขาทันมองเข้าไปในรถและเห็นคนขับ
...ชายหนุ่มคนนั้นเอง ใช่แน่ๆ โลกทำไมกลมแบบนี้...
ธีรดนย์รีบเดินออกไปยืนอยู่บนถนน มองตามรถสีดำคันนั้น และจดจำหมายเลขทะเบียนรถ ในใจหมายมั่นว่า พรุ่งนี้หลังจากเลิกประชุม เลขาคนเก่งที่มีความสามารถในการสืบหาข้อมูลได้เก่งยิ่งกว่าตำรวจจะต้องบอกเขาได้ว่าใครเป็นเจ้าของรถ
เช่นเคย ทุกครั้งที่มอบหมายงานอะไรให้ที่เป็นเรื่องส่วนตัว เลขาผู้มีความสามารถเหนือคนอื่นใดจะต้องถามเหตุผล
"บอกเต้ยมาก่อน ว่าคุณต้องการรู้ไปทำไม" เลขาของธีรดนย์ถามทันทีที่ได้รับมอบหมายงานพิเศษ
"เต้ย ใครเป็นเป็นเจ้านาย" ธีรดนย์ถามเสียงเย็นยะเยียบ คนที่เป็นลูกน้องชี้นิ้วมายังเจ้านาย แต่ใบหน้ายังสงสัย ไม่ยอมหลบตา "แต่เต้ยคิดว่าตัวเองน่าจะมีสิทธิ์รู้ เพราะว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องงานของเต้ยโดยตรง"
"ถึงเรื่องงานคุณก็ถาม ไม่ต้องเอาเหตุผลนี้มาอ้างหรอก"
"ไม่บอกให้ครบถ้วนกระบวนความ ระวังได้ข้อมูลผิดๆ นะครับคุณดนย์" เลขา 'ขู่' เจ้านาย
"เขาขับรถปาดหน้าผม แล้วเปิดกระจกออกมาตะโกนด่าด้วย" ธีรดนย์ถอนหายใจ
"ใครปาดหน้าใครก่อนก็ไม่รู้เนอะ" เต้ยพึมพำ
ธีรดนย์ทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วคว้าแฟ้มเอกสารเดินไปห้องประชุม ส่งเสียงย้ำให้เลขาหาข้อมูลให้ได้ก่อนการประชุมเสร็จสิ้น
ธีรดนย์ไม่แปลกใจที่ได้คำตอบจากเลขาคนเก่ง เขาค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองจำไม่ผิด แต่เขาก็ต้องการคำตอบที่มีการยืนยันความถูกต้อง
"รถบริษัท Network Solutions จดทะเบียนในนามนิติบุคคล เพราะฉะนั้นก็ค้นหาได้ยากว่าใครเป็นคนเปิดกระจกออกมาตะโกนด่าเจ้านายตามที่เจ้านายพูด" เต้ยเอียงหน้า ทำท่าวิเคราะห์ข้อมูล
...เอ๊ะ พูดแบบนี้ยังไงกัน ตามที่เขาพูด เต้ยหมายความว่ายังไง...
"นี่ว่าผมสร้างเรื่องงั้นสิ" ธีรดนย์เสียงเข้ม เท้าแขนทั้งสองลงบนโต๊ะของเลขา
"โอ๊ะ เต้ยพูดผิดตรงไหนต้องขอโทษนะครับ ไม่ได้ตั้งใจ แล้วนี่จะให้ทำยังไง โทรไปลุยเลยไหมครับ หาตัวให้ได้ว่าใครเป็นคนขับเมื่อคืนนี้ กล้าดียังไงมาตะโกนด่าประธานบริษัทระดับชาติ"
"กำลังประชดผมหรือหรือเปล่า" ธีรดนย์ชักไม่แน่ใจ เขายอมรับว่าบางทีเขาก็ตามเต้ยไม่ทันเพราะเลขาของเขาฉลาดยิ่งกว่ากรด
"เปล่า ผมหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ" เต้ยทำหน้าจริงจัง พลันนึกอะไรได้บางอย่างจึงเลิกคิ้วอุทานขึ้นมาวา "เฮ้ย บริษัทนี้วางระบบคอมพิวเตอร์ใหม่ให้เรานี่นา"
...เข้าล๊อค ดัดหลัง 'ลิงรูปหล่อ' คนนั้นที่บังอาจขัดคำสั่งเขา...
"ยกเลิกการว่าจ้างเลย ผมไม่พอใจมาก เมื่อวานยังทำประแจหล่นใส่หัวผมเกือบหัวแตก ไม่ขอโทษซักคำ หนำซ้ำยังบอกให้ผมเก็บประแจให้ บอกให้ขึ้นมาหาบนห้องก็ไม่ขึ้นมา จงใจขัดคำสั่ง" ธีรดนย์ได้ที
...แล้วไปสั่งเขาได้ยังไง ไม่ใช่พนักงานในบริษัท คุณธีรดนย์นี่ชักจะพาลใหญ่แล้ว...
"จะดีหรือครับ เรื่องไม่ได้ใหญ่โตมโหฬารมากมาย เขาก็ไม่ได้ผิดมหันต์ที่ต้องทำกันถึงขนาดนี้ เรื่องงานเขาก็ไม่บกพร่อง เรื่องนี้จะว่าไปก็เป็นเรื่องส่วนตัว เล่นกันเป็นรายบุคคลไม่ดีหรือครับ แบบนี้เสี่ยงโดนฟ้อง" เต้ยทำหน้าที่เป็นสามัญสำนึกให้เจ้านายอารมณ์ร้อน
"ตามเจ้าของบริษัทมาพบผมให้ได้" ธีรดนย์สั่งแล้วเดินเข้าห้องปิดประตูปัง ปล่อยให้เลขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
ศรายุธสูดลมหายลึกๆ แล้วผลักประตูประจกบานใหญ่เข้าไปในห้องของประธานบริษัทคุณานนท์บริวเวอรรี่ที่กว้างขวางมาก ชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งนั่งอยู่ใกล้กับประตูสีดำสนิทซึ่งเขาคาดว่าเป็นห้องทำงานของประธานบริษัทรีบลุกขึ้นมายิ้มกว้างต้อนรับแล้วทักทายเขาด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
"รบกวนคุณศรายุธรอสักครู่นะครับ ท่านประธานกำลังมา จะรับกาแฟซักถ้วยก่อนดีไหมครับ"
ศรายุธปฏิเสธแล้วกล่าวขอบคุณ ก่อนจะเดินไปนั่งคอยที่โซฟาหน้าใกล้ๆ กับโต๊ะทำงานของชายหนุ่มซึ่งตามมานั่งข้างๆ
"คืออย่างนี้ครับ เจ้านายผมเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง ยังไงวานรบกวนคุณศรายุธใจเย็นๆ นะครับ ถ้าอธิบายให้ชัดเจน คุณธีรดนย์คงจะเข้าใจ" เต้ยกรุยทางเอาไว้ก่อนเพราะรู้จักเจ้านายของตัวเองดี ธีรดนย์เป็นคนใจร้อนและตัดสินใจเฉียบขาด หากศรายุธคุยอะไรไม่ถูกใจจะทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่เท่าที่เลขาหนุ่มเห็นเจ้าของบริษัทเน็ตเวิร์กที่นั่งรออย่างใจเย็น เขาก็ลดความกังวลลงไปได้มาก ศรายุธดูเป็นผู้ใหญ่และนิ่ง ท่าทางอ่อนโยน
...อายุน่าจะสามสิบกลางๆ ผิวเข้ม แต่ดูเนียนสะอาด ใบหน้าเกลี้ยงเกลามาก หวีผมเรียบ ใส่สูทเนี้ยบ เน็คไทผูกตึงพอดีๆ สีเข้ากับสูท รองเท้าหนังสีดำมันขลับ มือใหญ่แข็งแรง วางประสานกันนิ่ง ท่าทางมั่นคง แน่วแน่ และดูอบอุ่น...
...รอยยิ้มชวนมอง...
เสียงประตูเปิดออกแรงๆ เช่นเคย เต้ยสะดุ้ง เสียงเปิดประตูดังขนาดนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณธีรดนย์ผู้มีลักษณะตรงข้ามกับคุณศรายุทธผู้เพียบพร้อม
"คุณธีรดนย์ครับ คุณศรายุธ บริษัท Network Solutions มารอแล้วครับ" เต้ยรีบลุกขึ้น หันไปแนะนำผู้มาพบ แล้วมองหน้าเจ้านายที่ขมวดคิ้วและทำหน้างงๆ เหมือนกับจะผิดหวัง หรือ "ไม่เชื่อ" ว่าศรายุธคือเจ้าของบริษัท "หรือ" ไม่คิดว่านี่คือคนที่เขาอยากจะพบตัว
สัญชาตญานของเต้ยทำงานเร็วและแม่นยำมาก แค่นี้เขาก็รู้ว่าธีรดนย์ไม่อยากจะคุยกับศรายุธ และเขาก็จะต้องยุ่งแก้ปัญหาอีกแล้ว เจ้านายของเขาอ่านง่าย มองตาเดียวก็รู้ใจ
ไม่ถึงสิบนาที ศรายุธก็เดินออกมาจากห้องของธีรดนย์ซึ่งไม่เดินออกมาส่งแขกเช่นเคย เต้ยลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหา เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของศรายุธแล้วอยากจะร้องให้ ทว่า เขายังรู้สึกได้ว่าใบหน้าเคร่งขรึมของชายหนุ่มยังดูอ่อนโยน แม้รู้ว่าคง "โดน" ธีรดนย์ "เล่นงาน" ไม่ใช่น้อย
"ไว้ผมจะช่วยคุยกับคุณธีรดนย์ให้นะครับ" เต้ยพูดเสียงนุ่ม อดสงสารศรายุธไม่ได้
"ผมเข้าใจคุณธีรดนย์ครับ แล้วผมจะส่งคุณวิธวินท์มาหาให้เร็วที่สุด" ศรายุธพูดเสียงสุภาพ กล่าวขอบคุณเต้ยที่เข้าใจ แล้วรีบขอตัวกลับเพราะมีนัด
เต้ยยืนคิดอยู่ชั่วครู่ ในใจอยากจะเข้าไปถามเจ้านายถึงข้อสงสัยที่แวบขึ้นมาในหัว แต่ก็ยั้งใจไว้ได้ เพราะรู้ว่าอีกไม่นาน คนที่ชอบหาเรื่องคนอื่นก็คงเดินออกมาสั่งให้เขาทำอะไรให้อีกแล้ว
"เต้ย เข้ามาหาผมหน่อยซิ" ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร เสียงอินเตอร์คอมก็ดังขึ้น เต้ยอมยิ้ม แล้วค่อยๆ ย่องออกจากห้อง
...ขอดัดหลังเจ้านายหน่อยเถอะ คุณศรายุธสุภาพอ่อนโยนแบบนั้น ทำไมมาทำกันแบบนี้ได้ ตอนนี้บ้าเลือดอยู่คนเดียวเถอะ เขาจะไปหาข่าวจากแผนกคอมพิวเตอร์...
ขณะที่ปิดประตูกระจกบานใหญ่ เลขาหนุ่มก็ได้ยินเสียงห้าวๆ เรียกชื่อของตนอีกครั้งดังกว่าเดิม
...ทำหน้ายักษ์อยู่ในห้องนั่นล่ะ คุณธีรดนย์...
ณ บริษัท Network Solutions
'ตัวปัญหา' นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างไม่ทุกข์ร้อนใจ เท้าวางพาดอยู่บนโต๊ะทำงาน มีเจ้าของบริษัท 'อีกคน' กำลังยืนบ่นอยู่ใกล้ๆ
"ว่าไงพ่อตัวดี ไปทำอะไรอีท่าไหนเข้าล่ะ เขาถึงได้เรียกเจ้าของบริษัทให้ไปพบ จะยกเลิกสัญญาจ้างงาน" ศรายุธยืนมองวิธวินท์ที่เอาแต่นั่งฟัง
"อย่ากลัวไปหน่อยเลยอายุธ อยู่เฉยๆ เขามายกเลิกไม่ได้หรอก เหตุผลอะไร เพราะผมทำประแจหล่นเฉียดหัวและไม่ไปพบเขาตามคำสั่งแค่นี้นะ คุณธีรดนย์อะไรเนี่ยสติไม่สมประกอบ ลองยกเลิกสิ ได้ฟ้องร้องกันมันส์แน่" วิศวกรหนุ่มยักไหล่ พูดเสียงเรียบ
"ทำไมอยากมีเรื่องกับเขานัก" ศรายุธส่ายหน้า
"ผมไม่ได้อยากมีเรื่อง อาก็เห็นชัดๆ ว่าเขาหาเรื่องเรา ผมขอโทษเขาไปแล้ว แต่ถ้าจะเล่นเรื่องงาน ขึ้นศาลเราก็ชนะ เราทำงานเรียบร้อยขนาดนั้น"
"ใช่" ศราวุธลากเสียงอย่างเข้าใจ "แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องนะวินท์ กว่ามันจะจบก็อีกนาน ไม่มีเรื่องกันจะดีกว่า ไปขอโทษเขาเถอะนะ"
"ก็บอกว่าอยากคุยกับเจ้าของบริษัท เจ้าของบริษัทก็ไปแล้ว จะเอาอะไรอีก" วิธวินท์ทำเสียงเหนื่อยหน่าย
"เขาเจาะจงว่าเจ้าของที่หน้าขาวๆ คิ้วเข้มๆ จมูกโด่งๆ ปากแดงๆ เขารู้ได้ยังไงว่าเราเป็นเจ้าของบริษัท ไหนบอกว่าคุยกันไม่กี่ประโยค แค่บอกให้เขายืนประแจขึ้นมาให้ นี่ไม่ได้เถียงกับเขาใช่ไหม"
"ผีบอกมั๊ง" วิธวินท์ยักไหล่
"วินท์ อาไม่ได้พูดเล่นนะ คุณเลขาของเขาก็รับปากจะช่วยพูด แต่ฝ่ายเราก็ต้องเข้าไปหาเขาเพราะเขาเป็นลูกค้า เป็นคนจ้างเรา"
"ลูกค้าสำคัญที่สุด ผมรู้ แต่ลูกค้าไม่ค่อยเต็มแบบนี้ถึงผมไปขอโทษก็คุยกันไม่รู้เรื่อง" วิธวินท์ยกเท้าลงจากโต๊ะ ลุกขึ้นยืน เตรียมตัวออกไปทำงาน
"พรุ่งนี้นะ อาขอร้อง ถ้างานนี้พังเราเสียรายได้ไปหลายสิบล้าน" ศรายุธทำหน้าจริงจัง
"คร้าบ ครับ" วิธวินท์รับคำ คว้ากระเป๋าเครื่องมือ แล้วเดินทอดน่องไปยังประตู ก่อนจะหันหน้ายิ้มกับหุ้นส่วนที่ศักดิ์เป็นอาของเขา เพราะฝ่ายนั้นยังย้ำว่า "คุยกับเขาดีๆ อย่ากวน ใจเย็นเข้าไว้ เขาไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่คงฉุนหน่อยเท่านั้นเอง พยักหน้าให้มากกว่าส่ายหน้าเข้าไว้"
"ครับพ่อ" วิธวินท์พยักหน้าแล้วเปิดประตู รีบเดินหนี 'พ่อ' ที่อายุห่างเพียงสิบปี
...ขี้เก๊ก ท่าทางหลงตัวเอง คิดว่าตัวเองใหญ่ ชอบออกคำสั่ง แล้วจะคุยกันรู้เรื่องไหม่เนี่ย...
วิธวินท์พยายามนึกภาพของท่านประธานบริษัทบริวเวอรี่ ก่อนจะมัดกระเป๋าเครื่องมือเข้ากับหลังเบาะมอเตอร์ไซด์คู่ชีพ แล้วบึ่งรถตรงไปยังโรงเรียนอนุบาลปุ้มปุ้ยของภิรายุ เพื่อนสมัยเรียนมัธยมปลายเพื่อช่วยติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ให้ในราคา 'พิเศษ'
โรงเรียนอนุบาลชื่อน่ารักบรรยากาศร่มรื่นมากเพราะเจ้าของเป็นคนชอบต้นไม้ ภิรายุเป็นคนใจเย็น มีอยู่อารมณ์เดียวคือยิ้มแย้มอยู่แทบจะตลอดเวลาจนบางครั้งวิธวินท์ล้อว่าเวลานอนหุบยิ้มหรือเปล่า ชายหนุ่มเจ้าของโรงเรียนเป็นคนอ่อนโยน รักเด็ก และประหยัด
...ประหยัดมาก จนจ้างวิธวินท์ทำงานด้วยเงินแค่สองหมื่น...
"มีงบจ้างได้สองหมื่นเองนะวินท์ ตอนนี้ต้องรัดเข็มขัด เด็กๆ ทานจุมาก" ภิรายุพูดเนิบนาบ หันไปมองเด็กนักเรียนที่กำลังเล่นกัน
"เข็มขัดต้องเส้นยาวมาก ดูแต่ละคนสิ น่าจะเปลี่ยนชื่อเป็นอนุบาลช้างน้อย ไม่ก็อนุบาลฮิปโปน้อย หรือไม่ก็ เอ๊ะ แต่ว่าปุ้มปุ้ยนี่ก็ออกแนวอวบๆ ป้อมๆ อยู่แล้วนี่นะ" วิธวินท์อดล้อไม่ได้ "มีแต่เจ้าของโรงเรียนนี่ล่ะ ตัวไม่เคยโตซักที"
"เรากินจุ วินท์ก็รู้"
"กินแล้วหายไปไหนหมด กี่ปีๆ ก็ตัวบางๆ เท่าเดิม"
วิธวินท์กับภิรายุเดินมาหยุดยืนหน้าห้องที่จัดเตรียมไว้เป็นห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ เจ้าของโรงเรียนผายมือแล้วเดินนำเข้าไปในห้อง วิศวกรที่เดินตามเข้ามาเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นคอมพิวเตอร์สีขาวตั้งเรียงรายกันอยู่ข้างใน
"คอมพิวเตอร์ยี่สิบเครื่อง แล้วเชื่อมโยงกับห้องพักครูและเครื่องที่ตั้งอยู่ในห้องเรียนให้หมด แล้วให้มีระบบส่งข้อความถึงกันได้ แบบว่า เราคีย์เข้าไปจากเครื่องที่ห้องเรา แล้วหน้าจอทุกเครื่องก็ขึ้นตัวหนังสือ ประมาณว่า เอ๊าเด็กๆ เลิกเล่นคอมพิวเตอร์และไปนอนกลางวันกันได้แล้ว" ภิรายุพูดเล่น แล้วหัวเราะชอบใจกับมุขของตัวเอง
"เครื่องแอปเปิ้ลหมดเลยนะ มีเงินซื้อเครื่องแพง แต่มีเงินจ้างแรงงานแค่สองหมื่น" วิธวินท์เบ้ปาก
"บอกแล้วไงว่าเราจะเจียดเงินเอาไว้ซื้อขนมให้เด็ก"
"เลี้ยงดียิ่งกว่าพ่อแม่ เด็กอ้วนหมดแล้ว" วิธวินท์ส่ายหน้า เดินไปเอามือลูบคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่เอี่ยม "แล้วนี่เสียเงินไปเยอะละสิ เล่นเปลี่ยนครั้งใหญ่แบบนี้ เกลือหายไปจากตัว ไม่จืดหมดหรือ"
"ไม่ ยังเค็มเหมือนเดิม เพราะเป็นเงินบริจาค" ภิรายุหัวเราะชอบใจ
"อ้าว แล้วให้เราสองหมื่นนี่นะ" วิธวินท์โวยวาย
"เขาให้แต่คอมพิวเตอร์ ไม่ได้รวมระบบเน็ตเวิร์ค"
"สรุปแล้วนายลงทุนแค่สองหมื่น" วิธวินท์ชูสองนิ้ว ทำตาโต ภิรายุพยักหน้ายิ้มๆ แล้วขอร้องเพื่อนอีกครั้ง ซึ่งเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายก็คงไม่ปฏิเสธ
"เอาให้ทันวันคริสต์มาสนะ เราจะให้เด็กดูซานตาคลอสกระโดดไปมาในจอคอมพิวเตอร์พร้อมๆ กัน จะได้ทำท่าตาม มีท่ากวางเรนเดียร์ด้วย อยากดูไหมวินท์"
"ไม่ ไม่อยากดู" วิธวินท์ส่ายหน้าทันที
"วันนั้นสปอนเซอร์ก็จะมาด้วย เราต้องจัดการทุกอย่างให้พร้อม เราตั้งใจจะเชิญประธานบริษัทมาเลยทีเดียว ไม่ใช่แค่ผู้จัดการฝ่ายนะ บริษัทนี้เขาต้องการทำประโยชน์ให้กับสังคม เลยให้คอมพิวเตอร์เรามา ทีนี้เขาก็อยากได้ข่าวได้ภาพไปลงหนังสือ เป็นการประชาสัมพันธ์บริษัท อ้อ เราเชิญดารามาด้วย มีนักร้องมาร้องเพลงแล้วแจกขนมเด็กๆ ผู้ปกครองก็จะออกร้านขายของ วินท์จะเอาป้ายบริษัทมาตั้งก็ได้นะ เป็นการโฆษณาบริษัท เราให้ตั้งข้างหน้า เห็นชัดๆ ไม่คิดเงินหรอก" ภิรายุอธิบายยืดยาวเช่นเคย
"คิดก็เกินไปแล้ว" วิธวินท์ส่ายหน้าอีกครั้ง "จะเร่งให้ แต่ว่าตอนนี้ทำระบบให้บริษัทไม่เต็มเต็งอยู่ อาจจะยุ่งหน่อย แต่ก็จะเร่งเต็มที่"
"บริษัทอะไรชื่อแปลกๆ" ภิรายุไม่เข้าใจ ซึ่งสำหรับวิธวินท์แล้วเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ภิรายุจะตามเขาไม่ทัน แต่หากพูดเรื่องตัวเลขและรายได้ สมองของภิรายุทำงานเร็วมาก
"รักเด็กจังเลย โดยเฉพาะเด็กอ้วนจ้ำม่ำ" ภิรายุหันไปยิ้มอย่างสุขใจ มองไปรอบอาณาจักรเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยเด็กๆ น่ารัก
...โลกของภิรายุสดใสและเจอแต่สิ่งดีๆ มาตลอด คนอะไร ยิ้มอยู่ได้ทั้งวัน แต่โลกของเขานี่สิ ไม่อยากจะพูด โดยเฉพาะพรุ่งนี้เช้าที่จะต้องไปเจอคนขี้เต๊ะคนนั้น...
ธีรดนย์หันไปยิ้มให้สาริน นายแบบหนุ่มที่กำลังมีชื่อเสียงจากภาพยนต์โฆษณาหลายชิ้น หลังจากสนุกสนานกันในผับเขาก็ชวนชายหนุ่มมาขับรถเล่น กินลมชมวิวไปเรื่อยๆ ก่อนจะไปจบลงที่อพารต์เมนท์หรูของเขาเช่นเคย
คืนนี้ถนนโล่ง บรรยากาศดี
แต่...
...อะไรวะ...
ธีดนย์หันขวับไปมองด้านข้างเพราะได้ยินเสียงบีบแตรดังลั่น แล้วหันตามเสียงรถมอเตอร์ไซด์คันใหญ่ที่ปาดหน้าเขาไปด้วยความเร็วสูง
อะไรบางอย่างสั่งให้มือและเท้าเขาทำงาน ธีรดนย์กดเปลี่ยนเกียร์ เท้ากระทืบคันเร่ง ส่งกำลังขับให้เครื่องยนต์หกสูบ 3,000 ซีซีของอินฟินิตี้ G37x สีดำสนิทของเขาให้พุ่งไปข้างหน้า
ใช้เวลาไม่นาน ธีรดนย์ก็เข้าใกล้มอเตอร์ไซด์คันนั้น
...BMW ซะด้วย ไม่ใช่ย่อย...
ธีรดนย์เร่งเครื่อง ตั้งใจจะแซงสิงห์มอเตอร์ไซด์คันนั้นให้ได้แต่ทันใดก็เปลี่ยนใจ
...ก้นสวย ก้นแบบนี้เขาจำได้ คู่แค้นเขานั่นไง...
ครั้นเหลือบไปตาไปมองข้างๆ ธีรดนย์เห็นสารินหลับตาปี๋ มือยึดที่จับข้างประตูแน่น ท่าทางจะไม่ไหว
"คุณดนย์" สารินเรียกชื่อคนขับเสียงสั่น
คนขับมอเตอร์ไซด์คันนั้นหันมามองรถคันที่ตามมาใกล้แวบหนึ่งแล้วปาดออกช่องทางขวาคล้ายจะเปิดทางให้ แต่ธีรดนย์รู้ว่าไม่ใช่เพราะจะให้ทางเขา แต่เป็นสัญญาณ 'ท้าแข่ง' เพราะทันทีที่เปลี่ยนช่องทางเดินรถ นักบิดจอมกวนก็เร่งความเร็วทันที
...เจอกันหน่อยเถอะ...
ธีรดนย์เปลี่ยนเกียร์ เร่งความเร็วขึ้นถึง 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รู้สึกเลือดสูบฉีดจนร้อนถึงใบหน้า มือควบคุมพวงมาลัยอย่างคล่องแคล่ว หลบหลีกรถที่อยู่บนท้องถนน พยายามตาม BMW 1200S คันนั้นให้ทัน
...ฝีมือไม่เบาแฮะ นี่ถ้าขับมอเตอร์ไซด์เหมือนกันก็คงมันส์กว่านี้...
"ผมจะไม่ไหวแล้ว" สารินคราง
ธีรดนย์ถอนหายใจ จำต้องผ่อนความเร็วลงเพราะเสียงของนายแบบหนุ่มฟังดูท่าทางไม่ไหวจริงๆ แต่ทันทีที่ลดความเร็ว ธีรดนย์ก็กัดฟันอย่างขุ่นเคืองเมื่อมองไปข้างหน้าเห็นคู่แข่งของเขาลดความเร็วลงทันทีเช่นกัน
...แน่ะ มีปาดไปปาดมาเยาะเย้ยเขาอีก คิดว่าเขาอ่อนข้อให้หรือ นี่ถ้าไม่มีสารินมาด้วยและเขากำลังจะไปสนุกกัน เขาไม่ยอมให้เด็ดขาม ถนนโล่งๆ สามเลนแบบนี้ จะชนะอินฟินิตี้และธีรดนย์ก็ให้มันรู้ไป...
***********2**********
อืม...ก้นสวยด้วย
น่าจะมีหลักฐานซักรูปนะครับ อยากเห็น
